บทที่ ๓
กล้องวงจรปิด
ใบหน้าบูดบึ้งของคนที่ยืนเอาหัวพิงผนังลิฟต์ทำให้คนที่ลอบมองได้แต่กลั้นยิ้มอย่างนึกขำ มาคิดดูแล้วการคืนร่างกลับเป็นคนปกติของเธอก็สร้างปัญหาให้เขาไม่น้อยเหมือนกัน แต่ก็ช่วยทำให้อารมณ์หงุดหงิดจากเรื่องเมื่อหัวค่ำเบาบางลงไปได้เยอะ
นรินรักษ์สาวเท้าออกจากลิฟต์ทันทีโดยไม่รอชายหนุ่ม พุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์บริการลูกค้าของโรงแรม แล้วคืนคีย์การ์ดให้พนักงานพร้อมกับพูดเสียงขรึม
“ขอโทษนะคะ รบกวนขอดูกล้องวงจรปิดที่ทางเดินชั้นสิบแปดฝั่งห้อง ๑๐๐๙ ตอนประมาณหนึ่งทุ่มของเมื่อวานหน่อยได้ไหมคะ”
“คุณลูกค้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...พอดีว่าของหายน่ะค่ะ เลยคิดว่าอาจจะเผลอทำตกตรงทางเดิน” หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มแล้วลอบส่งสายตาเอาเรื่องไปให้คนที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นประกายขบขันในดวงตาของเขา
“พอจะบอกได้ไหมคะว่าของอะไร ทางเราจะแจ้งให้แม่บ้านช่วยดูให้ค่ะ”
“เอ่อ...”
นรินรักษ์ไปต่อไม่ถูก สมองของเธอคิดอะไรไม่ออกในตอนนี้ ท่ามกลางสถานการณ์น่าอึดอัด ความช่วยเหลือกลับมาจากชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้าง
“ขอบคุณมากครับ แต่ขอดูกล้องวงจรปิดจะสะดวกกว่า”
พนักงานหญิงมองแววตาทรงอำนาจของคนพูดอย่างหวาดหวั่นก่อนจะยอมพยักหน้ารับ
“งั้นเชิญคุณลูกค้าด้านนี้เลยค่ะ”
นรินรักษ์และดวินเดินตามพนักงานไปอย่างว่าง่าย ทั้งสามมาหยุดในห้องควบคุมกล้องวงจรปิด หลังจากที่พนักงานหญิงแจ้งข้อมูลกับคนที่ดูแล เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาทีภาพในกล้องที่เธอต้องการก็ปรากฏสู่สายตา
หญิงสาวที่เกาะแขนชายหนุ่มแน่นคือเธอไม่ผิดแน่ นอกจากจะเดินโซซัดโซเซเหมือนปูนาขาเกจนชายหนุ่มต้องมาช่วยประคองแล้ว เธอยังงอแงใส่เขาแล้วทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นอย่างดื้อดึงอีก ท่าทางราวกับคนไม่สมประกอบของตัวเองทำให้สีหน้าของนรินรักษ์เหยเกขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลในกล้องวงจรปิดบอกชัดว่าเขาไม่ได้ทำร้ายเธอ เผลอๆ เธอเป็นฝ่ายกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาไว้เองอีก แล้วให้ตายเถอะ เธอเป็นคนลากหมอนี่เข้าห้องเองด้วยซ้ำ!
‘คุณลักพาตัวฉันมาที่นี่ใช่ไหม ฉันจะแจ้งความข้อหาข่มขืน!’
‘คุณนี่มันเลวจริงๆ กล้าฉุดผู้หญิงมาทำเรื่องเลวทรามแบบนี้ได้ยังไง’
‘ไอ้โรคจิต! ไอ้คนฉวยโอกาส!’
ฮืออออ...ทำไมไปด่าเขาแบบนั้นล่ะนรินรักษ์!
คนที่ลักพาตัวเขามาทำเรื่องเลวทรามน่ะ คือเธอทั้งนั้นเลยรู้ไหม!
“พอจะได้เบาะแสบ้างไหมคะ”
นรินรักษ์ไม่ตอบ เธอพึมพำขอบคุณพนักงานราวกับคนไร้วิญญาณ ก่อนจะเดินลากขาอย่างหมดอาลัยตายอยากออกจากห้องควบคุมไปทรุดนั่งบนโซฟาที่ล็อบบี ขณะที่ดวินเดินตามเธอมานั่งตรงข้ามกัน
“โธ่เอ๊ย!” หญิงสาวกุมหัวอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่น่ากินเหล้าเลย โง่จริงๆ”
นี่มันบ้า บ้าที่สุด!
ไอ้ความเป็นกุลสตรีรักนวลสงวนตัวที่แม่พร่ำสอนมาแต่เล็กจนโตหายไปไหน ทำไมถึงได้สติแตกไปขอให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มานอนด้วยง่ายๆ แบบนี้ แถมยังลากเขาเข้าห้องเองอีกต่างหาก
ท่าทางราวกับโลกถล่มทลายลงตรงหน้าของแม่ตัวยุ่งทำให้ดวินยกมุมปากขึ้น ดูท่าเรื่องราวเมื่อคืนจะสร้างความลำบากใจให้เธอไม่น้อย ชายหนุ่มกระแอมเพื่อเรียกความสนใจจากอีกฝ่าย แล้วแกล้งพูดเสียงนิ่ง
“นี่คุณกลัวการเสียตัวขนาดนี้เลยเหรอ”
“ฉันไม่ได้กลัว ฉันแค่โกรธที่ตัวเองไม่มีสติจนเผลอไปมีอะไรกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ มันแปลกใหม่เกินไปสำหรับฉัน แล้วนี่คุณป้องกันหรือเปล่า”
หญิงสาวกลั้นใจรอฟังคำตอบด้วยหัวใจเต้นระรัว ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“ไม่จริง” ร่างบางครางเสียงแห้ง น้ำตาไหลรินอาบแก้มไม่หยุด เธอโง่ซ้ำโง่ซ้อนจริงๆ ที่คิดแต่จะลากตัวเขาเข้าคุกจนลืมเรื่องที่สำคัญกว่า ไม่รู้ว่าเขาเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไหม แล้วถ้าเกิดน้ำเชื้อของเขาแข็งแรงจนอาจทำให้เธอท้องอีกล่ะ
โอ๊ย! อยากจะเอาหัวโขกกำแพงนัก
สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มวางหน้าไม่ถูก ยิ่งเธอร้องไห้โฮอย่างสุดกลั้น เขาก็ยิ่งตกใจ ได้แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อส่งให้เธอ
“ร้องไห้ทำไมครับ ไม่มีอะไรต้องเสียใจเลยนะ”
เธอยังไม่ได้เสียพรหมจรรย์ให้เขา แต่ร้องไห้เหมือนถูกหวยกินมาสิบงวดติดเสียอย่างนั้น
“ไม่เสียใจได้ยังไงเล่า ฉัน...ฉันเสียซิงที่เก็บรักษามายี่สิบเก้าปีเลยนะ” นรินรักษ์ตอบเสียงสะอื้น “อุตส่าห์จะเก็บไว้ให้สามีแท้ๆ แต่กลายเป็นไอ้หน้าจืดที่ไหนก็ไม่รู้”
คนถูกหาว่าเป็นไอ้หน้าจืดหน้าตึงสนิท นึกอยากเอามะเหงกเขกหัวเธอให้หายเพี้ยน แต่ก็ทำไม่ได้
“แต่...แต่คุณไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น ลูกทั้งคน ฉัน...เลี้ยงได้”
ไปกันใหญ่แล้วแม่คุณ
คิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ จะมีลูกได้อย่างไรกัน ในเมื่อเซลล์สืบพันธุ์ของเขายังไม่ได้เข้าไปเจอกับเซลล์สืบพันธุ์ของเธอเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้มีการปฏิสนธิเกิดเป็นตัวอ่อนขึ้นมาเลย
“ห้ามคิดว่าฉันจะเอาเด็กออกด้วย ฉันเป็นคนดี มีศีลธรรม เห็นแบบนี้ฉันเข้าวัดทุกวันพระนะ”
“มันไม่ใช่แบบนั้น”
ดวินอยากเอามือตบหน้าผาก มองคนดีมีศีลธรรมที่เข้าวัดทุกวันพระเอามือจับท้องของตนเองราวกับหวงแหนอย่างระอา
“นี่คุณคิดว่าผมไม่มีความรับผิดชอบหรือไง แล้วอีกอย่าง...”
“หรือว่า...” นรินรักษ์เบิกตากว้าง ขอบตาร้อนผ่าวราวกับจะร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ “คุณ...คุณเป็นเอดส์เหรอ คุณเป็นเอดส์ใช่ไหม!”
เสียงที่ตะโกนลั่นล็อบบี้จนทำให้คนที่อยู่โดยรอบหันมามองทำให้ชายหนุ่มนึกอยากเอามือตะครุบปากอีกฝ่าย แล้วตะโกนบอกเธอว่า ‘มันไม่ใช่แบบนั้นโว้ย’ เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่โบกไม้โบกมือบอกคนที่พากันเหลือบมองว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น
“คนเลว! ฉันไปทำอะไรให้คุณ ไอ้คนหนักแผ่นดิน!”
“ช่วยฟังผมก่อนได้ไหม” ชายหนุ่มพูดอย่างหงุดหงิด น้ำเสียงเริ่มหมดความอดทน “เลิกคิดอะไรไปเองเสียทีเถอะ”
คิดแต่ละอย่าง ดีๆ ทั้งนั้นเลย!
“คุณ...คุณไม่เข้าใจ” ร่างบางเอามือปิดหน้าแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง ท่าทางเหมือนน้ำตาจะร่วงอีกรอบ “ผู้หญิงไม่เหมือนผู้ชาย ฉันเสียสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดไปให้คุณแล้ว ต่อจากนี้ฉันปักตะไคร้ไม่ได้แล้ว”
พูดจบก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกรอบ เล่นเอาคนที่นั่งฟังอยู่ถึงกับทำหน้าไม่ถูก
ใจคอจะไม่ฟังสิ่งที่เขาพูดเลยหรือไงนะ
“คุณยังไม่ได้เป็นของผมจริงๆ เสียหน่อย”
“เวลาแบบนี้ยังจะมาปฏิเสธอีก ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากคุณ”
“ผมก็ไม่ได้อยากได้คุณเป็นแม่ของลูกนักหรอก แต่เรายังไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ”
การปฏิเสธอย่างหนักแน่นทำให้หญิงสาวชะงัก เงยหน้ามองคนพูดด้วยแววตาไม่เข้าใจ
“คุณ...ว่าอะไรนะ”
“เราแค่จูบกัน ผมยังไม่ได้ทำถึงขั้นนั้น เพราะคุณกลัวจนตัวสั่น ผมก็เลยเลิก”
‘เราแค่จูบกัน ผมยังไม่ได้ทำถึงขั้นนั้น เพราะคุณกลัวจนตัวสั่น ผมก็เลยเลิก’
สมองเริ่มประมวลผลคำพูดของอีกฝ่าย ถ้าเธอตีความไม่ผิด เขาบอกว่าเธอยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ใช่ไหมนะ
“หมายความว่า...” นรินรักษ์เอ่ยเสียงแปร่ง ดวงตาคู่สวยสั่นระริกอย่างไม่แน่ใจ “ฉัน...ฉันยังซิงอยู่เหรอ”
“ใช่ คุณยังไม่เสียตัวให้ผม ต้องให้ผมไปบอกประชาสัมพันธ์ให้ประกาศเสียงตามสายด้วยไหม จะได้รู้กันทั่วหน้า”
เอาให้รู้ทั้งโลกไปเลยยิ่งดี!
“จะบ้าเหรอคุณ” หญิงสาวพูดเสียงเขียว “แต่คุณ...ไม่ได้โกหกใช่ไหม”
“ถ้าไม่เชื่อคุณไปลองตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลดูก็ได้”
นรินรักษ์อ้าปากค้าง ทั้งตกใจและดีใจในสิ่งที่ได้ยิน แววตาของคนตรงหน้าไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะละสายตาจากเธอเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “ได้ครับ เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วผมจะรีบไป”
นรินรักษ์มองคู่กรณีที่ผุดลุกขึ้นยืนอย่างงุนงง เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วหันมามองเธออีกครั้ง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว”
“เดี๋ยวคุณ” หญิงสาวรั้งแขนชายหนุ่มไว้ก่อนที่เขาจะเดินไป “ฉันขอโทษนะที่ทำให้คุณเดือดร้อน แต่ช่วยเก็บเรื่องทั้งหมดนี้ไว้เป็นความลับจะได้ไหม”
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ใช่คนพูดมาก” ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ “แล้วมันก็ไม่ใช่คืนที่น่าจดจำสักเท่าไหร่”
นรินรักษ์พยักหน้ารับแล้วปล่อยแขนอีกฝ่าย ร่างสูงหมุนตัวเดินจากไปด้วยท่าทางเร่งรีบ ขณะที่ดวงตาคู่สวยมองตามเขาจนลับตาด้วยความรู้สึกต่างไปจากที่เคย
ถึงจะชอบทำตัวน่าหมั่นไส้ไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วเขาก็...ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมั้ง
ดวินสาวเท้าไปขึ้นรถแท็กซี่ที่โรงแรมเรียกไว้ให้อย่างรวดเร็ว แล้วเบือนหน้ากลับไปมองร่างบางที่ยังคงเอามือกุมหัวด้วยแววตาอ่อนลง
เขาจะบอกเรื่องนี้กับใครได้อย่างไร
เพราะแม้แต่ชื่อของเธอ...เขาก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น |
---|