บทที่ ๑๐
ดอกเตอร์นาร่า เทียร์
“เป็นเกียรติมากครับที่คุณมาพบพวกเราถึงที่นี่”
“ทางเรามากกว่าครับที่ต้องขอบคุณศาสตราจารย์และดอกเตอร์ที่อนุญาตให้พวกเราเข้าพบ”
นรินรักษ์มองใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่จริงใจของชายวัยกลางคนอย่างพิจารณา เขาคือรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีรพล จากโรงพยาบาลศิริรักษ์ ขณะที่ด้านข้างภรรยาคือของอีกฝ่าย ทั้งคู่เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทแอดวานซ์ฟาร์มาซี ผู้ผลิตยาและวัคซีนรายใหญ่ของประเทศไทย อาจารย์หมอธีรพลเป็นคนที่เธอเห็นที่โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง และไม่เคยนึกอยากจะคบค้าสมาคมด้วยเลยสักครั้ง
“ดิฉันชื่อศศิธรค่ะ เป็นภรรยาของหมอธีร์”
นรินรักษ์และแมทธิวพนมมือรับไหว้หญิงวัยกลางคนอย่างมีมารยาท ขณะที่อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างอย่างอ่อนหวาน ทว่าแววตากลับแฝงความเย้ยหยันแบบที่เธอเห็นแล้วไม่ชอบเอาเสียเลย
“พวกเราแปลกใจมากเลยค่ะที่ศาสตราจารย์กับดอกเตอร์พูดภาษาไทยได้”
“ดอกเตอร์เทียร์เป็นคนไทยครับ ส่วนผมมีพี่สะใภ้เป็นคนไทย เลยพอพูดได้นิดหน่อย” แมทธิวตอบเสียงทุ้ม แม้สำเนียงจะแปร่งหูไปบ้าง แต่ก็สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้รู้เรื่อง
“แล้วนี่ดอกเตอร์เทียร์ไม่สบายเหรอคะ”
ศศิธรมองคนที่ใส่หน้ากากอนามัยด้วยท่าทางเป็นห่วงเป็นใย ทว่าแววตากลับฉายประกายรังเกียจเดียดฉันท์ ในใจกำลังคิดว่าดอกเตอร์สาวอาจติดเชื้อโรคมาจากต่างแดน แล้วก็อาจจะมาแพร่เชื้อให้หล่อนป่วยตามไปด้วย เดี๋ยวนี้ยิ่งมีโรคแปลกๆ เกิดขึ้นเยอะ และโอกาสที่เธอจะติดโรคจากอีกฝ่ายก็มีมาก
“นิดหน่อยค่ะ” นรินรักษ์พยักหน้ารับก่อนจะแกล้งไอกระท่อนกระแท่นเพื่อความสมจริง ทำเป็นไม่สนใจแววตาขยะแขยงที่ปิดไม่มิดของอีกฝ่าย “เป็นไข้หวัดน่ะค่ะ”
“ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพด้วยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวตอบรองศาสตราจารย์ธีรพล ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะเบือนหน้ากลับไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาของเธออีกครั้ง
“บริษัทแอดวานซ์ฟาร์มาซีของเราก่อตั้งมายี่สิบปีแล้วครับ และตอนนี้ก็เป็นผู้นำด้านการผลิตยารายใหญ่ของประเทศไทย” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “นอกจากผลิตยาแล้ว เรายังมีทีมวิจัยที่กำลังพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ๆ ด้วยครับ ปกติเราไม่ค่อยยอมร่วมลงทุนกับนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ถ้าศาสตราจารย์กับดอกเตอร์ร่วมลงทุนกับเรา ผลงานของพวกคุณก็จะยิ่งได้รับการยอมรับครับ”
นรินรักษ์ชะงัก รู้สึกเหมือนกำลังเป็นฝ่ายขอร้องอีกฝ่ายให้ยอมรับผลงานของเธอเสียอย่างนั้น ไม่ชอบใจที่เขาพูดดูถูกอาจารย์ของเธอ ศาสตราจารย์แมทธิว ฟรอทซ์ เป็นนักพันธุศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ผลงานของเขาทำให้วงการแพทย์พัฒนาไปไกลและช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย การันตีด้วยชั้นวางของที่ศูนย์วิจัยที่เต็มไปด้วยโล่และรางวัลเชิดชูเกียรติ แล้วพวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาพูดจาไร้มารยาทแบบนี้
“แอดวานซ์ฟาร์มาซีของเราไม่ได้ร่วมลงทุนกับใครง่ายๆ นะคะ เพราะทีมวิจัยของเราก็เชี่ยวชาญมากอยู่แล้ว...”
เชี่ยวชาญมาก...งั้นทำไมไม่ทำเองล่ะ
นรินรักษ์อยากตอบศศิธรไปแบบนี้ ทว่าสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับอารมณ์ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“แต่ทางเราเองก็ได้รับข้อเสนอที่ดีจากอีกบริษัท ซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตยาที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียและยุโรป นอกจากนี้ก็กำลังขยายฐานการผลิตไปยังแถบอเมริกาใต้...” ร่างบางพูดขัด ไม่สนใจสีหน้าไม่พอใจของสองคนตรงหน้า “ถ้าอยากให้เราร่วมลงทุนกับพวกคุณ เราเองก็คงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน”
แมทธิวลอบยิ้มกับการเชือดเฉือนแบบนิ่งๆ ของนรินรักษ์ ไม่บ่อยนักหรอกที่เขาจะเห็นลูกศิษย์ของตัวเองโต้ตอบกับคนอื่นด้วยคำพูดและท่าทางเย็นชาแบบนี้ ดูท่าแขกของพวกเขาจะไปกระตุ้นต่อมความโกรธของนาร่าเข้าให้แล้ว ขณะที่รอยยิ้มของสองคนตรงหน้าเจื่อนไปสนิท
“แถมในสัญญานี้ก็ระบุว่าคุณจะจ่ายค่าผลงานของเราครั้งเดียวจำนวนยี่สิบล้านบาท หลังจากนั้นเอกสิทธิ์ทั้งหมดในงานวิจัยจะตกเป็นของแอดวานซ์ฟาร์มาซี เขียนสัญญามาแบบนี้ไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยหรือคะ”
“แต่นี่เป็นข้อเสนอที่ดีที่สุด...”
“และข้อเสนอก็อาจดีกว่านี้ได้อีกใช่ไหมคะ” นรินรักษ์โต้กลับทันทีอย่างไม่เกรงใจ “หากคุณอยากร่วมงานกับเราจริง รบกวนกลับไปร่างสัญญามาใหม่และส่งมาให้เราดูอีกครั้งนะคะ ขอบคุณที่มาค่ะ”
พูดจบก็ผายมือเชิญไปทางประตูห้องที่เปิดค้างไว้อย่างไม่ใส่ใจจะรักษามารยาท ขณะที่ธีรพลและศศิธรมองนรินรักษ์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ หญิงสาวก็จ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน ทั้งคู่ค้อมศีรษะทำความเคารพอาจารย์ของเธอ แล้วยอมเดินออกจากห้องไปแต่โดยดี
คล้อยหลังสองสามีภรรยา นรินรักษ์ก็ถอดแว่นและหน้ากากอนามัยออก แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ไม่บ่อยนักหรอกที่เธอจะขาดสติแล้วแสดงกิริยาไร้มารยาทออกมาแบบเมื่อครู่ เพียงแต่เธอโกรธที่พวกเขาดูถูกผลงานของเธอ แล้วยังดูถูกอาจารย์ที่คอยดูแลช่วยเหลือเธอมาตั้งแต่เล็กอีก
“ขอบคุณที่พูดปกป้องผมนะ เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
แมทธิวพูดพลางบีบไหล่เล็กอย่างให้กำลังใจ ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ยากลำบากเพียงไหน ลูกศิษย์ของเขาก็จะฝ่าฟันมันไปได้อย่างเข้มแข็งเสมอ
นรินรักษ์ ธีรภักดีกานต์ หรืออีกชื่อในวงการวิทยาศาสตร์คือ ดอกเตอร์นาร่า เทียร์
ตอนที่พบกับเธอครั้งแรก เขาเพิ่งรับตำแหน่งเป็นอาจารย์วิชาพันธุศาสตร์แห่งภาควิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพได้เพียงสองเดือน เขาไม่มีประสบการณ์ด้านการสอน ถูกกดดันจากคนรอบตัวเพราะเป็นอดีตนักเรียนทุนของรัฐบาลอังกฤษ แต่ก็ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมสัมภาษณ์นักเรียนที่มาสอบชิงทุนเพื่อเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย เหตุการณ์นั้นทำให้เขาได้พบกับนักเรียนหญิงที่มีแววตามุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ มีทัศนคติที่ไม่เหมือนใคร และเขารู้ได้ทันทีว่าเด็กนักเรียนคนนี้ไม่ธรรมดา
หลังจากได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ นรินรักษ์ก็เลือกมาทำวิจัยที่ห้องทดลองของเขา เธอกลายมาเป็นนักศึกษาคนแรกที่ร่วมพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่อีกหลายสายพันธุ์ที่ยังหาทางป้องกันไม่ได้ เรียกได้ว่าที่เขาประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้อาจเป็นเพราะมีลมใต้ปีกที่แข็งแกร่งอย่างนรินรักษ์
แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มที่แสนสดใส ลูกศิษย์ของเขาต้องสูญเสียเสาหลักของครอบครัวอย่างพ่อตั้งแต่อายุสิบห้า และต้องดูแลแม่ที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงด้วยตัวคนเดียว ทว่าแม้จะไม่ได้มีพร้อมทุกอย่าง นรินรักษ์ก็เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเธอก็เป็นคนสอนให้เขาเข้าใจว่า เหนือกว่าการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน คือการได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก
“หนูต่างหากค่ะที่ขอบคุณอาจารย์ ขอบคุณที่ช่วยหนูปกปิดตัวตนนะคะ”
“ผมก็ขอบคุณเหมือนกัน บอกตามตรงนะ พวกเขาไม่น่าร่วมงานด้วยเลย”
“จริงค่ะ ถ้าเราต้องร่วมลงทุนกับคนแบบนั้น หนูคงได้ใช้กำลังเข้าสักวัน”
ว่าพลางบิดไม้บิดมือวอร์มร่างกายราวกับเตรียมพร้อม ก่อนจะเก็บข้าวของของตัวเองเข้ากระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน วันนี้เธอลางานมาที่ห้องวิจัยของแมทธิวที่ดำเนินงานร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อเจรจาการลงทุนกับแอดวานซ์ฟาร์มาซี ทว่ากลับไม่ได้ประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย แถมยังทำให้เธออารมณ์เสียอีกต่างหาก
นรินรักษ์ลอบพิจารณาชายฉกรรจ์ที่เดินตามเธอผ่านกระจกโค้งจราจรที่หัวมุมถนน อีกฝ่ายเดินตามเธอตั้งแต่อยู่ในร้านสะดวกซื้อหน้าโรงพยาบาล จนกระทั่งเธอเปลี่ยนเส้นทาง เดินลัดเลาะเข้าซอยเปลี่ยวเพื่อย่นระยะทาง ชายแปลกหน้าก็ยังไม่หยุดตาม
แบบนี้ไม่ปกติแล้ว
หญิงสาวอาศัยจังหวะที่มีรถยนต์คันหนึ่งถอยออกมาเป็นเกราะกำบัง ค้อมตัวลงแล้ววิ่งไปแอบในซอกที่อยู่ใกล้ พลางลอบมองร่างที่เดินผ่านไปอย่างระแวดระวัง เสียงสบถดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายหงุดหงิดที่ปล่อยให้เธอคลาดสายตาไปได้
นรินรักษ์หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความบอกแมทธิวกับแก้วตาเรื่องสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญ แล้วจึงย่องออกจากซอกเงียบๆ เมื่อแน่ใจว่าคนร้ายหายไปจากบริเวณนั้นแล้ว
หญิงสาวเดินย้อนกลับไปทางเดิม ทว่าเงามืดที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าทำให้เธอรีบพุ่งตัวเข้าไปหลบหลังรถกระบะที่อยู่ใกล้ พอสบจังหวะก็กระโดดถีบอีกฝ่ายเต็มแรงทันที
พลั่ก!
คนร้ายทรุดลงกับพื้น ทว่ายังไม่ทันเตะซ้ำ เธอก็ถูกกระชากแขนเต็มแรงจากด้านหลังแล้วถูกผลักล้มไปกองที่พื้น
“ยอมไปกับพวกกูดีๆ ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว”
“คุณตาส่งแกมาสินะ” หญิงสาวแค่นเสียงพูดขณะพยายามยันกายลุกขึ้นยืน “ไปบอกเขาด้วยว่ายังไงฉันก็ไม่มีวันขายงานให้เขาเด็ดขาด!”
“พูดเรื่องอะไรของมึง ไปกับกูเดี๋ยวนี้!”
ชายร่างยักษ์พุ่งเข้าชาร์จ ขณะที่อีกคนกระชากแขนเธอแล้วตบหน้าเต็มแรง
เผียะ!
ใบหน้าชาวาบ ทว่าความเจ็บปวดที่กายเทียบไม่ได้เลยกับความปวดร้าวในหัวใจ ไม่อยากเชื่อว่าคนที่เคยบอกว่าเธอเป็นคนในครอบครัวจะจงเกลียดจงชังถึงขนาดส่งคนมาฆ่ากัน
“ต่อให้ต้องตาย ฉันก็ไม่มีวันขายงานวิจัยให้เขา” นรินรักษ์ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว พยายามสะบัดตัวให้หลุดจากการจับกุม “ปล่อยนะเว้ย ไอ้พวกสารเลว”
“ปากดีนักนะมึง”
ชายฉกรรจ์สบถแล้วกระชากแขนเธอให้ไปด้วยกัน หญิงสาวพยายามดิ้นหนี โชคร้ายเหลือเกินที่ตรงนี้เป็นซอยร้าง อีกทั้งยังเป็นเวลาดึกดื่น จึงไม่น่ามีใครได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของเธอ
“ปล่อยฉัน!” หญิงสาวตะโกนพลางสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม ทว่าร่างยักษ์กลับต่อยท้องเธอจนตัวงอด้วยความเจ็บปวด
“ไอ้...” ร่างบางครางอย่างเจ็บแค้น ความร้าวระบมแล่นพล่านไปทั่วร่าง ทว่าเธอไม่คิดจะยอมแพ้ จึงพยายามคลานหนีจากคนร้าย แต่อีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาหาแล้วกระชากผมเธอให้เงยหน้าขึ้น ตบหน้าซ้ำจนเธอทรุดลงไปที่พื้นอีกรอบ
“แก...” หญิงสาวพูดพร้อมกับกำมือแน่น พยายามกล้ำกลืนความเจ็บปวดแล้วยันกายลุกขึ้นยืน ทว่าอีกฝ่ายกลับชักปืนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเล็งมาที่เธอด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง
ปัง!
นรินรักษ์กรีดร้องเสียงแหลม ทว่าร่างกายกลับไม่ได้รับความเจ็บปวดใดๆ มีเพียงหยดเลือดสาดกระเซ็นมาจากชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้า คนเจ็บร้องโหยหวนแล้วทรุดลงกับพื้น
“คุณ!”
นรินรักษ์เบิกตากว้างเมื่อเห็นคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเธอ ใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มเรียบสนิทขณะจับจ้องคนร้ายด้วยแววตาแข็งกระด้าง ชายชุดดำอีกคนเข้าไปกระชากพวกนักเลงให้ลุกขึ้นยืนแล้วลากออกไป
“คุณเป็นอะไรไหมครับ”
“คุณภัทร” หญิงสาวมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “คุณ...คุณมาที่นี่ได้ยังไง”
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลยครับ รีบไปจากที่นี่ก่อน” ชายหนุ่มพูดรัวเร็วแล้วหันไปสั่งการชายชุดดำสองคนที่อยู่ไม่ไกล “ฝากจัดการทางนี้ด้วย ผมจะพาคุณรินหลบไปก่อน”
“ครับ”
นรินรักษ์มองภัทรสลับกับชายชุดดำอย่างงุนงง จากนั้นชายหนุ่มก็เดินนำเธอไปยังรถยุโรปสีดำที่จอดอยู่
“ขึ้นรถครับ ผมจะพาคุณกลับไปส่งที่บ้าน”
นรินรักษ์ไม่ยอมทำตามคำสั่ง เธอมองสีหน้าเคร่งขรึมของภัทรอย่างไม่เข้าใจ อะไรทำให้เขาปกป้องเธอจากกลุ่มคนร้ายที่ตามล่า นี่เขากับคนร้ายพวกนั้นไม่ได้เป็นพวกเดียวกันหรอกหรือ
“คุณไม่ควรทำแบบนี้คุณภัทร ถ้าคุณขัดคำสั่งเขา คุณอาจตายได้”
“นี่คุณคิดว่าคุณท่านส่งคนมาทำร้ายคุณเหรอครับ” ภัทรถามกลับ “คนที่ทำร้ายคุณไม่ใช่คนของท่านครับ”
“อะไรนะ” นรินรักษ์อ้าปากค้าง มองเขาอย่างไม่เชื่อหู “ฉัน...ฉันไม่เชื่อ”
“ลองพิจารณาให้ดีสิครับ” ภัทรพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อคติที่คุณมีทำให้คุณมองว่าคุณท่านเป็นคนเลวร้าย แต่จริงๆ ท่านเป็นห่วงคุณมากนะครับ”
“คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นน่ะเหรอเป็นห่วงฉัน” หญิงสาวแค่นเสียงพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร เขาตรงไปเปิดประตูรถให้เธอแล้วพูดต่อ
“ถ้าเป็นฝีมือคุณท่านจริง คุณคงไม่มีโอกาสมายืนต่อล้อต่อเถียงกับผมแบบนี้หรอกครับ” ภัทรอธิบายเสียงนิ่งไม่ต่างจากเคย “คุณน่าจะรู้ดีที่สุดนะครับว่าท่านทำอะไรได้มากขนาดไหน”
นรินรักษ์จนคำพูดที่จะโต้เถียงอีกฝ่าย สายตาที่มองมาอย่างออกคำสั่งของชายหนุ่มทำให้เธอยอมเข้าไปนั่งในรถแต่โดยดี จากนั้นเขาก็เปิดประตูก้าวเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ
“แล้วคุณมาที่นี่ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าเขาให้คุณมาคอยคุ้มครองฉัน”
“ใช่ครับ คุณเข้าใจถูกแล้ว”
“แล้วเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรคะ”
“คุณอาจจะมองว่าท่านทำเพราะหวังผลประโยชน์จากคุณ แต่จริงๆ แล้ว...” ภัทรพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ยิ้มน้อยๆ ยามนึกถึงเจ้านาย “คุณท่านเป็นห่วงคุณจริงๆ ครับ”
หญิงสาวมองคนที่เป็นทั้งเลขาฯ และบอดีการ์ดของผู้เป็นตาผ่านกระจกมองหลังอย่างพิจารณา สำหรับเธอแล้ว คำพูดแบบนี้ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิดหากออกมาจากปากคนอื่นที่ไม่ใช่ภัทร ทว่าเหตุการณ์ระหว่างเธอกับตาในอดีตก็ยังไม่ทำให้เธอปักใจเชื่อคำพูดของเขา
“งั้นคุณช่วยพาฉันไปพบเขาหน่อยได้ไหมคะ”
ความคิดเห็น |
---|