เมื่อเดินกลับมาถึงตึกใหญ่ พราวรัมภาพาเขาขึ้นไปชั้นสองแล้วให้นั่งรอในห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นห้องพักผ่อนภายในครอบครัว มีบรรยากาศย้อนยุคด้วยการตกแต่งภายในแบบเก่า เต็มไปด้วยงานปูนปั้นลวดลายพรรณพฤกษ์อ่อนช้อย รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับเก่าแก่ที่ยังใช้งานได้มาจนถึงปัจจุบัน
ระหว่างนั่งรอ จัสตินเหลือบไปเห็นรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทรงยาวแคบชิดริมผนัง เขาจำได้ว่าเคยเข้ามาในห้องนี้แล้วครั้งหนึ่งแต่กลับไม่เห็นภาพนี้ในคราวแรก หรือว่า...เขาอาจไม่ทันสังเกตก็เป็นได้ เพราะภาพในกรอบมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แถมยังเป็นภาพสีซีเปียดูเก่าๆ อีกด้วย
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้บุนวมแบบยุโรปแล้วเดินตรงไปที่ภาพนั้น ดูผิวเผินคล้ายกับภาพโบราณของผู้คนในอดีต แต่เมื่อดูดีๆ แล้วเขาจึงรู้ว่าคงเพิ่งถ่ายมาไม่นานนี้เอง เพราะคนในภาพคือคุณหญิงพราวรัมภา
หญิงสาวแต่งชุดไทยห่มสไบปักดิ้นทองอย่างงดงาม เป็นภาพถ่ายครึ่งตัวมองเห็นใบหน้าด้านข้างจากการถ่ายภาพในมุมเอียงเพื่อให้เห็นโครงหน้าที่สวยงามและสมบูรณ์แบบ
“ผมรู้แล้ว...ทำไมใครๆ ถึงได้หลงรักคุณ” เขาพึมพำหลังจากหยิบกรอบรูปขึ้นมาจากโต๊ะเพื่อพินิจใกล้ๆ
พราวรัมภาเป็นสาวสวยแลดูอ่อนหวานเย็นตา แต่ถ้าดูกันอย่างลึกซึ้งแล้ว เธอไม่ได้แค่สวยและหวาน หากแต่มีพลังดึงดูดมหาศาลจนยากที่จะต้านทาน และเขามองเห็นสิ่งนั้นในตัวเธอ อย่างที่เคยรู้สึกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเพียงรูปถ่ายจากนักสืบ
“คุณจัสตินคะ”
เสียงเรียกทำให้ชายหนุ่มต้องวางกรอบรูปลงที่เดิม แล้วจึงหันไปหาคนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามา
“หาเสื้อให้เปลี่ยนได้แล้วค่ะ เชิญคุณจัสตินที่ห้องรับรองแขกนะคะ”
เขาเดินตามเจ้าของบ้านไปที่ห้องนอนห้องหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นห้องสำหรับรับรองแขก เสื้อที่หญิงสาวส่งให้ก่อนจะเดินกลับออกไปคือเสื้อยืดสีขาวคอกลมตัวใหญ่แบบไม่มีลวดลายใดๆ ซึ่งเขาก็พอใจอยู่มากทีเดียว เพราะเนื้อผ้านิ่มสวมใส่สบาย เหมาะสำหรับอากาศเมืองร้อนอย่างประเทศไทย
หลังจากเขาทำธุระส่วนตัวและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอีกครั้ง เขาคาดว่าน่าจะเป็นพราวรัมภา เพราะเธอคงกะเวลาให้พอดีกับที่เขาทำธุระ แต่เมื่อเปิดประตูห้องออกมากลับกลายเป็นคนรับใช้ของวังธาดา
“คุณหญิงให้เชิญที่ห้องนั่งเล่นค่ะ เอ่อ...แล้วเสื้อของคุณ นิ่มจะเอาไปซักให้นะคะ” นิ่มบอกเพื่อเป็นการขออนุญาต
“ขอบคุณครับ”
เขาเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นตามที่พราวรัมภาสั่ง เห็นเธอนั่งรออยู่ด้วยสีหน้าดีขึ้นแล้ว เธอส่งยิ้มมาให้ขณะมองเสื้อยืดที่เขาสวมอยู่แบบพอดีตัว
“โชคดีนะคะที่เสื้อใส่ได้”
“เสื้อของใครหรือครับ”
“ซื้อไว้เผื่อใครมาพักค่ะ เมื่อก่อนนี้มีญาติๆ มาสังสรรค์กันบ่อยๆ”
“ครับ บังเอิญผมตัวใหญ่ไปหน่อย” จัสตินว่ายิ้มๆ เพราะปกติเขามักจะใส่เสื้อผ้าไซซ์คนไทยไม่ได้ แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นของสองสามอย่างในตะกร้าใบเล็กๆ “แล้วนี่อะไรครับ”
“จะเช็ดสีออกจากผมให้ค่ะ”
“คุณหญิงจะเช็ดให้ผมหรือครับ” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ ใครจะคิดล่ะว่าราชนิกุลสาวสวยจะยอมมานั่งเช็ดผมให้ฝรั่งแปลกหน้าอย่างเขา
ตามความเป็นจริงของโลกใบนี้ ผู้หญิงสวยรวยเสน่ห์ที่มีหนุ่มๆ รุมล้อมหลงรักไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อเอาอกเอาใจใคร เพราะเธอเป็นฝ่ายเลือกและมีโอกาสเลือกมากกว่าสาวๆ ทั่วไปหลายเท่า แต่พราวรัมภากลับวางตัวแตกต่าง แล้วส่วนใหญ่เท่าที่เขาสังเกตเห็น เธอมักจะโอนอ่อนตามผู้อื่นตามแบบคนที่มีอุปนิสัยประนีประนอม
“ใช่ค่ะ กลัวว่าถ้าติดอยู่นาน กลับไปสระผมอาจจะไม่ออก แล้วคุณก็ต้องไปทำงานทั้งแบบนี้”
“คุณหญิงคิดเผื่อผมไว้เยอะเลยครับ” เขามองด้วยความรู้สึกขอบคุณ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยซึ่งบางคนอาจมองข้ามไป
“มีแต่แอลกอฮอล์ค่ะ จะลองเช็ดดูก่อนนะคะว่าออกไหม”
เธอลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาหยุดยืนข้างๆ เขาซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว จัสตินจึงเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวเจ้าของวัง วันนี้ร่างเพรียวบางอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงเข้ารูปพอดีตัวซึ่งดูทะมัดทะแมงกว่าปกติ
“พราวขอดูด้านหลังหน่อยนะคะ”
“ครับ” จัสตินเพิ่งรู้สึกตัวหลังจากที่มัวแต่มองเพลิน จึงรีบเบี่ยงตัวหันหลังให้คนที่ยืนอยู่
พราวรัมภามองแผ่นหลังใต้เสื้อยืดสีขาวเนื้อผ้าค่อนข้างบาง แล้วเกิดอาการลังเลที่จะยื่นมือไปสัมผัสเส้นผมที่มีสีเหลืองข้นๆ ติดอยู่หลายจุด เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างผึ่งผาย ไหล่กว้างตั้งตรง มองเห็นลำคอและท่อนแขนที่โผล่พ้นเสื้อออกมาดูแข็งแรงล่ำสันคล้ายกับนักกีฬา ทั้งที่เป็นนักธุรกิจ
“ขอโทษนะคะ”
หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาก่อนจะสัมผัสปอยผมที่เปื้อนสี แล้วจึงเหลือบไปเห็นว่ามีสีติดอยู่ที่ต้นคอและท้ายทอยเป็นดวงเล็กๆ เธอจึงใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ค่อยๆ เช็ดเส้นผมที่เปื้อนสีซึ่งหลุดออกไปได้ไม่ยากนัก
ผมสีน้ำตาลอ่อนเหลือบทองหยักศกเล็กน้อย แม้จะตัดสั้นแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่ม เธอบรรจงเช็ดผมให้เขาจนหมดจด แล้วใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์อีกครั้งแตะที่ต้นคอ เห็นว่าเจ้าของลำคอล่ำสันถึงกับสะดุ้ง
“ขอโทษค่ะ มีสีติดอยู่ที่คอด้วย”
พราวรัมภารีบโน้มตัวลงมาบอก จังหวะเดียวกันกับที่เขาหันมาหาและเงยหน้าขึ้นมอง
จัสตินสบดวงตาโตดำขลับที่มีแววประหม่าซึ่งทำให้เขาต้องหยุดนิ่งไปหลายอึดใจด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตลอดเวลาที่เธอเช็ดผมให้นั้น เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสแม้เพียงบางเบา แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใคร แล้วยังท่าที่โน้มตัวลงมาหาในตอนนี้ ยิ่งทำให้ชายหนุ่มที่แม้เคยผ่านสนามรักมาอย่างโชกโชนยังอดหวั่นไหวไม่ได้
“แอลกอฮอล์คงแรงไป” เธอยิ้มเจื่อนเพราะลืมบอกเขาก่อน
“ไม่เป็นไรครับ”
“จะเช็ดต่อนะคะ” เธอไม่ได้รอฟังคำตอบแต่ก้มหน้าลงมองที่เดิม
จัสตินต้องรีบหันกลับไป แล้วก็รู้สึกเย็นๆ จากสำลีนุ่มๆ ที่สัมผัสแผ่วเบา ตอนนี้เขาไม่สงสัยแล้วว่าเหตุใดพ่อจึงคิดจะแต่งงานใหม่กับคุณหญิงพราวรัมภา ในเมื่อเธอมีแทบทุกสิ่งที่ผู้ชายทั้งโลกปรารถนาอย่างที่เขาเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“เสร็จแล้วค่ะ” พราวรัมภาหันไปเก็บอุปกรณ์และเศษสำลีใช้แล้วรวมไว้ในตะกร้าใบเดิม
“คุณหญิงทำอะไรได้หลายอย่างจริงๆ นะครับ” เขาบอกพลางขยับตัวให้นั่งบนเก้าอี้ในท่าปกติ
“เรื่องเท่านี้เองค่ะ ใครก็ทำได้”
จัสตินได้ยินแล้วอยากจะเถียงว่าทำไม่ได้อย่างนี้ทุกคนหรอก เพราะบางคนอาจคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไรให้ใครบ้าง ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่เคยมีอยู่ในพื้นฐานจิตใจ
“แล้วตกลงว่าผมจะได้เรียนดนตรีกับคุณครูไหมครับ”
“ค่ะ” เธอรับคำโดยแอบถอนใจเบาๆ
แม้ยังไม่เข้าใจว่าเขาต้องการเรียนดนตรีไปทำไม เพราะดูจากบุคลิกโดยรวมแล้วเขาไม่น่าใช่คนที่สนใจเรื่องบันเทิงเท่าใดนัก จัสตินดูเป็นนักธุรกิจเต็มตัวทั้งท่าทางและวาจา แต่ก็จำต้องรับปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ผมไม่ได้ทำให้คุณหญิงลำบากใจใช่ไหม”
“ไม่ลำบากอะไรค่ะ ปกติก็สอนเป็นประจำอยู่แล้ว คุณเองก็มีพื้นฐานด้านดนตรีมาก่อน น่าจะไม่ยาก”
“ผมแทบลืมไปหมดแล้วครับ เคยเรียนตอนเด็กๆ เพราะมีเพื่อนเรียนดนตรีกันหลายคน”
“ที่กรุงเทพฯ นี่หรือคะ เห็นคุณว่าตอนเด็กๆ เรียนหนังสืออยู่ที่นี่”
“ใช่ครับ ผมเป็นลูก...เอ่อ...ไม่ใช่ลูกครึ่ง เขาเรียกว่าอะไร คุณยายของผมเป็นคนไทย” เขาบอกให้หญิงสาวรับรู้เพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์และลดความรู้สึกแตกต่าง อย่างน้อยเขาก็มีเชื้อสายไทยเศษเสี้ยวหนึ่งอยู่ในตัว
“จริงหรือคะ เขาเรียกลูกเสี้ยวค่ะ” พราวรัมภาทำตาโตกว่าเดิมด้วยความประหลาดใจ “ไม่น่าเชื่อ...”
“ทำไมล่ะครับ” จัสตินยิ้มพราย เริ่มรู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว
“ก็คุณดูไม่เหมือนคนไทยเลยน่ะสิ”
พราวรัมภาเริ่มกล้าพูดกล้าคุยกับเขามากขึ้นเพียงแค่รู้ว่าเขามีเลือดคนไทยอยู่ในตัว ต่างจากตอนที่คิดว่าเขาเป็นฝรั่งแท้ ซึ่งทำให้เธอต้องระมัดระวังไปเสียทุกเรื่อง เพราะไม่ต้องการให้คนต่างชาติต่างภาษานึกตำหนิหรือดูหมิ่นเอาได้
“ผมพูดไทยชัดขนาดนี้ยังไม่เหมือนอีกหรือครับ”
“นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ทำไมคุณถึงสนใจภาษาไทยจนพูดได้ขนาดนี้”
“ผมชอบประเทศไทยและอยากอยู่ที่นี่ก็เลยกลับมาอีก” เขาเล่าเรื่อยๆ เหมือนชวนคุย ขณะที่พราวรัมภานั่งลงบนเก้าอี้ตรงกันข้าม
“มาคนเดียวหรือคะ”
“ครับ แม่ผมเสียแล้ว ตั้งแต่ผมเด็กๆ”
“เสียใจด้วยค่ะ”
“แล้วคุณหญิงจะให้ผมเริ่มเรียนได้เมื่อไรครับ”
“ต้องแล้วแต่ลูกศิษย์ค่ะ อ้อ...พราวยังไม่ได้บอกคุณว่าถึงยังไงพราวก็ยังต้องไปสอนที่โรงเรียนบ้างนะคะ แต่คงน้อยลง”
“แล้วแต่คุณหญิงครับ แต่สำหรับผมเรียนที่วังธาดาได้รึเปล่า”
“ได้ค่ะ ห้องข้างล่างมีเปียโน”
“ถ้าอย่างนั้นเราลงไปดูห้องเรียนกันเลยดีไหม” เขาชวนอย่างกระตือรือร้น
คุณครูจึงลุกขึ้นแล้วเดินนำลงไปยังห้องพักผ่อนชั้นล่างที่ตกแต่งเป็นห้องสมุดในแบบเรียบขรึม แต่มีเปียโนหลังใหญ่อยู่ในนั้น โดยต้องเดินผ่านห้องโถงออกไปที่ระเบียงเพื่อไปยังปีกตึกด้านหลัง
ระหว่างที่เดินลงจากชั้นสองมาถึงโถงทางเดินหน้ามุขเทียบจอดรถ จึงเห็นว่ารถเบนซ์คันเก่าของวังธาดากำลังแล่นเข้ามา ทั้งคู่จึงหยุดยืนรอคนในรถอยู่หน้าบันได
“หม่อมสุภัสสรค่ะ คุณแม่ของพราวเอง” หญิงสาวรีบแนะนำหลังจากหม่อมสุภัสสรเดินขึ้นบันไดมาแล้วด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี “แม่คะ นี่คุณจัสติน บราวน์ ค่ะ ผู้ถือหุ้นใหม่ของเรา”
“สวัสดีครับ คุณ...หม่อม”
ชายหนุ่มยกมือไหว้แบบคนไทยได้อย่างสวยงามจนน่าทึ่ง ฝ่ายที่เพิ่งได้พบเป็นครั้งแรกจึงมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าฝรั่งเต็มตัวอย่างเขาจะไหว้เป็นด้วยซ้ำ
“สวัสดีค่ะ คุณบราวน์” หม่อมสุภัสสรรับไหว้ด้วยท่าทางชดช้อยสวยงามตามแบบชาววัง “ได้ยินหญิงพราวกับหนูอินพูดถึงมาหลายหนแล้ว เพิ่งได้เห็นตัวจริงวันนี้เอง”
“พูดถึงผมว่ายังไงบ้างครับ”
เขามองสำรวจชายาของท่านเจ้าของวังคนก่อนซึ่งยังดูสาวและสวยจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกสาวอายุเท่าคุณหญิงพราวรัมภา
“แหม...จะพูดถึงว่ายังไงได้คะในเมื่อคุณบราวน์ดูดีขนาดนี้ ก็ตามประสาสาวๆ นั่นแหละค่ะ” ดวงตาคมสวยของหม่อมแลสบตาชายหนุ่มด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “แล้วไม่ต้องเรียกคุณหม่อมนะคะ เรียกคุณน้า คุณป้า หรือจะเรียกคุณแม่อย่างหญิงพราวก็ได้ค่ะ”
“ครับ” จัสตินรับคำ ขณะที่หม่อมสุภัสสรหัวเราะเบาๆ เหมือนขำที่ถูกเรียกว่าคุณหม่อม ซึ่งน่าจะเป็นชื่อเรียกที่ประหลาดกระมัง
“เชิญข้างในกันเถอะค่ะ” พราวรัมภาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าทักทายกันอยู่นานแล้ว
จัสตินเดินตามเจ้าของวังทั้งสองคนไปยังปีกตึกด้านซ้ายที่เป็นโถงใหญ่ เขามองเห็นว่าทั้งหม่อมสุภัสสรและลูกสาวมีรูปร่างหน้าตาละม้ายกันมาก โดยเฉพาะผิวขาวผุดผาดชวนมอง ผิดแต่ว่าฝ่ายที่สูงวัยแลดูอวบอิ่มกว่าตามอายุ
“เอ...ได้ยินหญิงพราวว่าวันนี้ไปดูที่แถวถนนบางนาใช่ไหมคะ” หม่อมสุภัสสรหันมาถามชายหนุ่มพลางมองเสื้อยืดที่เขาสวมอยู่ซึ่งดูแปลกตาสำหรับการสวมใส่ออกนอกบ้าน
“ใช่ครับ เรากลับมาถึงได้สักพัก”
“เราเดินไปดูงานซ่อมแซมที่ตึกเล็กค่ะ แล้วช่างทำแปรงทาสีหล่นใส่คุณจัสตินจนเสื้อเลอะ พราวเลยหาเสื้อยืดให้เปลี่ยน” พราวรัมภาต้องรีบอธิบาย เพราะอ่านสายตาหม่อมออกว่ากำลังสงสัยเรื่องใด เป็นใครก็ต้องสงสัยที่จู่ๆ มีหนุ่มแปลกหน้าแถมเป็นชาวต่างชาติมาแต่งตัวสบายๆ แล้วเดินฉุยฉายอยู่ในบ้านตัวเอง
แม้แต่พราวรัมภาเองก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาให้ความสนิทสนมกับเธอมากกว่าการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ เพราะโดยปกติแล้วชาวต่างชาติมักจะคุยกันเฉพาะเรื่องธุรกิจการงานเท่านั้น แต่จัสตินกลับพยายามหรืออยากรู้ทุกเรื่องในวังธาดาและอาจรวมไปถึงเรื่องของเธอเองด้วย แม้เขาจะไม่ได้พูดตรงๆ ก็ตาม แต่ถึงจะสงสัยและแปลกใจอย่างไรเธอก็ยังต้องต้อนรับขับสู้ไปตามมารยาท
“คุณบราวน์มาอยู่เมืองไทยนานแล้วหรือคะ” หม่อมสุภัสสรถามขณะนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องรับแขกหรูหรา
“ครับ เคยมาอยู่ตอนเด็กๆ แล้วหนนี้มาอยู่ได้ปีกว่าแล้วครับ เรียกผมจัสตินดีกว่านะครับ”
“ถึงว่าสิ พูดไทยคล่องเชียว”
หม่อมสุภัสสรมองเขาอย่างพินิจอีกรอบแล้วจึงยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ ก่อนจะเอ่ยอีกว่า
“เรื่องเบอร์รีแบ็ก พวกเด็กๆ เขาปั้นมากับมือ โดยเฉพาะยายหนูอินน่ะหวังเอาไว้มากเชียวค่ะ โชคดีที่ได้หุ้นส่วนดีๆ อย่างคุณจัสตินเข้ามาช่วยอีกแรงนะคะ”
“ผมสนใจลงทุนทำธุรกิจในไทยครับ เพราะตั้งใจว่าจะไม่กลับไปอเมริกาอีกแล้ว”
“อย่างนั้นเลยหรือคะ” หม่อมสุภัสสรถามพลางเลิกคิ้วคล้ายประหลาดใจ
“ที่นี่น่าอยู่มากกว่าครับ อาหารก็อร่อยกว่า” จัสตินพยายามให้เหตุผลที่ตนเองตัดสินใจละทิ้งถิ่นฐานเพื่อมาอยู่ประเทศไทย
“แถมสาวไทยยังสวยอีกด้วยใช่ไหมคะ” หม่อมสุภัสสรกระเซ้าเล่น แล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าหนุ่มฝรั่งทำหน้าขัดเขินขึ้นมาในทันที
“ข้อนี้คงไม่มีใครเถียงครับ” เขายิ้มแล้วเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หม่อมที่เพียงยิ้มบางๆ ตามแบบฉบับของเธอ
“ถ้าชอบอาหารไทยอร่อยๆ ก็เชิญที่วังธาดาได้นะคะ ดูเหมือนว่าน่าจะเคยชิมแล้ว”
“ครับ อร่อยมาก แถมยังสวยจนแทบไม่กล้าทาน”
“แล้วคุณจัสตินกับหญิงพราวยังมีอะไรต้องปรึกษากันอีกรึเปล่าคะ แม่ว่าจะขอตัวขึ้นข้างบนไปพักสักหน่อย” ตอนท้ายหม่อมสุภัสสรหันไปทางลูกสาวคนสวย “หญิงพราวอยู่ต้อนรับคุณจัสตินไปก่อนนะลูก”
“ค่ะ”
“เรากำลังจะไปที่ห้องเปียโนกันครับ” เขาบอกแล้วลุกขึ้นพร้อมๆ กับหม่อม
“ไปเล่นเปียโนกันหรือคะ” หม่อมสุภัสสรเลิกคิ้วอีกหน ก่อนจะเหลือบตาไปทางลูกสาวด้วยความประหลาดใจ เพราะตามปกติแล้วลูกสาวของเธอเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและไม่สนิทกับใครง่ายนัก
“คุณจัสตินอยากให้พราวสอนเล่นดนตรีเพื่อผ่อนคลายค่ะ”
“งั้นก็เชิญเถอะจ้ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
หม่อมสุภัสสรบอกทั้งลูกสาวและแขก แล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองด้วยสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ
ความคิดเห็น |
---|