และวันต่อมา เขาก็ไม่ปรากฏตัว...
ลลิภัทรใจหายเล็กน้อยตอนปิดร้าน เธอไม่รู้ว่าที่เขาหายไปเพราะติดงานหรือต้องการเวลาคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง แม้จะห้ามใจไม่ให้สงสัย แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี คิดถึงเขาทีไรเธอมักจะผ่อนลมหายใจยาว
ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนมาสนใจ ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกจีบ สมัยเรียนต้องคอยรับมือกับผู้ชายที่สรรหาวิธีการคว้าใจเธอ ก่อนเอ่ยปากปฏิเสธเธอจะลองนึกภาพตัวเองอยู่กับคนเหล่านั้น และพบว่ามีบางอย่างที่ทำให้เข้ากันไม่ได้
แต่เหตุผลสำหรับศรายะนั้นแตกต่าง มีเหตุผลบางประการที่ทำให้หัวใจของเธอหนักอึ้ง เธอกับเขาไม่ควรข้องเกี่ยวกันมากกว่าคนรู้จัก
แสงจากหน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบหลังจากไฟทุกดวงถูกปิด เรียกความสนใจจากคนที่กำลังคิดสะระตะ ลลิภัทรคว้าเครื่องมือสื่อสารมาดู ก่อนจะนิ่งค้างเมื่อเห็นข้อความจากคนที่เนียนขอไลน์เธอไปเมื่อวาน
‘ผมรู้ว่าคุณคิดถึงผม’
“อะไรเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเอง อยากหัวเราะ แต่หัวเราะไม่ออก
‘วันนี้ผมมีนัดคุยงานเลยไปไม่ได้’
หญิงสาวจ้องข้อความล่าสุดหลายวินาที ตีความได้ว่าเขาจะไม่มาแค่วันนี้ พรุ่งนี้เธอยังจะได้เจอเขาอีก
‘ค่ะ’ ตอบกลับสั้นๆ เพราะไม่รู้จะตอบอะไร
‘ผมมีคำตอบให้คุณแล้ว พรุ่งนี้รอฟังนะ’
คำตอบที่ว่าชอบเธอตรงไหนน่ะหรือ...
เธอเม้มปากชั่งใจ ก่อนจะพิมพ์ถามกลับไปว่า ‘คุณศราตีแบดเป็นไหมคะ’
คราวนี้เขาเงียบไปนาน คงกำลังสงสัยว่าทำไมเธอถึงถาม
‘พอได้ครับ’
‘ถ้าลิสจะชวนไปตีแบดหลังปิดร้านสักวัน สนใจไหมคะ’
เช้านี้พัตรา ภูริทัต และเอมมาลินกินข้าวด้วยกันตามปกติ ส่วนศรายะแยกออกไปเดินเล่นนอกบ้านเนื่องจากไม่กินมื้อเช้ามาหลายวันแล้ว
ก่อนขึ้นรถไปทำงานภูริทัตเห็นน้องชายคนเล็กแกว่งแขนไปมาเหมือนผู้สูงวัยที่เห็นได้บ่อยๆ ตามสวนสุขภาพ ท่าทางนั้นเรียกความสนใจเขาถึงขั้นต้องเข้าไปทัก
“ทำอะไรน่ะ”
“วอร์มแขน ค่ำนี้จะไปตีแบด”
คนเป็นพี่กระตุกยิ้มขำ เกือบจะหัวเราะ “วอร์มตั้งแต่เช้าเลย?”
“ก็ทั้งวันมันไม่มีเวลานี่” เมื่อคืนเขาดันเป็นฝ่ายบอกว่าขอเป็นค่ำนี้เลย พร้อมมาก พร้อมทั้งที่ตนเองไม่ได้ตีแบดมินตันมาห้าหกปีแล้ว
“จะไปตีกับใคร”
“เพื่อน” พอถูกมองแปลกๆ ศรายะก็ยอมหยุดแกว่งแขนเวลาเดียวกับที่เอมมาลินเข้ามาสมทบพอดี เขาจึงเกริ่นเรื่องที่คุยกับพัตราไว้บ้างแล้ว
“เอม เรื่องราคาที่ของผม คุณอาพศินประเมินต่ำไปครึ่งหนึ่งเลยนะ คงขายให้ไม่ได้”
หญิงสาววางหน้านิ่งสงบ ไม่มีใครรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
“โอเค พี่จ่ายส่วนต่างเอง” ภูริทัตเอ่ย
ศรายะแค่นหัวเราะ “จ่ายเท่ากับคุณอาพศินเลยน่ะนะ”
“อื้อ”
“แต่ชื่อเป็นของคุณอา?” เขาเลิกคิ้ว อยากให้พี่ชายทบทวนดีๆ
แต่ภูริทัตไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรทั้งนั้น เพราะถือว่าครอบครัวของภรรยาก็ถือเป็นครอบครัวของเขาเหมือนกัน
“ยังไงบ้านเด็กกำพร้าก็เป็นของเอม”
“โอเค แล้วแต่” ชายหนุ่มไม่รู้จะคัดค้านอย่างไร อยากได้นักก็เอาไปเถอะ เขาไม่เสียเปรียบ คนที่เสียเห็นทีจะมีแต่ภูริทัต
“ไปทำงานก่อนนะ วอร์มแขนต่อได้เลย”
ศรายะทำตาขวางใส่พี่ชายที่เดินจากไปด้วยรอยยิ้มขำ ไม่นานนักราชินีของบ้านก็ตามออกมา เขาจึงเล่าให้หล่อนฟังว่าตกลงกับพี่ชายเรียบร้อยแล้ว
ทว่าเล่าไม่ทันจบก็มีเสียงหวีดแหลมจากในบ้านดังออกมาถึงข้างนอก ทำเอาคู่แม่ลูกสะดุ้งไปตามๆ กัน
“แกจะมาบอกว่าไม่รู้ได้ยังไง! เป็นคนใช้ซะเปล่า หูตาไม่มีไว้มองเจ้านายบ้างเลย!”
“อะไรอีกเนี่ย” ศรายะกลอกตาไปมาก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน เจ้าของเสียงกำลังอาละวาดใส่สาวใช้เพียงคนเดียวของบ้านอย่างเดือดดาล วิภาวีตวัดสายตามองเขา ก่อนจะมองไปทางพัตราแล้วก้าวฉับๆ เข้าไปหา
“คุณแม่คะ ทำไมคุณกีร์ไม่กลับบ้าน! โทร. ไปก็ไม่รับสาย ไปนอนกกกับใครอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้”
“นี่ หยุด!” ศรายะก้าวไปดักเอาไว้ก่อนเธอจะถึงตัวแม่ของเขา “เขาอาจจะนอนคนเดียวก็ได้ ไม่คิดว่าเขารำคาญเธอบ้างหรือไง”
“วินนี่เป็นเมียเขานะคะ! กำลังท้องด้วย เขาคิดเองไม่เป็นหรือไงว่าต้องกลับมาดูแล หรือว่าคุณศราไม่มีความคิดเหมือนกันเลยเข้าข้างพี่ตัวเอง!” พี่สะใภ้คนรองเหวี่ยงใส่เขาอย่างไร้ความเกรงใจ ซึ่งก็ไม่แปลก ไม่มีใครคาดหวังว่าวิภาวีจะระงับสติอารมณ์ได้ตอนที่หัวเสียอย่างหนัก
“จะด่าใครก็พิจารณาตัวเองหน่อย แล้วอย่าโมโหให้มันมากนัก เดี๋ยวลาภอันประเสริฐในท้องของเธอจะเป็นอะไรขึ้นมา”
“ไม่เอาน่ะศรา” พัตราดึงต้นแขนของลูกชายให้ถอยห่าง ก่อนจะเป็นคนพูดกับวิภาวีเอง “ฉันไม่รู้ว่ากีร์ไปไหน ถ้าติดต่อเขาได้ ฉันจะบอกให้เขารีบโทร. หาเธอ ตอนนี้เธอใจเย็นๆ ก่อน อย่าอาละวาดเสียงดัง จิ้งหรีดไม่ได้ผิดอะไร”
“วินนี่ถามอะไรไป มันก็บอกไม่รู้ๆๆ ฮอร์โมนคนท้องมันก็อย่างนี้แหละค่ะ โมโหง่ายเป็นพิเศษ” วิภาวีกอดอก ขมวดคิ้วเรียวพร้อมจิกสายตาเอาเรื่องทุกคน
“โอเค จะรอดู ถ้าคลอดออกมาแล้วยังเป็นอยู่ จะได้พาไปพบจิตแพทย์”
หญิงสาวอยากจะเหวี่ยงฝ่ามือฟาดหน้าน้องชายสามีที่กวนประสาทเธอได้ทุกวัน ครั้นจะอ้าปากตอบโต้ เขาก็ชิงพูดกับพัตราก่อน
“ไปเถอะครับคุณแม่ ไม่ต้องมีฮอร์โมนคนท้อง ผมก็โมโหแล้วเนี่ย”
ยิ่งเวลาผ่านไปศรายะยิ่งรู้สึกผิดกับจิ้งหรีดที่ต้องอยู่บ้านรับมือกับวิภาวีทุกวัน สงสัยต้องพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนสักหน่อย
ชายหนุ่มเดินนำมารดาไปที่รถ ปกติตอนเช้าเขาจะเป็นคนขับรถพาพัตราไปทำงานด้วยกัน ส่วนตอนเย็นให้โพธิ์มารับเพราะเขาต้องแยกไปคาเฟ่
“ต่อปากต่อคำกับวินนี่บ่อยๆ ไม่เบื่อบ้างหรือไง” พัตราถามหลังจากเข้ามานั่งในรถ
“แล้วคุณแม่รำคาญไหมล่ะครับ เราย้ายบ้านกันเถอะ” ศรายะเหนื่อยใจเต็มที แต่ก็ถามไปอย่างนั้น เขารู้แล้วว่ามารดาจะตอบว่าอะไร
“แล้วพี่ๆ เราเขาจะคิดยังไง” หล่อนเป็นห่วงจิตใจของลูกทุกคน และรักทั้งสามคนเหมือนกับที่พวกเขารักหล่อน ภูริทัตกับกีรติคงไม่ยอมให้แม่ไปไหนง่ายๆ อีกทั้งการย้ายบ้านเป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อยังทนได้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องย้ายออก
“พี่กีร์ควรจะเข้าใจ”
“ศรา แม่ว่ายังไงแม่ก็ต้องช่วยวินนี่ดูหลาน ถ้าศราไม่ไหวก็ไม่ต้องอยู่ รีบจีบรีบแต่งกับลิสไปเลย แม่ซื้อบ้านให้”
“เราคุยกันเรื่องนี้กี่รอบแล้วครับ ผมบอกว่าผมไม่ไปไหนง่ายๆ ไง เอาเป็นว่าช่วงนี้ผมไปคาเฟ่บ่อย เจอวินนี่น้อยลง ปัญหาก็น้อยลงแล้ว คุณแม่เลิกไล่ผมเถอะ”
ว่าจบศรายะก็เหยียบคันเร่งออกจากบ้านอย่างหงุดหงิด พัตราระบายลมหายใจเหนื่อยอ่อน ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไร เขาข่มอารมณ์อยู่คนเดียว ส่วนคนเป็นแม่พยายามต่อสายหาลูกชายคนรองเพื่อจะบอกว่าภรรยารออยู่ที่บ้าน
การพบหน้ากันระหว่างศรายะกับลลิภัทรในวันนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม ทั้งคู่ยืนมองตากันโดยมีเคาน์เตอร์คั่นกลาง ไม่มีใครทักใครก่อน ปีเตอร์จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าวันนี้เจ้าของร้านกับลูกค้าขาประจำมีปัญหาอะไรกัน
“สั่งเลยไหมครับคุณศรา”
“ยังครับ ขอคุยกับคุณลิสก่อน” ศรายะตอบพนักงานหนุ่ม พร้อมทั้งเชิญลลิภัทรไปคุยด้วย ทว่าหญิงสาวปฏิเสธ
“ยังไม่สะดวกค่ะ ขอเป็นหลังร้านปิดนะคะ คุณไปหาข้าวเย็นทานเลยก็ได้”
“ผมยังไม่หิวครับ ปกติทานข้าวเย็นดึก เอาคาปูชิโนร้อนแล้วกันครับ” ประโยคหลังเขาบอกปีเตอร์ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วจึงไปนั่งที่ประจำ
ลลิภัทรยืนมองแผ่นหลังของเขาอยู่อย่างนั้น กระทั่งคนข้างๆ กระซิบถาม
“ทำไมต้องหลังร้านปิดอะพี่ลิส”
“พี่มีนัดตีแบดกับเขา”
“หือ? พี่ลิสชวนเขาเหรอ”
“อื้อ”
พนักงานทั้งสามคนในร้านเคยมีประสบการณ์ตีแบดมินตันกับลลิภัทรทั้งนั้น แต่ช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมานี้ไม่ค่อยได้ไปเพราะทำงานเสร็จก็อยากกลับไปพักผ่อน ถึงจะมีวันหยุดอาทิตย์ละหนึ่งถึงสองวันแบบสลับกัน แต่การทำงานลากยาวสิบเอ็ดชั่วโมงก็ทำให้ทั้งสามล้าอยู่ดี
สงสัยอดีตนักกีฬาแบดมินตันอยากจะกลับไปลงสนาม
ลลิภัทรกินข้าวเย็นตอนหกโมงและออกมาทำงานต่อจนถึงสองทุ่ม ศรายะยังคงนั่งดูเน็ตฟลิกซ์รออยู่ที่เดิม มีหลายครั้งที่เธอเผลอสบตากับเขา และทุกครั้งเธอจะเป็นฝ่ายหลบตาก่อน
ก่อนปิดร้านหญิงสาวต้องทำความสะอาดทุกอย่าง ทั้งเช็ดโต๊ะลูกค้าและกวาดพื้น ส่วนพนักงานทั้งสามช่วยทำความสะอาดเคาน์เตอร์ทำเครื่องดื่ม เสร็จงานแล้วก็พากันกลับ เหลือเพียงแค่ลูกค้าคนเดียวที่นั่งไขว่ห้างดูเจ้าของร้านถูพื้นจนเสร็จ
“ทำไมที่นี่ไม่มีพนักงานทำความสะอาดสักคนล่ะครับ” ถ้าเขาเป็นเจ้าของร้านคงจ้างแม่บ้านมาไว้ที่นี่หนึ่งอัตรา
“ลิสทำเองได้ค่ะ”
รู้ว่าทำได้ แต่ดูเหนื่อย
ชายหนุ่มไม่ได้แย้งอย่างใจคิด เขามองเธอเดินหายเข้าไปหลังร้านและออกมาอีกทีพร้อมกระเป๋าเป้หนึ่งใบกับไม้แบดมินตันสองไม้ มือหนึ่งถือกระบอกบรรจุลูกขนไก่
“คุณเอาชุดมาเปลี่ยนใช่ไหมคะ”
“ครับ อยู่ในรถ”
“ค่ะ ที่คอร์ตมีที่ให้เปลี่ยนเสื้อ ว่าแต่คุณแน่ใจนะว่าไม่หิว”
เวลานี้ศรายะเริ่มรู้สึกหิวบ้างแล้ว แต่ยังพอทนไหวจึงพยักหน้าตอบ
“ว่าแต่ทำไมคุณถึงชวนผมตีแบดล่ะ”
ลลิภัทรไม่ตอบ แต่ทวงถามถึงข้อความที่เขาส่งมาเมื่อวาน “คุณบอกว่าคุณมีคำตอบให้ลิสแล้ว ไหนลองว่ามาสิคะ”
ศรายะเม้มปาก เธอคงไม่รู้ว่ากว่าจะได้คำตอบ เขาใช้เวลาหนึ่งวันในการคิด พอเรียบเรียงคำพูดดีแล้วก็ต้องมานั่งไตร่ตรองว่าควรมาที่นี่เลยดีไหม ทว่าการประชุมแผนงานอีเวนต์ช่วงปีใหม่รั้งเขาเอาไว้ถึงหกโมงเย็นของเมื่อวาน พัตราจึงบอกให้เขาหยุดมาคาเฟ่หนึ่งวัน เพราะกว่าจะมาถึงร้านก็ปิดพอดี
“ผมไม่เคยเจอใครที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเหมือนคุณ”
สายตาแน่วแน่ของเขาบอกว่ากำลังพูดความจริง ลลิภัทรนิ่งเงียบ อยากใช้หัวใจซึมซับทุกคำที่ได้ยิน
“ผมรู้ว่ามันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็อย่างที่บอก ผมอยากเจอคุณทุกวัน เพราะผมรู้ว่าที่ที่มีคุณคือที่ที่ผมพักได้อย่างเต็มที่”
งานของศรายะไม่ได้หนักหนาชวนให้เหนื่อยกาย แต่ช่วงนี้มีแต่เรื่องให้เหนื่อยใจ การทำงานกับพี่ชายและพี่สะใภ้ไม่ราบรื่นเท่าไร เพราะมีประเด็นที่เห็นไม่ตรงกัน กลับบ้านไปก็เจอผู้หญิงเจ้าอารมณ์อีกคนที่มีปัญหากับสามีอยู่บ่อยครั้ง แม้อยากจะอยู่เคียงข้างพัตราตลอดเวลา แต่ก็อยากปลีกตัวออกห่างจากความวุ่นวายบ้าง ผลพลอยได้คือวิภาวีลดอาการเหวี่ยงวีนลงเพราะไม่ถูกเขาแขวะ
“คุณอาจจะแค่ชอบบรรยากาศในร้านของลิส” เธอทักท้วงเพื่อให้เขาคิดให้ละเอียดอีกที แต่เขาคิดมาดีแล้ว
“ผมนั่งคาเฟ่มาเป็นร้อย ไม่เคยเจอเจ้าของร้านที่ใส่ใจลูกค้าเหมือนคุณมาก่อน”
“จริงเหรอคะ” เดี๋ยวนี้คาเฟ่แข่งกันเอาดีเรื่องการบริการเพื่อความอยู่รอด ไม่น่าเชื่อว่าเธอทำได้ดีที่สุดในความคิดของเขา
เขาพยักหน้า “และผมก็ไม่เคยตกหลุมเจ้าของร้านคาเฟ่ที่ไหน นอกจากที่นี่”
“...”
“ถ้ามีคุณอยู่ในชีวิตก็คงดี”
ลลิภัทรชักกลัวว่าร้านจะเงียบเกินไปจนเขาได้ยินเสียงหัวใจของเธอซึ่งกำลังประทุษร้ายโพรงอก ขัดกับภายนอกที่นิ่งงันเหมือนถูกสาป
ศรายะจ้องมองใบหน้าหวานที่เขาอยากเห็นทุกวัน ลุ้นอยู่ในใจว่าเธอจะตอบว่าอย่างไร ไม่คาดคิดว่าเธอจะเอ่ยปากท้าประลองในสิ่งที่เขาไม่ถนัด
“ลิสขอท้าคุณแข่งตีแบด ถ้าคุณชนะ ลิสจะให้จีบ”
สนามแบดมินตันที่ประจำของลลิภัทรอยู่ห่างจากร้านไปไม่ถึงสิบนาที เธอเป็นคนขับรถของตนเองโดยมีศรายะนั่งอยู่ข้างๆ ถึงที่หมายหญิงสาวก็เข้าไปจองคอร์ตแบดมินตันหนึ่งชั่วโมงและพาเขาไปเปลี่ยนชุด
ร่างบางสวมเสื้อยืดกับกางเกงออกกำลังกายยาวแค่ครึ่งน่อง ขณะที่ชุดของอีกคนไม่ต่างจากนักบอล ขาดก็แค่ถุงเท้ายาวเท่านั้น พิจารณาจากกล้ามเนื้อที่เห็นได้ชัดเมื่ออยู่ในชุดนี้ ลลิภัทรเดาได้ทันทีว่าเขาชอบออกกำลังกาย และดูท่าจะชอบกีฬาคนละชนิดกับเธอ
สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือของตัวเองเท่าไร ไม่อยากจะรับไม้แบดมินตันจากเธอด้วย
ศรายะมั่นใจว่าเธอต้องเล่นเก่งในระดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่ท้าแข่ง นั่นทำให้เขารู้สึกประหม่ากว่าเดิม
“ลิสให้คุณเสิร์ฟก่อนนะ” หญิงสาวยื่นลูกขนไก่ให้ นี่เป็นอีกอย่างที่เขาไม่อยากรับมา “แข่งกันแมตช์เดียวก็พอค่ะ สามเกม ใครได้ยี่สิบเอ็ดคะแนนก่อนถือว่าชนะหนึ่งเกม”
ศรายะพยักหน้าเบลอๆ แม้ห่างจากการเล่นมานาน แต่ก็พอจำกติกาได้รางๆ จำได้ว่าผู้เล่นต้องยืนแนวทแยง ร่างสูงยืนอยู่กับที่ขณะที่อีกฝ่ายเดินอ้อมไปยืนประจำจุด จากนั้นเขาก็หวดไม้ส่งลูกอย่างสวยงาม
แต่พอเห็นท่าเหวี่ยงไม้โต้กลับอย่างมืออาชีพของลลิภัทรแล้ว มือสมัครเล่นถึงกับช็อกไปครู่หนึ่ง ยามที่ลูกนั้นมาถึงเขาจึงตีมันพลาดไปโดนเน็ต
เห็นทีคนนี้จะจีบยาก
หญิงสาวเดินมาเก็บลูกและเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ขอบสนามเพื่อจดคะแนน จากนั้นก็เป็นฝ่ายเสิร์ฟบ้าง แรกๆ ศรายะรับได้ แต่อีกฝ่ายเล่นฟาดลูกให้เปลี่ยนทิศไปมาจนเขาพลาดในที่สุด
ลูกเล่นของลลิภัทรเยอะมาก ทั้งผ่อนแรงและออกแรงสลับกันจนเขาตามไม่ทัน เธอวิ่งเร็วและแม่นยำเสมอ ได้แต้มติดกันถี่ๆ ขณะที่เขาถนัดทำฟาวล์เพราะเสิร์ฟผิดท่า คู่ต่อสู้ไม่อะลุ่มอล่วยให้เสียด้วย
ชนะเธอครั้งหนึ่งชายหนุ่มดีใจจนเนื้อเต้น แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ด้วยคะแนน ๒๑-๔ เห็นชะตาตัวเองรำไร
“พักก่อนไหมคะ” ผู้คว้าชัยชนะในเกมแรกถามด้วยรอยยิ้ม ทั้งคู่ต่างมีเหงื่อเปียกแผ่นหลัง โดยเฉพาะศรายะที่วิ่งเก็บลูกขนไก่บ่อยกว่า
ชายหนุ่มส่ายหน้าตอบ ลืมไปแล้วว่ากำลังหิวข้าวเพราะไฟสู้ลุกโชน “ต่อเลยครับ”
“ดื่มน้ำก่อนดีกว่าค่ะ แล้วเดี๋ยวเราสลับฝั่งกัน” เธอเดินไปหยิบขวดน้ำออกมาจากกระเป๋าสองขวดและส่งให้เขาหนึ่งขวด อีกฝ่ายเลิกคิ้วแปลกใจ แต่ก็รับมาด้วยความยินดี ขวดนี้ว่าจะเอากลับบ้านไปวางไว้บนหัวเตียง
“ขอบคุณครับ”
“ถ้าเกมต่อไปคุณแพ้ก็คือแพ้นะ” เธอพูดเสียงนิ่ม ทว่าทำให้คนฟังขนลุกเกรียวจนแทบดื่มน้ำไม่ลง
“อื้อ”
ความกดดันเพิ่มขึ้นในเกมที่สอง มือหนากำด้ามแร็กเกตแน่นตอนที่รออีกฝ่ายเสิร์ฟลูกขนไก่มาให้ ครั้งแรกเขารับได้ดี แต่ครั้งที่สองไอ้ลูกไม่รักดีดันไปกระแทกขอบไม้
ลลิภัทรหลุดขำตอนที่เขามองมันอย่างเคียดแค้น
เกมนี้เธอสู้ไม่ถอย ไม่มีการออมแรง เล่นสุดความสามารถจนเข้าใกล้ชัยชนะเรื่อยๆ ทำให้คู่แข่งเริ่มไม่มีสมาธิ สุดท้ายเธอก็คว้า ๒๑ คะแนนได้ก่อน ดึงหัวใจของเขาให้หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ลิสชนะนะคะ” หญิงสาวเดินมาย้ำให้ฟังชัดๆ หลังจากที่เขาหย่อนตัวนั่งพักบนเก้าอี้ยาวด้วยความเซ็ง
“พรุ่งนี้ผมชวนคุณไปเตะบอล ไปไหม” กีฬานี้เขาถนัด เตะกันสองคนนี่แหละ เขาเชื่อว่าอย่างไรเขาก็ต้องชนะ
“ไม่ค่ะ” ทว่าลลิภัทรปฏิเสธทันที “แล้วนี่ปกติคุณกินข้าวกี่โมง”
ตอนนี้สามทุ่มแล้ว คาปูชิโนแก้วเดียวก่อนหน้านี้คงไม่ช่วยดับความหิวได้
“สองทุ่มครับ”
“ตอนนี้ไม่หิวเหรอ ไม่ต้องเล่นครบชั่วโมงก็ได้นะ”
“ผมอยากแข่งอีกรอบ”
“หือ?” หญิงสาวทำหน้าฉงนใจ “ทั้งๆ ที่คุณไม่มีสิทธิ์ชนะแล้วน่ะเหรอ”
“แต่อย่างน้อยก็ได้สู้จนถึงลิมิต ต่อให้แพ้ราบคาบก็ไม่เสียดาย”
ถึงจะเหนื่อยหอบ หิวข้าว แต่นัยน์ตาของศรายะบอกว่าสู้ขาดใจ ถ้าปาฏิหาริย์มีจริง เขาอาจชนะรอบสุดท้ายและขอให้ลลิภัทรผ่อนปรนสักหน่อย
หญิงสาวนั่งลงข้างๆ ในคอร์ตแบดมินตันเวลานี้ร้างผู้คน บรรยากาศเงียบสงัดนี้ช่วยให้เสียงของเธอชัดเจน
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
“...”
“ให้จีบก็ได้”
ศรายะตะลึงงัน มองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำขลับของคนข้างกายอย่างไม่อยากเชื่อ ลลิภัทรเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเขาจะเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าแพ้แล้ว แต่ก็ยังสู้สุดใจ แม้เหนื่อยและหิวแค่ไหนก็ยังไม่ท้อถอย
“ไปกินข้าวได้แล้วนะ” หญิงสาวส่งยิ้มคล้ายให้กำลังใจ ก่อนจะเอาแร็กเกตไปจากมือเขาและลุกขึ้นไปเก็บของใส่กระเป๋า
ศรายะเชื่อในปาฏิหาริย์แล้วจริงๆ
เช้าวันต่อมาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนแขนขวาหายไป แม้ไม่มีแรงหยิบจับอะไร แต่ยังฝืนขับรถไปทำงานได้ นึกถึงเรื่องเมื่อวานแล้วใบหน้าก็มีรอยยิ้มทุกที หลังตีแบดมินตันเสร็จลลิภัทรพาเขาเดินไปกินร้านข้าวต้มโต้รุ่งใกล้ๆ คอร์ตแบดมินตันเขาสั่งกับข้าวมาสี่อย่างกับข้าวต้มสามถ้วย สุดท้ายทุกอย่างหมดเรียบเพราะหิวโซ
เมื่อพัตรารู้เรื่องก็หัวเราะใหญ่โต ทั้งยินดีและขำขันในเวลาเดียวกัน หล่อนสรุปว่าลลิภัทรสงสารคนที่ยอมอดข้าวเพื่อจะแข่งเกมที่ไม่มีวันชนะ ถึงได้ยอมให้จีบแต่โดยดี
“ถ้าจีบติดแล้วพามากินข้าวที่บ้านบ้างนะ” พัตราเอ่ยอย่างไม่คิดอะไรมาก ได้ยินดังนั้นลูกชายก็หัวเราะประชดโลก
“ตอนไหนครับ กว่าคาเฟ่จะปิดก็สองทุ่ม ทุกคนขึ้นนอนกันหมดแล้ว แล้วคุณแม่อย่าลืมนะครับว่าบ้านเราตอนนี้ถูกครอบครองโดยคนท้องเสียงสิบแปดหลอด คนอย่างวินนี่น่ะควรจะอยู่ให้ห่างลิสเลย”
ชายหนุ่มตั้งมั่นว่าจะไม่ปล่อยให้สองคนนี้ได้เผชิญหน้ากันเด็ดขาด เดี๋ยวคนของเขาจะขวัญหนีไปเสียก่อน
พัตราพยักหน้าเข้าใจดี แต่ถ้าได้ลลิภัทรมาเป็นคนในครอบครัวจริงๆ ก็คงต้องได้เจอวิภาวีในสักวัน ได้แต่หวังว่าจะไม่บ่อยนัก
ว่าแต่หล่อนคิดการณ์ไกลไปหรือเปล่า ศรายะเพิ่งได้รับอนุญาตให้จีบเมื่อวาน
ถึงออฟฟิศแล้วสองแม่ลูกก็แยกย้ายไปทำงาน ขณะนี้ศรายะทำงานในแผนกบริหารกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ เขาไม่ได้ปักหลักอยู่ถาวร แต่หมุนเวียนไปเรื่อยๆ เพื่อเรียนรู้งานและเก็บประสบการณ์เหมือนกับที่ภูริทัตเคยทำ เงินเดือนได้เทียบเท่าพนักงานคนอื่นๆ แต่มีรายได้เสริมเป็นเงินปันผลจากหุ้นที่มารดาแบ่งให้หลังเรียนจบ สิทธิพิเศษนอกเหนือจากนั้นคือห้องทำงานส่วนตัว
การแต่งตัวของเขามองผิวเผินดูไม่ต่างจากพนักงานทั่วไป เขาไม่ค่อยชอบอะไรที่เป็นทางการนัก ไม่ใส่สูทเหมือนพี่ชายคนโต แม้แต่เนกไทก็ไม่เอามาผูกคอให้อึดอัดเปล่าๆ ชายหนุ่มยอมรับว่าไม่มีคุณลักษณะของนักธุรกิจผู้ปราดเปรื่องด้านการบริหาร ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าภายในวันข้างหน้าเขาจะไปนั่งหัวโต๊ะประชุมและให้สั่งคนนั้นคนนี้รายงานความคืบหน้าของงานที่ได้รับมอบหมาย
เขาจะอยู่สบายๆ แบบนี้แหละ
มีคนเคยบอกว่าถ้าพ่อแม่ขยัน ลูกจะเกิดมาขี้เกียจ ศรายะค่อนข้างเห็นด้วย มีอยู่วันหนึ่งเขามาออฟฟิศแต่งานไม่เดินเพราะไม่มีอารมณ์ทำ ขณะที่พัตราติดประชุมยาวจนไม่มีเวลากินข้าวกินปลา ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจที่เขาขยันไม่ได้เท่าคนเป็นแม่ ปล่อยให้ท่านทำงานหนักอยู่คนเดียว วันต่อมาก่อนออกจากบ้านจึงสะกิดบอกภูริทัตว่าตั้งใจทำงานหน่อย แม่จะได้ไม่เหนื่อย
สิบโมงเช้าคือเวลากินมื้อแรกของวัน แต่เขาไม่จำเป็นต้องออกไปหาอะไรกินเองเพราะไหว้วานปราณันต์ เลขาฯ ของพัตราให้ช่วยออกไปซื้อให้ได้ ทว่าวันนี้คนที่เอาข้าวมาให้เขาถึงที่ห้องทำงานส่วนตัวคือลออ แม่บ้านวัยสี่สิบปี
“คุณปูเป้ให้พี่เอามาให้ค่ะ วันนี้กินอะไรคะคุณศรา”
“ผมสั่งข้าวผัดฮ่องกงครับ พี่ลออเคยกินไหม” นับเป็นโชคดีที่ออฟฟิศอยู่บนห้างสรรพสินค้า วันๆ ได้กินไม่ซ้ำเมนู แต่ก็ต้องเสียเวลาคิดว่าจะกินอะไรดี เพราะมีให้เลือกเยอะไปหมด
“ไม่เคยค่ะ ช่วงนี้กินข้าวผัดของไทยไปก่อนดีกว่า พี่ถูกหวยกินอีกแล้ว” ลออเท้าเอวบ่น ซื้อทุกงวด แต่ไม่ถูกสักงวด ขนาดเลขที่คิดว่าเป็นเลขเด็ดแล้วยังไม่ใกล้เคียงสักรางวัล
“มีคนรวยเพราะหวยด้วยเหรอครับ”
“เอ๊า ถ้าได้รางวัลที่หนึ่งนี่รวยเละเลยนะคะ!”
“อ่า...ถ้าอย่างนั้นงวดต่อไปขอให้โดนสักทีนะครับ”
“โอย ไม่มีเงินซื้อแล้วค่ะ ต้องเก็บไว้ส่งลูกเรียน ทุกวันนี้พี่ขอโอทีตลอด แต่ไม่มีให้ทำ”
ศรายะหัวเราะในใจ ออฟฟิศเปิดปิดตรงเวลา จะไปขอทำโอทีที่ไหนกัน
“คุณศรา ที่บ้านขาดคนทำความสะอาดหรือเปล่าคะ” ลออแย็บๆ ถาม เผื่อฟลุกได้งาน
“ถ้าเป็นบ้านผม พี่อยู่ได้ไม่ถึงสองวันหรอก” ชายหนุ่มมั่นใจว่าลออจะต้องผวากับทักษะการใช้งานของวิภาวี ช่วงแรกจิ้งหรีดก็ตัวสั่น แต่ตอนนี้ชินชาไปแล้ว
จู่ๆ ก็นึกอะไรออก ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังแกะกล่องข้าวผัด ก่อนจะเสนองานให้แม่บ้านซึ่งกำลังร้อนเงินในระดับหนึ่ง
“ผมจ้างพี่ไปทำความสะอาดคาเฟ่ตอนสองทุ่ม วันละสี่ร้อยรวมค่าเดินทาง โอเคไหมครับ”
“คาเฟ่ที่ไหนคะ” ลออตาวาวเพราะตื่นเต้นที่มีช่องทางการหาเงินไปแทงหวยเพิ่ม ทำงานสองทุ่มไม่มีปัญหา ขอแค่ไม่ไกลเกินไปก็พอ
ศรายะกระตุกยิ้ม ถึงจะเสียเงิน แต่ก็ได้ช่วยแม่บ้านหางานและได้ทำคะแนนกับเจ้าของร้าน Perfect Cup ในเวลาเดียวกัน ได้มากกว่าเสียเห็นๆ
ลลิภัทรไม่ควรต้องเหนื่อยทำความสะอาดร้านเอง!
ความคิดเห็น |
---|