บทที่ ๙
ร้านหนังสือเติมรัก
ดวินอ่านรายงานการผ่าตัดสมองของเด็กชายที่เขาช่วยชีวิตไว้ที่ป้ายรถเมล์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อาชีพของเขาต้องเจอสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บที่คาดไม่ถึงของคนไข้ การขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย หรือไม่มีแม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์คอยช่วยเหลือ ทว่าทุกความเสี่ยงทั้งหมดที่เคยเจอกลับเกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อวานนี้
‘ฉันจะช่วยคุณเองค่ะ’
คำพูดของใครบางคนผ่านเข้ามาในหัว สีหน้าและแววตามุ่งมั่นจริงจังของเธอยังฉายชัดในความทรงจำ ท่ามกลางสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน กลับมีใครบางคนอาสาแบ่งปันความเครียดและความกดดันร่วมกันกับเขา ทั้งที่รู้ว่าหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เธออาจต้องแบกรับผลของการกระทำร่วมกันด้วย
เป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ
ก๊อกๆๆ
ชายหนุ่มชะงักความคิด แล้วอนุญาตให้คนที่อยู่ข้างนอกเข้ามา โดยที่สายตายังคงจดจ่อกับบันทึกการรักษา
“เชิญครับ”
นรินรักษ์หมุนลูกบิดประตูก่อนจะเดินเนิบนาบไปหยุดหน้าชายหนุ่มที่ยังคงก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง เธอค่อยๆ วางหนังสือลงบนโต๊ะของเขาแล้วเอ่ยเสียงเบาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตกใจว่า
“หนังสือที่คุณสั่งค่ะ ช่วยเซ็นรับด้วยนะคะ”
ดวินเงยหน้ามองคนพูดแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นดวงตาคู่โตของคนที่เขากำลังนึกถึง สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งชัดว่าตกใจเช่นกันที่เห็นเขา เพียงครู่เดียวก่อนที่เธอจะปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วยื่นปากกาให้
“เรานี่ดวงสมพงศ์กันจริงๆ นะหมอ”
ศัลยแพทย์หนุ่มไม่ตอบ แม้จะเห็นด้วยกับคำพูดของเธออยู่ในใจ ถึงจะเรียนจบแพทยศาสตร์ ทำงานช่วยเหลือผู้คนโดยใช้เทคโนโลยีและวิทยาการทางการแพทย์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มคล้อยตามคำพูดที่ใช้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ของอีกฝ่าย
“ครบถ้วนตามที่คุณลูกค้าสั่งนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไรรบกวนติดต่อไปที่เบอร์นี้ภายในเจ็ดวัน ทางเรายินดีเปลี่ยนหนังสือให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่ะ”
ดวินพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม วางหนังสือที่เพิ่งได้มาไว้ข้างๆ แล้วก้มลงอ่านบันทึกการรักษาต่อ ขณะที่นรินรักษ์ล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าราวกับนึกขึ้นได้
“นี่สมุดสะสมสติกเกอร์ค่ะ” มือเล็กยื่นสมุดเล่มจิ๋วที่มีภาพดอกทานตะวันยิ้มให้เขาซึ่งเงยหน้าขึ้นมามองอย่างงุนงง “เมื่อซื้อครบสามร้อยบาทจะได้รับสติกเกอร์หนึ่งดวง สะสมครบสิบดวงรับส่วนลดหนึ่งร้อยบาท ยิ่งสะสมเยอะยิ่งลดเยอะ รายละเอียดอื่นๆ อ่านเพิ่มได้ในเล่มนะคะ”
หญิงสาวอธิบายยืดยาว ขณะที่ดวินลอบยิ้มเมื่อเห็นว่ารอยยิ้มของดอกทานตะวันในภาพช่างเหมือนกับรอยยิ้มเริงร่าของเธอไม่ผิดเพี้ยน
“ว่าแต่อาการน้องเก้าเป็นยังไงบ้างคะ”
“ฟื้นตัวดี คงออกจากโรงพยาบาลได้เร็วๆ นี้”
หญิงสาวยิ้มอย่างโล่งอก เธอพึมพำขอบคุณเขาแล้วหมุนตัวเดินไปทางประตู
“เดี๋ยวก่อนคุณ”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้นรินรักษ์ชะงัก เธอหมุนตัวไปเผชิญหน้าอีกฝ่าย สีหน้าของดวินราบเรียบไร้อารมณ์เช่นเคย ทว่าแววตาที่มองมาแฝงความหมายบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
“ที่คุณช่วยผมรักษาน้องเก้าเมื่อหลายวันก่อน...”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่มักไม่ค่อยได้ยินทำให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น คล้ายกับว่าเธอจะเห็นรอยซาบซึ้งในแววตาที่เย็นชาอยู่เสมอของเขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอ่ยประโยคต่อมาว่า
“ขอบคุณมากนะครับ”
นรินรักษ์มองขนมปังบนชั้นวางที่มีให้เลือกหลายรสด้วยสีหน้าครุ่นคิด แล้วจึงไล่สายตามองดูสินค้าอื่นที่กำลังจัดโพรโมชัน คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเหลือบมองผ่านกระจกร้านไปเห็นใครบางคนที่กำลังเดินออกจากโรงพยาบาล เธอจะไม่สนใจดวินเลยหากไม่บังเอิญสังเกตเห็นว่ามีชายร่างใหญ่สองคนเดินตามเขา
ร่างบางตัดสินใจฝากตะกร้าไว้กับพนักงาน ก่อนจะวิ่งออกจากร้านแล้วลอบตามคนทั้งสามไปอย่างระแวดระวัง ท่าทางไม่น่าไว้ใจของชายแปลกหน้าทำให้เธอสาวเท้าเร็วขึ้น ขณะที่สมองก็ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปด้วย
คนพวกนี้เป็นใครกัน แล้วทำไมถึงต้องเดินตามดวินด้วย
นรินรักษ์ไม่เข้าใจ ขณะที่ศัลยแพทย์หนุ่มสาวเท้าเข้าไปในซอยเปลี่ยวโดยไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของเขาเอื้อประโยชน์ให้คนร้ายลงมือได้ง่ายกว่าเดิม เมื่อแน่ใจว่าชายฉกรรจ์ทั้งสองไม่ได้มาดีแน่ หญิงสาวจึงตัดสินใจจะกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
ทว่า...
“หมอระวัง!”
ดวินหมุนตัวหันไปตามเสียงเรียก แล้วรีบหลบชายฉกรรจ์ที่พุ่งตัวเข้าใส่ทันทีตามสัญชาตญาณ ร่างสูงยกเท้าขึ้นถีบอีกฝ่ายอัตโนมัติก่อนจะหันมาต่อยหน้าชายอีกคนจนล้ม
นรินรักษ์อ้าปากค้างกับฝีไม้ลายมือของศัลยแพทย์หนุ่ม มาคิดดูแล้วต่อให้ไม่มีเธอเขาก็คงเอาชนะนักเลงพวกนี้ได้ไม่ยากนัก เพียงแต่ใครจะไปคิดว่าภายใต้มาดคุณหมอหน้าใสที่แสนสุภาพ เขาจะซุกซ่อนฝีมือการต่อสู้เอาไว้
“เฮ้ย!” หญิงสาวร้องเสียงหลงอีกรอบ เมื่อหนึ่งในนักเลงที่ควรจะสิ้นฤทธิ์ไปแล้วลุกขึ้นมาพร้อมกับถือไม้หน้าสามพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มจากด้านหลัง ร่างบางจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปบังเขาทันที
“โอ๊ย!” นรินรักษ์ร้องอย่างเจ็บปวดเพราะถูกไม้ฟาดเข้าที่ต้นแขนเต็มแรง
ดวินกอดร่างเล็กไว้แน่นอย่างตกใจ เพียงเห็นสีหน้าที่แสดงความเจ็บปวดของแม่ตัวยุ่ง เลือดของชายหนุ่มก็เดือดพล่าน รู้ตัวอีกทีเขาก็กระทืบนักเลงคนนั้นจนสลบเหมือดไปเสียแล้ว
หญิงสาวชูนิ้วโป้งให้ดวินอย่างทึ่งจัด ขณะที่ชายหนุ่มส่งสายตาดุให้เจ้าหล่อนที่แม้สถานการณ์จะหน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหนก็ยังยิ้มทะเล้นไม่เลิก
“คุณไม่น่าทำแบบนี้เลย คุณอาจจะตายได้” ดวินพูดเสียงเรียบพลางรั้งแขนแม่ตัวยุ่งเข้ามาใกล้เพื่อดูบาดแผล
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ แค่นี้เล็กน้อยมาก ไกลหัวใจ...”
“เฮ้ย! พวกมันอยู่นั่น!”
สองหนุ่มสาวชะงัก นรินรักษ์หันไปมองแล้วพบว่ามีกลุ่มนักเลงไม่ต่ำกว่าห้าคนพร้อมอาวุธครบมือกำลังชี้ไม้ชี้มือมาทางพวกเธอ สีหน้าบ่งชัดว่าโกรธจัด
“ว่าแต่คุณเป็นแค่คนส่งหนังสือจริงเหรอ ทำไมถึกขนาดนี้” ดวินถามอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่ร่างบางกลอกตากับคำถามนอกเรื่องของเขา
“มันใช่เวลามาสงสัยไหม รีบหนีก่อน”
หญิงสาวฉุดแขนดวินให้วิ่งไปด้วยกัน เสียงโวยวายที่ดังไล่หลังมาทำให้เธอสับขาเร็วขึ้น หัวใจเต้นระรัวอย่างหวาดหวั่นเมื่อเห็นว่ากลุ่มนักเลงกำลังวิ่งตามมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ร่างบางมองซ้ายมองขวาหาทางหนีทีไล่ ตั้งมั่นว่าอย่างไรก็ต้องพาชายหนุ่มหนีไปจากพวกบ้านั่นให้ได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย!”
นรินรักษ์ไม่สนใจเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เธอพาดวินวิ่งลัดเลาะอย่างคุ้นเคย เข้าซอยซ้ายออกซอยขวา วิ่งขึ้นสะพานลอยบ้าง ข้ามทางม้าลายบ้าง คาดหวังว่ากลุ่มนักเลงจะงุนงงและเหนื่อยล้าจนยอมล่าถอยไปเอง
“คุณ!” ชายหนุ่มเขย่ามือเรียกหญิงสาวที่ยังคงลากเขาวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตมาราวยี่สิบนาทีแล้ว “คนพวกนั้นไม่ได้ตามมาแล้ว จะพาผมวิ่งไปถึงเชียงใหม่เลยไหม”
หญิงสาวชะลอฝีเท้าก่อนจะหันไปมองความเงียบวังเวงด้านหลัง แล้วเบือนหน้ากลับมามองคนพูดอีกครั้ง ร่างบางขำพรืดเมื่อเห็นใบหน้าของคนตัวโตชุ่มเหงื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง หมดคราบคุณหมอสุดฮอตแบบที่คนอื่นเยินยอไปเสียสนิท
“น่าถ่ายรูปคุณเก็บไว้ทำสติกเกอร์สวัสดีวันจันทร์ สุขสันต์วันทำงานมากเลย”
“คุณก็ไม่ต่างกันหรอก แม่สวัสดีวันพุธ เหนื่อยสุดๆ เมื่อไหร่จะหยุดซะที”
นรินรักษ์หัวเราะร่วนกับมุกตลกหน้าตายของอีกฝ่าย ขณะที่ดวินเหลือบไปมองปากซอยที่เธอและเขาเพิ่งวิ่งเข้ามา ก่อนจะเอนหลังพิงกำแพงแล้วหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า โดยมีอีกคนทรุดลงนั่งข้างๆ
“พาวิ่งไปวนมาขนาดนี้ ผมนึกว่าคุณซ้อมไปวิ่งมาราธอนโอลิมปิก”
“ขี้บ่นจริงๆ เลยคุณ”
“แล้วแขนคุณเป็นไงบ้าง ขอผมดูหน่อย”
ร่างสูงขยับตัวเข้าไปใกล้หญิงสาว ตั้งท่าจะเลิกแขนเสื้อเจ้าตัวขึ้น ทว่าเธอกลับผละออกห่าง
“เฮ้ยคุณ! จะทำอะไร”
“ขอผมดูแผลคุณหน่อย” ศัลยแพทย์หนุ่มพูดซ้ำ “ไม่รู้จะอายทำไม มากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้ว”
“บ้า!” นรินรักษ์ค้อนใส่คนพูด
ดวินมองอีกฝ่ายที่จ้องเขาอย่างไม่พอใจอย่างนึกขำ เขารั้งร่างบางให้ขยับมาใกล้แล้วก้มลงสำรวจบาดแผลตามใบหน้าของเธอ ดวงตาคู่สวยที่จ้องสบกันมีพลังบางอย่างที่ทำให้ลมหายใจของศัลยแพทย์หนุ่มขาดห้วง ริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรงยามเขาแตะรอยแผลยิ่งกระตุ้นให้ความทรงจำเมื่อครั้งพบกันครั้งแรกฉายชัดเข้ามาในหัว
ในค่ำคืนที่พระจันทร์สว่างสดใสกับร่างเล็กที่อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขน
‘ไม่หยุด...ได้ไหมคะ’
‘ไม่หยุดได้ไหม...’
แม้จะพยายามมากแค่ไหน แต่เขาก็ลืมเรื่องคืนนั้นไม่ได้จริงๆ
“คุณ...คุณหมอ” หญิงสาวโบกไม้โบกมือเบื้องหน้าอีกฝ่าย “ทำไมเงียบไปล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
ดวินส่ายหน้าก่อนจะสูดลมหายใจลึก พยายามรวบรวมสติของตัวเองและสำรวจรอยฟกช้ำที่ต้นแขนเธออย่างละเอียดอีกครั้ง โดยมีไฟข้างทางช่วยส่องสว่าง
“แค่ฟกช้ำเฉยๆ เดี๋ยวผมสั่งยาจากโรงพยาบาลให้ ทาทุกวันก็หายแล้วละ”
นรินรักษ์พูดขอบคุณเขาเสียงแผ่ว ขณะที่ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นแล้วยื่นมือมาให้เธอ นัยน์ตาคมเข้มที่ส่องประกายล้อกับแสงไฟข้างทางชวนให้หลงใหลจนคนมองต้องหลบตาวูบ ก่อนที่เธอจะตัดสินใจวางมือลงบนมือหนา ยอมให้เขาดึงให้ลุกขึ้นยืนแต่โดยดี
“ว่าแต่คุณไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นได้ยังไง”
“พวกนั้นน่าจะจำคนผิด ไม่มีอะไรหรอก” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าพวกมันตามผมมา”
“ฉันสังเกตเอา” นรินรักษ์ตอบอ้อมแอ้ม เธอไม่กล้าบอกว่าเธอเคยมีประสบการณ์ถูกลอบตามอยู่บ่อยครั้ง แม้ตอนนี้จะไม่ค่อยมีเหตุการณ์เช่นนั้นแล้ว แต่เธอก็ยังคงติดนิสัยระแวดระวังอยู่เช่นเคย ทว่าก็ไม่อยากเล่าอะไรมาก เพราะไม่อยากให้เขารู้เรื่องส่วนตัว
“ขอบคุณที่ช่วยผม”
“สังคมเราน่ากลัวขึ้นทุกวัน คนกวนประสาทอย่างคุณมีโอกาสโดนกระทืบมากกว่าคนอื่น ครั้งหน้าก็ระวังตัวหน่อยละกัน”
นรินรักษ์ไม่สนใจสายตาดุๆ ที่เขาส่งมาให้ เธอยิ้มร่าแล้วมองไปรอบๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ เมื่อแน่ใจว่าปลอดภัยแน่แล้วก็ตัดสินใจเดินกลับไปทางเดิมอีกครั้ง
“แล้วนี่คุณจะไปไหน”
“ฉันจะกลับไปร้านสะดวกซื้อ ยังซื้อของไม่เสร็จเลย มัวแต่พาคุณวิ่งโอลิมปิกเนี่ย”
ชายหนุ่มหลุดยิ้มขำ ขณะที่นรินรักษ์เผลอมองใบหน้าที่ดูอ่อนโยนลงยามมีรอยยิ้มประดับอย่างแปลกใจ พอยิ้มหวานแบบนี้แล้วตาหมอขี้เก๊กนี่ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเป็นกอง
“งั้นไปโรงพยาบาลกับผมก่อน ผมจะสั่งยาให้”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ยอมเดินตามเขาต้อยๆ แต่โดยดี
เสียงกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยวที่ดังมาจากโกดังร้างในเวลาเกือบเที่ยงคืนคงสร้างความแตกตื่นให้คนแถวนั้น ถ้าหากว่าโกดังแห่งนี้ไม่ได้ซ่อนตัวอยู่สุดซอยเปลี่ยว สีหน้าของคนที่ร้องโวยวายบ่งชัดว่าโกรธจัด ขณะที่ชายฉกรรจ์ทั้งห้าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพากันก้มหน้าหลบสายตาโดยพร้อมเพรียง
“พวกแกทำงานประสาอะไร กับแค่ผู้ชายคนเดียวก็จัดการไม่ได้”
“มีคนมาช่วยมันครับนาย นังนั่นมันวิ่งเร็วมาก มันน่าจะเป็นนักวิ่งทีมชาตินะครับ”
“มันพาไอ้หมอสลัมหนีไปได้ พวกผมตามเท่าไหร่ก็ไม่ทัน มันน่าจะเคยวิ่งได้เหรียญทองด้วยครับ”
“เก่งขนาดนั้น นังนั่นมันต้องเคยไปโอลิมปิกแน่ๆ พวกมึงว่าไหม”
“นั่นสิ คนอะไรวิ่งเร็วฉิบหาย”
“พอได้แล้ว!” หญิงวัยกลางคนตวาด “ฉันไม่ได้อยากรู้ว่ามันเป็นนักวิ่งไหม เคยได้เหรียญทองหรือเปล่า”
พวกนักเลงเงียบกริบ ขณะที่คนพูดเขวี้ยงซองสีน้ำตาลลงบนพื้นเบื้องหน้าชายทั้งห้าอย่างหงุดหงิด
“พวกแกทำงานไม่สำเร็จ เอาค่าจ้างไปแค่ครึ่งเดียว แล้วก็ไปให้พ้นๆ หน้าฉันซะ ไอ้พวกกระจอก!”
นักเลงทั้งห้าตาวาวโรจน์ด้วยความไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมก้มเก็บซองเงินที่อยู่บนพื้นแล้วเดินออกไปจากโกดังแต่โดยดี ศศิธรมองตามร่างของทั้งห้าจนลับสายตา แล้วจึงเดินไปทรุดนั่งบนเก้าอี้ไม้ด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์
หญิงวัยกลางคนหลับตาลงอย่างอดกลั้น การจัดการดวินดูจะยากกว่าที่คิด ก่อนหน้านี้หล่อนลงทุนจ้างผู้หญิงไซด์ไลน์ให้ไปจัดการแบล็กเมล์ชายหนุ่มที่ถูกมอมด้วยยาปลุกเซ็กซ์ ทว่ามันกลับหายตัวไปก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะไปถึง แล้วพอมาจ้างพวกนักเลงให้ไปรุมกระทืบ พวกนักเลงกลับพลาดท่าปล่อยให้ไอ้หมอสลัมนั่นหนีไปได้อีก
ไม่ได้ดั่งใจเลยสักคน!
“ไอ้เด็กกำพร้า วันนี้ถือว่าแกโชคดีนะ” หญิงวัยกลางคนพึมพำด้วยแววตาแข็งกระด้างก่อนจะเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อหาหมายเลขที่ต้องการ รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นที่มุมปากก่อนที่หล่อนจะกดโทร. ออก
“ฉันเองนะ ฉันมีงานอยากให้แกช่วย”
ความคิดเห็น |
---|