บทที่ 7

บทที่ ๗

ในวันแรกเขาไปส่งลออที่ร้านก่อน จะได้รู้จักเส้นทางเอาไว้ ตอนเข้ามาในซอยลออถึงกับร้องอุทาน ถ้าจ้างวินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยน่าจะเกินหกสิบบาทเพราะร้านอยู่ลึกพอควร คำนวณคร่าวๆ ในหัวแล้วค่าเดินทางอยู่ที่ประมาณแปดสิบบาท ถ้านั่งรถเมล์มาจากห้าง รวมขากลับก็คูณสองโดยประมาณ

“นี่พี่ลออครับ แม่บ้านที่ออฟฟิศผม ผมให้เขามาช่วยคุณปิดร้านทุกวัน”

ลลิภัทรกับปีเตอร์ยืนตาค้าง มองหน้าศรายะสลับกับลออที่ส่งยิ้มหวานมาให้

“ช่วยปิดร้านเหรอคะ” เธอไม่ได้มีปัญหากับการปิดร้านเองเสียหน่อย เมื่อวานก็ไม่มีใครบ่นเหนื่อยให้เขาได้ยิน

“ค่ะ พี่ร้อนเงินค่ะช่วงนี้” ลออเสริมทับ ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเพื่อเรียกความน่าเชื่อถือ

“แต่ลิสไม่ได้ขาดคนนะคะ” ลลิภัทรยังงงๆ อยู่ว่าสรุปเธอต้องจ่ายค่าแรงให้แม่บ้านคนนี้ด้วยหรือไม่ เมื่อกี้เหมือนได้ยินศรายะบอกว่าให้มาช่วย

“คุณขาดคนทำความสะอาดครับ ส่วนเรื่องค่าแรงผมจัดการเอง เสาร์อาทิตย์ถ้าพี่ลออมา ผมก็จะให้เพิ่ม”

“อุ๊ย มาได้ค่ะๆ” คนร้อนเงินตอบรับอย่างขยันขันแข็ง ขณะที่ลลิภัทรเหวอหนักกว่าเดิม

“คุณจะจ่ายเหรอคะ”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า

“ไม่เอาค่ะ ทำไมคุณต้องมาจ่ายให้ลิสด้วย ถ้าจะจ้างลิสก็จะจ่ายเอง”

“ไม่เป็นไร ผมอยากช่วยส่งลูกพี่เขาเรียน น้องเขากำลังโตเนอะ” ศรายะหันไปขอความร่วมมือจากคนข้างกาย 

ลออพยักหน้ารัว นึกชื่นชมทักษะการพูดเอาความดีเข้าตัวของนายจ้างผู้นี้

ตอนอยู่บนรถเขาเล่าให้ลออฟังแล้วว่าจีบเจ้าของคาเฟ่อยู่ ฝากไว้ด้วยว่าถ้ามีโอกาสคุยกับลลิภัทรก็ช่วยพูดถึงเขาในแง่ดีเยอะๆ ไม่ว่าเขาจะสั่งอะไรก็แล้วแต่ หากมีเงินตอบแทนลออจะทำตามอย่างเคร่งครัด

“คุณตกลงไว้เท่าไรคะ”

“สี่ร้อยรวมค่าเดินทางครับ”

“ลิสจ่ายได้ค่ะ” เห็นแม่บ้านคนนี้ดูอยากได้งานมาก เธอจึงไม่ปฏิเสธ ถึงค่าจ้างทำความสะอาดแค่ตอนร้านปิดจะสูงไปหน่อย แต่ถ้ารวมค่าเดินทางแล้วอาจอยู่ในเกณฑ์ปกติ

“ไม่ต้องครับ ผมจ่ายได้” ศรายะปฏิเสธอย่างนิ่มนวล ขณะที่อีกฝ่ายเริ่มจะเสียงแข็งขึ้น

“ลิสเป็นเจ้าของร้าน ลิสควรเป็นคนจ่ายค่ะ”

“แต่ผมเป็นคนดีล”

“ไม่มีปัญหาค่ะ เดี๋ยวลิสจ่ายค่าดีลให้คุณด้วย”

“ผมไม่ได้...”

“เอาละครับ” ปีเตอร์ยกมือเบรกทั้งสองคนเมื่อการโต้เถียงดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดง่ายๆ ก่อนหาทางออกให้อย่างยุติธรรม “แบ่งครึ่งกันก็ได้ครับ คนละสามวัน แล้วให้พี่เขาหยุดอยู่กับลูกสักวัน”

“เป็นความคิดที่ดีนะคะ” ลออพยักหน้าเห็นด้วย “เอาตามนั้นเถอะค่ะคุณศรา อย่าเถียงเจ้าของร้านเยอะเลยค่ะ เดี๋ยวเสียคะแนน”

ประโยคหลังเธอกระซิบข้างหูนายจ้างหนุ่ม เขาจึงไม่เถียงอะไรอีก รอดูว่าลลิภัทรจะตอบตกลงไหม ทว่าเธอเอาแต่มองราวกับกำลังตำหนิเขาอยู่ในใจ

“คราวหลังจะทำอะไรปรึกษากันล่วงหน้านะคะ ถ้ามีอีกรอบ เรื่องที่ตกลงกันไว้เมื่อวานเป็นอันว่ายกเลิก”

สุดท้ายเธอก็ยอมหารสอง เป็นอันว่าเรื่องจบ ทิ้งให้ศรายะลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่

ลลิภัทรพาลออไปนั่งคุยและพูดถึงร้านตัวเองให้ฟัง บอกว่าแต่ละวันตอนปิดร้านต้องทำความสะอาดตรงไหนบ้าง ปกติหญิงสาวเช็ดกระจกร้านไม่บ่อย แต่หลังจากนี้ว่าจะเช็ดทุกวันเพราะมีคนช่วยทำความสะอาดให้แล้ว

คุยกันเสร็จเรียบร้อย ลออก็ไปทำความรู้จักกับพนักงานทั้งสามของร้าน เหลือเพียงแค่ศรายะที่นั่งจิบมัตฉะลาเต้ร้อนอยู่ตรงข้ามเธอ ช่วงนี้ลูกค้าเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ถึงกับแน่นร้าน ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ร้านมีลูกค้ามากขึ้น หญิงสาวก็อดขอบคุณคนตรงหน้าในใจไม่ได้ 

“วันนี้ผมจะนั่งเป็นเพื่อนจนถึงปิดร้าน แล้วคุณไปส่งผมกินข้าวเย็นอีกนะ แถวนี้มีร้านอร่อยๆ เยอะ”

“ทานมื้อเย็นดึกขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้วคะ”

“ไม่นานนี้เอง” ศรายะวางแก้วเซรามิกลงบนโต๊ะ ชายหนุ่มหันเอาข้อความที่ว่า ‘Born to be real, not perfect’ เขาหาตัวเอง “ตั้งแต่ตั้งใจว่าจะมาที่นี่ทุกวัน”

ลลิภัทรเอียงคอสงสัย

“เลิกงานแล้วจะได้มาที่นี่เลย แล้วก็นั่งยาวๆ จนใกล้ปิดร้าน”

หญิงสาวอึ้งกับเหตุผลของเขาที่ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน ไม่แน่เขาอาจจะพูดดีไปอย่างนั้น แต่แท้จริงแล้วกินข้าวเย็นตอนสองทุ่มมาทั้งชีวิต

“มีพี่ลออก็ดีนะครับ คุณจะได้ปิดร้านไวขึ้น”

“แผนคุณหรือเปล่า ให้ลิสปิดร้านไวๆ เพื่อจะได้ไปนั่งเฝ้าตอนกินข้าว”

เขาหัวเราะเบาๆ ไม่ตอบอะไร ให้เธอเดาเอาเองว่าใช่

“กลับบ้านดึกทุกวันจะดีเหรอคะ เอาเวลาไปให้ครอบครัวบ้างก็ได้” ลลิภัทรไม่อยากให้เขาทุ่มเทเวลากับเธอมากจนเกินไป ถึงขั้นละทิ้งช่วงเวลาที่ควรมีกับคนสำคัญคนอื่นๆ

“ผมทำงานกับครอบครัว เจอกันบ่อยอยู่แล้ว แต่คุณเนี่ยสิ เจอไม่บ่อย”

“นี่เรียกไม่บ่อยเหรอ”

“ก็ไม่นะครับ”

“แล้วมานั่งเฉยๆ ไม่เบื่อหรือไงคะ”

“ถ้าได้มองคุณก็ไม่เบื่อ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้หลังร้านปิดคุณต้องให้เวลาผมบ้าง”

หญิงสาวหยุดคิด การที่ยอมให้เขาจีบหมายความว่าเธอต้องมีเวลาให้เขาด้วยสินะ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะหาวิธีทำคะแนนแบบแปลกๆ หรือไม่ก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนี้ เกรงว่าสักวันมันจะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเขาขึ้นมา

“เอาอย่างนี้ไหมคะคุณศรา คุณไม่ต้องมาดื่มกาแฟที่นี่แล้ว หลังเลิกงานให้คุณไปทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ ใช้ชีวิตตามปกติของคุณ อยู่กับครอบครัว อยู่กับเพื่อน แล้วสองทุ่มคุณมาเจอลิสที่นี่” เจ้าของเสียงหวานเสนอ

ศรายะนั่งนิ่ง ทีแรกนึกว่าเธอจะไล่ แต่ประโยคสุดท้ายฟังดูน่าสนใจ

“ลิสไม่อยากให้คุณทำอะไรที่มันไม่ใช่กิจวัตร กลับไปกินข้าวเวลาเดิม ทำกิจกรรมเดิมๆ ที่เคยทำดีกว่าค่ะ อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เวลาที่คุณเอามานั่งเฉยๆ ที่นี่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างเลยนะ”

ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงเวลาที่เธอพูดให้ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นเด็กอนุบาลตัวเล็กๆ ที่กำลังถูกผู้ใหญ่ใจดีชี้แนะแนวทาง ที่สำคัญคือเขาตั้งใจฟังเธอทุกคำ ตาไม่กะพริบเพราะถูกสะกดด้วยประกายระยับในดวงตาสีนิลคู่งาม

“แล้วคุณจะไม่คิดถึงผมเหรอ”

ลลิภัทรหัวเราะสั้นๆ “ยังไงเราก็ต้องเจอกันอยู่ดี”

“ผมต้องคิดถึงคุณแน่ๆ เลย”

จีบเก่งเชียว...

หญิงสาวแซวในใจ ก่อนจะเอ่ยขอตัวเพื่อไม่ให้ตัวเองหน้าร้อนผ่าวไปมากกว่านี้ เขาจะตัดสินใจอย่างไรก็เรื่องของเขาแล้วกัน

ตอนสองทุ่มลออช่วยทำความสะอาดร้านอย่างเต็มที่ ทุ่นแรงเจ้าของร้านได้เยอะ ไม่นานนักก็เสร็จเรียบร้อย ได้เงินสี่ร้อยจากศรายะกลับบ้านด้วยสีหน้าชื่นมื่น เหล่าพนักงานพอจะเดาได้ว่าลูกค้าหนุ่มรายนี้จีบเจ้าของร้านอยู่แน่ๆ แถมยังมีหวังเพราะฝ่ายหญิงไม่ตีตัวออกหาก แถมยังตกลงพาเขาไปหาของกินยามดึกอีก

วันนี้ลลิภัทรงดข้าวเย็นและกินแค่แซนด์วิชรองท้อง เขาจะได้ไม่ต้องกินคนเดียวโดยมีเธอนั่งมองอยู่เฉยๆ เมื่อวานเธอเห็นเขากินข้าวต้มกุ๊ยได้ปกติ ไม่เรื่องมาก วันนี้จึงลองเสนออีกเมนูที่ค่อนข้างขัดกับภาพลักษณ์ไฮโซของเขา

“ทานส้มตำไหมคะ”

“ได้ครับ แต่ผมไม่ทานปลาร้า” ศรายะบอกไว้ก่อน อีกฝ่ายมีท่าทีเสียดายทันที

“ปลาร้าอร่อยจะตาย ไม่ลองดูเหรอคะ”

“เคยลองแล้วครับ ไม่ได้จริงๆ คุณอยากกินคุณก็สั่งได้เลย” เขาไม่ซีเรียสเรื่องกลิ่น ตอนมัธยมไปกินส้มตำกับเพื่อนบ่อย นั่งมองเพื่อนกินปลาร้าจนชิน

“โอเคค่ะ” 

ลลิภัทรขับรถพาเขาไปร้านส้มตำเจ้าประจำของเธอซึ่งเป็นร้านเปิดโล่ง แต่ละโต๊ะมียาจุดกันยุงด้านล่าง อายุของร้านคาดเดาได้จากสภาพเมนูบนโต๊ะที่ผ่านแดดผ่านฝนมาเยอะ พลาสติกใสที่เคลือบกระดาษมีสีขุ่น เมนูไหนเลิกขาย เจ้าของร้านก็แค่เอาปากกาเมจิกมาขีดฆ่าทิ้ง

“เอาไก่ย่างครึ่งตัว ข้าวเหนียวสองห่อ แล้วก็ตำปูปลาร้าค่ะ ไม่ใส่ชูรส คุณศราสั่งเลยค่ะ”

“เอาตำไทยกับต้มแซ่บกระดูกอ่อนครับ ข้าวสวยมาด้วยหนึ่งจาน” ชายหนุ่มหันไปบอกพนักงานที่จดออร์เดอร์ด้วยความรวดเร็ว

“เมื่อกี้ลิสสั่งข้าวเหนียวให้แล้วนะคะ” ลลิภัทรท้วง

“ผมรู้ครับ เลยสั่งข้าวสวยจานเดียวไง ปกติผมกินจานเดียวไม่อิ่มหรอก”

“แล้ว...ไม่คิดว่าลิสกินข้าวเหนียวสองห่อเหรอคะ”

“ไม่ครับ ถ้าคุณกินสองห่อ คุณต้องถามผมด้วยว่าเอาข้าวเหนียวไหม ถ้าคุณไม่ถามหมายความว่าคุณสั่งให้ผม”

หญิงสาวพยักหน้าอย่างเหลือเชื่อ ทักษะการสันนิษฐานของเขาค่อนข้างดี แถมยังคิดถูกเสียด้วย

เมื่อทุกอย่างมาเสิร์ฟ เธอเอาส้มตำปูปลาร้าไว้ใกล้จานตัวเองและเอาที่เหลือไว้ตรงกลาง ไก่ย่างครึ่งตัวที่สั่งมาเธอกินไปแค่น่องเดียว ที่เหลือให้เขาจัดการเพราะแค่ข้าวเหนียวกับส้มตำก็เต็มท้องแล้ว

ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของศรายะที่วางอยู่บนโต๊ะก็ส่งเสียงขึ้น ลลิภัทรมองตามเสียง เห็นว่าหน้าจอปรากฏชื่อ ‘Queen P’

ชายหนุ่มรับสายและยกทาบหูโดยเร็ว “กินส้มตำอยู่ครับคุณแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ศรา คืนนี้กีร์บอกจะไม่กลับบ้านอีกแล้ว ว่างๆ ช่วยโทร. ไปกล่อมพี่เขาหน่อยได้ไหม เมียกำลังท้องกำลังไส้ หัดอดทนหน่อย”

“คือผมก็เข้าใจพี่กีร์นะ แต่ผมก็เริ่มเกลียดเขาแล้วเนี่ย ขยันทิ้งภาระไว้ให้เราจัง แล้วนี่วินนี่เขาโวยวายอะไรใส่คุณแม่หรือเปล่า”

“ยังๆ กินต่อเถอะ แม่โทร. มาวานแค่นี้แหละ”

“ครับ เดี๋ยวลองโทร. ให้” หลังวางสายจากพัตรา ศรายะก็พ่นลมหายใจเหนื่อยหน่าย ก่อนจะเห็นว่าคนตรงข้ามนั่งมองเขาอยู่เงียบๆ “พอดีพี่ชายผมไม่ยอมกลับบ้าน พี่สะใภ้ที่กำลังท้องก็เลยเหวี่ยง”

“อารมณ์คนท้องมั้งคะ” ลลิภัทรออกความเห็น

“นิสัยส่วนตัวมากกว่า อยู่บ้านคนอื่นเขา แต่วางตัวเป็นเจ้าของบ้านเลย”

“เขาดีกับคุณบ้างไหม”

“เขาไม่ดีกับใครทั้งนั้น นอกจากเพื่อนของเขาที่เป็นพี่สะใภ้คนโตของผม ผมมีพี่ชายสองคนน่ะ มีภรรยาแล้วทั้งคู่ แถมภรรยายังเป็นเพื่อนสนิทกันอีก”

“แล้วเขาดีกับสามีเขาไหมคะ” เธอถามด้วยความสนใจระคนประหลาดใจ

“ดีครับ แต่ดีไม่จริง เหมือนพยายามควบคุมพี่ผมให้ได้ พอคุมไม่ได้ก็อาละวาด เอาลูกในท้องมาอ้าง”

ไม่มีความเห็นใดหลุดออกจากปากหญิงสาวอีก ทว่าสีหน้าของลลิภัทรดูลำบากใจราวกับตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา คนเล่าหลุดหัวเราะ นี่ยังพรั่งพรูปัญหาในบ้านไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องเครียดครับ คุณยังไม่ได้เจอเขา”

“ฟังดูแย่นะคะ แบบนี้ควีนของคุณคงลำบากใจน่าดู”

“ควีน?” ศรายะเลิกคิ้วสูง ก่อนจะหลุบตามองโทรศัพท์ที่เพิ่งวางลงบนโต๊ะ “เห็นชื่อด้วยเหรอครับ”

“ค่ะ เป็นชื่อเล่นของคุณแม่คุณหรือเปล่า”

“เปล่าครับ เป็นฉายา ผมตั้งให้เอง บางทีก็เรียกคลีโอพัตรา”

“ได้อยู่นะคะ” นึกถึงลักษณะของพัตราแล้วก็ดูสง่างามสมตำแหน่งควีนจริงๆ ดูท่าเขาจะสนิทกับแม่มากพอสมควรถึงได้มีการตั้งฉายาให้ด้วย “คุณนี่เป็นลูกชายที่น่ารักดีนะ”

คำชมนั้นทำให้ศรายะยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะแกล้งถามเล่นๆ 

“แล้วถ้าผมตั้งฉายาให้คุณบ้าง ผมจะเป็นผู้ชายที่น่ารักของคุณไหม”

“...” เจอมุกนี้เข้าไปลลิภัทรถึงกับพูดไม่ออก ส่วนอีกฝ่ายเริ่มคิดหาชื่อใหม่ที่เหมาะกับเธอ

“วีนัสแล้วกัน”

“คะ?” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ “ทำไมถึงเป็นดาวศุกร์ล่ะ”

“วีนัสเป็นเทพแห่งความงามและความรักครับ สำหรับผมคุณเป็นทั้งคู่”

ยอมเขาเลย...เธอหันหน้าหลบสายตาแพรวพราวของเขาพร้อมถอนหายใจคล้ายกับเอือมระอา 

ศรายะหลุดขำก่อนจะเริ่มกินต่อจนหมด ถึงเวลาคิดเงินก็เป็นฝ่ายเลี้ยงตอบแทนที่เธอขับรถพามา

หญิงสาวพาเขากลับไปที่ร้านซึ่งมีรถของเขาจอดโดดเดี่ยวอยู่ด้านหน้า สำหรับการล่ำลาในวันนี้ เขาใช้คำเรียกแทนชื่อเธออย่างคล่องปาก

“เจอกันพรุ่งนี้ครับ วีนัส”

นึกเสียดายที่พรุ่งนี้จะไม่ได้มานั่งเฝ้าอย่างเคย กว่าจะได้เจอก็สองทุ่ม แต่เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่คิดถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่เคยทำตอนเย็น อย่างไรการหาตรงกลางก็ย่อมดีกว่าเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง

สองคนโบกมือลากันก่อนที่ร่างสูงจะเข้าไปในรถตัวเองและขับออกไป หญิงสาวยืนมองอยู่อย่างนั้นกระทั่งแสงไฟลับตา ความมืดมิดและวังเวงเข้าแทนที่

รอยยิ้มจางลงจากใบหน้าเรื่อยๆ ดวงตาอ่อนแสงจนไม่แทบต่างอะไรกับท้องฟ้าในเวลานี้ 

“เมี้ยววว!”

เจ้าขนปุยเดินทอดน่องมาคลอเคลียข้อเท้าทั้งสองข้างของเธอ ในเมื่อเวลานี้ไม่มีเพื่อนให้พูดคุย หญิงสาวจึงต้องปรับทุกข์กับมัน

“เวลาสงบสุขแบบนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหนนะปุย”

พศินเข้ามาพูดคุยข้อตกลงกับศรายะและภูริทัตอย่างเป็นทางการในวันต่อมาโดยมีลูกสาวของเขานั่งอยู่ด้วย ศรายะนึกขันที่พ่อตาคนนี้พอรู้ว่าลูกเขยจะจ่ายส่วนต่างให้ก็ไม่ท้วงติงสักนิด ไม่มีการเอ่ยปากขอจ่ายเองตามประสาผู้อาวุโสกว่า บอกแค่ว่าจะออกค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการโอนที่ดินให้ ซึ่งก็ไม่แปลก คนอย่างพศินถ้ายอมเสียเปรียบสิแปลก

                ชายวัยกลางคนอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก พร้อมสำหรับการนัดวันโอนกรรมสิทธิ์ที่กำลังจะถึงในไม่ช้า ชั่วครู่หนึ่งศรายะแอบใจหายที่ที่ดินซึ่งเป็นมรดกจากมารดาจะต้องตกไปเป็นของคนอื่น ได้แต่กล่อมตัวเองว่ากำลังร่วมอุดมการณ์แรงกล้าของผู้หญิงรักเด็กคนหนึ่ง   

                ทำบุญไว้บ้าง ชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าจะได้ราบรื่น

                ช่วงสิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างยุ่ง เรื่องที่ดินที่เชียงรายพัตราจึงขอพักไว้ก่อน ต้นปีหน้าถึงเอากลับมาคุยกันใหม่ หล่อนคิดว่าในระหว่างการเจรจาเจ้าของที่คงยังไม่ขายต่อให้ใครง่ายๆ อีกทั้งที่ดินราคาแพงแบบนั้นใครจะกล้าแย่งไป คงไม่มีเหตุการณ์ซื้อตัดหน้าอย่างที่ภูริทัตเคยกังวล

ในตอนบ่ายศรายะออกไปดูการประดับตกแต่งหน้าห้างสรรพสินค้าด้วยต้นคริสต์มาสและไฟระย้า คืนนี้น่าจะเสร็จสมบูรณ์ เขาเชื่อว่าต้องออกมาสวยมากแน่ๆ

                ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อทิ้งข้อความให้เจ้าของคาเฟ่

                ‘คุณน่าจะมาที่ที่ผมทำงานบ้างนะ’

                ในทุกๆ ปลายปี คาเฟ่หลายแห่งจะประดับตกแต่งภายในให้เข้ากับช่วงเทศกาล แต่ลลิภัทรไม่เคยทำเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่ซื้อแก้วลายซานตาคลอสและลายตุ๊กตาหิมะมาใช้ เธออยากให้บรรยากาศภายในร้านโปร่งโล่งและสบายตาอย่างเคย ถึงแม้จะไม่ดึงดูดลูกค้าก็ตาม

                หลังเลิกร้านมีบ้างที่ขับรถออกไปชื่นชมบรรยากาศในกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน ปกติเมืองหลวงของประเทศไทยสว่างไสวอยู่แล้ว ทว่าช่วงนี้สว่างกว่าปกติด้วยไฟหลายพันดวงเต็มสองข้างทาง หากถามว่าที่ไหนมืดที่สุด คำตอบก็คือบริเวณคาเฟ่ของเธอนั่นเอง

                สองทุ่มวันนี้ศรายะมารับเธอที่ร้านในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาว วันนี้กีรติอยู่รับมือกับวิภาวีตามคำขอร้องของเขาเมื่อวาน เขาจึงไม่ต้องต่อปากต่อคำกับใครให้อารมณ์ขุ่นมัว กลับบ้านไปเปลี่ยนชุดและมาที่นี่ได้

                “นี่เราจะมาทำอะไรกันเหรอคะ” ลลิภัทรถามเมื่อเขาขับเข้าไปในที่จอดรถ ไม่เสียเวลาหาที่จอดนานเพราะมีตำแหน่งจอดของตนเองใกล้ๆ กับทางเข้าด้านหลังห้าง

                “เดินเล่นครับ หรือคุณอยากกินอะไรอีกก็ได้”

                “ลิสอิ่มแล้วค่ะ คุณล่ะ”

                “ไม่หิวเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มตอบ ก่อนจะพาเธอลงจากรถเข้าไปด้านใน ลานกลางห้างชั้นล่างสุดขณะนี้มีเทศกาลขนม เธอเดินไปด้อมๆ มองๆ แต่ละร้าน และเลือกซื้อขนมบางอย่างกลับไปฝากพนักงานที่ร้านสามคนกับลออในวันพรุ่งนี้ 

                “อันนี้ลิสซื้อให้คุณค่ะ เอาไปแบ่งคนที่บ้านทานด้วย”

                ขนมอย่างสุดท้ายที่เธอซื้อคือบราวนีสตรอว์เบอร์รีชีสเค้กกล่องหนึ่งซึ่งตัดแบ่งเป็นเก้าชิ้น ศรายะรับถุงมางงๆ เขานึกว่าเธอซื้อไปกินเองเสียอีก

                “นี่สรุปใครจีบใครเนี่ย” เขาบ่นพึมพำ แต่อีกคนหูดีได้ยินเข้าจึงรีบปรับความเข้าใจ

                “แค่ซื้อฝากค่ะ ไม่ได้จีบ”

                “ขอบคุณครับวีนัส”

                หญิงสาวทำใจชินกับชื่อนี้ได้ยาก ฟังแล้วต้องเกร็งกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ให้หลุดยิ้มทุกครั้ง ประโยคบอกเล่าของเขากลับมาวิ่งเล่นอยู่ในหัวครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้

            ‘วีนัสเป็นเทพแห่งความงามและความรักครับ สำหรับผมคุณเป็นทั้งคู่’

                เป็นประโยคบอกรักแบบอ้อมโลกหรือเปล่านะ

                ศรายะพาเธอไปด้านหน้าห้างซึ่งมีต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่พร้อมให้ผู้คนถ่ายรูปด้วย แสงของไฟระย้าที่พันรอบต้นและห้อยระโยงระยางเหนือทางเดินตัดกับสีของท้องฟ้ายามรัตติกาล ความสว่างไสวสะท้อนในดวงตาคู่หวานที่เปิดกว้างด้วยความทึ่ง

                “วีนัส”

                เธอหันตามเสียงเรียก ก่อนจะพบว่าคนเรียกยกสมาร์ตโฟนขึ้นมาเก็บรูปเธอตอนไม่ทันได้ตั้งตัวเอาไว้แล้ว

                “คุณศรา!”

                “ไม่ต้องห่วงครับ ถึงจะเผลอคุณก็สวยอยู่ดี” ชายหนุ่มเก็บสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋ากางเกงก่อนที่หญิงสาวจะเดินมาถึง ลลิภัทรเม้มปาก ใช้สายตาบ่นเขาอีกแล้ว

                “คุณอยากถ่ายรูปไหม ผมถ่ายให้ได้นะ”

                “ไม่เป็นไรค่ะ ลิสไม่ชอบถ่ายรูปตัวเอง” เธอว่าพลางหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปบรรยากาศยามค่ำคืน โดยเฉพาะต้นคริสต์มาสที่มีดาวดวงใหญ่อยู่ด้านบน

                และอาศัยทีเผลอถ่ายรูปเขาเป็นการเอาคืน

                คราวนี้ศรายะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการถูกถ่ายรูปโดยไม่ทันได้เก๊กท่าไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด เป็นห่วงที่สุดคือสภาพหน้าตัวเองในรูปที่เธอได้ไปเมื่อครู่

                “ส่งรูปไปให้ทางไลน์แล้วค่ะ จะได้ไม่ค้างคาใจ”

                “ขอรูปคู่หนึ่งรูปได้ไหมครับ” เขาชูหนึ่งนิ้วประกอบ

                “ให้ลิสถ่าย?”

                คนเอ่ยขอพยักหน้า เธอลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบตกลง ร่างสูงจึงก้าวเข้าไปยืนตัวติดเธอชนิดไหล่ชนไหล่ และยิ้มให้กล้องหน้าของสมาร์ตโฟนที่ยกขึ้นสูง ด้านหลังมีกวางเรนเดียร์สองตัว เมื่อได้รูปที่พอใจแล้ว ลลิภัทรก็ส่งเข้าไลน์ตามรูปก่อนหน้านี้ไป

                ทั้งสองเดินเล่นรอบๆ อีกสิบนาที ก่อนหญิงสาวจะถามคนที่ปรับแต่งรูปอยู่ในสมาร์ตโฟน 

“เรากลับกันได้หรือยังคะ ดึกแล้วนะ”

                “ผมขออีกที่เดียว” ศรายะเก็บโทรศัพท์แล้วแบมือไปตรงหน้า เธอหลุบตามองมือเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตา ไม่กี่วินาทีก็วางมือเรียวบางก็บนฝ่ามือของเขา

ในวินาทีที่สัมผัส ชายหนุ่มรู้สึกถึงความหยาบกร้านของมือคนที่จับงานมาหลายรูปแบบ อีกทั้งยังเป็นนักกีฬาแบดมินตัน มือของเขาที่นุ่มกว่าจึงกระชับมือเธอเบาๆ ไม่ว่ามือเธอจะเป็นอย่างไรก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเหมือนกัน

เขาจูงมือเธอเข้าไปในห้าง พาขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นสาม คนเริ่มน้อยลงทุกทีเพราะใกล้เวลาห้างปิด ขณะที่คนอื่นทยอยออกจากห้าง เขากลับพาเธอไปยังโซนตุ๊กตา

                “เรามาทำไมเหรอคะ”

                “ผมอยากซื้อให้คุณหนึ่งตัว แต่ไม่รู้ว่าคุณชอบอะไร มีตัวไหนที่มองแล้วนึกถึงผมบ้างไหม”

                ลลิภัทรย่นคิ้วแปลกใจ สายตาค้างอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา

                “อาทิตย์นี้ผมต้องไปพัทยากับคุณแม่ เผื่อคุณเหงา คุณจะได้คุยกับตุ๊กตาแทน อ้อ ตัวที่คุณเลือกวันนี้ต้องเอาไว้บนเตียงด้วยนะ มันจะได้นั่งเฝ้าตอนคุณหลับ”

                หญิงสาวพยักหน้าคล้อยตาม ในหัวคิดว่าจะเอาตุ๊กตาอะไร ทีแรกว่าจะปฏิเสธ แต่เขาอุตส่าห์พามาและคาดหวังว่าเธอจะได้สักตัวไปดูต่างหน้าเขา เธอคงต้องรักษาน้ำใจคนอยากให้สักหน่อย

                ฉะนั้นการเลือกตุ๊กตาสุนัขสีน้ำตาลแลบลิ้นไม่ใช่เรื่องที่ควรแน่ ถึงลลิภัทรจะคิดว่ามันดูน่ารักเหมือนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เถอะ

                “สโนว์แมนแล้วกันค่ะ คูลๆ ดี ลิสจะได้จำได้ว่าคุณซื้อให้ช่วงนี้” ว่าแล้วก็เดินไปหยิบเจ้าก้อนกลมสีขาวนุ่มนิ่มมาไว้ในมือ บนหัวของมันมีหมวกไหมพรม ที่คอมีผ้าพันคอ จมูกที่ยื่นออกมาเป็นสีแดง รอยยิ้มดูน่ารักน่าชัง

                ทว่าตัวนั้นออกจะเล็กไปหน่อยสำหรับศรายะ

                “ผมไม่ได้ตัวแค่นั้นสักหน่อย” เขาพึมพำก่อนจะแย่งไปเก็บเข้าที่ และอุ้มตุ๊กตาแบบเดียวกันแต่ตัวใหญ่สุดออกมา ทำเอาอีกคนอ้าปากค้าง “ไปจ่ายเงินแป๊บนะครับ เดี๋ยวมา”

                “ดะ...เดี๋ยวๆ คุณศรา!”

                เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป ทว่าคนขายาวก้าวไปเร็วกว่า ไม่นานนักเจ้าสโนว์แมนตัวเบ้อเริ่มเทิ่มก็ถูกวางบนเคาน์เตอร์แคเชียร์

                มันจะกลับคาเฟ่ไปพร้อมกับเธอ แต่คงไม่มีโอกาสได้อยู่บนเตียงเพราะไซซ์ใหญ่เกินไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น