9

บทที่ 9


อยากเข้าหอ
“เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณแม่ให้เอาของมาให้ฉัน อะไรเหรอคะ” หญิงสาวตั้งใจถามเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่ชวนอึดอัดจนหายใจไม่ออก เพราะดูจากที่เขามองเธอตาไม่กะพริบแล้ว มันไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย
“คุณแม่ให้เอาแหวนแต่งงานมาให้คุณ” ชายหนุ่มหยิบแหวนแต่งงานที่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในออกมาชูให้เจ้าสาวดูแล้วอดนึกถึงคำพูดของมารดาที่พูดกับเขาตอนมอบแหวนวงนี้ให้ไม่ได้
‘แม่ไม่คิดเลยว่าแหวนวงนี้จะได้ใช้งาน เพราะไม่เห็นวี่แววว่าคิมจะยอมตกลงปลงใจกับผู้หญิงคนไหน’ ศรียุดาบอกด้วยรอยยิ้ม
‘ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าคุณแม่จะยอมมอบแหวนประจำตระกูลของเราให้เอิง’ พูดแล้วเขาก็อดแปลกใจไม่ได้ ‘ผมนึกว่าคุณแม่ไม่ชอบเอิงซะอีก’
‘แม่ยอมรับว่าแม่มีอคติกับเอิงเพราะเป็นพี่สาวของแม่ไออุ่น แต่คิมรู้มั้ยว่าทำไมแม่ถึงยอมให้คิมแต่งงานด้วย’ ผู้เป็นมารดาทอดสายตามองบุตรชายด้วยความรักและเข้าใจอย่างที่เคยเป็นเสมอมา
‘ทำไมเหรอครับ’
‘วันที่แม่บอกให้คิมแต่งงานกับเอิง แม่ตั้งใจพูดเพื่อให้คิมปฏิเสธแล้วไล่เอิงออกไปจากชีวิตไออุ่น เพราะแม่รู้ว่าคิมไม่อยากแต่งงาน แต่คิมกลับไม่ปฏิเสธ แถมยังดีใจออกนอกหน้าอีก แค่นั้นแม่ก็รู้แล้วว่าคิมมีใจให้เอิง’
คิรากรอึ้ง แม่ก็คือแม่ มองเขาทะลุปรุโปร่งภายในเวลาไม่กี่นาที
‘แล้วคุณแม่ยอมรับเอิงได้เหรอครับ’
‘แม่ยังไม่ยอมรับผู้หญิงคนนั้น แต่แม่ยอมรับการตัดสินใจของคิม แม่จะให้โอกาสเอิงพิสูจน์ตัวเองว่าเธอดีพอที่จะเป็นแม่ของไออุ่นและภรรยาของคิม’
‘ขอบคุณคุณแม่มากนะครับ’ ชายหนุ่มก้มกราบที่ตักของมารดาแล้วโอบกอดท่านไว้ด้วยความรักอย่างที่สุด สำหรับเขา ไม่มีอะไรมีค่ามากไปกว่าการที่คนในครอบครัวรักและเข้าใจแบบนี้อีกแล้ว
“คุณพร้อมจะเป็นครอบครัวเดียวกันกับผมแล้วใช่มั้ย” คิรากรถามเจ้าสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ซึ่งส่งกระแสความอบอุ่นไปถึงหัวใจคนฟัง
“พร้อมแล้วค่ะ” อลีนาตอบรับอย่างมั่นใจ แต่ในขณะเดียวกันก็อดขำอยู่ในใจไม่ได้ที่เขาจริงจังมาก ทั้งที่เป็นการแต่งงานจัดฉาก
“ผมขอเตือนไว้ก่อนว่า แต่งงานกันแล้ว ผมจะไม่มีวันปล่อยมือจากคุณเด็ดขาด”
“แล้วฉันจะคอยดู”
“แปลว่าคุณไม่เปลี่ยนใจ”
“ไม่ค่ะ”
“งั้นผมขอมือคุณหน่อย”
อลีนายิ้มให้เขาอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว จากนั้นจึงวางมือลงบนมือใหญ่ที่ยื่นรออยู่ตรงหน้า เขาบีบกระชับมือเธอแผ่วเบาก่อนจะยกขึ้นเพื่อบรรจงสวมแหวนแต่งงานให้ที่นิ้วนางข้างซ้าย ซึ่งเป็นแหวนเพชรเม็ดใหญ่ดีไซน์หรูหรา หญิงสาวคาดเดาอนาคตไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ก็เชื่อมั่นว่ามันคงไม่เลวร้าย เพราะเธอและเขาต่างก็มีหัวใจดวงเดียวกัน นั่นก็คือไออุ่น จะว่าไปก็คงเปรียบเสมือนนักเดินทางที่มีจุดหมายเดียวกัน อย่างไรก็ต้องประคองกันเดินไปจนถึงปลายทางให้ได้
“เปลี่ยนใจตอนนี้ไม่ทันแล้วนะ” คิรากรบอกพลางประทับรอยจูบลงบนหลังมือเนียนนุ่มที่เขาเพิ่งสวมแหวนให้พร้อมกับจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใสที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยาวตามธรรมชาติ และเหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาลเรียกร้องให้เขาเลื่อนริมฝีปากจากหลังมือของเธอขึ้นไปกดแนบกับเรียวปากนุ่มที่เขาเคยลิ้มรสมาแล้วครั้งหนึ่ง
อันนากระดกแชมเปญเป็นแก้วที่หกแล้วกระแทกแก้วเปล่าลงบนโต๊ะอย่างแรงจนคนข้างๆ หันมามอง เธอพยายามตะเกียกตะกายถีบตัวเองให้ขึ้นไปอยู่บนที่สูง แต่ดูเหมือนพระเจ้าไม่เข้าข้าง ศิวภัทรที่อุตส่าห์ใช้มารยาแย่งมาจากอลีนาก็กำลังจะเหลือแต่ตัวกับหนี้สิน
ส่วนมาร์ชหรือมกรธวัช ไฮโซหนุ่มทายาทนักธุรกิจพันล้านที่เธอฉกมาจากแพรวพราวก็เพิ่งสลัดเธอทิ้งเมื่อวันก่อน และตอนนี้เขาก็กำลังถูกบรรดาเซเลบริตี สาวน้อยสาวใหญ่รุมล้อมอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องจัดเลี้ยงเดียวกัน เขาเห็นเธอ แต่แกล้งทำเป็นเมิน นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกไร้ค่า
“ฉันจะหาผู้ชายคนใหม่ให้ดีกว่าคุณเป็นร้อยเท่าคอยดู!” อันนาตั้งปณิธานกับตัวเอง
“ก่อนจะหาผู้ชายคนใหม่ เอยควรจบกับพี่อย่างเป็นทางการก่อน” ศิวภัทรที่เฝ้าสังเกตอันนาอยู่ข้างหลังพักใหญ่ก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่ไม่แน่ใจว่าครั้งหนึ่งเขาเคยรักหรือแค่ติดบ่วงความเร่าร้อนกันแน่ “เราเลิกกันเถอะ พี่ขอยกเลิกการแต่งงาน”
อันนาเจ็บจี๊ดที่ถูกผู้ชายบอกเลิกถึงสองคนซ้อน “เลิกก็เลิก เอยก็ไม่อยากแต่งงานกับพี่พอลแล้วเหมือนกัน”
“ของทุกอย่างที่พี่เคยซื้อให้เอย พี่ยกให้ พี่ขอแค่แหวนวงนั้นคืน” ศิวภัทรมองไปที่แหวนเพชรราคาเกือบสิบล้านบาทบนนิ้วนางข้างขวาของเธอ ชายหนุ่มจำได้ว่าครั้งแรกที่เขามอบแหวนวงนี้ให้เธอ เขาสวมให้ที่นิ้วนางข้างซ้าย ถ้าเธอยังพอมีใจให้เขาอยู่บ้าง มันก็ควรจะอยู่ที่เดิม
“เอาคืนไปเลย” อันนาถอดแหวนปาใส่อกเสื้อของศิวภัทรอย่างเกรี้ยวกราดโดยไม่สนใจแขกเหรื่อที่ต่างหันมามอง “แล้วก็จบๆ กันไป ไม่ต้องมาให้เอยเห็นหน้าอีก!”
“ทุกวันนี้พี่ก็แทบไม่เจอหน้าเอยอยู่แล้ว ถ้าไม่ตามมาที่งานนี้ก็คงไม่เจอตัว” ศิวภัทรก้มเก็บแหวนที่ตกอยู่แทบเท้าขึ้นมาแล้วยิ้มเยาะใส่นัยน์ตาคนตรงหน้า “ถ้าเอยนิสัยดีได้สักเสี้ยวนึงของเอิง ชีวิตเอยคงดีกว่านี้มาก”
“ไม่ต้องมายุ่งกับชีวิตฉัน!” สรรพนามที่ใช้แทนตัวของหญิงสาวเปลี่ยนไปตามโทสะที่พุ่งสูงขึ้น “เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อนเถอะ สถานีโทรทัศน์กำลังจะเจ๊งมิเจ๊งแหล่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!”
“มันก็แค่วิกฤติทางธุรกิจ แค่ช่วงนึงเท่านั้น ยังไงครอบครัวพี่ก็ไม่ปล่อยให้มันพังแน่”
ถึงแม้ศิวภัทรจะเป็นผู้ชายโลเลหลายใจ แต่เรื่องงานเขาเป็นคนจริงจังและจัดว่าเป็นผู้บริหารที่เก่งมากคนหนึ่ง เขาเชื่อมั่นในตัวเองและทีมผู้บริหารของสถานีฯ ว่าจะช่วยกันกู้วิกฤตินี้ขึ้นมาได้
“ขอให้โชคดีก็แล้วกัน” อันนายิ้มเยาะ ไม่คิดว่าเขาจะทำได้ แล้วสะบัดหน้าเดินจากไป แต่ยังไปไม่ถึงไหน เด็กหญิงในชุดกระโปรงสีชมพูฟูฟ่องก็วิ่งมากอดเอวเธอเอาไว้
“คุณแม่ขา”
“แม่เม่อที่ไหน ถอยไป!” อันนาแกะแขนเด็กหญิงตัวน้อยออกจากตัวแล้วสะบัดออกอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด
“นี่เด็กนะเอย!” ศิวภัทรปราดเข้ามาช่วยประคองร่างเล็กที่ถูกผลักจนเกือบล้มได้ทัน
“อยากมาเกะกะทำไมล่ะ”
“ไออุ่นจะหาแม่เอิง” เด็กหญิงเบะปากร้องไห้พลางสะบัดตัวออกจากมือของศิวภัทรแล้วโผเข้าไปกอดเอวอันนาอีกครั้ง “แม่เอิงอย่าดุไออุ่น ไออุ่นรักแม่เอิงนะคะ”
“ไออุ่นเหรอ” อันนาก้มหน้าลงมองเด็กหญิงที่ซุกหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่แนบลำตัวของเธอด้วยสายตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึก เธอเบ่งคลอดเด็กคนนี้ออกมาก็จริง แต่ไม่ได้มีความผูกพันเลยแม้แต่นิดเดียว เธอคิดมาตลอดว่าเด็กคนนี้เป็นคนทำลายอนาคตเธอด้วยซ้ำ “ปล่อยฉัน ฉันไม่ใช่แม่เอิง” หญิงสาวบอกเสียงแข็งพลางจับไหล่เล็กทั้งสองข้างของเด็กหญิงดันออกห่างจากตัว
“ไออุ่นเจ็บ” ไออุ่นเงยหน้ามองอันนาทั้งน้ำตา ผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือน ‘แม่เอิง’ ของเธอมาก แต่แววตาแข็งกระด้างที่จ้องมองลงมานั้นไม่เหมือนแม่เอิงที่เธอรู้จักเลยสักนิด
“ไออุ่น แม่เอิงอยู่นี่ลูก” อลีนายกชายกระโปรงชุดเจ้าสาวที่ยาวกรุยกรายขึ้นขณะก้าวเร็วๆ เข้ามาหาไออุ่นพร้อมกับคิรากรและแก้วที่ตามหลังมาติดๆ
เด็กหญิงวัยสี่ขวบมองหน้าหญิงสาวสองคนที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนสลับกันไปมาด้วยความงุนงงว่าใครคือแม่ตัวจริงของเธอกันแน่ แต่สิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจวิ่งเข้าไปหญิงสาวในชุดแต่งงานที่เพิ่งก้าวเข้ามาใหม่ก็คือแววตาอาทรที่คุ้นเคย “แม่เอิงขา”
“ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะคะคนเก่ง” อลีนาย่อตัวลงกอดปลอบขวัญเด็กน้อยพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยรอยน้ำตาออกจากแก้มที่เป็นก้อนกลมนุ่มนิ่ม
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่คิม” ดานิกาที่จับกลุ่มคุยอยู่กับมกรธวัชหันมาเห็นเหตุการณ์จึงรีบเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงระคนตกใจ เพราะเห็นแต่ละคนหน้าตาเคร่งเครียดกันมาก อีกทั้งไออุ่นก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังไม่หยุด
“พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น” คิรากรกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำ ในขณะที่สายตาดุดันจ้องเขม็งไปที่อันนา “ทำอะไรลูกสาวผม”
“ฉันไม่ได้ทำอะไร” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง
“ผมได้ยินไออุ่นพูดว่าเจ็บ คุณทำอะไรแก!” ชายหนุ่มตะคอกเสียงดังเรียกสายตาคนทั้งงานให้หันมามอง นักข่าวเกือบทุกสำนักที่อยู่ในงานต่างกรูกันเข้ามาถ่ายภาพ แสงแฟลชสว่างวาบพร้อมกับเสียงชัตเตอร์ที่ดังระรัวส่งผลให้ไออุ่นที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของอลีนาตกใจกลัวจนตัวสั่นมากกว่าเดิม
“หยุดถ่ายเดี๋ยวนี้! ถ้าข่าวนี้มีการเผยแพร่ออกไป ผมจะฟ้องพวกคุณทุกสำนัก” เขาออกคำสั่งกับนักข่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแล้วปรับให้นุ่มนวลขึ้นเมื่อหันมาพูดกับอลีนา “เอิง พาไออุ่นขึ้นไปพักที่ห้องข้างบนก่อน”
“ค่ะ” อลีนาจะจูงไออุ่นออกไป แต่ก็นึกเป็นห่วงจึงหันกลับมาอีกครั้งเพื่อจะบอกให้คิรากรใจเย็น แต่พอเห็นว่าดานิกากำลังลูบแขนและกระซิบเตือนเขาด้วยเรื่องเดียวกับที่เธอเป็นห่วงอยู่แล้วจึงเปลี่ยนใจหันไปบอกศิวภัทรแทน “พี่พอลคะ เอิงฝากดูแลเอยด้วยนะคะ อย่าให้ก่อเรื่องอีก”
“ไม่ต้องให้ใครมาดูแลเอย เอยจะกลับบ้านแล้ว” อันนาบอกเสียงขุ่นแล้วเชิดหน้าเดินจากไปโดยไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดที่ทำให้ลูกในไส้ตกใจกลัวขนาดนั้น
คิรากรจะตามไปเอาเรื่องอันนา แต่ดานิกาฉุดแขนเขาเอาไว้ “อย่าตามไปเลยค่ะพี่คิม วันนี้วันสำคัญของพี่นะคะ แล้วนี่ก็ใกล้เวลาที่จะเริ่มพิธีการแล้วด้วย”
ชายหนุ่มตัดใจยอมปล่อยอันนาไปทั้งที่โกรธมาก ตอนนี้เขาต้องดูแลจิตใจที่บอบช้ำของไออุ่นก่อนเป็นอันดับแรก “พี่ฝากพายบอกคุณแม่ให้หน่อยนะว่าพี่ขอเลื่อนพิธีการออกไปครึ่งชั่วโมง พี่ขอพาไออุ่นขึ้นไปพักข้างบนให้หายตกใจก่อน”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ พายจะดูแลทางนี้ให้เอง พี่คิมไปดูแลไออุ่นเถอะ”
คิรากรขอบคุณดานิกา จากนั้นจึงหันไปอุ้มไออุ่นขึ้นมาแล้วพาเดินไปกดลิฟต์ โดยมีอลีนาและแก้วตามขึ้นไปด้วย
เมื่อขึ้นมาถึงห้องพักส่วนตัวที่เปิดไว้สำหรับเป็นห้องแต่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว ชายหนุ่มก็ตำหนิพี่เลี้ยงของไออุ่นอย่างไม่พอใจทันที แก้วยอมรับผิดแต่โดยดี แต่ก็อธิบายให้นายจ้างเข้าใจว่า เธอปล่อยให้ไออุ่นวิ่งเล่นอยู่กับเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานของแขกที่มาร่วมงานโดยยืนมองอยู่ห่างๆ แต่เผลอแค่แป๊บเดียว ไออุ่นก็คลาดสายตาไปแล้ว
“ผมไม่โอเคที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถึงมันจะเป็นความผิดครั้งแรก แต่ผมคงเสี่ยงให้พี่แก้วดูแลลูกสาวผมต่อไม่ได้”
“ใจเย็นก่อนค่ะคุณคิม ไออุ่นก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก” อลีนาที่กอดปลอบไออุ่นอยู่พูดเตือนสติ “เราเป็นพ่อแม่ ทิ้งลูกไว้กับคนอื่น เราก็ผิดเหมือนกัน”
“เป็นความผิดของผมเองเอิง” คิรากรยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง “ต่อไปผมคงต้องดูแลไออุ่นให้ดีกว่านี้และคงไม่ปล่อยให้น้องสาวคุณเข้าใกล้แกอีกเด็ดขาด” ชายหนุ่มมองร่างเล็กของไออุ่นที่ขดตัวจนแทบจะเป็นก้อนกลมอยู่ในอ้อมกอดของอลีนาแล้วยิ่งรู้สึกผิด เขาดูแลประคบประหงมลูกสาวมาอย่างดีตั้งแต่แรกเกิดจนถึงตอนนี้ ไออุ่นไม่เคยเจอคนใจร้ายเกรี้ยวกราดแบบที่อันนาทำเลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่เด็กหญิงจะมีอาการตื่นกลัวมากขนาดนี้ คงต้องใช้เวลาเยียวยากันสักพักกว่าที่ไออุ่นจะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้
“คุณพ่อขา อย่าดุป้าแก้ว” เสียงเล็กอู้อี้ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดของผู้ใหญ่ทั้งสามคน จากนั้นเจ้าของเสียงก็ผละออกจากอ้อมกอดแม่เดินไปกอดเอวของพี่เลี้ยงที่ยืนหน้าสลดด้วยความรู้สึกผิดที่ทำหน้าที่บกพร่องจนทำให้เด็กหญิงเกือบได้รับอันตรายจากคนใจร้าย “โอ๋ๆ ป้าแก้วไม่เศร้านะคะ”
แก้วทรุดตัวลงกอดเด็กหญิงที่เธอช่วยคิรากรเลี้ยงมาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็มด้วยน้ำตาคลอเบ้า ตัวเองยังมีน้ำตาเปื้อนแก้มอยู่เลย แต่ก็ยังมีแก่ใจมาปลอบพี่เลี้ยงอีก
“ตัดสินใจใหม่มั้ยคะคุณคิม” อลีนาละสายตาจากภาพน่ารักตรงหน้าแล้วหันไปถามเจ้าบ่าวของเธอที่ยืนมองภาพนั้นอย่างประทับใจระคนสะเทือนใจอยู่เช่นกัน
คิรากรชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจให้แก้วอยู่ทำหน้าที่ดูแลไออุ่นต่อไป แก้วทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาตลอด และไออุ่นก็รักแก้วมากราวกับเป็นคนในครอบครัว เวลาที่เขาพาไปเที่ยวโดยไม่มีแก้วไปด้วย ไออุ่นก็มักจะขอซื้อขนมหรือของเล่นตามประสาเด็กมาฝากแก้วเสมอ
“เมื่อกี้ผมโมโหมากไปหน่อย เพราะคนที่ทำให้ไออุ่นตกใจคือคนที่ผม ‘เกลียด’ ที่สุด พี่แก้วจำหน้าผู้หญิงคนนั้นไว้นะ แล้วต่อไปอย่าให้เขาเข้าใกล้ไออุ่นอีก”
“ขอบคุณมากค่ะคุณคิม ต่อไปฉันจะไม่ปล่อยให้น้องไออุ่นคลาดสายตาเลย” แก้วรับปากหนักแน่น ไม่ใช่เพราะกลัวตกงาน แต่เป็นเพราะเธอก็รักไออุ่นเหมือนลูกเหมือนหลานเช่นกัน
หลังจากเคลียร์ปัญหากันจบและปลอบใจไออุ่นจนกลับมายิ้มร่าเริงได้ตามปกติ เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็พากันลงไปที่งานเลี้ยงเพื่อดำเนินพิธีการให้เสร็จสิ้น โดยทุกขั้นตอนทั้งคู่จะจูงมือไออุ่นคนละข้างไปด้วยตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนตัดเค้กแต่งงาน คิรากรก็อุ้มไออุ่นขึ้นมาให้ช่วยตัดด้วย เด็กหญิงสนุกสนานและตื่นเต้นมาก เพราะเค้กแต่งงานของพ่อกับแม่ใหญ่กว่าเค้กวันเกิดของเธอหลายเท่า
“ไออุ่นอยากเป่าเทียน”
คำพูดใสซื่อของเด็กหญิงตัวน้อยดังผ่านไมโครโฟนเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนทั้งงาน
กว่างานเลี้ยงฉลองสมรสจะเสร็จสิ้นและส่งแขกกลุ่มสุดท้าย ซึ่งเป็นบรรดาเพื่อนเจ้าบ่าวออกจากงานได้เสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า
“ทำไมไม่มีพิธีส่งตัวเข้าหอครับคุณแม่” คิรากรกระซิบถามมารดาขณะเดินมาส่งท่านขึ้นรถกลับบ้าน
“ไปตกลงกับเจ้าสาวเอาเองว่าเขาจะยอมเข้าหอด้วยหรือเปล่า” ศรียุดาตบแก้มลูกชายเบาๆ อย่างเอาใจช่วยก่อนจะก้าวขึ้นรถซึ่งมีสนธยา สามีใหม่ของเธอนั่งรออยู่ที่เบาะหลัง
คิรากรมองส่งจนรถของมารดาลับตาไปแล้วจึงเดินไปหาอลีนาที่ยืนส่งบิดาและมารดาของเธออยู่ที่รถซึ่งจอดอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
“ไออุ่นไปเที่ยวบ้านยายกับตาบ้างนะลูก ยายจะทำขนมอร่อยๆ ให้ทานเยอะๆ เลย” พรกมลเอ็นดูไออุ่นมากตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้า เนื่องจากเด็กหญิงตัวน้อยมีใบหน้าคล้ายลูกสาวทั้งสองคนของเธอในวัยเด็กมาก สันติ สามีของเธอก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“ขับรถกลับดีๆ นะครับคุณพ่อคุณแม่” ลูกเขยหมาดๆ บอกกับพ่อตาแม่ยายด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ไม่ใช่แค่พูดไปตามมารยาท เพราะท่านทั้งสองขับรถมากันเอง
“พ่อไม่ได้ดื่ม ขับได้สบายมาก”
“แม่ฝากเอิงด้วยนะคุณคิม”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมต้องดูแลภรรยาของผมให้ดีที่สุดอยู่แล้ว” ชายหนุ่มให้คำมั่นสัญญาพร้อมกับโอบวงแขนรอบเอวเล็กของเจ้าสาวที่ยืนอยู่ข้างตัว
“มีน้องให้ไออุ่นเร็วๆ ด้วยนะเอิง ไออุ่นบอกพ่อว่าอยากมีน้อง ใช่มั้ยไออุ่น” สันติหันไปขยิบตากับหลานสาว
“ใช่ค่ะคุณตา ไออุ่นอยากมีน้องเป็นเบบี้เหมือนน้ำหอม”
“เอิงยังไม่พร้อมค่ะพ่อ” อลีนารีบบอกหน้าตาเลิ่กลั่ก กลัวใจใครบางคนจะคิดจริงจัง
“แต่ผมพร้อมมากนะเอิง”
นั่นไง เข้าทางเขาอีกแล้ว!
เธอเคยบอกเขาหลายครั้งแล้วว่า การแต่งงานครั้งนี้เป็นแค่การจัดฉากเพื่อสร้างครอบครัวให้ไออุ่นเท่านั้น ห้ามคิดจริงจัง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ฟังกันเลย
คิรากรอุ้มไออุ่นที่หลับตั้งแต่นั่งรถออกจากโรงแรมมาวางบนเตียงเจ้าหญิงสีชมพูภายในห้องนอนที่ตกแต่งด้วยคอนเซปต์เจ้าหญิงดิสนีย์น่ารักสมวัยเจ้าของห้อง คนเป็นพ่อเลือกหยิบชุดนอนแบบเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวผ้าเนื้อหนานุ่มจากในตู้เสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ลูกสาวอย่างเบามือที่สุดไม่ให้เจ้าหญิงตัวน้อยของเขาตื่น
“ฉันคงต้องเรียนรู้วิธีการดูแลไออุ่นจากคุณอีกเยอะเลย” อลีนาที่นั่งมองทุกการกระทำอันอ่อนโยนของเขาอยู่เงียบๆ บอกด้วยรอยยิ้มชื่นชม
เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็ได้เห็นเขาในหลายแง่มุม เขาเป็นคุณพ่อที่น่ารักและอบอุ่นเวลาอยู่กับลูกสาว เป็นผู้ชายเกรี้ยวกราดดุดันเวลาอยู่ต่อหน้าคนที่เกลียดอย่างอันนา เป็นผู้ชายขี้หวงไม่ชอบให้เธออยู่ใกล้ผู้ชายอื่น และจากสายตาแพรวพราวที่เขาใช้มองเธออยู่เสมอ ก็ทำให้เธอแน่ใจว่า เขาเป็นผู้ชายที่มีความ ‘เร่าร้อน’ ซ่อนอยู่ในตัวสูงมาก
“คุณไม่ต้องทำอะไรมากหรอก แค่อยู่เป็นแม่ให้แกอย่างนี้ก็พอแล้ว” ชายหนุ่มห่มผ้าให้ลูกสาวแล้วจุ๊บที่หน้าผากเล็กมนแล้วบอกให้เธอฝันดีเหมือนที่ทำเป็นประจำทุกคืน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดกับหญิงสาวด้วยแววตาเป็นประกาย “ลูกหลับแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาของเราแล้วนะ”
“เวลาอะไรคะ”
“เวลาเข้าหอ” เจ้าบ่าวในชุดทักซิโดเต็มยศเดินอ้อมจากอีกฝั่งหนึ่งของเตียงมาฉุดมือหญิงสาวที่ยังอยู่ในชุดเจ้าสาวให้ลุกขึ้น
“คุณจะทำอะไร!”
“ตามธรรมเนียม เจ้าบ่าวต้องอุ้มเจ้าสาวเข้าห้องหอไม่ใช่เหรอ” ว่าแล้วเขาก็ช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มแล้วพาเดินไปที่ประตูหน้าตาเฉย
“ปล่อยฉันนะคุณคิม!” อลีนาเผลอดุเขาเสียงดังจึงถูกเขาปรามด้วยการจุ๊บที่ริมฝีปาก
“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวลูกตื่น”
“นี่คุณ!” อลีนาเงยหน้าขึ้นมองเขาตาดุพร้อมกับทุบกำปั้นลงบนอกกว้าง แต่เมื่อสายตาประสานกับดวงตาสีเข้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประกายความเร่าร้อนก็ต้องรีบก้มหน้าลงมองที่กระดุมเสื้อของเขาแทน
“เปิดประตูให้หน่อย มือผมไม่ว่าง”
“คุณก็ปล่อยฉันลงสิ มือจะได้ว่าง” เธอซบหน้าตอบเสียงอู้อี้อยู่กับบ่ากว้าง ไม่กล้ามองสบตาเขา
“ให้ความร่วมมือกับผมหน่อย” เขาวิงวอนน้ำเสียงสั่นพร่า
ให้ตายเถอะ...เพียงแค่ลมหายใจอุ่นของเธอที่เป่ารดอยู่บนต้นคอก็ทำให้เขาร้อนวาบไปทั้งตัว!
คิรากรใช้ความพยายามของตัวเองเปิดประตูแล้วอุ้มเจ้าสาวเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวของเธอที่เขาเตรียมไว้ให้ ซึ่งอยู่ติดกับห้องนอนของไออุ่นและอยู่เยื้องกับห้องนอนของเขา ระหว่างทางไม่กี่ก้าวที่เดินมา เขาแอบคิดไว้ในใจว่า ถ้าเธอดิ้นรน กรีดร้อง หรือตบตีเขา เขาจะยอมทนเจ็บปวดกับความต้องการของตัวเองและปล่อยเธอไป แต่เธอก็ไม่ได้ทำอย่างที่เขาคิด เธอยอมให้เขาอุ้มเข้ามาในห้องนอน กระทั่งเขาปล่อยตัวเธอให้ยืนบนพื้นไม้ปาร์เกต์ขัดมัน เธอก็ยังยืนก้มหน้ามองอกเสื้อเขาอย่างเงียบงัน
“คิดอะไรอยู่” ปลายนิ้วแข็งแรงจับปลายคางเล็กมนเชิดขึ้นแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใสด้วยแววตาที่เป็นประกายเจิดจ้า เขาไม่เคยต้องการผู้หญิงคนไหนมากเท่านี้มาก่อน ตั้งแต่ได้จูบเธอครั้งแรกเมื่อหลายวันก่อน เขาก็ไม่เคยหยุดความต้องการที่จะครอบครองทั้งหมดของตัวเธอได้แม้แต่วินาทีเดียว
“เปล่าค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแผ่ว ทั้งที่ความนึกคิดตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัว
“เราแต่งงานกันแล้วนะเอิง และผมก็เคยบอกคุณแล้วว่าผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไป” เขาบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าแฝงไว้ด้วยการวางอำนาจอยู่ในคราวเดียวกัน “ผมพร้อมรับผิดชอบทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมที่จะรับผิดชอบคุณไปตลอดชีวิต”
“แต่เรา...เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน” อลีนากำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองอยู่ เธอต้องการเขา แต่สำนึกแห่งความดีงามก็เหนี่ยวรั้งเธอไว้ไม่ให้เตลิด
“ไม่ต้องสนใจเรื่องเวลา สนใจแค่ว่าคุณรู้สึกยังไงกับผม” เขาเอื้อมมือไปด้านหลังศีรษะของเธอแล้วดึงกิ๊บติดผมออกเพื่อปล่อยผมยาวสลวยที่ถูกม้วนเป็นมวยต่ำให้แผ่สยายเต็มแผ่นหลัง “ไม่ต้องรู้สึกผิดที่จะทำตามความต้องการของตัวเองกับผู้ชายที่คุณแต่งงานด้วย”
“ฉันไม่...”
คำพูดปฏิเสธที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของหญิงสาวถูกกลืนกลับเข้าไปในลำคอเมื่อริมฝีปากของชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประกบแนบลงมา จูบของเขาเชื่องช้าอ้อยอิ่ง ทว่าหนักแน่นและเรียกร้องเหลือเกิน เขาทำให้หัวใจเธอเต้นแรง เลือดลมสูบฉีดไปทั่วร่าง
ผู้ชายคนนี้ร้อนแรงเป็นบ้า!
คิรากรบรรจงจูบที่กลีบปากอ่อนนุ่มอย่างแผ่วเบาราวขนนกอยู่ครู่หนึ่งแล้วลากเลื่อนริมฝีปากร้อนผ่าวขึ้นไปตามแก้มเนียนใสสีชมพูระเรื่อ ไต่เรื่อยไปตามแนวโค้งของรูปหน้าแล้วหยุดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวละเอียด เขาสูดเอากลิ่นหอมของน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอแตะไว้ที่หลังใบหูเข้าไปจนช่ำปอด ก่อนจะแตะปลายลิ้นและริมฝีปากร้อนจัดลงบนผิวเนื้อที่ไวต่อความรู้สึกแล้วออกแรงดูดอย่างร้อนแรงจนเกิดรอยแดงระเรื่อบนผิวขาวจัดขึ้นมาทันตาเห็น
อลีนาหลุดเสียงครางแผ่วหวิวออกมาโดยไม่รู้ตัว คลื่นความร้อนแปลกประหลาดแล่นเป็นริ้วจากบริเวณที่ถูกเขาจูบดิ่งลงสู่เบื้องล่าง และโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว ซิปด้านหลังของชุดแต่งงานแบบเกาะอกสีงาช้างก็ถูกรูดลงจนถึงบั้นเอว จากนั้นชุดสวยก็ถูกดึงให้ร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยฝีมือของคนที่ยังระดมจูบไปทั่วซอกคอของเธออย่างไม่รู้เบื่อ ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศที่แม่บ้านเปิดทิ้งไว้ให้ก่อนหน้านี้ตกกระทบผิวเนื้อ แต่ไม่อาจดับความร้อนรุ่มในร่างกายของหญิงสาวที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะได้เลย
ชายหนุ่มถอยห่างออกมานิดหนึ่งเพื่อจะมองเรือนร่างสลักเสลาที่มีเพียงชุดชั้นในสีขาวปกปิดให้ชัดเต็มตา เขาอยากชมว่าเธอ ‘สวยมาก’ แต่ดูเหมือนคำพูดนี้จะน้อยเกินไปสำหรับความงดงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะทรวงอกอวบอิ่มที่เขาเคยสบประมาทไว้ว่าเป็น ‘อะไรแบนๆ’
“อย่ามองนะ” อลีนาออกคำสั่งเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบแล้วรีบหันหลังให้เขาพร้อมยกแขนขึ้นกอดอก
คิรากรยิ้มกับแผ่นหลังเรียบเนียนที่มีเส้นสันหลังเป็นแนวยาวนำสายตาลงมาสู่บั้นท้ายงอนงามแล้วก้าวตามไปสวมกอดเธอไว้จากทางด้านหลัง การที่เธอไม่ตบหน้าแล้วไล่เขาออกจากห้องก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ‘เธอมีใจ’ เพียงแต่เขาต้องใจเย็นกับเธอมากหน่อยเท่านั้นเอง “ไม่ต้องอาย เดี๋ยวผมถอดเป็นเพื่อน”
“ไม่ต้องเลย”
“ไม่ให้ผมถอด แล้วผมจะทำให้คุณมีความสุขได้ยังไง” เขากดจูบหนักหน่วงลงบนลาดไหล่เปลือยที่ปราศจากเส้นสายของบราเซียร์ ในขณะเดียวกันก็แนบฝ่ามือข้างหนึ่งลงบนหน้าท้องแบนราบเหนือขอบกางเกงชั้นในแล้วออกแรงกดเบาๆ รั้งร่างบอบบางเข้ามาแนบกับลำตัวมากยิ่งขึ้น ทำให้บั้นท้ายนุ่มนิ่มบดเบียดกับความเป็นชายอุ่นจัดที่เริ่มเหยียดขยายอยู่ภายใต้กางเกงผ้าเนื้อดี
“คุณคิม...” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขาสั่นสะท้านแล้วขาดห้วงไปเพียงเท่านั้น เนื่องจากคนที่สวมกอดอยู่ด้านหลังอยู่จงใจหมุนสะโพกเป็นวงเชื่องช้าเข้ากับบั้นท้ายของเธอเพื่อบอกให้รู้ว่าเขากำลังต้องการเธอมากแค่ไหน
“ว่าไงครับ” เขาขานรับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนใจละลายพลางไล้ปลายจมูกไปตามสันใบหูขาวสะอาดอย่างยั่วเย้า แล้วปิดท้ายด้วยการวกกลับมาขบติ่งหูที่บัดนี้แดงจัดเพราะความสะเทิ้นอายอย่างแผ่วเบา เธอสะดุ้งเล็กน้อยและเอียงคอหนีสัมผัสวาบหวาม แต่ไม่ได้ต่อว่าหรือห้ามปราม นั่นก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มยิ้มกริ่มอยู่ในใจ “ไปที่เตียงนะ”
อลีนาไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ร่างที่เกือบเปลือยของเธอก็ถูกอุ้มไปวางที่เตียงนอนหนานุ่มซึ่งปูไว้ด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวบริสุทธิ์ จากนั้นร่างกำยำที่ยังอยู่ในชุดทักซิโดเต็มยศก็ทาบทับลงมา
“ให้ผมทำให้คุณมีความสุขนะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพลางมองสบตาเธอด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาอย่างเข้มข้น ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้แผ่วเบาจากเนินสะโพกกลมกลึงขึ้นมาตามรอยโค้งของเรือนร่างอรชรแล้วสอดเข้าไปใต้แผ่นหลังเพื่อปลดตะขอบราเซียร์แล้วดึงมันออกเปิดเปลือยทรวงอกอวบที่มีปลายยอดสีชมพูเข้มน่าหลงใหล
“วันหลัง...ค่อยทำ...ได้มั้ยคะ” เสียงหวานที่ต่อรองสั่นสะท้านขาดห้วงเมื่อเขาวางมือลงบนทรวงอกข้างหนึ่งแล้วออกแรงนวดคลึงอย่างนุ่มนวล ทว่าหนักแน่นทุกจังหวะการบีบและคลาย โดยเฉพาะเมื่อเขาใช้ปลายนิ้วหมุนคลึงและดึงปลายถันขึ้นอย่างอ่อนโยน แผ่นหลังของเธอก็แอ่นโค้งลอยขึ้นจากที่นอนตามไปด้วย
“คืนเข้าหอมีแค่ครั้งเดียวในชีวิตนะเอิง” น้ำเสียงแผ่วต่ำของเขามีแววมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ค่ำคืนนี้จบลงอย่างสมบูรณ์ในแบบที่มันควรจะเป็นให้ได้
อลีนามองสบตากับคนที่โน้มตัวอยู่เหนือร่างเธอด้วยแววตาฉ่ำวาวเพราะแรงปรารถนาที่เขาเป็นคนปลุกเร้า มือข้างหนึ่งกำรอบข้อมือของเขาเพื่อยับยั้งการเคล้นคลึง “ฉันขอเวลาให้เราทำความรู้จักกันมากกว่านี้อีกหน่อยนะคะ”
“ผมหยุดตอนนี้ไม่ได้” เขาประท้วงเสียงโหย
“แต่ฉันยังไม่พร้อม” เธอโต้กลับแผ่วเบา ลมหายใจหอบสะท้าน ความอุ่นจัดจากมือใหญ่ที่ยังครอบครองทรวงอกแผ่ลามไปทั่วร่าง แม้ว่าความต้องการทางร่างกายจะมีมากจนเกือบเหนี่ยวรั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ แต่หญิงสาวก็ไม่อาจปล่อยตัวปล่อยใจให้จมดิ่งลงสู่ห้วงเสน่หาที่เขาเป็นคนชักจูงได้ “ฉันยอมรับว่าที่ฉันยอมแต่งงานกับคุณ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฉันชอบคุณ แต่มันยังไม่มากพอที่เราจะไปถึงขั้นนั้น”
“คุณกำลังจะฆ่าผม” คิรากรทิ้งตัวลงซุกหน้ากับซอกคอหอมละมุนของคนใต้ร่าง ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ผสมกับกลิ่นกายสาว เขาก็ยิ่งปวดร้าวหน่วงหนึบ
“คุณจะยอมตายก่อนถึงวันนั้นเหรอคะ” หญิงสาวกระซิบถามยั่วเย้าอยู่ข้างหูเขา
“ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงนอนตายตาไม่หลับ” ชายหนุ่มเลื่อนใบหน้าขึ้นมาแล้วกดหน้าผากลงบนหน้าผากโค้งมนชื้นเหงื่อ แรงปรารถนาทำให้ใบหน้าเจ้าสาวของเขาแดงระเรื่อน่าเอ็นดู เขาเชื่อว่าถ้าดึงดันเล้าโลมต่ออีกนิด สติเธอต้องเตลิดแน่นอน แต่เขาก็ไม่ทำ เพราะอยากเก็บความรู้สึกดีที่เธอมีต่อเขาเอาไว้ “แต่ถ้าต้องเห็นหน้าคุณทุกวัน แต่แตะต้องคุณไม่ได้ ผมต้องอกแตกตายแน่”
“มันก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะทำให้ฉัน ‘รัก’ ได้อย่างที่เคยพูดไว้หรือเปล่า ที่สำคัญ ฉันต้องแน่ใจด้วยว่าคุณเองก็รักฉันเหมือนกัน เราจะไม่ทำตามอารมณ์แล้วต้องมาเสียใจทีหลังนะคะ”
“แต่จะไม่ให้ผมแตะต้องคุณเลย ผมทำไม่ได้” คิรากรสารภาพเสียงอ่อยพลางยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผ้าห่มที่พับไว้ปลายเตียงขึ้นมาคลุมเรือนร่างเปลือยช่วงบนจนมิดถึงคอ ถ้าต้องเห็นภาพยั่วยวนสายตาแบบนี้ต่อไปอีกแค่นาทีเดียวเขาต้องตบะแตกแน่ “ผมขอทำเท่าที่คุณรับได้ได้มั้ย” เขาโน้มใบหน้าลงไปใกล้แล้ววางข้อศอกทั้งสองข้างคร่อมร่างของคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มเอาไว้
“แบบนี้ฉันเสียเปรียบคุณนะ”
“อย่าใจร้ายกับสามีแบบนี้สิครับ” เขาตัดพ้ออย่างน่าสงสาร แววตาที่เป็นประกายเร่าร้อนก่อนหน้านี้หม่นวูบลงทันใด “ผมสัญญาว่าจะทำเท่าที่คุณรับได้ ถ้าคุณบอกให้หยุด ผมจะหยุดทันที”
“คุณหยุดตัวเองได้เหรอคะ”
“ตอนนี้ผมก็กำลังทำอยู่” เขากัดฟันบอกด้วยน้ำเสียงแตกพร่าในลำคอ ความต้องการกำลังบีบรัดเขาจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว
ใช่...อลีนาเห็นว่าเขากำลังทำอยู่ และทำได้ดีมากจนเธอนึกชื่นชมและแอบสงสารเขาอยู่ในใจ การยับยั้งตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นก็อาจจะบังคับฝืนใจเธอไปแล้ว ในเมื่อเขาถนอมน้ำใจเธอ เธอก็อยากตอบแทนเขาเท่าที่พอให้ได้
“ฉันยอมได้แค่เท่าที่คุณเคยทำมาแล้วเท่านั้นนะคะ”
ชายหนุ่มยิ้มดีใจ เท่าที่เคยทำมาแล้วถือว่าไม่น้อยเลย
“จำได้ใช่มั้ยคะว่าเคยทำอะไรไปแล้วบ้าง”
“กอด” ร่างหนาทิ้งน้ำหนักตัวลงทาบทับแล้วขยับแขนกอดเธอไว้ทั้งผ้าห่มนวมผืนหนา “จุ๊บตรงนี้” เขาแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอเนิ่นนานแล้วถอนใบหน้าออกมามองเรียวปากเต็มอิ่มที่มีรอยหยักได้รูปสวยงาม “ขอจูบด้วยได้มั้ยครับ”
อลีนาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเขินอาย จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็เคลื่อนลงมาแนบริมฝีปากจูบเธออย่างอ่อนหวานดูดดื่ม เป็นจูบที่ต้องการปรนเปรอและเอาอกเอาใจมากกว่าเรียกร้องเพื่อความสุขของตัวเอง
หากใครรู้ว่าเธอยอมปล่อยตัวปล่อยใจกับเขามากขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็อาจจะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงใจง่ายได้ แต่สำหรับเธอ เขาคือผู้ชายที่เธอชอบ และเขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของเธอแล้ว มันคงไม่มีอะไรเสียมากไปกว่านี้ถ้าเธอจะลองเสี่ยงกับเขา


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น