5

บทที่ 4


บทที่ 4

 

                จังหวัดสมุทรปราการอยู่ในเขตปริมณฑล ขับรถจากบ้านของโชใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง

                เพราะมิใช่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อีกทั้งยังไม่มีญาติสนิทมิตรสหายอยู่อาศัยที่นี่ นอกจากมาขึ้นเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศแล้ว หญิงสาวก็ไม่มีกิจธุระอันใดให้ต้องมาที่จังหวัดนี้เลยสักครั้ง

                แต่วันนี้ ธุระที่ว่ากลับสำคัญกับชีวิตของโชจนเธอรีบลุกจากที่นอนอาบน้ำแต่งตัวและขับรถออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เพราะกรุงเทพมหานครได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่รถติดติดอันดับโลก เธอจึงไม่อยากเสียเวลาติดแหง็กอยู่บนท้องถนนให้รำคาญจนความร้อนใจที่มีเพิ่มพูนมากขึ้น หญิงสาวเลือกขับรถอย่างสบาย ๆ บนถนนโล่งในช่วงเวลาพระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าจนเต็มดวง และนั่นก็ทำให้เธอเดินทางมาถึงอำเภอเมืองสมุทรปราการได้ตั้งแต่เพลงชาติยังไม่ดังขึ้นจากลำโพงวิทยุติดรถยนต์

                เป้าหมายของเธออยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปสองกิโลเมตร การเดินทางในยุคปัจจุบันไม่ยากเย็น  แม้เป็นสถานที่ที่ไม่เคยไป แต่เพียงเปิดแอปพลิเคชันแผนที่ในโทรศัพท์มือถือ ระบบดาวเทียมก็จะบอกเส้นทางและมีเสียงแจ้งการนำทางไปถึงที่หมายได้โดยไม่ต้องกางแผนที่หรือจอดถามทางดังเช่นในอดีต

                และที่สุด รถของโชก็ขับมาถึงหน้าโรงเรียนขนาดใหญ่มีป้ายติดรั้วสีดำสลักด้วยตัวอักษรสีทองแสดงชื่อโรงเรียนให้เห็นเด่นชัด

                ‘โรงเรียนจุฑาทิพย์’

                จากการหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเอกชนชื่อดังของจังหวัดสมุทรปราการ เปิดการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยม ประจวบเหมาะกับข้อมูลที่ได้จากเฟซบุ๊กของ Pleum Piyapat ที่ระบุสถานศึกษาว่าเคยเรียนที่โรงเรียนนี้ ซ้ำยังพักอาศัยอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการโชจึงมั่นใจว่าเธอมาไม่ผิดที่แน่

                และเพราะตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม โรงเรียนที่ปกติจะคลาคล่ำด้วยนักเรียนและผู้ปกครองกลับเงียบงันไม่มีเงาใครสักคน ถนนหน้าโรงเรียนที่ควรจะมีรถติดขนัด ก็โล่งจนรถแล่นได้คล่องตัว

                ประตูรั้วยังคงเปิดอ้าเอาไว้มิได้เลื่อนปิด ด้วยเพราะยังมีครูอาจารย์บางส่วนมาทำงานอยู่บ้าง หากไม่เตรียมตัวสำหรับการสอนในเทอมหน้า ก็มาตรวจข้อสอบกลางภาคที่เพิ่งผ่านพ้นไป โชถือโอกาสเลี้ยวเข้าไปในโรงเรียน แต่ไม่ทันได้เข้าไปจอดในลานจอดรถด้านหน้า เสียงนกหวีดที่ดังกระแทกแก้วหู ก็กระตุกให้ขาเธอเหยียบเบรกอย่างอัตโนมัติจนหัวแทบทิ่มกระแทกคอนโซลรถ

                พนักงานรักษาความปลอดภัยในชุดสีกากีคล้ายตำรวจ วิ่งเหยาะ ๆ มายืนขวางด้านหน้ารถ ก่อนกางมือเป็นสัญญาณห้ามมิให้เธอขับต่อไปได้ไกลกว่านี้ เมื่อเห็นรถหยุดสนิท ร่างบึกบึนกับผิวกร้านแดดนั้นจึงเดินมาด้านข้างประตูฝั่งคนขับ ก่อนยกมือทำวันทยหัตถ์ตามที่ถูกฝึกฝนมา

                โชลดกระจกลง เสียงห้าวหาญของผู้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันก็ดังจนเธอสะดุ้ง

                “ขออนุญาตครับ รถคุณไม่มีสติกเกอร์ เข้าไม่ได้นะครับ”

                โชอยากเคาะกะโหลกตนเองกับความเลินเล่อในการหาข้อมูล เธอควรจะรู้ว่าสถานศึกษาส่วนใหญ่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายกับนักเรียนนักศึกษา ผู้ปกครองที่บุตรหลานเรียนอยู่ที่นี่ หากจะขับรถพาเด็กเข้ามาส่งในโรงเรียน ก็ต้องลงทะเบียนเพื่อรับสติกเกอร์ของทางโรงเรียนเป็นเครื่องหมายยืนยันเสียก่อน มิเช่นนั้นจะไม่สามารถเข้ามาภายในได้

                สายตาดุดันของพนักงานรักษาความปลอดภัยกดดันทำให้โชเริ่มลนลาน แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังทำใจดีสู้เสือ ด้วยเพราะปกติเป็นคนมั่นใจในตัวเองและมีไหวพริบดีอยู่แล้ว โชจึงไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคเพียงเท่านี้

                “ผู้อำนวยการนัดดิฉันมาพบน่ะค่ะ พอดีดิฉันเพิ่งสอบบรรจุครู และจะเริ่มสอนที่โรงเรียนนี้ในเทอมหน้า”

                คิ้วชายกลางคนเลิกขึ้น สายตามองสำรวจทั้งตัวของโชและภายในรถอย่างละเอียด ราวกับคาดหวังว่าจะพบวัตถุต้องสงสัยอย่างเช่นกระเป๋าขนาดใหญ่หรืออาวุธร้ายแรงใด เผื่อจะได้แสดงฝีมือจับคนร้ายดั่งเช่นที่วาดหวังเอาไว้ตั้งแต่เริ่มทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่นี่

                แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบสิ่งใดอันเป็นพิรุธ โชจ้องตาเขาอย่างไม่กลัวต่อสายตาถมึงทึงนั่น

                เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น โชรีบกดรับสายพลางพูดเสียงดังให้ชายที่ยืนอยู่นอกรถได้ยินชัด ๆ

                “ค่ะท่าน ผอ. ดิฉันอยู่หน้าโรงเรียนแล้วค่ะ พี่ รปภ. กำลังตรวจสอบอยู่ค่ะ รอสักครู่นะคะ ดิฉันจะรีบเข้าไป” โชยื่นหน้าออกมานอกรถพลางตีหน้าขึงขัง “ขอโทษค่ะพี่ ท่าน ผอ. โทรตามแล้วค่ะ ถ้าพี่ไม่แน่ใจอะไร จะคุยกันท่านไหมคะ”

                พูดพลางยื่นโทรศัพท์ให้ เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ พนักงานรักษาความปลอดภัยก็คลายท่าทีหวาดระแวงลง ก่อนยกมือทำความเคารพอีกครั้ง และเป่านกหวีดพลางโบกให้รถของโชแล่นเข้าไปภายในโรงเรียนได้

                โชนึกขอบคุณสวรรค์ ที่วันนี้พกโทรศัพท์มือถือของออฟฟิศติดมาด้วย จังหวะที่พนักงานรักษาความปลอดภัยมองไปที่เบาะหลัง หญิงสาวก็รีบกดปุ่มโทรออกเบอร์ฉุกเฉิน ซึ่งบันทึกไว้เป็นเบอร์โทรศัพท์ของตน ก่อนกดรับสายและพูดคนเดียวดุจเล่นละคร เมื่ออ้างถึงผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนเช่นนี้ พนักงานรักษาความปลอดภัยจึงไม่กล้ารั้งตัวเธอไว้อีก

                หญิงสาวเป่าปากอย่างโล่งอก

 

                ผ่านด่านแรกมาได้ แต่กระนั้นก็ยังเหลือภารกิจอีกมากมายที่ต้องทำ เป้าหมายที่เธอมาที่นี่ก็เพื่อหาประวัติของนักเรียนที่ชื่อ ปิยภัทร เธอไม่รู้หรอกว่าชื่อที่เขาใช้ในเว็บบอร์ดและเฟซบุ๊ก จะเป็นชื่อจริงของตัวเองหรือเปล่า เพราะขนาดเธอ ในเฟซบุ๊กยังใช้ชื่อว่า ‘Cho Deadly Doll’ เลย

                แต่ไหน ๆ มาถึงนี่แล้ว หากไม่เดินหน้าลุย จะให้ย้อนกลับก็คงเสียเที่ยว โชลงจากรถพลางกวาดตามองสำรวจ

                โรงเรียนนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ นอกจากอาคารเรียนจำนวนมาก อาคารฝ่ายบริหาร และอาคารอเนกประสงค์ที่ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วพื้นที่แล้ว ยังประกอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างหลากหลายที่เหมาะสำหรับการเรียนและการทำกิจกรรมของนักเรียน เช่น สนามกีฬา สระว่ายน้ำ โรงอาหาร ลานกิจกรรม ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดโรงเรียนนี้จึงมีชื่อเสียงและถูกจัดอันดับให้เป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในประเทศแห่งหนึ่ง

                แล้วเธอจะหาข้อมูลนักเรียนได้จากที่ไหน?

                แน่นอนว่าประวัตินักเรียนย่อมถูกเก็บไว้ที่แผนกทะเบียน อาจจะอยู่ในรูปแบบเอกสารหรือไฟล์อิเลกทรอนิกส์ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาของเธอตอนนี้คือ จะเข้าไปในห้องทะเบียนได้อย่างไรต่างหาก

                หรือจะอ้างว่าเป็นครูคนใหม่ มารอพบผู้อำนวยการจึงอยากเดินดูสถานที่ทำงาน...

                ไม่ได้แน่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะหลอกได้ด้วยมุกแบบนี้ ดีไม่ดีเกิดความแตกเข้า เธอได้ถูกจับส่งตำรวจกันพอดี

                และไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เสียงแกรกกรากซึ่งดังมาจากด้านหลังก็เรียกใบหน้าหญิงสาวให้หันไปมอง เห็นเป็นนักการชรากำลังกวาดใบไม้บนถนนอยู่อย่างขะมักเขม้น แดดยามเช้าแม้ไม่แรงนัก แต่ก็มากพอทำให้เหงื่อซึม ขนาดเธอยังรู้สึกเหนียวตัวทั้งที่เพิ่งเดินลงจากรถไม่นาน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชราคนนั้นจะทั้งร้อนทั้งเหนื่อยแค่ไหน

                โชหยิบขวดน้ำซึ่งปกติจะพกติดรถถือติดมือเดินไปหานักการคนนั้น สีหน้าแย้มยิ้มพลางกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่แสดงความจริงใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

                “สวัสดีค่ะคุณลุง กวาดขยะกลางแดดเปรี้ยงแบบนี้ร้อนแย่ น้ำไหมคะ”

                ชายชรามองโชอย่างสงสัย ปกติแล้วไม่มีใครพูดคุยทักทายกับเขานักหากไม่มีเรื่องจำเป็นจริง ๆ กระทั่งนักเรียนที่เห็นหน้ากันทุกวัน ก็เห็นเขาเป็นอากาศธาตุ

                “ขอบคุณครับคุณผู้หญิง แต่ลุงไม่ร้อนหรอก ชินเสียแล้ว กวาดแบบนี้ทุกวัน” และเมื่อนึกขึ้นได้ ภารโรงชราก็มองใบหน้าหญิงสาวอย่างสงสัย “โรงเรียนปิดแบบนี้ คุณมาติดต่อธุระเรื่องอะไรครับ หาอาจารย์ท่านไหนหรือตึกไหนอยู่หรือเปล่า ผมจะได้บอกทางให้”

                สมองหมุนติ้วราวมีรถมอเตอร์ไซค์ไต่ถังมาวิ่งวนในกะโหลก แดดแรงทำให้ใบหน้าขาวเจือด้วยสีแดงราวถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง หางตาเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เธอเพิ่งพ่นเรื่องโกหกคำโตใส่เขาเอาไว้มองเพ่งมา โชไม่อาจเสียเวลาอยู่ตรงนี้นานมากนัก

                “คือหนูเพิ่งกลับจากเมืองนอกและกำลังจะแต่งงานน่ะค่ะ อยากติดต่อเพื่อน ๆ ที่เคยเรียนชั้นเดียวกันเพื่อเชิญมางานแต่ง แต่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์พวกเขา ที่อยู่ที่เคยจดไว้ก็หายไปแล้วด้วย เลยคิดว่าถ้ากลับมาที่โรงเรียน น่าจะมีประวัติศิษย์เก่าอยู่บ้าง คุณลุงพอให้คำแนะนำได้ไหมคะ ว่าหนูจะต้องติดต่อใคร ที่ไหน ยังไง”

                ลุงภารโรงทำหน้าครุ่นคิด เขาเองใช่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบระเบียบและเอกสารต่าง ๆ มากนัก

                แต่ถึงกระนั้น เพราะทำงานที่นี่มานานนับสิบปี ได้ยินได้ฟังบทสนทนาของครูอาจารย์หรือนักเรียนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในรั้วโรงเรียนมาอยู่บ้าง สมองชายชราเก็บเล็กผสมน้อยถ้อยคำที่ได้ยินเพื่อเรียบเรียงเป็นคำตอบให้สมกับที่หญิงสาวคาดหวัง

                “ในห้องสมุดน่าจะมีหนังสือรุ่นนะครับ”

                หนังสือรุ่น... จริงสิ!

คิดได้ถึงเรื่องนี้ โชก็แทบเอามือตบหน้าผากตนเอง เธอเองก็ใช่จะไม่มีหนังสือรุ่นของโรงเรียนระดับประถม มัธยม และมหาวิทยาลัยที่ตนเรียนเสียเมื่อไหร่ ในหนังสือนั้นมีข้อมูลนักเรียนนักศึกษา ทั้งชื่อ นามสกุล รูปถ่าย ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์บันทึกเอาไว้พร้อมอยู่แล้ว หากเธอคิดได้เร็วกว่านี้ คงไม่ต้องเสี่ยงคุยกับคนอื่นให้มากความจนอาจสร้างความน่าสงสัยแบบนี้

                “ขอบคุณค่ะคุณลุง”

                โชรีบถลันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปบนฟุตปาธเลียบอาคาร เพื่อมิให้คู่สนทนาทันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หากเธอเป็นศิษย์เก่าที่นี่จริง ก็ย่อมมีหนังสือรุ่นอยู่ที่บ้าน

                และกว่าลุงภารโรงจะบังเกิดความสงสัยว่า ตนเองทำงานที่นี่มานาน กลับไม่เคยเห็นนักเรียนรูปร่างหน้าตาแบบนี้มาก่อน หญิงสาวก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว

 

                เพราะเดินสุ่มหาห้องสมุดในยามที่ไร้ซึ่งนักเรียนให้พอได้เอ่ยถาม โชจึงเสียเวลากว่าครึ่งชั่วโมง

                ในที่สุด หญิงสาวก็เดินมาถึงอาคารสามชั้น มีป้ายสีน้ำเงินขนาดใหญ่ เขียนตัวอักษรสีขาว ‘ห้องสมุด’ ให้เห็นได้ชัดเจนแม้ยืนอยู่ไกล ๆ

                การเดินหาห้องสมุดว่าเป็นปัญหาแล้ว การเข้าไปในห้องสมุดในช่วงเวลาที่โรงเรียนปิดเทอมกลับเป็นปัญหายิ่งกว่า โชดันประตูกระจกบานคู่เข้าไปด้านใน ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศไหลทะลักออกมากระทบผิวกายคลายความร้อนและเหนื่อยล้าลงไปปลิดทิ้ง หญิงสาวนึกขอบคุณนักประดิษฐ์ผู้คิดค้นอุปกรณ์อันจำเป็นสำหรับโลกยุคที่เต็มไปด้วยรูรั่วของโอโซนเช่นทุกวันนี้

                ครูวิชาประวัติศาสตร์ควบตำแหน่งเจ้าหน้าที่ห้องสมุด ที่กำลังก้มหน้าก้มตาสิงตัวเองในโลกอินเทอร์เน็ตผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดจังหวะการสนทนากับเพื่อนร่วมกลุ่มแม่บ้านช่างเมาท์ในแอปพลิเคชันไลน์ เมื่อเห็นเป็นหญิงสาวไม่คุ้นหน้า เธอจึงกล่าวเสียงเข้ม

                “มีธุระอะไรคะ”

                แน่นอนว่าการมาเยือนของคนแปลกหน้า ที่ดูอย่างไรก็มิใช่นักเรียนหรือครูอาจารย์ของโรงเรียนนี้ และยิ่งเป็นช่วงปิดเทอมแบบนี้ด้วย จุดประสงค์ของหญิงสาวย่อมไม่ใช่การยืมหนังสือ

                อันที่จริง ช่วงปิดเทอมห้องสมุดควรจะปิดตามไปด้วย แต่เพราะมีครูหลายคนที่ยังมาทำงาน ซึ่งบางคนก็จำเป็นต้องใช้หนังสือเพื่อประกอบการทำงานวิจัยหรือเตรียมการสอนในเทอมต่อไป ระเบียบของโรงเรียนจึงกำหนดให้มีการเปิดใช้งานห้องสมุดในช่วงเวลาราชการ และมีครูห้าคนทำหน้าที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแล

                “สวัสดีค่ะคุณครู ดิฉันมารอพบท่านผู้อำนวยการค่ะ ตอนแรกนัดไว้เก้าโมง แต่ท่านบอกว่ามีธุระจะเข้ามาช้าหน่อย ฉันเลยอยากหาหนังสือนั่งอ่านเพื่อฆ่าเวลา ไม่ทราบฉันสามารถใช้บริการห้องสมุดได้ไหมคะ”

                ครูเจ้าหน้าที่ทำหน้าเหมือนลังเล มิใช่วิสัยของเธอที่ต้องโทรหาผู้อำนวยการ เพราะดูจากรูปร่างหน้าตา การแต่งกาย โชก็ไม่ได้มีทีท่าเหมือนผู้ร้ายหรือคนไม่ดีอะไร อีกทั้งในห้องสมุดก็มิได้มีทรัพย์สินมีค่าอื่น มีเพียงหนังสือมากมายหลายหลากเท่านั้น

                หรือไม่... เหตุผลสำคัญที่ทำให้ครูผู้นี้พยักหน้าให้โชแบบแกน ๆ ก็คงเป็นเพราะไม่ต้องการขาดช่วงการสนทนากับกลุ่มแม่บ้านเพื่อนินทาบรรดาสามีต่างหาก

                “ได้ค่ะ แต่คุณเป็นคนนอก ฉันต้องขอบัตรประชาชนคุณไว้ด้วยนะคะ และก็ ไม่สามารถยืมหนังสือไปอ่านนอกห้องได้ ถ้าจะอ่านก็อ่านในนี้เท่านั้น ไว้ตอนออกฉันจะคืนบัตรให้”

                ราวกับเสียงพลุดอกไม้ไฟดังลั่นในใจ โชแทบเก็บกลั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไม่อยู่ หญิงสาวไม่รอช้า รีบหยิบบัตรประชาชนออกจากกระเป๋า ยื่นให้ครูเจ้าหน้าที่

                บัตรของโชถูกโยนใส่กล่องที่ตั้งอยู่ด้านหน้า ทันทีที่หญิงสาวได้บัตรกระดาษสีชมพูเคลือบพลาสติกพิมพ์คำว่า ‘Guest’ เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เธอก็เหน็บมันไว้กับสาบเสื้อเชิ้ต ถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นวางด้านข้าง และผลักเครื่องกั้นสามขาเข้าไปด้านใน

 

                บรรยากาศเงียบสงบของห้องสมุดยามปิดเทอม มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศทำงานที่พอดังให้รู้ว่ากาลเวลามิได้ถูกหยุดลง แม้เป็นเวลากลางวัน แต่แสงสลัวรางของหลอดไฟฟ้าที่ถูกบดบังด้วยตู้หนังสือขนาดใหญ่ ก็ทำให้โชขนลุกเกรียว ตำนานเรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับสถานศึกษาที่เคยได้ยินได้ฟังมา หลายเรื่องราวมีฉากเป็นห้องสมุดเสียด้วย

                เธอมิได้สอบถามครูเจ้าหน้าที่ว่าหนังสือรุ่นอยู่ที่ชั้นใด ตู้ใด เพราะคงแปลกพิลึก หากผู้ไม่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน จะมาถามหาหนังสือซึ่งมีเพียงข้อมูลของนักเรียนเขียนไว้เช่นนี้

                ความเย็นของกระเบื้องที่ถูกลมจากเครื่องปรับอากาศพัดเป่า ทะลุผ่านฝ่าเท้าเปลือยเปล่าขึ้นมาจนโชต้องเขย่งปลายเท้าเดิน ตู้หนังสือมีสารบัญติดไว้ด้านข้าง ใส่หนังสือเอาไว้เรียงลำดับตามตัวอักษร ตั้งแต่ตัวเลข 0 – 9 พยัญชนะไทย และพยัญชนะอังกฤษ แบ่งเป็นหมวดหมู่ในแต่ละชั้น โดยชั้นหนึ่งเป็นหนังสือเรียน วิชาการ และหนังสืออ้างอิงต่าง ๆ ชั้นสองเป็นวรรณกรรม นิยาย บทความ เรื่องสั้น และชั้นบนสุดเป็นหนังสือภาษาอื่น เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส ตามสาขาวิชาภาษาต่างประเทศที่มีการเรียนการสอน

                โชที่ไล่ดูสารบัญและแผนผังห้องสมุด มั่นใจว่าหากแบ่งหมวดหมู่หนังสือเช่นนี้ หนังสือรุ่นย่อมอยู่ที่ชั้นหนึ่งแน่นอน

                “หนังสือรุ่น หนังสือรุ่น” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ สายตาสอดส่ายมองหาตู้หนังสือที่บรรจุหนังสือหมวดตัวอักษรนำ ‘ห-ฬ’ และเพียงไม่นาน เธอก็พบตู้หนังสือที่เรียงรายอัดแน่นด้วยหนังสือหลากชนิดที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรที่ตามหา หญิงสาวนึกขอบคุณผู้วางระบบการจัดหมวดหมู่หนังสืออย่างมีระเบียบเช่นนี้

                ไม่ยากนักสำหรับการค้นหา หนังสือรุ่นตั้งเรียงอยู่ชั้นบนสุดของตู้ เรียงลำดับตามปีพุทธศักราช จำนวนเล่มของหนังสือที่เรียงกันจนเกือบเต็มชั้น บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของสถานศึกษาแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี โชจำปีที่เฟซบุ๊กของปิยภัทรถูกสร้างและวันสุดท้ายของการใช้งานเฟซบุ๊กนั้นได้ การระบุข้อมูลสถานศึกษาเอาไว้ แสดงว่าช่วงเวลานั้นเขายังเรียนอยู่ที่นี่

                เพราะเธอไม่รู้ว่าขณะที่โพส ปิยภัทรเรียนอยู่ชั้นใดกันแน่ ซึ่งปกติแล้วนักเรียนระดับชั้นมัธยม อย่างมากที่สุดก็ต้องเรียนทั้งสิ้น 6 ปี หญิงสาวคำนวณในใจโดยบวกลบตามปีที่เป็นตัวตั้ง แล้วจึงดึงหนังสือรุ่นออกมาจากตู้จำนวน 11 เล่ม

                ด้านหลังส่วนที่เป็นตู้หนังสือ คือโต๊ะที่ตั้งเรียงเอาไว้ 5 แถว แถวละ 3 ตัว เก้าอี้ถูกเลื่อนชิดเข้าไปในโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ เธอแบกหนังสือกองพะเนินมาวางตั้งบนโต๊ะตัวที่ใกล้ทางเดินที่สุด ก่อนเลื่อนเก้าอี้นั่งลงพลางเป่าปาก

                “นี่ฉันต้องหาคนคนเดียวจากนักเรียนเป็นพัน ๆ เนี่ยนะ”

                หากการงมเข็มในมหาสมุทรว่ายากเย็นแสนเข็ญแล้ว การงมนักเรียนคนหนึ่งจากจำนวนนักเรียนมากมายมหาศาล ก็คงยากเย็นไม่ต่างกัน

 

                โชปวดตาจนต้องเอานิ้วนวดหว่างคิ้ว

                เพราะโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดที่มีชื่อเสียงและมีขนาดใหญ่ นักเรียนในแต่ละชั้นปีจึงมีจำนวนหลายร้อยคน เมื่อรวมทุกชั้นปีเข้าด้วยกัน ในปีการศึกษาหนึ่งจึงมีนักเรียนมากมายหลายพันคน

                รายละเอียดหลัก ๆ ของหนังสือรุ่น คือหน้าแนะนำบุคลากรครูและเจ้าหน้าที่ ถัดมาเป็นนักเรียนในชั้นปีต่าง ๆ เรียงลำดับตามห้องที่แบ่งตามวิชาเอกที่เลือกเรียน รูปถ่ายที่อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษแต่ละหน้า เป็นภาพครูประจำชั้นและนักเรียนของห้องนั้น ๆ ที่นั่งเรียงกันบนแสตนด์ตามลำดับความสูง เพื่อให้เห็นหน้าของทุกคนชัดเจน ด้านล่างเป็นรายชื่อของนักเรียนแต่ละคน

                เมื่อเจอชื่อปิยภัทร หญิงสาวก็จดชื่อ นามสกุล และที่อยู่ไว้ในสมุดบันทึกที่เตรียมมา แม้ตามข้อเท็จจริง นักเรียนในชั้นปีใดของเล่มที่เธอกำลังดูอยู่ จะขึ้นชั้นถัดไปในปีต่อมา แต่โชก็ไม่อาจเปิดผ่านหน้าใดแม้เพียงสักหน้า เพราะคิดเผื่อเอาไว้ว่า การเรียนระดับมัธยมนี้มีโอกาสที่จะมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่หรือย้ายออกไประหว่างชั้นปีด้วย

                สองชั่วโมงพ้นผ่าน โชได้ชื่อและที่อยู่ของปิยภัทรทั้งสิ้น 15 คน

                ที่อยู่ของแต่ละคนแน่นอนว่าอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ แต่จากวันที่เขาเหล่านี้ยังเรียนอยู่ จนถึงวันนี้ที่ผ่านมานานเกือบสิบปีแล้ว เธอไม่รู้เหมือนกันว่าแต่ละคนจะยังอาศัยอยู่ที่เดิมหรือเปล่า

                หญิงสาวนั่งหลังขดหลังแข็งจมอยู่กับกองหนังสือจนดวงตาปวดหน่วง ต้องเงยหน้าปิดเปลือกตาเพื่อพักผ่อนคลาย เธอหาสิ่งที่ต้องการครบแล้ว เหลือเพียงไล่ตระเวนหาผู้มีพระคุณตามที่อยู่ที่จดมานี้ให้ครบ เมื่อคิดได้ว่าอยู่ในห้องสมุดนานไปไม่ดีแน่ จึงสะบัดศีรษะเบา ๆ และรวบหนังสือไว้เป็นกองก่อนเตรียมแบกไปเก็บในตู้ดังเดิม

                “อ้าว! วันนี้เวรครูสมรเหรอ ผมว่าจะมายืมหนังสือสักสองสามเล่ม”

                เสียงเคร่งขรึมของชายบ่งบอกอายุว่าเลยช่วงวัยหนุ่มมาแล้วดังขึ้นที่ด้านหน้าทางเข้าห้องสมุด โชที่ลุกขึ้นยืน ในอ้อมแขนวางทับด้วยหนังสือรุ่น 11 เล่ม หยุดยืนนิ่งเพื่อฟังการสนทนา

                “สวัสดีค่ะผู้อำนวยการ”

                เวรแล้ว! โชตกใจจนแทบปล่อยหนังสือทั้งหมดให้ร่วงลงพื้น เคราะห์ดีที่ยังประคองสติได้

                “พอดีเลยค่ะ น้องผู้หญิงที่ท่านนัดไว้ นั่งอ่านหนังสือรออยู่ข้างใน”

                “นัด? ผมไม่ได้นัดใครไว้นะ”

                ซวยกว่านี้มีอีกไหม! เพราะดันอ้างชื่อผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียน หากถูกจับได้ว่าโกหก เรื่องคงไม่จบแค่คำขอโทษแน่ โชใจเต้นรัวราวแผ่นดินไหวในอก ร่างกายที่เย็นเยียบด้วยความเย็นของอุณหภูมิห้อง ยิ่งเหมือนถูกจับยัดใส่ในถังน้ำแข็ง

                “อ้าว! แล้วทำไมน้องคนนั้นบอกหมอนแบบนั้นล่ะคะ เดี๋ยวต้องเข้าไปถามให้รู้เรื่อง”

                ไม่พูดเปล่า ครูสาวใหญ่ร่างท้วมรีบกุลีกุจอลุกจากเก้าอี้บุนวม ก่อนเดินนำผู้บังคับบัญชาเข้ามาด้านใน

                โชที่สอดส่ายสายตามองผ่านช่องว่างของตู้หนังสือ ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า หญิงสาวเอาตัวแนบตู้ไม้และทำตัวลีบอย่างไม่ตั้งใจ เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

                “น่าจะอยู่แถวนี้นะคะ เมื่อกี๊หมอนยังเห็นนั่งอ่านหนังสืออยู่แวบ ๆ”

                ครูสมรเดินลิ่วด้วยความเร็วไม่สมขนาดร่าง ผ่านตู้หนังสือหมวดตัวอักษรนะ ‘ก-ข’ ไล่มาเรื่อย ๆ

                โชหันซ้ายหันขวามองหาทางหนีทีไล่อย่างร้อนรน

                “หรือจะเป็นขโมยก็ไม่รู้นะคะ คนอะไร หน้าตาก็ดี ไม่คิดว่าจะเป็นคนร้ายไปได้ ให้หมอนโทรศัพท์เรียก รปภ. ด้วยไหมคะ”

                “ไม่เป็นไรหรอกครูสมร ถ้าแค่ผู้หญิงคนเดียว ผมเอาอยู่”

                “จะบ้าเหรอ! เอาอย่งเอาอยู่อะไรกัน ฉันไม่ใช่คนร้ายสักหน่อย”

โชตะโกนดังก้องในใจ แต่ไม่มีเสียงใดปริรอดออกจากริมฝีปาก

                มาถึง ‘ม-ย’ แล้ว อีกไม่กี่ตู้ก็จะถึงตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ บัดนี้หนังสือรุ่นทั้งหมดถูกกองไว้กับพื้น ร่างที่แนบไปกับตู้ยิ่งชิดจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับแผ่นไม้ เหงื่อไหลซึมจากหน้าผากทั้งที่อากาศเย็นเยียบ

                จะถึงแล้ว อีกตู้เดียวก็จะถึงแล้ว!

                “นี่ไงคะท่าน มันอยู่ตร...”

                นิ้วชี้ไปที่ทางเดินระหว่างตู้หนังสืออักษรนำ ‘ห-ฬ’ และ ‘อ-ฮ’ ทั้งที่ควรจะเจอร่างหญิงสาวที่อ้างถึงผู้อำนวยการ แต่ตรงนั้นกลับว่างเปล่าไร้เงาใครสักคน

                “มันต้องอยู่ในนี้แหละค่ะผู้อำนวยการ ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ชั้นบน เดี๋ยวหมอนขึ้นไปดูให้”

                ร่างท้วมวิ่งขึ้นบันไดอย่างรีบเร่งจนไขมันรอบเอวกระเพื่อมเป็นจังหวะ สายตาสอดส่องมองหาเงาร่างที่คิดว่าซุกซ่อนอยู่ราวกับเล่นเกมจับผิด ชั้นสองที่มีโครงสร้างและการจัดวางตู้หนังสือเหมือนชั้นหนึ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหวของสิ่งใดให้เห็น เช่นเดียวกับชั้นสามที่เธอกระหืดกระหอบวิ่งขึ้นมา ก็ไม่พบผู้ใดสักคนเช่นกัน

                หอบหายใจหนักหน่วง ร่างกายเธอไม่เหมาะกับการวิ่งเร็ว ๆ เช่นนี้ เมื่อเกาะราวบันไดลงมาถึงชั้นล่าง พบผู้อำนวยการยืนรออยู่อย่างร้อนใจ ก็รายงานสถานการณ์ทันที

                “ไม่เจอค่ะ หมอนหาทุกซอกทุกมุมแล้ว ก็ไม่เจอเลย”

                “ครูสมรมั่นใจนะ ว่าไม่ได้นั่งเล่นไลน์เพลิน จนไม่ทันมองว่าผู้หญิงที่ว่าออกไปตอนไหน”

                ครูสาวใหญ่รีบสั่นศีรษะปฏิเสธ “เปล่านะคะ หมอนทำหน้าที่ไม่บกพร่องแน่ ๆ มันเข้ามาในนี้แล้วยังไม่ได้ออกไปข้างนอกแน่นอน หมอนมั่นใจ” และดูเหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ “จริงสิ! มันแลกบัตรเอาไว้ บัตรประชาชนยังอยู่ในกล่องที่เคาน์เตอร์”

                ทั้งที่เหนื่อยจนต้องหายใจถี่หนัก แต่ราวกับหลักฐานเดียวที่หลงเหลือ เป็นแรงกระตุ้นให้ครูสมรสร้างผลงานใหญ่ด้วยการจับขโมยเพื่ออวดผู้อำนวยการ

                และดูเหมือนทุกสิ่งจะไม่เป็นใจ หญิงกลางคนรีบเดินพลาดเตะเก้าอี้ที่ตั้งขวางจนนิ้วเท้าบวมเป่ง แต่ยังสะกดกลั้นอาการเจ็บเอาไว้ ก่อนแทรกร่างเข้าไปในเคาน์เตอร์ที่แคบไม่สมขนาดร่างอย่างทุลักทุเล มือหยิบกล่องกระดาษขึ้นมาอย่างมาดมั่นว่าจะต้องนำหลักฐานชิ้นนี้ไปแจ้งความจับผู้ไม่ประสงค์ดีที่แอบอ้างเจ้านายเธอให้ได้

                แต่ว่างเปล่า... ทั้งที่ควรจะมีบัตรประชาชนของหญิงแปลกหน้าคนนั้น กล่องกระดาษกลับว่างเปล่าไม่มีเอกสารใด ๆ อยู่เลยสักใบ

                ผู้อำนวยการที่เพิ่งเดินมาถึง มองครูสมรด้วยแววตาตำหนิ

                “หรือคุณจะแอบหลับ แล้วฝันเป็นตุเป็นตะจนคิดว่าเป็นเรื่องจริง”

                “เปล่านะคะท่าน หมอนไม่ได้หลับนะคะ”

                ละล่ำละลักปฏิเสธ ข้อแก้ตัวและสมมติฐานมากมายถูกอัดแน่นในสมองเพื่อโน้มน้าวผู้อำนวยการให้เชื่อตน ครูสาวใหญ่เจ็บใจตัวเอง ที่มัวแต่สนใจไลน์จนไม่ทันได้จดจำใบหน้าผู้หญิงคนนั้นเอาไว้

และหากครูสมรรู้ว่า ระหว่างที่เธอเดินนำผู้อำนวยการเข้ามาด้านใน โชที่แอบอยู่ ได้เดินไปยังทางเดินอีกฝั่ง และอาศัยจังหวะที่ทั้งสองเดินผ่านตู้ที่เธอซ่อนอยู่ เดินสวนออกมาในจังหวะเดียวกัน โดยใช้ด้านข้างของตู้อีกฝั่งเป็นเครื่องกำบัง และรีบวิ่งด้วยปลายเท้าโดยทักษะของ ‘บัลเลต์’ ที่เธอเคยร่ำเรียนมาสมัยเด็กจนไม่ส่งเสียงก้าวย่าง ก่อนหยิบฉวยบัตรประชาชนและรองเท้าของตน รีบวิ่งออกจากอาคารห้องสมุดได้อย่างทันท่วงที

                ครูสมรคงยิ่งเจ็บใจจนแทบกระอักเลือด

 

                “แกบ้าไปแล้วเหรอโช! ทำแบบนั้นเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางชัด ๆ”

                เสียงดาวโวยวายดังลั่นรถ แทนที่โชจะสำนึกผิด กลับหัวเราะร่วนราวกับเรื่องที่เล่าให้เพื่อนฟังเป็นเรื่องสนุกเสียเต็มประดา

                “แต่ฉันก็รอดมาได้นี่คะที่รักขา” พูดพลางหันหลังไปส่งตาหวานเชื่อมให้สาวห้าว จนอาเธอร์ที่รับหน้าที่พลขับต้องกระแอมเสียงดัง

                “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ เราเป็นห่วงรู้ไหมโช” หนุ่มตี๋มิวายหยอดตามประสาคนแอบชอบ

                ส่วนชามก็มองหน้าโชด้วยสายตาห่วงใยโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดออกมา

                อาเธอร์ที่รู้ว่าโชเสี่ยงขนาดนี้ เพียงเพื่อหาข้อมูลของปิยภัทร ก็โกรธจนต้องแค่นเสียงแข็ง “เราไม่เข้าใจเลย จะทำตัวลึกลับเป็นปริศนาเพื่ออะไร เรียกร้องความสนใจ? ขาดความอบอุ่น? หรือเป็นโรคจิตกันแน่”

                ลืมไปเสียสนิท ว่าด้านหลังเบาะของเขาเป็นดาวที่นั่งอยู่ และเมื่อคิดได้ ฝ่ามือสาวห้าวก็ประเคนเข้าที่ศีรษะเสียแล้ว

                “เขาจะเป็นยังไงก็เรื่องของเขาปะ เกี่ยวอะไรกับแกด้วยไอ้ตี๋”

                “ถ้าแกไม่ตบกะโหลกฉันสักวันหนึ่ง มือแกจะด้วนไหมไอ้ดาว” พูดพลางลูบศีรษะป้อย ๆ “มันต้องเกี่ยวกับฉันอยู่แล้วละ ก็ในเมื่อมันปิดบังตัวตนเอาไว้แบบนี้ จนทำให้โชต้องทำอะไรเสี่ยง ๆ เกือบถูกจับเข้าคุก จะไม่ให้ฉันโกรธได้ยังไง”

                โชมองเพื่อนทั้งสามอย่างเข้าใจ “ฉันเชื่อว่าเขาต้องมีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง ที่ทำให้ต้องปกปิดตัวเองแบบนี้ คนที่ถึงกับลบทุกอย่างบนเฟซบุ๊กออก รวมถึงลบคนที่ต้องการทำความรู้จักทิ้ง เหตุผลที่ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่”

                เพราะได้รับการช่วยเหลือ เสมือนได้ชุบชีวิตใหม่ทั้งครอบครัว ต่อให้ถูกปฏิเสธจากปิยภัทรขนาดไหน เธอก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน และมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ต้องซุกซ่อนตัวเองในม่านแห่งปริศนาเช่นนี้

                ฮอนด้าแอคคอร์ดสีดำของอาเธอร์ขับตามการบอกเส้นทางของแอปพลิเคชันแผนที่ หลังจากโทรศัพท์หาโชจนรู้ว่าหญิงสาวทำเรื่องเสี่ยงเมื่อเช้า เขาก็บอกให้เธอรออยู่ที่สมุทรปราการ ก่อนอาสาเป็นพลขับและรีบบึ่งรถมาหาอย่างรีบเร่ง และทันทีที่มาถึงปั๊มน้ำมันอันเป็นจุดนัดหมาย ภาพฝันที่วาดเอาไว้ว่าจะได้ทำตัวเป็นพระเอกคอยดูแลโชตลอดวัน ก็พลันสลาย เพราะก่อนหน้าที่เขาจะมาถึง ดาวและชามมารออยู่กับโชแล้ว

                มารความรัก! อาเธอร์ก่นด่าเพื่อนสาวทั้งคู่ในใจ

                สมุทรปราการวันนี้เจริญต่างจากในอดีตมากราวหน้ามือหลังมือ ทั้งการคมนาคมที่มีระบบรถไฟฟ้าจากกรุงเทพสายสุขุมวิทที่เชื่อมต่อจนถึงสถานีแบริ่ง และมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่จะสร้างยาวไปสิ้นสุดที่สถานีเคหะสมุทรปราการตรงเทศบาลบางปู เป็นการเพิ่มความสะดวกสบายในการสัญจรของผู้นิยมซื้อบ้านแถวชานเมืองและต้องเดินทางมาทำงานในกรุงเทพ

                สถานที่ท่องเที่ยวก็มีหลายหลาก ทั้งสถานตากอากาศบางปูที่มีนกนางนวลอพยพหนีหนาวมาหากินชายทะเลนับพันตัวในช่วงฤดูหนาว เมืองโบราณที่จำลองสิ่งปลูกสร้างสำคัญของประเทศเอาไว้มากมาย พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณที่โดดเด่นด้วยรูปปั้นช้างสามเศียรยืนตระหง่านอยู่ด้านหน้าทางเข้าให้เห็นเด่นชัดในระยะไกล หรือสะพานภูมิพลที่เชื่อมสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีความยาวและสวยงาม อันเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเพื่อแก้ปัญหาการจราจร

                โชอดเผลอไผลคิดถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ด้วยเพราะเป็นอดีตนักศึกษาสาขาวิชานี้ไม่ได้  หญิงสาวสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป นาทีนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำตามเป้าหมายให้ลุล่วงเสียก่อน

ทันทีที่คิดได้ รถของอาเธอร์ก็จอดเทียบฟุตปาธพอดี

“ซอยนี้แคบ รถจอดหน้าบ้านกันเยอะ คงขับเข้าไปไม่ได้”

โชมองตามที่เพื่อนชายพูด พบว่าซอยเล็กข้างหน้าเป็นตึกแถวสภาพเก่าโทรมตั้งเรียงกันสองข้าง หน้าบ้านถูกจับจองพื้นที่ด้วยรถยนต์ของเจ้าของบ้านที่จอดอย่างไม่กลัวจะโดนเฉี่ยวกระจกข้าง ทั้งสี่เปิดประตูรถแทบจะพร้อมกัน เปลวแดดแทรกเข้ามาต่อสู้กับอากาศเย็นของเครื่องปรับอากาศจนอาเธอร์ลังเลที่จะก้าวเท้าลงไป แต่เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสามไม่แม้แต่จะพกร่มหรือสวมหมวก หนุ่มตี๋ก็จำใจต้องเดินตามไปพลางเอามือป้องศีรษะราวกับคิดว่ามันคือร่มวิเศษที่กันรังสีอัลตราไวโอเลตไม่ให้ปะทะผิวหน้าได้

บ้านเลขที่ตามที่โชจดไว้ในสมุด อยู่หลังสุดท้ายทางขวาของซอย สุนัขพันธุ์ไทยสีเทามีขี้เรื้อนเป็นปื้นที่กลางหลัง เห่าเสียงขรมเมื่อกลุ่มคนแปลกหน้าเดินเข้ามาใกล้ อาเธอร์ที่ตั้งใจจะเดินนำให้สมเป็นชายเพียงคนเดียว ตกใจเสียงเห่านั้นจนต้องชะงักฝีเท้า ปล่อยให้ดาวที่เดินไปพลางส่งเสียงไล่สัตว์ขี้เรื้อนนั้นไปอย่างไม่กลัวเกรง เป็นผู้นำแทน

ประตูเหล็กยืดถูกเปิดอ้าเอาไว้ หน้าบ้านกองด้วยข้าวของมากมาย ทั้งกะละมังพลาสติก กระป๋องนม ขวดเบียร์ที่บางขวดยังมีของเหลวสีเหลืองนอนก้นอยู่ สายยางม้วนเป็นวงรัดด้วยเชือก หากบอกว่าเจ้าของบ้านประกอบอาชีพรับซื้อของเก่าทั้งสี่ก็คงเชื่อโดยดุษณี

ด้านในมืดทึม ดวงอาทิตย์ยามนี้แม้ทำมุมเฉียงกับพื้นโลกฝั่งหน้าบ้าน แต่ก็ถูกบดบังด้วยตึกแถวอีกฟากถนน แสงแรงจึงไม่อาจส่องมาสร้างความสว่างให้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ ในบ้านได้ชัดเจนนัก  โชต้องหรี่ตามองเข้าไปด้านในที่ไม่เปิดไฟแม้เพียงสักดวง

“ขอโทษนะคะ มีใครอยู่รึเปล่า”

ราวกับเสียงถูกกลืนหายในความมืด บ้านที่เปิดประตูอ้ากลับไม่มีความเคลื่อนไหวของสิ่งใดประหนึ่งไร้ผู้คน

“ออกไป!”

ไม่ทันได้ส่งเสียงเรียกอีกครั้ง กลับมีเสียงตะโกนดังออกมาจากในบ้านจนทั้งสี่สะดุ้ง เตียงไม้ที่วางติดผนังซึ่งคิดว่ามีเพียงผ้าห่มคลุมเอาไว้ กลับมีร่างบอบบางราวมีเพียงหนังหุ้มกระดูกนอนขดตัวอยู่ เสียงแหลมทว่าทรงพลัง สำเนียงฟังออกว่ามิใช่เชื้อชาติไทยแท้ ขับไล่พวกเขาราวกับหมูกับหมา

“อั๊วไม่ซื้ออะไรทั้งนั้น พวกลื้อมาทางไหนรีบกลับไปทางนั้นเลย”

สายตาที่เริ่มชินกับความมืด มองเห็นสภาพในบ้านได้ชัดขึ้น ผมสีขาวโพลนหยิกหย็อยเป็นฝอยขัดหม้อของหญิงชราผิวขาวจัด โผล่พ้นผ้าห่มที่คลุมเกือบมิดร่างออกมาให้รู้ว่ามีผู้นอนอยู่บนเตียง ดวงตาขาวราวขึ้นฝ้ามองพวกโชทั้งสี่คนอย่างไม่เป็นมิตร ดูท่าเธอคงปฏิเสธการมาเยือนของคนแปลกหน้าไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม

“ขอโทษค่ะคุณป้า คือหนูมาหาคนชื่อปิยภัทรค่ะ ที่บ้านนี้มีคนชื่อปิยภัทรหรือเปล่าคะ”

“ไม่มี! พวกลื้อรีบไปเลย ไม่งั้นอั๊วจะลุกไปเอาน้ำสาดเดี๋ยวนี้แหละ” ไม่พูดเปล่า หญิงชรายักแย่ยักยันชันร่างลุกขึ้นจะลงจากเตียง ทั้งสี่เห็นท่าไม่ดีจึงสะกิดกันเพื่อถอยออกมาตั้งหลัก

อาเธอร์ชนเข้ากับชายร่างอ้วนที่เดินถือถุงผัดซีอิ๊วมาจนของกินลอยละลิ่วตกกระจายเกลื่อนพื้นถนน

“ขะ ขอโทษครับ” หนุ่มตี๋รีบกล่าวขอโทษ พลางพยุงชายคนนั้นที่ดูเหมือนจะยันตัวเองลุกได้ลำบากขึ้นมา

อาเธอร์ว่าตี๋แล้ว เจอพ่อหนุ่มร่างกลมคนนี้เข้าไป เขากลับเทียบไม่ได้ เพราะดวงตาใต้แว่นแทบลืมไม่ขึ้นจนเหมือนมีขีดสองขีดบนใบหน้า ผิวขาวจัดเรื่อสีแดงเพราะเดินตากแดด เสื้อตัวใหญ่กับกางเกงขาสามส่วนนั้น ใหญ่พอจะนำมาสวมให้ทั้งดาวและชามได้พร้อมกัน

“อาม่า อั๊วบอกกี่หนแล้ว ว่าอย่าโวยวายใส่คนอื่นแบบนี้ เมื่อวานไปรษณีย์ก็บอกว่าจะไม่มาส่งจดหมายให้บ้านเรา เพราะโดนม่าไล่ไปแบบนี้นะ”

“ก็พวกอีจะมาขายของอะไรไม่รู้ อั๊วอยู่คนเดียวเกิดให้เข้ามาในบ้านแล้วโดนปล้นจะทำยังไง”

หลังป้ายความผิดให้พวกโช หญิงชราก็ล้มตัวนอนดังเดิมอย่างไม่รู้ไม่ชี้ราวกับลืมว่าตนเพิ่งก่อเรื่องอะไรเอาไว้เมื่อครู่

ชายอ้วนค้อมศีรษะให้กลุ่มคนแปลกหน้า “ขอโทษแทนอาม่าด้วยนะครับ แกแก่แล้วก็เลอะเทอะแบบนี้”

“เอ่อ... ขอโทษเรื่องอาหารด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันชดใช้ให้” หญิงสาวเหลือบตามองของกินที่หนุ่มอ้วนซื้อมาพลางทำหน้าสำนึกผิด “ฉันมาหาคุณ เอ่อ ปิยภัทรน่ะค่ะ”

เจ้าของบ้านเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไรครับ แค่ไม่กี่บาทเอง ร้านก็อยู่แค่นี้เดี๋ยวผมเดินไปซื้อใหม่ก็ได้ ว่าแต่ คุณมาหาผมมีธุระอะไรครับ”

โชเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าเพียงหลังแรกก็จะเจอเป้าหมายง่ายดายเช่นนี้

หญิงสาวพินิจรูปลักษณ์ ท่าทางเขาดูไม่เหมือนปิยภัทรในจินตนาการที่เธอคิดไว้สักเท่าไหร่ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าการพิสูจน์ให้รู้ว่าเขาคือคนเดียวกับปิยภัทรที่เธอตามหาหรือเปล่า

“ฉันมาขอบคุณคุณน่ะค่ะ ที่ช่วยครอบครัวฉันไว้เรื่องธุรกิจ”

หนุ่มอ้วนทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก มือเกาศีรษะแกรก ๆ จนรังแคปลิวจากผมที่ยุ่งเป็นรังนก

“ขอบคุณ? ธุรกิจ? คุณพูดเรื่องอะไร”

โชรู้ว่าปิยภัทรตัวจริงย่อมไม่ยอมรับง่าย ๆ เธอจึงรุกต่อ

“อย่าปฏิเสธเลยค่ะคุณปลื้ม คุณมีบุญคุณกับครอบครัวฉันมาก ฉันไม่รู้ว่าคุณปิดบังตัวเองเพราะอะไร แต่หากมีเรื่องอะไรที่ฉันสามารถตอบแทนคุณได้ ได้โปรดบอกมาเลยนะคะ ฉันยินดี”

“เดี๋ยว ๆ ผมว่าคุณต้องเข้าใจอะไรผิดไปใหญ่โตแล้วแน่ ๆ เลย ผมไม่ได้ชื่อปลื้มนะ ผมชื่อเจ๋ง”

โชเกิดความลังเล หรือเขาจะไม่ใช่ปิยภัทรที่เธอตามหา

แต่เพียงแค่การโกหกเรื่องชื่อเล่น ใคร ๆ ก็ทำได้ หญิงสาวยังไม่ยอมแพ้

“อาเจ๋ง อั๊วหิว ผัดซีอิ๊วที่ซื้อมาได้รึยัง ท้องร้องจนไส้จะขาดอยู่แล้วเนี่ย”

“แป๊บนึงสิอาม่า ลื้อเพิ่งกินโจ๊กไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วเองนะ” พูดพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ

เขาชื่อเจ๋งจริง ๆ...          

โชได้ยินเช่นนี้ก็จำต้องยอมจำนน ปิยภัทรคนแรกที่พบมิใช่คนที่เธอตามหาอยู่

“ขอโทษค่ะ ฉันคงเข้าใจผิดไปเอง” ดวงตาหม่นลงวูบหนึ่ง ดาวที่เห็นเพื่อนซึมไปต้องเอามือกุมมือของโชเพื่อให้กำลังใจ ขณะที่อาเธอร์ดึงดันจะรับผิดชอบค่าอาหารที่เขาชนจนเจ๋งทำตกพื้น

โชหันมองดาวพลางยิ้มน้อย ๆ “เราไม่เป็นไรหรอกดาว นี่แค่เริ่มต้นเอง ท้อตอนนี้คงเร็วเกินไปหน่อย”

โชก็ยังเป็นโช แม้จะมีเรื่องทุกข์หรือท้อใจ ก็เป็นเพียงชั่วครู่ชั่วคราว แต่ไม่นานเธอก็มีพลังที่พร้อมจะต่อสู้กับปัญหาหรือเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่าง ๆ

“ไปกันต่อเถอะ”

รายชื่อปิยภัทรแรกที่เขียนไว้ในสมุด ถูกขีดฆ่าด้วยปากกาสีแดง เหลืออีก 14 คนที่โชต้องตระเวนตามหาทั่วเมืองสมุทรปราการ หญิงสาวหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนึ่งในนี้ต้องเป็นปิยภัทรที่ช่วยเหลือครอบครัวเธอเอาไว้

เพราะหากไม่ใช่เช่นนั้น หนทางที่เชื่อมระหว่างเธอกับปิยภัทร คงขาดสะบั้นลงไม่มีวันบรรจบพบกันได้อีกครา

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น