6

แผนการร่วมทุน


นับตั้งแต่วันนั้น จัสตินเลิกติดต่อกับดาหวันโดยเด็ดขาด เพราะไม่ต้องการต่อยอดความสัมพันธ์ใดๆ อีก เธอโทร. มาหาเขาโดยไม่กล้าบุกมาที่คอนโดอย่างคราวล่าสุด คงเพราะเขาสั่งห้ามไว้แล้วนั่นเอง ทั้งยังสั่งให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนรหัสผ่านใหม่ พร้อมสั่งคนดูแลว่าห้ามใครขึ้นมาที่ห้องของเขาตามลำพังอีกเป็นอันขาด

เขาไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำ จึงมองว่าดาหวันเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร เขาไม่ควรให้ความหวังใดๆ แก่เธออีกเพราะอนาคตก็ต้องเลิกรากัน เขาไม่เคยคบใครนานเกินปีเพื่อไม่ให้รู้สึกผูกพันต่อกันจนเกินไป แต่สุดท้ายกลับเริ่มรู้สึกว่าการเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่นไม่ทำให้มีความสุขแต่อย่างใด บางครั้งรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกด้วยซ้ำทั้งที่มีคนนอนอยู่ข้างๆ

เขาไม่ได้กลับไปหานาตาลีเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ ซึ่งหญิงสาวก็เข้าใจดีจึงไม่ทำอะไรให้เขาอึดอัด แถมยังช่วยเป็นที่ปรึกษาให้อีกด้วย ส่วนเรื่องบนเตียงระหว่างเขากับเธอไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้สึกผูกพันแต่อย่างใด ในเมื่อรู้แก่ใจว่าต่างปราศจากความรัก

วันนี้เขามาหานาตาลีที่ห้องชุดอีกครั้งเพื่อฟังความคืบหน้า

“ลีเพิ่งนัดคุยกับคุณอรอินทุ์เมื่อวานนี้เองค่ะ” หญิงสาวรายงานทันทีเพราะรู้ว่าเขาใจร้อน

“แล้วเธอว่าไงบ้างครับ” เขารู้แล้วว่าอรอินทุ์คือญาติสาวของพราวรัมภา และทั้งคู่ลงทุนทำธุรกิจร่วมกันซึ่งกำลังไปได้ดีในตอนนี้

“เธอสนใจมากเลยค่ะเรื่องขยายธุรกิจเพื่อส่งออกต่างประเทศเพราะเคยคิดไว้อยู่แล้ว แต่คงต้องรอปรึกษากับหุ้นส่วนซึ่งก็คือคุณหญิง”

“แล้วจะให้คำตอบได้เมื่อไหร่ครับ”

“ลีคิดว่าคุณอาจต้องไปคุยกับคุณอรอินทุ์และคุณหญิงด้วยตัวเอง ลำพังให้ลีคุยเองมันดูเลื่อนลอยไปน่ะค่ะ เพราะเจ้าของเงินอยู่ไหนก็ไม่รู้ ใครเขาจะเชื่อใจล่ะคะ”

“ครับ ตกลงตามนั้น คุณช่วยนัดให้ผมได้ไหม”

“ได้สิคะ ก็ลีเป็นผู้ช่วยคุณแล้วนี่” หญิงสาวเอ่ยอย่างเต็มใจ แม้เขาจะไม่ใช่คนที่เธอคาดหวัง แต่ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยทำอะไรให้ต้องทุกข์ร้อน เพราะต่างก็พอใจในความสัมพันธ์แบบนี้มาแต่ต้น

“ขอบคุณครับ”

“ดูเหมือนคุณสนใจคุณหญิงพราวมากเลยนะคะ ลีชักสงสัยแล้วสิ” นาตาลีหลิ่วตาแบบรู้ทัน

“คุณก็รู้ว่าผมสนใจเธอเพราะอะไร” เขาว่าแล้วส่ายหน้า

“ค่า แต่ระวังเถอะจะตกหลุมคุณหญิงเข้าอีกคนนะคะ” นาตาลีเตือนโดยพูดไม่หมด ได้แต่คิดในใจว่า ‘ทีนี้ละ พ่อลูกได้ฆ่ากันตายเพราะผู้หญิงคนเดียว!’

“แล้วตอนนี้ธุรกิจของคุณหญิงกับญาติเป็นไงครับ”

“เท่าที่รู้ก็คือกำลังมาแรงค่ะ เป็นกระเป๋าแบรนด์ไทยที่เริ่มต้นมาจากการขายในอินเทอร์เน็ตก่อนจะมาเปิดหน้าร้านตามห้างใหญ่ ตอนนี้ยี่ห้อ ‘เบอร์รีแบ็ก’ กำลังนิยมในหมู่วัยรุ่นและสาววัยทำงานเลยค่ะ”

“น่าสนใจนะครับ จับตลาดกลุ่มใหญ่เสียด้วย” เขาว่าอย่างนักธุรกิจ และไม่นึกว่าสาวในแวดวงสังคมชั้นสูงอย่างคุณหญิงพราวรัมภาและญาติสนิทจะมีไอเดียในการทำมาหากินได้ขนาดนี้

“ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณอินก็เลยทำรองเท้าสำหรับกลุ่มเป้าหมายเดิมออกมาด้วย กำลังขายดีจนผลิตไม่ทันเพราะเธอไม่มีโรงงานเอง ต้องจ้างทำ”

“แสดงว่าธุรกิจของทั้งสองคนกำลังไปได้สวย แต่ดูเหมือนคุณอรอินทุ์จะเป็นตัวหลักในการบริหารงาน”

“ใช่เลยค่ะ เพราะคุณหญิงไม่ค่อยถนัดงานค้าขายเท่าไหร่ เธอเป็นนักดนตรีน่ะค่ะ”

จัสตินได้ยินแล้วถึงกับเลิกคิ้ว สาวสวยท่าทางเหมือนนางหงส์คนนั้นน่ะหรือเป็นนักดนตรี

อ้อ...ใช่แล้ว! ในรายงานของนักสืบเอกชนแจ้งมาที่เขาแล้วว่าเธอเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนดนตรีและเรียนจบมาด้านนี้ นั่นอาจเป็นเหตุให้คุณหญิงพราวรัมภาไม่เก่งเรื่องทำมาค้าขายเพราะเป็นศิลปิน

แต่นักดนตรีก็ไม่น่าจะเก่งเรื่องผู้ชาย!

“ดูๆ แล้วคุณหญิงเองก็เป็นคนขยันทำมาหากิน คุณอย่าไปทำอะไรร้ายๆ กับเธอเลยนะคะ”

เสียงของนาตาลีทำให้เขาต้องหยุดคิดสิ่งที่เพิ่งแวบเข้ามาในสมอง เขาส่ายหน้าช้าๆ เพราะคนเรามองกันเพียงแค่นี้ไม่ได้

“ดูเหมือนคุณจะเข้าข้างคุณหญิงมากกว่าผม”

“ก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนี่คะ อีกอย่างเธอก็น่าสงสารออก บ้านก็กำลังจะถูกยึด มันน่าอดสูขนาดไหนสำหรับคนที่เป็นถึงคุณหญิงน่ะ”

“แต่การมาหลอกพ่อผมไม่ใช่การแก้ปัญหาแน่ๆ”

“แล้วคุณคิดจะทำยังไงต่อไปคะ ถ้าหากว่าสองคนนั้นตกลงขยายธุรกิจโดยให้คุณเข้าร่วมหุ้น”

“เรื่องผมกับพ่อต้องเป็นความลับ คุณเข้าใจใช่ไหมนาตาลี”

“เข้าใจค่ะ”

“ผมเช็กกับคนสนิทของพ่อแล้ว เขาจะมากรุงเทพฯ ในอีกสองเดือนข้างหน้า เพราะระยะนี้มีงานทางโน้นหลายเรื่อง” เขาเริ่มเผยแผนการบางอย่างให้ผู้ช่วยรับรู้ “ผมจะใช้เวลาช่วงนี้แหละพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

“พิสูจน์อะไรคะ”

“คุณหญิงรักพ่อจริงไหม”

“อืม...ฟังดูยากจัง” นาตาลีว่าแล้วย่นจมูก

“ผมจะทำให้คุณหญิงเปลี่ยนใจจากพ่อ”

“ว่าไงนะ!” สาวลูกครึ่งทำตาโต

“คอยดูสิ ผมทำได้แน่”

 

อรอินทุ์รีบแจ้งข่าวกับพราวรัมภา เรื่องที่มีนักลงทุนชาวต่างชาติสนใจมาร่วมหุ้นทำธุรกิจกับกิจการเล็กๆ ของทั้งสองคน

“เป็นไปได้เหรอ แล้วเขามารู้จักสินค้าของเราได้ไง” พราวรัมภาแปลกใจไม่น้อยที่มีชาวต่างชาติมาสนใจบริษัทเล็กๆ ของตนเอง

“ก็แปลว่าแบรนด์ของเราดังแล้วไงล่ะ หญิงพราว”

“จริงเหรอ คือ...พราวก็รู้นะว่าหนูอินทุ่มเทกับงานนี้มาก ถ้ามันเป็นไปได้พราวก็ดีใจด้วย”

“เป็นไปได้สิจ๊ะ จริงๆ อินก็หวังไว้นะว่าอยากให้แบรนด์เราเป็นสินค้าส่งออก แต่กำลังเราไม่พอ” อรอินทุ์ซึ่งเป็นสาวมีฝันและไฟแรงบอกอย่างหมายมั่น

“งั้นก็ดีเลยถ้าเขาช่วยเราได้” พราวรัมภาเริ่มฝันตามไปอีกคน

“ถ้าเขาลงทุนกับเราจริงๆ หญิงพราวมาช่วยงานทางนี้แบบเต็มตัวได้รึเปล่า ส่วนเรื่องโรงเรียนก็ให้ผู้จัดการดูแลไป ไม่ต้องลงไปสอนเองหรอก” อรอินทุ์เริ่มวางแผนคร่าวๆ ในใจทั้งที่ยังไม่ได้พบหน้านักลงทุนคนนั้น

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ทุกวันนี้พราวก็ทำงานเพื่อหาเงินให้ได้เยอะที่สุดอย่างที่หนูอินรู้นั่นแหละ”

“ถ้างานนี้ไปได้สวย ไม่แน่นะ เรื่องคุณบราวน์อะไรนั่น หญิงพราวก็ไม่ต้อง...”

“เฮ้อ...หนูอินจ๋า เอาเข้าจริงๆ พราวก็ยังไม่รู้เลยว่าถึงเวลาจะทำใจได้รึเปล่า เผลอๆ จะกลายเป็นนางเอกในหนังเรื่องรันอะเวย์ไบรด์ก็ได้”

พราวรัมภาบอกความในใจแล้วหน้าหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่การได้พูดคุยกับอรอินทุ์ถือเป็นเรื่องผ่อนคลายและสบายใจที่สุดเพราะวัยเท่ากัน และอีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ของเธอเป็นอย่างดีโดยไม่ต้องเท้าความกันให้เสียเวลา

“ถ้าไม่อยากแต่งก็ปฏิเสธเขาไป” อรอินทุ์บอกอย่างเด็ดเดี่ยว แม้จะเป็นญาติสนิทกันแต่บุคลิกของทั้งคู่แตกต่างกันมาก

อรอินทุ์เป็นสาวเปรี้ยวทันสมัยและมั่นใจในตัวเอง ส่วนพราวรัมภาดูอ่อนหวานและมาดนิ่งกว่าตามประสาคนเป็นศิลปิน แถมยังเป็นครูบาอาจารย์อีกด้วย

“ห่วงก็แต่แม่ ไม่รู้ว่าจะทำใจได้ไหม อีกอย่างก็เสียดายวังของท่านพ่อด้วย เป็นสมบัติชิ้นเดียวของท่านจริงๆ ที่ยังเหลืออยู่” พราวรัมภาบอกตามแบบสาวหัวเก่าที่ยังเห็นเรื่องครอบครัวและสมบัติของบรรพบุรุษเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรักษาไว้เท่าชีวิต

“มันไม่ใช่สมบัติเลยนะจ๊ะหญิงพราว แต่มันคือหนี้ก้อนโตต่างหาก” อรอินทุ์ว่าอย่างไม่อ้อมค้อม “ก่อนจะคิดถึงหม่อมแม่หรือใครๆ ถามตัวเองก่อนดีกว่าว่าตัดใจได้ไหม”

พราวรัมภาฟังคำแนะนำของญาติสาวแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แม้จะสำเหนียกได้ว่าเงินทองหรือทรัพย์สมบัติเป็นของนอกกาย แต่ในเมื่อยังเป็นเพียงปุถุชน จะให้ตัดใจในชั่วข้ามคืนคงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าทุกวันนี้ยังอับจนหนทาง แต่พราวรัมภาก็ยังไม่ท้อถอย

“หนูอินคิดว่าพราวควรจะขายวังใช่ไหม”

“ใช่ ขายแล้วใช้หนี้ อาจจะมีเงินเหลือด้วยซ้ำ ดีกว่าปล่อยให้แบงก์ยึดเอาไปขายทอดตลาด เผลอๆ อาจไม่พอใช้หนี้แล้วต้องถูกแบงก์ฟ้องเรียกให้ชดใช้ส่วนต่างอีกต่างหาก”

“พราวคงต้องปรึกษาแม่ดูก่อน”

“โธ่...ปรึกษาไปก็เท่านั้น เพราะหม่อมแม่เชียร์ให้หญิงพราวแต่งกับคุณบราวน์อยู่แล้วนี่ คงไม่เห็นดีด้วยหรอกที่จะขายวังไปใช้หนี้”

“แต่เราเหลือกันแค่สองคนแม่ลูกแล้วนะตอนนี้ ยังไงพราวก็ต้องเห็นแก่แม่บ้าง” พราวรัมภาไม่กล้าตัดสินใจ แม้จะรู้ว่าการขายวังคือทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

อรอินทุ์ฟังแล้วสงสารพราวรัมภาเหลือเกิน ชีวิตที่ควรอยู่ในวัยสดใสคงมีอันต้องดับแสงหรือหมองลงหลังจากเข้าพิธีวิวาห์กับเจ้าบ่าววัยเฉียดหกสิบ

“อินไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่ทั้งสาวและสวยอย่างหญิงพราวจะต้องมาแต่งงานกับฝรั่งแก่ๆ มันเป็นไปได้ยังไง ทำไมโลกนี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย” อรอินทุ์บ่นด้วยความเสียดายชีวิตในวัยเริ่มต้นของญาติสาว

“โลกยุติธรรมเสมอแหละนะหนูอิน อยากได้เงินเขาก็ต้องอดทน” พราวรัมภาว่าอย่างปลงๆ แต่แฝงด้วยความเศร้าสลดที่ฉายชัดออกมาทางดวงตา

“แล้วจะต้องทนไปถึงเมื่อไหร่กัน”

“ก็จนกว่า...เขาคงเบื่อเราสักวันนั่นแหละ”

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” อรอินทุ์พูดประโยคเดิมซ้ำอีกรอบเหมือนบ่นกับตนเอง ก่อนจะถอนหายใจดังเฮือก

“ถ้าคุณบราวน์เป็นหนุ่มสักสามสิบกว่า หนูอินคงไม่สงสารพราวใช่ไหม” พราวรัมภาพยายามเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศให้ครึกครื้นขึ้น เพราะวันนี้มีเรื่องดีๆ เกี่ยวกับการงานเข้ามาจึงไม่ควรคุยเรื่องน่าหดหู่กัน

“แน่นอนสิจ๊ะคุณหญิง นอกจากจะไม่สงสาร เผลอๆ จะอิจฉาเอาด้วยซ้ำ แหม...ทำไมเราสองคนถึงไม่ลักกีอินเลิฟกับเขามั่งนะ”

“หนูอินยังมีโอกาส ไปไหนมีแต่คนมอง เพียงแต่ไม่มีเวลาสนใจใครเท่านั้นเอง” พราวรัมภาให้กำลังใจญาติสาวที่หายใจเข้าหายใจออกเป็นเรื่องงานมาตลอดหลายปี จนกระทั่งธุรกิจเล็กๆ ที่สร้างมากับมือเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็เพราะความมุ่งมั่นของอรอินทุ์

“ยังไม่เข้าตาน่ะ” อรอินทุ์ตอบตรงๆ เพราะเรื่องคู่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิง ทำให้ต้องเลือกคนที่ใช่จริงๆ

แม้จะมีภาพลักษณ์เป็นสาวเปรี้ยวจบนอก แต่อรอินทุ์มีกรอบการใช้ชีวิตในบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องผู้ชาย ถ้าไม่ใช่คนในสเปกจริงๆ อย่าหวังว่าคนอย่างเธอจะชายตาแลให้เสียเวลา เผลอๆ อาจต้องเปลืองทั้งตัวและชื่อเสียงซึ่งมีผลกระทบไปถึงเผ่าพงศ์วงศ์ตระกูล อรอินทุ์จึงไม่มีรักแบบเผื่อเลือก ถ้าหาคนถูกใจไม่ได้ก็ขออยู่เป็นโสดไปเรื่อยๆ ดีกว่า

“หนูอินชอบฝรั่งเหรอ”

“ไม่รู้สิ ตอนไปเรียนก็เฉยๆ คงเห็นทุกวันจนเบื่อ”

“แต่พราวว่าคนไทยดีกว่า น่าจะเข้าใจกันมากกว่า” พราวรัมภาว่าอย่างคนชาตินิยมพอสมควร

“คนเราถ้าจะเข้าใจกันเสียอย่าง ชาติไหนก็เข้ากันได้ ไม่เคยเห็นเหรอจ๊ะ ผัวเมียคนไทยด้วยกันพออยู่ๆ กันไปแทบจะตีกันตายไปข้าง” อรอินทุ์แย้งอย่างมีเหตุมีผล

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” พราวรัมภาย่นจมูกแบบกลัวๆ หากว่าตนต้องตกอยู่ในสภาพนั้น

“วกมาเรื่องของหญิงพราวอีกทีนะ อินว่าชะลอเรื่องแต่งงานเอาไว้ก่อนเถอะ อยากให้ใช้เวลาตัดสินใจให้ดีกว่านี้”

“แต่ธนาคารเร่งรัดมาแล้ว ทุกวันนี้ก็มีเงินแค่พอส่งดอกเบี้ยเท่านั้นเอง เงินต้นแทบไม่เคยแตะ” พราวรัมภาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะบอกต่อว่า “เครื่องเพชรเครื่องทองมีเท่าไร พราวกับแม่เอาออกมาขายจนแทบไม่เหลือแล้วนะ ส่วนเงินที่หาได้ทุกวันนี้ก็เป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน”

“อย่าเพิ่งท้อนะหญิงพราว ไม่แน่พรุ่งนี้อาจมีทางออกก็ได้” อรอินทุ์ให้กำลังใจ

“ขอบใจนะ นี่ถ้าไม่ได้คุยกับหนูอินบ้างคงประสาทกินไปนานแล้ว เพื่อนก็ไม่ค่อยมีเสียด้วยสิ”

พราวรัมภายิ้มออกมาได้เล็กน้อย เธอเป็นคนชอบเก็บตัวจึงมีเพื่อนไม่มากนัก แถมช่วงเรียนมหาวิทยาลัยยังไปเรียนต่อที่อังกฤษ ยิ่งทำให้มีเพื่อนน้อยลงในช่วงเวลานั้น

สองสาวนั่งคุยกันต่อเรื่องธุรกิจของตนอยู่ภายในร้าน ‘เบอร์รีแบ็ก’ ซึ่งเป็นร้านสาขาแรกหลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังจากการจำหน่ายออนไลน์ ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของอรอินทุ์ก็ดังขึ้น เจ้าของจึงรีบหยิบมาดู

“คุณนาตาลีโทร. มา” อรอินทุ์หันมาบอกคนข้างๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะรับสายพิธีกรชื่อดัง

พราวรัมภารู้ว่านาตาลี พิธีกรสาวและนักแสดงที่มีชื่อเสียงในเวลานี้ คือคนที่เป็นตัวกลางระหว่างอรอินทุ์กับนักลงทุนชาวต่างชาติคนนั้น คนที่มีชื่อเสียงระดับประเทศอย่างนาตาลีย่อมมีความน่าเชื่อถืออยู่พอสมควร

แม้ว่าอรอินทุ์กับนาตาลีไม่สนิทสนมกันมากนัก แต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันพอควร เพราะอรอินทุ์มีเพื่อนฝูงอยู่ในวงการแฟชั่นเมืองไทยหลายคน จึงมักไปออกงานที่เป็นแหล่งรวมคนดังอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นอีกหนทางหนึ่งในการทำธุรกิจและสร้างแบรนด์ขึ้นมาให้เป็นที่รู้จัก จนตอนนี้เบอร์รีแบ็กสามารถเปิดร้านเพื่อวางจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้นอีกสองแห่งในห้างชื่อดังภายในเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น

“เขานัดเราพรุ่งนี้เย็น ตกลงกันเรื่องธุรกิจ” อรอินทุ์วางสายแล้วรีบบอกหุ้นส่วนทันที

“จริงเหรอหนูอิน” คนที่คอยฟังข่าวตื่นเต้นตามไปด้วย

“เห็นไหม บอกแล้วว่าพรุ่งนี้อาจจะมีอะไรดีๆ เข้ามา”

สองสาวยิ้มให้กันอย่างมีความหวัง แม้ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยวันนี้ก็มีความสุขที่มีเรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิต

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น