5
เสียงนับจังหวะการวิ่ง และภาพของเหล่าชายฉกรรจ์ที่ถอดเสื้อโชว์ซิกซ์แพ็กวิ่งฝ่าความร้อนของเปลวแดด ดูจะเป็นภาพที่คุ้นตาของรินดา นับตั้งแต่มาอยู่ที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวทะเลทราย หรือ Special Operations Desert Hawk แต่วันนี้มันพิเศษตรงที่ผู้ชายเจ้าของรูปร่างที่แข็งแกร่งสมชายชาตรีซึ่งวิ่งนำหน้านั้นหาใช่ผู้ชายอื่นใด เพราะเจ้าของเรือนร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนั้นคือ พันโทมาลิก บิน อัสฟาน บิน ฟาอิส ซัมมาล หรือผู้พันฮอว์คของสาวๆ นั่นเอง
เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจภายในห้องพยาบาลเงียบลงไปชั่วขณะ นูรีนและผู้หญิงหลายคนถลาไปแหวกมู่ลี่แอบมองแล้วปิดปากหัวเราะคิกคัก ฝันไปเถอะว่าคนอย่างรินดาจะถลาไปเกาะมูลี่แอบดูอีตาผู้พันนั่น ฝันไปเถอะว่ารูปร่างหน้าตาที่หล่อล่ำกล้ามเนื้อแน่นปั๋งของชายฉกรรจ์แต่ละคนจะทำให้เธอหวั่นไหว ฝันไปเถอะ! แต่รินดาก็ต้องรีบปิดมู่ลี่ลงเมื่อผู้พันขาโหดหันมาหลิ่วตาให้เธอ บ้าฉิบ! อีตาผู้พันมองเห็นเธอมาแอบดูจนได้
“นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉันยังอยากอยู่ที่นี่” นูรีนหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาว
“ฉัน...”
“โอ๊ย! มันเป็นเรื่องปกติของที่นี่จะตาย” นูรีนทำเสียงเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดากับการแอบมองผู้พัน
“อีกหน่อยเธอก็จะชินไปเอง เพราะไม่ใช่แค่ผู้ชายออกกำลังฟิตซ้อมกันเท่านั้นนะ ฉันได้ข่าวมาว่าทหารหญิงอย่างเราก็ต้องมีวันเข้าฟิตเนสเพื่อฝึกซ้อมร่างกายของเราให้แกร่งเหมือนพวกเขาเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงที่เราจะต้องออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่”
“โรงยิมนั่นน่ะหรือ” รินดาหมายถึงโรงยิมข้างโรงเก็บเครื่องบินที่เธอเห็นแต่ทหารชายเข้าไปใช้บริการ
“ใช่ มีโรงยิมเดียวนั่นแหละ แหม! แค่คิดก็สนุกแล้วละ”
“ฉันนึกว่าที่นี่จะแยกหญิงแยกชายเสียอีก”
“เปล่า!” นูรีนยักไหล่
“ริยาร์ไม่เหมือนประเทศอื่น เราเป็นประเทศที่เปิดกว้างทั้งด้านความคิด วัฒนธรรม และศาสนา ไม่งั้นพวกต่างชาติจะแห่เข้ามาทำธุรกิจหรือว่าท่องเที่ยวกันหรือจ๊ะ เพราะฉะนั้นการที่เห็นหญิงชายเดินด้วยกันหรือทำกิจกรรมร่วมกันในที่ต่างๆ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา”
ก็เพราะความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเปิดใจยอมรับความเป็นไปของโลกนั่นแหละ ที่ทำให้รินดาเริ่มผ่อนคลายความตึงเครียดและการวางตัวได้
“ฉันว่าเธอรีบๆ ทำงานเข้าเถอะ ถ้าขืนมัวแต่มองผู้พันอยู่ละก็ ฉันว่างานของเธอไม่มีวันเสร็จแน่” นูรีนหันมากระเซ้าเมื่อชายฉกรรจ์วิ่งวนมาอีกรอบ
รินดาจึงได้ดึงสติของตัวเองให้กลับมาจดจ่ออยู่กับงานอีกครั้ง
ตกสายของวัน รินดาก็ได้รับหนังสือเวียนให้ทหารหญิงทุกคนใช้เวลาในช่วงบ่ายของแต่ละวันเข้าโรงยิมเพื่อฟิตซ้อมร่างกายอย่างที่นูรีนได้ข่าวมาไม่มีผิด หญิงไทยใจกล้าเพียงหนึ่งเดียวของหน่วยจึงได้มีโอกาสเหยียบย่างเข้าไปในโรงยิมอันโอ่อ่าที่มีอุปกรณ์ฝึกซ้อมครบครัน
“ว้าว! มีเวทีมวยด้วย” รินดาผิวปากด้วยความดีใจราวกับได้เจอเพื่อนเก่า แต่ยังไม่ทันจะได้สอดส่ายสายตามองหาเครื่องเล่นอย่างอื่น เสียงห้าวๆ ของผู้ชายคนหนึ่งบนเวทีมวยก็ดังขึ้น
“เธอ!”
“ฉัน?” รินดาสงสัย มองซ้ายขวาแต่ก็ไม่มีใคร เพราะเป้าหมายของผู้ชายคนนั้นก็คือเธอนั่นเอง
“เธอมาจากประเทศไทยไม่ใช่หรือ ขึ้นมานี่สิ” เขากวักมือเรียก
รินดาเห็นแล้ว ผู้ชายคนนี้กำลังชกลมอยู่คนเดียวบนเวที
“ฉันอยากเห็นลีลามวยไทยจากคนไทยจริงๆ ขึ้นมาเป็นคู่ซ้อมให้ฉันหน่อยสิ”
‘กับผู้หญิงนี่นะ ช่างสุภาพบุรุษดีแท้’ รินดาคิดอยู่ในใจ แต่สองขาของเธอก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีเรียบร้อยแล้ว
“สวยดีนี่”
เจ้าของเสียงหลิ่วตามองเธออย่างลวนลาม ก่อนจะปล่อยหมัดใส่หญิงสาว รินดาไม่ทันตั้งตัว เธอก้มตัวหลบ แต่ไม่พ้นเมื่อถูกแขนแข็งแรงของอีกคนคว้าตัวเธอเข้าไปกอดแน่น มีเสียงผิวปากและเสียงหัวเราะจากผู้ชายหลายคนที่หันมาสนใจมวยคู่เอกอย่างจริงจัง แต่ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงเชียร์ รินดาก็กระทุ้งศอกเข้าที่ท้องของคู่ต่อสู้ ก่อนจะหันกลับไปเตะเข้าที่ก้านคอ และต่อด้วยจระเข้ฟาดหางจนอีกฝ่ายล้มหงายหลังไม่เป็นท่า
“นี่ละมวยไทย วันนี้เอาแค่นี้ไปก่อนนะ” รินดาบอกกับร่างที่นอนนิ่ง แล้วร่างสูงโปร่งของหญิงสาวก็ก้าวลงมาจากเวทีผ้าใบอย่างสวยงาม ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่ตกตะลึงไม่หาย แต่มีหนึ่งสายตาที่มาพร้อมกับรอยยิ้มอันพึงใจ
แม่เสือสาว...เล็กพริกขี้หนูของแท้
หลังนวดเฟ้นและอาบน้ำแล้วรินดาก็รู้สึกสดชื่น แม้จะยังมีอาการเจ็บเท้าอยู่บ้างก็คงไม่เท่าอาการเจ็บคอของนายทหารปากเปราะคนนั้น ที่รินดาคิดว่าเขาสมควรจะโดนแล้ว เพราะตั้งแต่เธอมาอยู่ที่หน่วยก็มักจะเจอสายตาโลมเลียมจาบจ้วงจากนายทหารคนนี้อยู่เสมอ
“วันนี้ทำงานเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงจากปลายสายทำให้หัวใจของรินดาพองโตขึ้น คุณอนงค์แม่ของเธอมักจะโทรศัพท์มาถามไถ่ภารกิจของลูกสาวเป็นประจำทุกๆ คืน
“ก็ดีค่ะแม่”
“ดูแลตัวเองนะลูก เวลาหนึ่งปีแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวเดียวก็ได้กลับเมืองไทย”
“โห...แม่พูดเหมือนหนูถูกเนรเทศมายังงั้นแหละ ภารกิจนี้หนูสมัครใจมาเองนะคะ”
“แม่รู้ แต่แม่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะพวกผู้ชายชีกอ”
“ส.บ.ม.ย.ห. สบายมากหายห่วงค่ะแม่ วันนี้ลูกแม่จัดการซัดไอ้คนชีกอลงไปนอนกับพื้นมาแล้วหนึ่งคน”
“ต๊าย!” เสียงของแม่อุทานออกมาด้วยความตกใจ
รินดานึกขำยามที่แม่ของเธอทำหน้าตื่นตระหนก สองมือตะปบอก
“ไม่ตายหรอกแม่ แค่แผ่สองสลึงเท่านั้น”
“เราน่ะมันก๋ากั่นนัก ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี ผู้ชายแถวนั้นเขาว่าบ้าผู้หญิงอยู่ด้วยไม่ใช่หรือริน”
“ไม่เห็นมีสักคน”
ลูกสาวรีบบอกแล้ววางสาย แต่ใจก็อดนึกถึงสัมผัสของผู้ชายคนหนึ่งไม่ได้ ดวงตาที่คมกริบล้อมรอบไปด้วยขนตาที่ยาวเป็นแพ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากได้รูปสวย...ผู้พันฮอว์คขาโหด สัมผัสที่เร่งเร้าปลุกเลือดในกายของหญิงสาวทำให้เธอหวั่นไหว ปฏิบัติการอีตัวของเธอล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะความอ่อนหัดของเธอหรือว่าเสน่ห์ของผู้พันหรือเปล่านะ รินดาสงสัย แต่สวรรค์ก็ไม่ปล่อยให้เธอเก็บความสงสัยไว้นาน เพราะผู้ชายที่อยู่ในห้วงคำนึงของเธอมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูห้องพักของเธออย่างทันท่วงที
“ผู้พัน!” รินดาตกใจ เพราะไม่นึกว่าคนที่มาเคาะประตูห้องในยามวิกาลนั้นจะเป็นเจ้าของนัยน์ตาพญาเหยี่ยวอย่าง พันโทมาลิก บิน อัสฟาน บิน ฟาอิส ซัมมาล
“ฉันเข้าไปได้ไหม”
“ดะ...ได้ค่ะ” หายตกใจแล้วรินดาก็รีบเชื้อเชิญ
“ฉันแวะมาดูความเป็นอยู่ของเธอ” คนตัวโตที่แวะมากวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องของเธออย่างที่เขาตั้งใจมาจริงๆ
“เอ้อ...” บ้าฉิบ! รินดาเดินไปเตะตะกร้าผ้าให้หลบเข้าไปใต้เตียงด้วยความว่องไว ข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างยังวางอยู่ไม่เป็นที่เป็นทางเท่าไรนัก ใครจะไปรู้ว่าวันดีคืนดีจะมีผู้พันมาเยี่ยมถึงในห้อง
กวาดสายตามองจนพอใจแล้วคนเสียงห้าวๆ ก็ถามขึ้น “พออยู่ได้นะ”
“ได้ค่ะ” เธอรับคำแข็งขัน
แล้วมาลิกก็ตีตรงเข้าจุดประสงค์ที่เขามาทันที “กับผู้กองดีโด้ เธอสั่งสอนเขาอย่างนั้นละดีแล้ว”
“ฉันไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างนั้น”
“ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำ แต่ไอ้หมอนี่ชอบลวนลามผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงเอเชีย เจ้าดีโด้จะชอบมากเป็นพิเศษ”
“เป็นเพราะชื่อเสียงของผู้หญิงเอเชียที่ส่วนใหญ่ลักลอบเข้ามาขายบริการที่ริยาร์หรือเปล่าคะ”
“อาจเป็นได้ ไม่ก็..เธอคงสวยเข้าตาเขามั้ง”
“เอ้อ...ฉัน...” ไม่รู้ว่าผู้พันตั้งใจชมหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้รินดาเขินได้
“กลิ่นอะไร” จมูกโด่งๆ ขยับฟุดฟิด
“ฉันทำกับข้าวค่ะ” เจ้าของห้องยิ้มแหยๆ นึกขึ้นได้ว่าเธอเพิ่งทำอาหารสำเร็จรูปเสร็จ
“อาหารไทยหรือ”
“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปค่ะ” เธอชูถ้วยขึ้น
“เป็นอาหารที่ปรุงง่ายๆ ฉันเตรียมมาจากเมืองไทยด้วย”
“อาหารที่นี่ไม่อร่อยหรือว่าเธอกินไม่ได้”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันกินได้ทุกอย่าง แต่วันนี้เบื่อที่จะออกไปทานข้างนอกค่ะ”
“หอมดีนะ”
“ผู้พันลองทานกับฉันไหมคะ”
“ขอบใจ...แต่ไม่ละ”
“จะไม่ลองชิมดูสักหน่อยหรือคะ ไหนๆ ก็มาเยี่ยมฉันถึงห้องแล้ว คนไทยเรามีคำสอนอยู่ว่า ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ”
คนมาถึงเรือนชานทำเพียงขมวดคิ้วฉงน
“มันหมายถึง เวลาใครก็ตามที่มาเยี่ยมเยียนเราถึงบ้าน เราซึ่งเป็นเจ้าของบ้านก็ต้องต้อนรับเขาผู้นั้นอย่างดีค่ะ”
“อย่างเช่น...”
“อย่างเช่นอาหาร หรือน้ำสักแก้ว ขนม ผลไม้ เฮ้อ...มันเป็นมารยาททางสังคมของคนไทยน่ะค่ะ” รินดาเป่าผมหน้าม้าอย่างเซ็งจัด ป่วยการจะอธิบายเพราะอีตาผู้พันของเธอยังทำหน้างงๆ
“ถ้าฉันปฏิเสธก็คงเสียมารยาทสินะ”
“เอ้อ...ประมาณนั้น” อีกครั้งที่คนตัวเล็กทำหน้าเซ็งจัด ใครจะไปรู้ว่าวันดีคืนดีผู้พันจะโผล่มาเยี่ยม แล้วที่เธอเชื้อเชิญนี่ก็เพราะนึกเขิน คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะพูดหรือคุยกับผู้พันหนุ่มเรื่องอะไรดี
“แต่ฉันใช้ตะเกียบไม่เป็น”
“ใช้ไม่ยากหรอกค่ะ ผู้พันต้องจับแบบนี้” รินดาสาธิตการจับตะเกียบ
“มันง่ายกว่าจับปืนเป็นไหนๆ เห็นไหมคะ” สอนทฤษฎีแล้วหญิงสาวก็ยื่นตะเกียบให้ผู้บังคับบัญชาหนุ่ม
“เอาจริงหรือ”
“จริงสิคะ ลองดู ไม่เห็นจะเป็นไร” ลูกน้องสาวคะยั้นคะยอ
“ดีเหมือนกัน เคยแต่จับปืน ลองมาจับตะเกียบดูบ้างจะเป็นไรไป”
แม้จะพยายามทำอย่างที่ผู้กองสาวสอน แต่อาการจับที่เก้ๆ กังๆ ทำให้รินดาอดหัวเราะด้วยความเอ็นดูเขาไม่ได้
“เอางี้ค่ะ” ลูกน้องสาวเสนอ “ผู้พันเก็บมือซ้ายไว้ บังคับตัวเองให้ใช้แต่มือขวามือเดียวก็พอ”
“อย่างนี้ใช่ไหม”
ขาดคำ อุ้งมืออันอบอุ่นและแข็งแรงของผู้พันก็คว้าหมับเข้าที่มือของเธอ เก็บมือซ้ายของเขาด้วยการจับมือเธอนี่นะ รินดาตกใจ แต่แววตาและท่าทางที่ลุ้นกับการคีบของผู้พันทำให้เธอไม่กล้าชักมือหนี ความอบอุ่นแผ่ซ่านแล่นสู่หัวใจให้ร้อนๆ หนาวๆ
อีตาบ้า! นึกจะจับก็จับ ไม่เห็นบอกเธอสักคำ
‘หรือว่าจะหลอกจับมือเรา’ รินดาได้แต่คิดเอะอะอยู่ในใจ
“ฉันทำถูกไหม”
“คะ?” เธอไม่ได้ฟังเพราะมัวแต่หวั่นไหวไปกับสัมผัสของผู้พันหนุ่ม
“ฉันถามว่าแบบนี้ฉันทำถูกไหม”
“ถูกค่ะ” เธอพยักหน้ารับ
“ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องยาก” มาลิกเริ่มคุย
“ค่ะ ฝึกบ่อยๆ เข้าก็เก่ง”
“ฉันคงต้องให้อามีนซื้อมาลองใช้บ้างแล้ว”
“ถ้าผู้พันชอบ ฉันแบ่งให้ได้นะคะ เพราะว่าเตรียมมาจากเมืองไทยเยอะมาก”
“ไม่ละ ขอบใจ ฉันซื้อที่ตลาดไทยได้”
“ที่นี่มีตลาดของคนไทยด้วยหรือคะ” รินดาทำตาโต
“มีสิ ถ้าเธออยากไปก็บอก ฉันจะให้หมวดซีมมาเขาพาเธอไป”
“ขอบคุณผู้พันมากค่ะ...เอ้อ...ว่าแต่ว่า...” เธอปรายตาไปยังมือของผู้พัน
“ผู้พันปล่อยมือฉันได้หรือยังคะ” รินดาค่อยๆ ชักมือเธอออก
ดูเหมือนผู้พันขาโหดจะรู้ตัว เขาหัวเราะหึๆ ในลำคอ มองคนตัวเล็กที่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ก่อนจะลุกขึ้น
“ฉันกลับละ แค่แวะมาดูความเป็นอยู่ของเธอ” ความสูงของผู้พันหนุ่มทำให้ห้องนอนของหญิงสาวเล็กลงไปถนัด
“อ้อ! จะว่าไป ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจแวะมาดูความเป็นอยู่ของเธออย่างเดียวหรอก”
“หมายความว่า...” รินดาทวนคำ นัยน์ตาเป็นประกาย หากเธอเดาไม่ผิด พันโทมาลิกคงทบทวนคำขอของเธอ
“ใช่ ฉันตั้งใจจะมาบอกเธอว่า เธอได้ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พร้อมกับฉัน”
“จริงหรือคะผู้พัน”
“นี่คิดว่าผู้พันของเธอจะหลอกให้เธอดีใจเล่นหรือผู้กอง”
“เอ้อ...เปล่าค่ะ” ถามแค่นี้ทำเป็นดุ ทีตะกี้หลอกจับมือเธอเธอยังไม่ว่า
“ส่วนวันเวลากำหนดแน่นอนแล้วฉันจะบอกอีกที”
“ขอบคุณผู้พันมากค่ะ”
รินดาลิงโลด จะไปวันไหนก็ช่าง ที่สำคัญขอให้มีรายชื่อเธอไปด้วยก็แล้วกัน
“ไม่ต้องขอบใจฉัน คนที่เธอควรจะไปขอบใจเขาก็คือเจ้าดีโด้ เป็นเพราะฉันเห็นเธอคว่ำเขาลงไปได้หรอกนะ ฉันจึงตัดสินใจให้เธอออกไปกับเรา ผู้หญิงที่ต่อยมวยและคว่ำผู้ชายลงได้ คงไม่ใช่ผู้หญิงทำตัวเหยาะแหยะหรือไปเป็นภาระให้กับคนอื่น”
“รับรองค่ะ ฉันจะไม่สร้างปัญหาหรือทำตัวเป็นภาระให้กับพวกเราเด็ดขาด” รินดายังเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่
“แล้วอย่าลืมฟิตซ้อมร่างกายให้แข็งแกร่งล่ะ”
“ได้ค่ะ”
“อ้อ! อีกอย่าง...” คนตัวโตหันขวับมาดื้อๆ เล่นเอารินดาสะดุ้งโหยงเพราะมัวแต่แอบมองกล้ามเนื้อที่หัวไหล่ของผู้พันหนุ่ม
“คะ...”
“เพื่อนใหม่ของเธอล่ะ”
“เพื่อนใหม่? อ๋อ...ฉันตั้งไว้ตรงนั้นค่ะ”
รินดาอวดมุมข้างหน้าต่างที่เธอวางต้นตะบองเพชรของฝากจากผู้พันขาโหด
“สวยมาก” มาลิกลากเสียง นัยน์ตาคมกริบพราวระยับ
“ค่ะ มันสวยมาก โดยเฉพาะสีชมพูของมัน ฉันวางไว้ตรงนั้น เวลาเปิดประตูห้องเข้ามาจะได้มองเห็นความสวยของ...”
“เธอ...ฉันหมายถึงเธอต่างหากที่สวยมาก”
“คะ...เอ้อ...ผู้พัน...” รินดาพูดไม่ออก ไม่นึกว่ามาลิกจะชมเธอซึ่งๆ หน้า แค่แวะมาไม่กี่นาที ทั้งจับมือและหยอดคำหวาน
“ฉันไปละ ราตรีสวัสดิ์แม่เสือสาว” ผู้พันหนุ่มอมยิ้ม
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะผู้พัน”
รถยนต์ของมาลิกเคลื่อนออกไปแล้ว แต่แม่เสือสาวยังหันหลังพิงประตูยืนยิ้มอยู่คนเดียวด้วยความวาบหวาม ไม่รู้ว่าดีใจที่ได้ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ หรือดีใจที่มาลิกแวะมา แต่ที่แน่ๆ คืนนี้เธอคงคิดถึงสัมผัส สายตา และรอยยิ้มของผู้พันขาโหดจนยากที่จะข่มตาหลับลงได้
รินดานั่งหาวหวอดๆ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เมื่อคืนกว่าเธอจะหลับได้ก็ดึกเอาการ เป็นเพราะความดีใจที่จะได้ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ หรือมัวแต่คิดถึงความวาบหวามกับท่วงท่า สายตา และรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของผู้พันก็ไม่รู้ได้ แต่ที่แน่ๆ เวลานี้เธอง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้ว
“ไฮ!” นูรีนยังไม่ทันหย่อนก้นลงก็ส่งเสียงทักมาแต่ไกล
“สวัสดี”
“เป็นอะไร ไม่สบายหรือ”
“เปล่า แค่อดนอน”
“คิดถึงบ้านหรือ”
“เปล่า”
“งั้นก็เรื่องผู้กองดีโด้ อย่าไปคิดถึงเขาให้ปวดสมองเลย ฉันเพิ่งบอกลาผู้กองเขามาตะกี้เอง”
“บอกลา? เขาไปไหนหรือ”
“ผู้พันย้ายให้ไปประจำอยู่ที่ฐานของเราทางตอนใต้”
“เฮ้ย! มันคงไม่เกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานหรอกนะ”
“ไม่รู้ว่าเกี่ยวไหม แต่ฉันก็ว่าดีนะ เพราะผู้กองดีโด้ชอบหลีผู้หญิงแบบไม่ให้เกียรติ อย่างเมื่อวานนี้เห็นไหม ไม่ทันไรก็กอดเธอเข้าให้แล้ว ฉันละสะใจมากที่เธอจัดการผู้กองให้ลงไปแผ่หลาอยู่กลางเวทีอย่างนั้น”
“ฉันเคยเรียนมวยไทยมาบ้าง”
“อย่างนี้คงไม่บ้างละมั้ง คงเรียนมาอย่างดีเลยละ บ่ายๆ เข้าโรงยิม เธอสอนฉันบ้างได้ไหมรินดา”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา” สองสาวให้คำมั่นสัญญากัน ก่อนจะรีบลุกขึ้นทำความเคารพเมื่อร่างสูงเพรียวอย่างชายชาติทหารของใครคนหนึ่งเดินอาดๆ เข้ามาพร้อมกับผู้ติดตาม
“ผู้พัน”
“อีกห้านาทีไปพบฉันที่ห้องประชุม”
“รับทราบค่ะ” รินดาทำความเคารพ จากน้ำเสียงและท่าทางของผู้พันฮอว์คแล้ว คงไม่ได้ประชุมเรื่องเล่นๆ แน่เลย
รินดารีบจัดการเก็บงานตรงหน้า ก่อนจะคว้าหมวกเบเร่ต์สีเขียวขึ้นสวม ถึงจะเป็นทหารแลกเปลี่ยนตามโครงการสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับริยาร์ แต่รินดาก็ต้องสวมเครื่องแบบเหมือนกับทหารของริยาร์ ผู้กองสาวสูดลมหายใจเข้าปอด สัญชาตญาณของเธอบอกว่าเวลาแห่งการผจญภัยใกล้เข้ามาแล้ว
ภายในห้องประชุมที่เย็นฉ่ำ บุคคลที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือพันโทมาลิก และที่ขาดไม่ได้คือผู้หมวดอามีนซึ่งเปรียบเสมือนมือขวาที่ควบตำแหน่งทั้งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและเลขานุการไปในตัว นอกนั้นเป็นนายทหารอื่นๆ ที่รินดายังไม่สามารถจะจดจำชื่อได้ ซ้ำนายทหารเหล่านี้ก็ยังนิยมไว้หนวดและเคราเหมือนกันเข้าไปอีก จากซ้ายมือของเธอ เธอแอบตั้งชื่อให้เขาว่านายหนวด 1 และนายหนวด2 ตามลำดับ จนสายตาไล่เรื่อยไปปะทะกับนายหนวดงามที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเธอก็หลบสายตาแทบไม่ทัน
“นี่คือ ร้อยเอก แพทย์หญิงรินดา ทหารจากประเทศไทยตามโครงการแลกเปลี่ยนของเรา” พันโทมาลิกแนะนำให้ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหลายได้รู้จักเธอ
รินดายกมือไหว้สวัสดี ก่อนจะนั่งฟังสาระการประชุมด้วยความตั้งใจ
ภาพของชายผู้ต้องสงสัยที่ปรากฏอยู่บนจอโพรเจกเตอร์นั้นเป็นชายไทยอายุประมาณห้าสิบปี ไว้หนวดและเครา ทำตัวเหมือนชาวริยาร์ ลักลอบเข้ามาเป็นนายหน้าค้ามนุษย์ที่ริยาร์หลายปี แต่ก็ไม่เคยถูกจับสักครั้งเพราะอาศัยการพรางตัว และได้รับความช่วยเหลือจากบรรดาเมียๆ ที่ผู้ชายไทยคนนี้มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง
“ผู้ชายคนนี้ชื่อยงยุทธ เป็นคนไทยที่ลักลอบค้าผู้หญิงข้ามชาติ เริ่มเข้ามาในริยาร์เมื่อหกปีที่แล้ว โดยใช้วีซาของนักท่องเที่ยว จากนั้นก็เข้าๆ ออกๆ ริยาร์หลายครั้ง ป้องกันความสงสัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยการเปลี่ยนชื่อ และทุกครั้งจะต้องมากับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้ากัน กว่าริยาร์จะไหวตัวทันไอ้หมอนี่ก็มีเครือข่าย และทำเงินเป็นกอบเป็นกำจากการค้าเนื้อสด มีชีวิตอยู่ในริยาร์อย่างสุขสบาย และทำตัวไร้ร่องรอยหายไปจนทางการริยาร์มืดแปดด้าน”
“แต่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา มีคนเห็นไอ้หมอนี่ไปปรากฏตัวที่เมืองมินเนา เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของริยาร์ สภาพในปัจจุบันแทบจะไม่เหลือเค้าของยงยุทธคนเดิมกับเมื่อหกปีก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจสะกดรอยตามไปจนถึงเซฟเฮาส์ของมัน จากนั้นก็โยนภาระหน้าที่มาให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษอย่างเรา” อามีนเสริม มองภาพของผู้ชายที่ไว้หนวดไว้เคราและแต่งกายอย่างชาวริยาร์ ซ้ำยังอ้วนลงพุง ไม่เหลือเค้าของชายไทยคนเดิม
“เธอคงรู้ว่าปฏิบัติการของเราครั้งนี้ทำไมต้องมีเธอ” พันโทมาลิกหันมาบอกผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวของภารกิจ
“ค่ะ” รินดาพยักหน้ารับทราบ เพราะผู้ต้องสงสัยเป็นคนไทยนั่นเอง
“นอกจากผู้ต้องสงสัยจะเป็นคนไทยแล้ว ตำรวจยังสืบทราบมาว่าที่เซฟเฮาส์ของมันมีผู้หญิงเอเชียอีกหลายคน ซึ่งก็น่าจะมีคนไทยรวมอยู่ด้วย ถ้าเราจับนายยงยุทธได้ก็จะเป็นการตัดตอนขบวนการค้ามนุษย์ได้อีกเส้นทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขอความช่วยเหลือจากหน่วยของเรา ให้เข้าปฏิบัติการจับกุมไอ้หมอนี่ให้ได้ ภารกิจครั้งนี้ ฉันเรียกมันว่าปฏิบัติการฟ้าสาง ทราบ!”
“ทราบ!” เสียงนายทหารขานรับทราบคำสั่งพร้อมกัน
“ก่อนฟ้าสางทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”
“ทราบ และพร้อมปฏิบัติครับผม”
“ดีแล้ว ฉันให้เวลาพวกนายเตรียมตัวสามสิบนาที จากนั้นเราจะไปเมืองมินเนากัน ที่นั่นคนของเราได้จัดการหาบ้านพักเป็นการบังหน้าให้กับปฏิบัติการของเราเรียบร้อยแล้ว” พันโทมาลิกออกคำสั่ง
มีเสียงเป่าปากอย่างฮึกเหิมจากลูกทีมหลายคน ปฏิบัติการฟ้าสาง หนึ่งในภารกิจของหน่วยปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวทะเลทราย
รินดารู้สึกตื่นเต้น มันเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับมอบหมายงานจากผู้พันขาโหด ผู้กองสาวใช้เวลาในการเก็บสัมภาระไม่ถึงสามสิบนาที เธอกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวทะเลทรายก็บินปร๋อออกจากฐานปฏิบัติการมุ่งหน้าไปยังมินเนา เมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยทะเลทรายของแท้
ความคิดเห็น |
---|