6

บทที่ 5


 

บทที่ 5

 

                “ไม่มีหรอก คงเป็นผู้เช่าคนเก่าละมั้ง ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ ไม่รู้จักคนชื่อนี้หรอก”

                “ผมเองครับ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า ว่าแต่... คุณมีแฟนรึยัง?”

                “มีอะไรกับมัน! หรือเธอเป็นกิ๊กของมัน ไอ้เวรนี่เอาอีกแล้วเหรอ แผลที่กะบาลครั้งที่แล้วยังไม่เข็ดใช่ไหม”

                “น้องเสียชีวิตไปสองปีแล้วค่ะ อุบัติเหตุทางรถยนต์”

                “ปิยภัทรอะไรกัน! ฉันเปลี่ยนชื่อเป็นพัชชี่แล้วย่ะ เรียกแบบนี้อีกทีมีตบ!”

                บ้านร้าง...

                ใช้เวลาเกือบทั้งวัน ความหวังที่จะพบเจอกับบุคคลที่ตามหา เริ่มมอดดับลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับดวงตะวันที่เริ่มแตะขอบฟ้า จนแสงอาทิตย์ถูกลดทอนความร้อนแรงเหลือเพียงแสงสีส้มอบอุ่นเท่านั้น

                เหลืออีกเพียงสองคน ชื่อและที่อยู่ที่เขียนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ถูกกากบาทด้วยปากกาสีแดงเอาไว้เป็นแถบ เพียงแค่สองรายชื่อสุดท้ายเท่านั้นก็จะครบทุกคนที่โชมีข้อมูล หากตามหาจนครบแล้วไม่พบปิยภัทรคนนั้น เธอคงรู้สึกติดค้างในใจไปตลอดชีวิต

                ไฟทางเปิดสว่างแล้ว ฟิลม์ติดกระจกรถของอาเธอร์เข้มกว่าปกติ มองจากภายในตอนนี้จึงเหมือนเป็นเวลาพลบค่ำ จนหนุ่มตี๋ต้องเปิดไฟรถยนต์ แม้เป็นช่วงเวลาเลิกงาน แต่ด้วยเพราะอยู่ในช่วงปิดเทอม ถนนหนทางที่ปกติจะมีรถราแล่นกันแน่นขนัด จึงขับได้คล่องตัวไม่เหมือนในกรุงเทพที่รถติดทั้งปีทั้งชาติ

                แสงอาทิตย์สุดท้ายของวันโรยตัวเพียงครู่ ก่อนม่านราตรีจะโอบคลุมทุกสรรพสิ่ง ปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้ ดวงอาทิตย์เลิกงานเร็วเหลือเกิน เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จึงเห็นดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่นประดับประดาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

                และที่สุด แผนที่ก็นำทางทั้งสี่มาถึงหน้าบ้านขนาดใหญ่หลังหนึ่ง บ้านเดี่ยวทรงยุโรปเนื้อที่กว่าไร่ หากมิใช่ชนชั้นมีอันจะกินคงยากจะอยู่อาศัยได้

                แม้ทั้งสี่จะมิได้ตื่นเต้นตกใจ เพราะแต่ละคนก็เกิดและเติบโตมากับครอบครัวที่มีฐานะ แต่ที่ปริวิตกคงมีเพียงการเข้าไปให้ถึงข้างในบ้าน เพราะประเมินจากสถานการณ์ คงมิอาจเดินดุ่ม ๆ ไปถามหาปิยภัทรได้ดังเช่นทุกหลังที่ผ่านมา

                รถจอดเทียบกำแพงปูนที่ยาวเสียจนต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงประตูรั้วหน้าบ้าน มองผ่านซี่กรงเหล็กเห็นบ้านสองชั้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ลึกเข้าไปถัดจากสนามหญ้าที่ประดับประดาด้วยไม้พุ่มที่ตัดแต่งเป็นทรงกลมบ้างเหลี่ยมบ้าง แซมด้วยรูปปั้นเทวดาตัวน้อยที่ยืนบนฐานบ่งบอกรสนิยมของเจ้าของบ้าน ไฟหน้าบ้านเปิดสว่างจ้า เช่นเดียวกับไฟหน้าประตูรั้วที่ส่องให้เห็นทั้งสี่คนที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ได้ชัดเจน

                “เอาไงดีล่ะโช นี่ก็มืดแล้วด้วย เขาจะไม่สงสัยเราเหรอ” อาเธอร์ครางอย่างหวาดหวั่น เพราะตระเวนมาทั้งวัน โดนไล่บ้าง ด่าบ้าง ปฏิเสธบ้าง เขาเลยท้อที่จะทำตามแผนของโชเสียแล้ว ยิ่งบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ดีไม่ดีเจ้าของบ้านสงสัยในท่าทีของพวกตน อาจเรียกตำรวจมาจับก็ได้

                “อย่าโวยวายไม่เข้าเรื่องนักเลย ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือได้ยังไง” ดาวแว้ดใส่

                “พวกเรามาตามหาคน ไม่ได้มาหาลูกเสือซะหน่อย” อาเธอร์ที่ยอมมาโดยตลอดเริ่มหมดความอดทน

                สถานการณ์เช่นนี้ โชจึงต้องรีบเข้าไปห้าม ไม่อย่างนั้นเพื่อนทั้งสองได้มีวางมวยกันแน่

                ‘ติ๊ง ต่อง’

                และเสียงกริ่งที่ดังขึ้นก็ทำให้ทั้งสามหยุดชะงัก และหันไปมองผู้ที่เงียบมาตลอด ซึ่งตอนนี้กำลังยืนอยู่หน้ากริ่งสัญญาณพลางเอานิ้วจ่อเตรียมกดซ้ำอีกครั้ง

                “ชาม!” ทั้งสามตะโกนพร้อมกัน

                สาวผมหยักศกหันมายิ้ม พลางตีหน้าไม่กังวลอะไร “เราว่าบ้านหลังนี้เข้าเค้าที่สุดนะ”

                ดาวเลิกคิ้ว แม้จะสนิทกับชามมานานหลายปี แต่ก็คาดเดาการกระทำของเพื่อนสาวไม่ได้เลยสักครั้ง

                “ยังไง?”

                “ปิยภัทรมักปรากฏตัวในเว็บบอร์ดห้องธุรกิจ แสดงว่าต้องมีพื้นความรู้เรื่องธุรกิจดีพอสมควร หากไม่ใช่คนที่ทำงานในแวดวงธุรกิจ ก็ต้องมีครอบครัวประกอบธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ บ้านหลังนี้ก็ดูเหมือนเจ้าของจะประสบความสำเร็จพอสมควรเลยไม่ใช่เหรอ”

                ถึงกับอึ้งไปตาม ๆ กัน

                เพราะปกติไม่ค่อยพูดหรือทำอะไร แต่เมื่อยามที่พูดแต่ละประโยค หรือกระทำแต่ละสิ่ง ก็มักชวนให้เพื่อนตกตะลึงได้เสมอ

                และก่อนจะตะลึงไปมากกว่านั้น หญิงกลางคนผิวคล้ำแดดในชุดที่ดูแล้วรู้ทันทีว่ามีตำแหน่งหน้าที่ ‘แม่บ้าน’ ของบ้านหลังนี้ ก็เดินมายืนมองแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสี่ด้วยแววตาสงสัย

                “มาพบใครคะคุณ”

                คงเพราะปกติ แขกที่มาเยือนจะต้องนัดหมายกับเจ้าของบ้านก่อนเสมอ เมื่อมีคนแปลกหน้าสี่คนมายืนกดกริ่งอยู่หน้าบ้าน แม่บ้านผู้นี้จึงไม่กล้าผลีผลามเปิดประตูต้อนรับ

                และเมื่อชามรับหน้าที่กดกริ่ง โชก็ต้องรับหน้าที่เจรจา

                “สวัสดีค่ะ หนูมาหา เอ่อ... คุณปิยภัทรน่ะค่ะ”

                ราวกับฟ้าผ่าเข้าแสกหน้า แม่บ้านยืนตัวแข็งเบิกตาค้างประหนึ่งประโยคของโชคือเรื่องน่าตื่นเต้นอัศจรรย์ที่สุดที่เคยได้ยินมาในชีวิต

                “วะ ว่ายังไงนะคะ! คุณมาหาใครนะคะ”

                โชมุ่นคิ้วอย่างสับสน หรือว่าหน้าตาท่าทางพวกเธอดูน่าสงสัย จนทำให้แม่บ้านหวาดกลัวขนาดนั้น

                “หนูมาหาคุณปลื้ม ปิยภัทรค่ะ”

                ผู้อยู่หลังรั้วมองใบหน้าหญิงสาวไม่กะพริบ ตัวแข็งทื่อราวกับถูกสตัฟฟ์นั้นทำให้พวกเธอทั้งสี่เกร็งตามไปด้วย และเมื่อตั้งสติได้ เธอก็วิ่งแจ้นกลับเข้าไปในบ้านพลางตะโกน ‘คุณผู้หญิงคะ คุณผู้หญิง’ ไปตลอดทาง

                โชหันมองเพื่อนทุกคนด้วยสายตาไม่เข้าใจ

                ...อย่าว่าแต่เธอเลย เจอแบบนี้เป็นใครก็คงไม่เข้าใจ

 

                และไม่ต้องให้รอจนนานเนิ่น ไม่ถึงห้านาทีหลังจากหญิงคนเมื่อครู่วิ่งหายไป ประตูบ้านพลันเปิดออกอีกครา แต่ครั้งนี้นอกจากแม่บ้านแล้ว ที่กระหืดกระหอบกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามมาด้านหลัง คือหญิงกลางคนในชุดนอนแพรสีน้ำเงินเข้ม ผมตั้งเป็นกระบังทั้งที่อยู่บ้านและเตรียมตัวเข้านอนแท้ ๆ สีหน้าแตกตื่นตกใจของเธอบ่งบอกว่าชื่อของผู้ที่โชตามหา คือเรื่องสำคัญมากพอที่จะกระชากร่างเจ้าของบ้านให้ถลันออกมาหาโดยทันทีได้เช่นนี้

                ประตูรั้วถูกเลื่อนเปิด หญิงกลางคนที่มีภาพความเป็น ‘ไฮโซ’ แปะอยู่บนหน้าอย่างชัดเจน ปรี่เข้าหาโชพลางละล่ำละลักพูดกับเธอด้วยเสียงฟังแทบไม่ได้ศัพท์

                “พวกหนูเป็นเพื่อนของตาปลื้มเหรอ ไม่มีเพื่อนตาปลื้มมาเยี่ยมนานหลายปีแล้ว รีบเข้ามาในบ้านก่อนเร็ว”

                ปลื้ม… ปิยภัทรที่ชื่อเล่นว่าปลื้ม โชหันสบตาเพื่อนทุกคน มีรอยยิ้มอยู่ในประกายตา

                เธอตามหาเขาพบแล้ว

                หญิงเจ้าของบ้านรีบเชื้อเชิญ หากสังเกตให้ดี หางตาเธอมีหยาดน้ำเอ่อรื้นขึ้นมา พวกโชทั้งสี่คนไม่อาจคาดเดาได้ว่าอารมณ์พลุ่งพล่านกับท่าทีร้อนรนของหญิงกลางคน เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดกันแน่

                อาเธอร์ที่ลอบสังเกตรายละเอียดนับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าสู่พื้นที่เคหสถานนี้ หนุ่มตี๋แม้เป็นลูกนักธุรกิจใหญ่ ยังอดทึ่งไม่ได้ที่ชายปริศนาที่โชตามหา จะอยู่อาศัยในบ้านหลังใหญ่จนสามารถให้คำขนานนามเจ้าของบ้านว่า ‘มหาเศรษฐี’ ได้เช่นนี้ คิดแล้วความรู้สึกประหลาดก็บังเกิดขึ้นในใจราวกับคลื่นความไม่พอใจเริ่มก่อตัวคล้ายเมฆฝนบนฟ้า

                เจ้าของบ้านเชิญให้ทั้งสี่นั่งที่ห้องรับแขก โซฟาหรูเย็บด้วยหนังแท้สไตล์วินเทจสีครีม นุ่มยวบลงไปทันทีที่ทั้งหมดนั่ง ตู้ไม้สักแกะสลักลวดลายวิจิตร วางตั้งด้วยแจกันดอกไม้ที่มีกุหลาบขาวกลีบโรยประดับอยู่ แชนเดอเลียร์ห้อยเป็นพวงส่งแสงสะท้อนวิบวับมองแล้วพร่าตา พรมนุ่มสีเลือดหมูปูลาดทั่วห้อง ถึงตอนนี้โชอดรู้สึกประหม่าไม่ได้ ที่คนซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือเธอ จะมีฐานะเกินกว่าที่คิดไปไกล

                หญิงเจ้าของบ้านสั่งให้คนรับใช้จัดเตรียมเครื่องดื่มให้เด็กรุ่นลูกทั้งสี่คน แววตากลัดกลุ้มส่งผ่านมาให้แขกอย่างไม่อาจปิดบัง

                “พวกหนูเป็นเพื่อนของตาปลื้มใช่ไหมจ๊ะ แล้วไปยังไงมายังไงถึงมากันได้ แล้วทำไมเพิ่งมา เพราะตั้งแต่ตอนนั้น ไม่เคยมีเพื่อนคนไหนมาหาตาปลื้มเลย”

                ตอนนั้น? ข้อสันนิษฐานของโชที่คาดว่าต้องมีเรื่องไม่ดีร้ายแรงเกิดขึ้นกับปิยภัทร ทำให้เขาต้องลบตัวตนออกจากเฟซบุ๊ก ดูเหมือนจะเป็นความจริงเสียแล้ว

                 “พวกหนูไม่ใช่เพื่อนคุณปิยภัทรหรอกค่ะ”

                โชตัดสินใจบอกความจริง ประโยคนี้ทำให้หญิงเจ้าของบ้านถลึงตา

                “ครอบครัวหนูได้รับความช่วยเหลือจากคุณปิยภัทร หนูติดหนี้บุญคุณเขาอยู่ค่ะ”

                ราวกับได้ยินเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิต หญิงเจ้าของบ้านไม่เข้าใจในสิ่งที่โชพูด

                โชจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดนับแต่เธอรู้ว่าครอบครัวมีหนี้สินร่วมสิบล้านบาท เรื่องราวถูกถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมา เป็นลำดับให้เข้าใจง่ายที่สุด เจ้าของบ้านฟังแล้วตีสีหน้าตกใจ ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เลยว่าลูกชายของเธอสร้างวีรกรรมดีอะไรเอาไว้มากมายเช่นนี้

                “หากคุณปิยภัทรไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ป่านนี้หนูกับครอบครัวคงหมดอนาคต  หนูอยากขอพบคุณปิยภัทรเพื่อขอบคุณเขาต่อหน้าได้ไหมคะ”

                หญิงกลางคนมีท่าทีอึกอัก ตาเหลือบมองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

                “คิดว่าคงไม่ได้หรอกจ้ะ”

                โชอ้าปากอย่างประหลาดใจ “ทำไมละคะ พวกหนูไม่ใช่คนร้ายคนไม่ดีอะไร หากไม่ไว้ใจและคิดว่าพวกหนูหลอกลวง จะถ่ายรูป หรือถ่ายบัตรประชาชนของหนูเก็บไว้เป็นหลักฐานก็ได้นะคะ”

                “ฉันไม่ได้ไม่ไว้ใจอะไร แต่ที่บอกไม่ได้ หมายถึง ตาปลื้มคงไม่ยอมให้พวกหนูพบหรอกจ้ะ”

                “คุณปลื้มเขาไม่ต้องการพบคนแปลกหน้าเหรอคะ?”

                สีหน้าหญิงกลางคนหม่นเศร้าขึ้นมา ราวกับแบกความทุกข์สาหัสเอาไว้ “ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าหรอก กระทั่งฉันเองที่เป็นแม่เขาแท้ ๆ ก็ไม่ได้เห็นหน้าเขามาตั้งหลายปีแล้ว”

                ทุกคนเบิกตากว้างพร้อมกันอย่างตกใจ

                “มะ หมายความว่ายังไงคะ”

                กระทั่งโชที่ปกติพูดจาฉะฉาน มั่นใจในตัวเอง เมื่อรู้ข้อเท็จจริงยังแทบไม่อาจรวบรวมสติพูดถ้อยคำได้ดั่งใจนึก

                “ตั้งแต่เจ็ดปีที่แล้ว วันนั้นฉันจำเสียงร้องของตาปลื้มได้ดี...”

 

                ปลื้ม หรือ ปิยภัทร เกิดและเติบโตในครอบครัวนักธุรกิจเจ้าของบริษัทไอทีรายใหญ่ของประเทศ แม้ภายนอกจะดูเหมือนชีวิตเขาพร้อมสมบูรณ์ มีความสุขสะดวกสบายเพราะเกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าปลื้มถูกกดดันจากความคาดหวังของ ‘พ่อ’ มากจนทำให้น้ำหนักแห่งความกดดันนั้น ทับถมลงมาทีละน้อย และในที่สุดมันก็หนักอึ้งจนเขาแบกรับไม่ไหว

                เพราะ ‘ปราปต์’ พี่ชายของปลื้มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งผลการเรียนที่ได้อันดับหนึ่งของห้องมาโดยตลอด เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนและของมหาวิทยาลัย เป็นประธานนักเรียน ประธานนักศึกษา มีคนยกย่องชื่นชมผู้เป็นพี่ให้ฟังทุกวี่วันจนชาหู เมื่อเปรียบเทียบกับปลื้มที่ผลการเรียนกลาง ๆ ค่อนไปทางต่ำ รูปร่างผอมบางเล่นกีฬาอะไรไม่นานก็เหนื่อยแทบหายใจไม่ทัน และไร้ตัวตนในสายตาเพื่อนร่วมชั้นหรือคนรอบข้าง หากให้นิยามภาพลักษณ์ของสองพี่น้อง ก็คงเปรียบได้กับแสงสว่างและเงามืด

                พ่อชื่นชมปราปต์ แต่ดุด่าปลื้ม ความสุขที่เคยมีในบ้านเริ่มจางหายไปทีละนิดจากใจลูกคนเล็กนับแต่ย่างเข้าสู่วัยรุ่น

                แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง

                เหตุผลหลักคือเพราะปลื้ม ‘หวาดกลัว’ ต่อมนุษย์ ต่างหาก

                ปลื้มกับปราปต์อายุห่างกัน 3 ปี เมื่อปลื้มเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนจุฑาทิพย์ ปราปต์ก็จบการศึกษาและเข้าเรียนระดับชั้นอุดมศึกษาพอดีเช่นกัน และเพราะวีรกรรมมากมายที่ปราปต์สร้างเอาไว้ ทำให้มี ‘นักเรียนนักเลง’ บางกลุ่มไม่พอใจ

                กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ประธานนักเรียนประชุมร่วมกับครูอาจารย์ ทำให้เหล่าเด็กเกเรถูกจำกัดกรอบจนไม่อาจทำอะไรนอกลู่นอกทางได้สะดวก จะแอบปีนรั้วปีนกำแพงเพื่อโดดเรียน ก็มีเวรยามพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินตรวจตราในจุดที่เด็กมักใช้ลอบเร้นหนีจากโรงเรียนเสมอ จะแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ก็มีเวรสายตรวจนักเรียนทำหน้าที่สอดส่องดูแลและรายงานให้ครูทราบ โทษทัณฑ์ที่จะได้รับหากกระทำความผิดหรือฝ่าฝืนกฎระเบียบของโรงเรียน ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อป้องปรามมิให้มีผู้ใดทำตัวเป็นอันธพาลสร้างความเดือดร้อนกับคนอื่น

                ราวกับติดคุก เด็กเกเรเหล่านั้นแช่งชักหักกระดูกปราปต์ ครั้นจะดักทำร้าย คนกว้างขวางที่มีเพื่อนฝูงมากมายหลายชมรมก็มีพรรคพวกมากมายที่พร้อมปกป้อง จะให้เล่นงานนอกรั้วสถาบัน ปราต์ที่บ้านมีฐานะระดับเศรษฐีก็มีคนขับรถมารับส่งไม่ปล่อยให้เดินทางไปกลับเอง จังหวะและโอกาสที่พวกมันจ้อง จึงถูกปิดตายไปโดยปริยาย

                จนเมื่อปราปต์เรียนจบ เด็กเกเรที่ถูกควบคุมจนไม่อาจกระดิกตัวทำอะไรได้ดั่งใจคิด ก็ราวกับได้รับอิสระ เพราะแม้กฎระเบียบจะยังคงอยู่ แต่คนที่เปรียบเหมือนผู้สร้างกฎจากไปแล้ว คนที่สานต่อก็ไม่มีพลังพอจะควบคุมนักเรียนและโน้มน้าวอาจารย์ให้เข้มงวดกวดขันต่อกฎนั้นได้อย่างต่อเนื่อง ความอัดอั้นตันใจที่ต้องอดทน จึงระเบิดออกมา ทำให้เหล่านักเรียนนักเลงสร้างอิทธิพลจนเกะกะระรานนักเรียนคนอื่นไปทั่ว

                และเมื่อรู้ว่าหนึ่งในนักเรียนใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายในปีนี้ คือน้องชายของปราปต์ เขาจึงตกเป็นเป้าหมายในการแก้แค้นไปโดยปริยาย

                ด้วยเพราะเป็นเด็กเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดจา จึงทำให้ไม่มีเพื่อนที่เรียกได้เต็มปากว่าสนิทสนม นอกจากเวลาเรียนแล้ว หากไม่สิงอยู่ห้องสมุด ก็จะรีบกลับบ้านเพื่อนั่งจดจ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และใช้ชีวิตในโลกออนไลน์เสมือนเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา

                วันหนึ่งระหว่างที่ปลื้มรอคนขับรถมารับ กลุ่มรุ่นพี่ ม.6 ห้าคนเดินมารายล้อมอยู่รอบตัวเขาที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้บริเวณที่จอดรถของโรงเรียน สีหน้าเหี้ยมเกรียมกับท่าทีคุกคาม ทำให้ปลื้มรู้สึกหวาดกลัว และไม่ทันจะได้ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือหรือคิดหลบหนี เขาก็ถูกพวกมันล็อกคอ เอาถุงเท้ายัดปาก ก่อนลากเข้าไปยังอาคารเรียนหลังเก่าที่กำลังจะถูกรื้อเพื่อสร้างอาคารใหม่

                เพราะมีป้ายห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปด้านใน อาคารนี้จึงเปรียบประดุจสถานที่รกร้างไร้ซึ่งเงาของใครสักคน พวกมันทั้งห้าลากปลื้มที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างไม่ปรานี ยิ่งปลื้มดิ้น มันก็ยิ่งออกแรงล็อกคอจนอากาศแทบไม่อาจไหลเลื่อนเข้าออกโพรงจมูก ผมถูกกระชากจนหนังศีรษะแสบร้อน

                เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสามของอาคารห้าชั้น พวกมันที่คิดคำนวณดูแล้วว่าชั้นที่อยู่กึ่งกลางเช่นนี้ ต่อให้ ‘ออกแรง’ จนเกิดเสียงดังขึ้นมาสักหน่อย เสียงก็คงไม่ดังไปถึงด้านล่างหรืออาคารอื่นซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไป ประตูห้องบานที่อยู่ใกล้บันไดเปิดอ้าเอาไว้ราวกับรอการมาถึงของพวกมัน ปลื้มถูกลากถูลู่ถูกังเข้าไปในนั้น

                ถึงตอนนี้สภาพของเด็กหนุ่มน่าเวทนามาก เสื้อที่เคยขาวกลับดำเป็นปื้น เลอะเทอะไปด้วยคราบฝุ่นคราบดิน เนื้อตัวมีรอยถลอกจากการลากถู ปากพยายามเปิดอ้าเพื่อถ่มถุยถุงเท้าเหม็นเน่า แต่เพราะมือสองข้างถูกพันธนาการ ทำให้ลิ้นต้องรับรสราวกับกลืนกินซากหนูตายจนน้ำย่อยในกระเพาะแทบขย้อนย้อนกลับขึ้นมา

                “พี่มึงทำพวกกูไว้แสบมากนะ” ไอ้คนที่ดูเหมือนเป็นหัวโจก ตัดผมเกรียนติดหนังศีรษะ คิ้วมีรอยแหว่งอย่างจงใจตามสมัยนิยม หูถูกเจาะเป็นรูใหญ่เสียบไว้ด้วยแท่งพลาสติกใส สิวขึ้นเห่อเต็มหน้าจนแทบไม่มีที่ว่างของเนื้อหนังตามปกติ

                มันกระชากคอเสื้อปลื้มขึ้นมา พลางถ่มน้ำลายรด ก้อนเหนียวปะแปะอยู่ตรงแก้มทำให้ปลื้มขยะแขยงจนแทบอาเจียน ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรต่อ มันก็ซัดกำปั้นลุ่น ๆ เข้าใส่ท้องของปลื้มจนตัวเขางอเป็นกุ้ง

                “พี่น้องกันจริงรึเปล่าวะ ไม่เห็นทำเก่งทำกร่างเหมือนพี่มึงเลย”

                พูดจบก็หัวเราะ เหล่าสมุนก็พลอยหัวเราะตามเป็นลูกขุนพลอยพยัก

                ปลื้มทำได้เพียงคร่ำครวญ เสียงสะอื้นไห้ดังเพียงในลำคอไม่อาจส่งผ่านริมฝีปาก แต่ถึงจะพูดได้ดังปกติ คำวิงวอนของเขาก็คงไม่สามารถกระตุกต่อมสำนึกหรือความสงสารของพวกมันให้บังเกิด ไอ้หัวโจกยังจำฝ่ามือของพ่อที่ฟาดลงบนใบหน้าหลังถูกเชิญผู้ปกครองมาที่โรงเรียนเนื่องจากถูกจับได้ว่าแอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำ ความแค้นครั้งนั้นยังฝังใจจนถึงทุกวันนี้

                “ทำเป็นออกกฎนู่นกฎนี่ เป็นแค่นักเรียนเหมือนกันแท้ ๆ พี่มึงนี่ท่าจะบ้ายศบ้าอำนาจ ถ้าเจอกันตัวต่อตัวนอกโรงเรียน กูกระทืบจมตีนไปแล้ว”

                ไม่พูดเปล่า มันสาธิตสิ่งที่พูดผ่านการกระทืบใส่ร่างของปลื้มที่นอนแผ่เป็นเบาะรองเท้า แขนขาถูกขึงพืดไม่อาจดิ้นรนขัดขืน ทำได้เพียงเกร็งหน้าท้องรับฝ่าเท้าอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่อาจลดทอนแรงกระแทกจนความเจ็บปวดรวดร้าวไหลแล่นสู่ทุกอณูร่างกาย

                “พวกมึงจำได้ใช่ไหม ว่าไอ้ปราปต์ทำอะไรกับพวกเราไว้บ้าง”

                สี่สมุนพยักหน้าพร้อมเพรียง แต่ละคนโดนครูลงโทษหนักบ้าง น้อยบ้าง ก็มีสาเหตุมาจากพี่ชายของปลื้มและเหล่าสายตรวจนักเรียนที่จัดตั้งโดยคณะกรรมการนักเรียนอันมีปราปต์เป็นประธานรายงานความผิดของพวกมันกับครูอาจารย์ สายตาของเพื่อนนักเรียนที่เคยมองอย่างกลัวเกรง ก็เปลี่ยนเป็นสมเพชเวทนา  ร้ายไปกว่านั้น แฟนสาวที่พวกมันบางคนคบอยู่ ก็รู้สึกดูแคลนและแปรเปลี่ยนเป็นรังเกียจจนขอเลิกเพราะทนความอับอายไม่ไหว

                คิดได้ดังนั้น ความแค้นทั้งหมดก็ระบายใส่ปลื้มที่ไม่ต่างอะไรกับกระสอบทรายมีชีวิต หมัด เท้า เข่า ศอก ประเคนเข้าใส่จนทั่วร่างปูดโปนด้วยรอยบวมรอยช้ำเป็นจ้ำ ใบหน้ามีเลือดอาบจากริมฝีปากที่แตก ดั้งจมูกหัก กกหูฉีก

                แต่ดูเหมือนความแค้นจะลบล้างสำนึกผิดชอบชั่วดีในใจพวกมันไปจนสิ้น แม้กระทั่งเห็นปลื้มมีสภาพสะบักสะบอมราวผ้าขี้ริ้วยับย่นเช่นนี้ ก็ยังไม่สาแก่ใจ ไอ้หัวโจกแบกร่างปลื้มไปนั่งบนช่องหน้าต่างโล่งที่ถูกรื้อบานหน้าต่างออกไปแล้ว ลมหวีดหวิวพัดกรูเข้ามาอย่างบ้าคลั่งเสมือนอากาศวิปริตปรวนแปร

                สี่คนที่ยืนอยู่ในห้องเริ่มหน้าเสีย

                “เฮ้ย! ไอ้พุก มึงจะทำอะไร”

                ผู้ถูกเรียกหันมาพลางตีหน้าเหี้ยม “อย่าเสือก! มึงคิดว่าแค่กระทืบมันกูจะหายแค้นเหรอ”

                แม้เรียนชั้นเดียวกัน แต่เพราะอีกฝ่ายเหนือกว่าในเรื่องฐานะ เงินทองที่เจียดมาให้ยามค่าขนมพวกมันไม่พอใช้ เปรียบเสมือนเครื่องหมายการแบ่งแยกชนชั้นผู้นำกับผู้ตามได้โดยปริยาย

                “แต่ว่า... นี่ชั้นสามนะเว้ย ถ้ามันตกลงไป เดี๋ยวได้ตายห่ากันพอดี”

                เด็กหนุ่มหัวเกรียนแสยะยิ้ม ภาพความตายที่เคยดูจากในหนังในละครที่คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เมื่อบัดนี้ตนเองเป็นผู้ควบคุมไว้ด้วยมือข้างเดียว หัวใจกลับเต้นแรงอย่างน่าประหลาด

                สายตาวิงวอนของปลื้มไม่อาจส่งผ่านสายตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตจนมองทุกสิ่งขุ่นมัว เหล่าสมุนเห็นท่าไม่ดี มองหน้ากันอย่างลังเลว่าจะเข้าไปห้ามหรือปล่อยให้พุกทำตามใจตัวเองกันแน่

                ปลื้มที่มือสองข้างเป็นอิสระ เกาะท่อนแขนแกร่งของรุ่นพี่ไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว เขาไม่กล้าแม้จะเหลียวไปมองด้านหลัง เพราะเพียงสัมผัสถึงสายลมที่กระโชกซัดแผ่นหลังจนร่างโยกคลอนไม่อาจนั่งบนขอบหน้าต่างมั่น หัวใจก็ไหววูบราวกับถูกบีบรัดจนเต้นไม่เป็นจังหวะ

                มือข้างหนึ่งของพุกกระชากถุงเท้าจากปากที่อ้าจนเมื่อยกรามของปลื้ม เลือดผสมน้ำลายเหนียวหนืดย้อยเป็นสาย เพียงปากเปิดอ้า ปลื้มก็ละล่ำละลักร้องขอชีวิต

                “ผมไม่เคยทำอะไรพวกพี่ ปล่อยผมไปเถอะครับ”

                มุมปากพุกยกยิ้ม มันมองปลื้มด้วยแววตาคมปลาบราวกับสัตว์กินเนื้อเห็นเหยื่อโอชะ

                “ปล่อย... ได้ กูจัดให้”

                พูดจบก็ผลักปลื้มจนร่างหงายหลัง เสียหลักหล่นร่วงจากความสูงกว่าสิบเมตร ทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาที แต่เสมือนยาวนานเป็นอนันตกาล ภาพทั้งมวลที่ไหลผ่านคลองจักษุ แววตาโหดเหี้ยมราวสัตว์ป่าของไอ้พุก สีหน้าตื่นกลัวของเพื่อนมันทั้งสี่ เสียงที่กระทบโสตประสาททั้งเสียงลมคำรามและเสียงหวีดร้องของตนเอง ความเจ็บปวดที่กระแทกใส่ร่างกาย แรงกระชากที่ดึงร่างเขาให้ทิ้งดิ่งลงสู่พื้นโลก ความหนาวเหน็บของสายลมที่กรีดร่าง ทุกสิ่งถูกบันทึกในสมองทั้งสิ้น

                ‘หากสัตว์เข่นฆ่าเพื่อหาอาหารดำรงชีพหรือป้องกันผู้รุกรานอาณาเขต สิ่งมีชีวิตทียัดเยียดความตายให้ผู้อื่นเพียงเพราะความโกรธเกลียดอย่างมนุษย์ คงเลวร้ายเสียยิ่งกว่าสัตว์ทั้งมวล’

                นี่คือห้วงคำนึงสุดท้ายก่อนสติของปลื้มจะดับลงราวปิดสวิตซ์

 

                ห้องรับแขกเงียบงันราวสรรพเสียงถูกกลืนหาย สายตาตื่นตะลึงสี่คู่จับจ้องใบหน้าหญิงกลางคนที่เล่าเหตุการณ์ในอดีตแช่มช้า ทว่าแฝงความเจ็บปวดในทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมา

                โชได้สติเมื่อแม่บ้านนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้

                “แต่... คุณปลื้มก็ปลอดภัยใช่ไหมคะ” พูดพลางมองขึ้นไปด้านบนยังตำแหน่งที่เจ้าของบ้านมองเมื่อครู่

                “ตาปลื้มบาดเจ็บสาหัส เคราะห์ดีที่ด้านหลังอาคารนั้นมีต้นไม้ขึ้นรก ไม่มีใครตัดโค่น คงเพราะโรงเรียนตั้งใจจะบูรณะใหม่ทั้งหมด เลยเก็บไว้จัดการทีเดียว กิ่งไม้ที่ยื่นระเกะระกะช่วยลดความเร็วในการตกจากตึก ไม่อย่างนั้น...”

                เธอไม่พูดต่อ แต่ทั้งหมดก็เข้าใจได้

                “แกต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานเป็นเดือน แขนขาหัก ทั้งตัวมีแต่แผล ยังดีที่สมองไม่กระทบกระเทือนจนกลายเป็นเจ้าชายนิทราหรือพิการไป ไม่อย่างนั้นฉันคงใจสลาย”

                “แล้วคนพวกนั้นละคะ ถูกลงโทษยังไงบ้าง”

                เจ้าของบ้านหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา ก่อนเล่าเหตุการณ์ต่อ “พ่อของตาปลื้มแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจเลยละจ้ะ พ่อแม่ของเด็กพวกนั้นมากราบขอโทษ มาขอร้องเท่าไหร่สามีฉันก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียนและถูกลงโทษตามกฎหมายเยาวชน”

                อาเธอร์ที่รู้สึกไม่ชอบปิยภัทรทั้งที่ยังไม่เคยพบเจอ ยังต้องอดสะทกสะท้อนใจกับเรื่องเลวร้ายที่ชายหนุ่มประสบไม่ได้

                “หมายความว่า หลังจากที่รักษาจนหายแล้ว คุณปลื้มก็ไม่ยอมออกจากห้องเลยใช่ไหมคะ”

                “พอหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว ฉันก็พาตาปลื้มกลับมาพักผ่อนต่อที่บ้าน แต่ระหว่างทางก็สังเกตเห็นท่าทางแกแปลก ๆ ไป ดูหลุกหลิกลอกแลกมองซ้ายขวาและตัวสั่น ฉันถามว่าเป็นอะไร แกก็ไม่ตอบ เอาแต่นั่งกัดเล็บ และก็ขดตัวเหมือนงู ตอนจะแวะกินข้าวระหว่างทางที่ห้างสรรพสินค้า ชวนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลงจากรถ ตอนนั้นก็เริ่มเอะใจสงสัยแล้วว่าคงต้องมีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้นสักอย่างแน่ ๆ จนกระทั่งมาถึงบ้านนี่แหละ ตาปลื้มลงจากรถได้ก็กระโจนเข้าบ้าน วิ่งขึ้นไปบนห้องปิดประตูดังปัง แล้วก็ขังตัวเองอยู่ในนั้น ใครเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมออก กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น แกที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า ก็ไม่หิว ไม่ยอมออกมากินข้าว ฉันก็เป็นห่วงเคาะประตูแล้วเคาะประตูอีก ก็ไม่มีเสียงอะไรดังออกมาจากห้องเลย กุญแจที่มีก็ไขได้แค่ลูกบิด แต่ตาปลื้มแกล็อกกลอนด้านใน ฉันร้อนใจเลยให้คนขับรถพังประตู เข้าไปได้ก็เห็นห้องมืดตื๋อไม่ได้เปิดไฟสักดวง พอฉันเปิดไฟก็เจอแกนั่งซุกอยู่ตรงมุมห้องข้างเตียง ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ ทันทีที่แกเห็นพวกเราเท่านั้นแหละ ก็ร้องลั่นเหมือนตกใจกลัวและไล่ให้เราออกไป ฉันจะเข้าไปหา แกก็ผลัก ก็ตะโกนไล่ พอพวกเราไม่ออก แกเอาคัตเตอร์มาจ่อที่คอและบอกให้ทุกคนออกไปให้หมด ไม่อย่างนั้นจะเชือดคอตัวเองตาย ฉันกลัวลูกทำร้ายตัวเองเลยต้องรีบออกมา”

                โชหน้าซีดลงทุกขณะที่เรื่องราวในอดีตกำลังดำเนินต่อไปผ่านคำบอกเล่าของเจ้าของบ้าน

                “เรื่องมันใหญ่โตขึ้นตอนสามีฉันกลับจากทำงาน พอรู้ว่าตาปลื้มไม่ยอมออกจากห้อง ก็เข้าไปกระชากตัวแกออกมาเลย ตอนนั้นปลื้มเหมือนคนสติคลุ้มคลั่ง ร้องและดิ้นทุรนทุรายเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ฝั่งพ่อก็หัวแข็ง คิดว่าลูกสำออย ลากมาด่ากลางบ้านให้ทั้งฉัน ทั้งตาปราปต์พี่ชาย และคนอื่นในบ้านได้ยินกันหมด ฉันคิดว่าจุดที่ทำให้ตาปลื้มกลายเป็นแบบนี้คงเป็นเพราะเรื่องในวันนั้นนั่นแหละ”

                “ฮิกิโกะโมะริ[1]

                ทุกคนหันขวับไปหาคนที่นิ่งเงียบมาตลอด โชเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจกับประโยคแปลก ๆ ที่ชามพูด

                “ว่ายังไงนะชาม อะไรโมริ ๆ นะ”

                “ฮิกิโกะโมะริ เป็นชื่อเรียกอาการของคนที่ปลีกตัวเองจากสังคม เก็บตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะประสบการณ์ในอดีต คุณปลื้มน่าจะเข้าเคสนี้”

                เพื่อนทั้งสามรู้ดีอยู่แล้ว ว่าชามใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนนิยาย เธอจึงเก็บเล็กผสมน้อยเรื่องราวต่าง ๆ ที่รู้มา และบันทึกอย่างเป็นระบบระเบียบเพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับนำมาเป็นประโยชน์ในการเขียนนิยายในอนาคต ซึ่งนิสัยส่วนตัวนี้ก็เป็นข้อดีที่ทำให้หญิงสาวเปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่โดยไม่ต้องเข้าเวิลด์ไวด์เว็บ

                “แล้ว มีวิธีรักษาหรือช่วยเหลือยังไงมั่ง พอรู้ไหม” ดาวที่นั่งข้างชามถามเพื่อนอย่างร้อนรน หญิงสาวแม้บุคลิกภายนอกจะดูแข็งกร้าวห้าวหาญเสียยิ่งกว่าชายทั้งแท่งอย่างอาเธอร์ แต่เมื่อเจอเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ ก็อดร้อนใจที่จะช่วยเหลือปิยภัทรไม่ได้

                แต่หญิงเจ้าของบ้านชิงพูดเสียก่อน

                “ฉันลองทำทุกทางแล้ว ทั้งปรึกษาแพทย์ ทั้งให้ญาติพี่น้องคนอื่น หรือเพื่อนของตาปลื้มที่โรงเรียนมาเกลี้ยกล่อม แกก็ไม่ยอมออกมาจากห้อง ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน จนในที่สุดฉันก็ต้องยอมแพ้ ปล่อยให้แกอยู่ในนั้น ฝั่งพ่อของแกที่โกรธจัดเลยกลายเป็นไม่สนใจใยดี ประตูที่ถูกกระแทกจนลูกบิดพังล็อกไม่ได้ แกก็เลื่อนตู้เสื้อผ้ามาดันปิดเอาไว้ จนฉันสงสารต้องให้ช่างมาซ่อมจนปิดได้ดีเหมือนเดิม และทำช่องประตูแมวเอาไว้ด้านล่าง เพื่อให้แม่บ้านส่งข้าวส่งน้ำผ่านช่องนั้นไปให้ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็เหมือนกัน พอทำแบบนี้แกก็ไม่อาละวาด ไม่ส่งเสียงประหลาดโวยวายอีก และตั้งแต่นั้นมา ปลื้มก็มีชีวิตอยู่เพียงในห้องของตัวเองมาโดยตลอด”

                ชามฟังอย่างวิเคระห์ หญิงสาวพยักหน้าตามเป็นจังหวะราวกับเก็บข้อมูล เธอศึกษาเรื่องปรากฏการณ์ฮิกิโกะโมะริมาบ้าง เมื่อเจอของจริงเข้าแบบนี้ จึงพยายามพูดในสิ่งที่รู้ให้คนอื่นพอเข้าใจ

                “อาการนี้ใกล้เคียงกับโรคทางจิตเวชค่ะ หมอธรรมดารักษาไม่ได้หรอก ต้องเป็นจิตแพทย์”

                หญิงกลางคนทำหน้าทุกข์หนัก “ฉันก็เคยปรึกษาสามีแล้ว แต่เขาบอกว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าลูกตัวเองเป็นบ้า เลยไม่อนุญาตให้ใครพาตาปลื้มไปหาจิตแพทย์ทั้งนั้น”

                “อะไรกันคะ! นี่ลูกชายทั้งคนนะคะ สัตว์เลี้ยงเวลาเจ็บป่วยเรายังต้องพาไปหาหมอรักษาให้หาย นี่คนทั้งชีวิต จะปล่อยให้เขาเน่าตายอยู่ในห้องนี้ไม่ต้องเห็นโลกภายนอกไปตลอดชีวิตเลยหรือไงคะ”

                โชเผลอโวยวายด้วยอารมณ์โกรธ เมื่อรู้ตัวว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดเช่นนี้ได้ ก็ต้องพนมมือไหว้หญิงกลางคนที่เลิกคิ้วอย่างตกใจ

                ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างไม่ถือโทษโกรธเคือง

                “ฉันเข้าใจอารมณ์หนู และก็คิดจะทำแบบเดียวกับที่หนูบอกนั่นแหละ แต่ตาปลื้มเองก็ไม่ให้ความร่วมมือเลย จะให้ใครบุกเข้าไปในห้องอีก ก็กลัวจะเจอประสบการณ์ซ้ำรอย ฉันพยายามยืนคุยผ่านประตูห้องทุกวันให้เขาได้ยินเสียง ให้รู้ว่ายังมีแม่ที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่ แต่ก็ไม่สำเร็จ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย ที่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ดี ก็เพราะอาหารทุกมื้อที่ส่งเข้าไปให้ กลับออกมาเหลือเพียงเศษหรือไม่ก็หมดเกลี้ยงหากเป็นเมนูที่แกชอบ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้อย่างครีมอาบน้ำ ยาสระผม ยาสีฟัน หากหมด แกก็จะส่งผ่านประตูแมวมาไว้หน้าห้องให้แม่บ้านรู้เพื่อเอาอันใหม่ไปเปลี่ยนให้ เสื้อผ้าที่ใส่แล้วก็เหมือนกัน”

                โชตกใจแล้วตกใจอีก จนไม่คิดว่าจะมีเรื่องอะไรทำให้เธอตกใจได้อีกแล้ว หญิงสาวคิดสภาพไม่ออกเลยว่า คนหนึ่งคนจะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังในห้องโดยไม่ออกมาข้างนอกเลยตลอดเจ็ดปีได้อย่างไร

                “หนูอยากลองคุยกับคุณปลื้มดู คุณน้าจะอนุญาตไหมคะ”

                หญิงกลางคนไม่มีท่าทีลังเล ที่เธอเชิญโชกับเพื่อนเข้ามาในบ้านก็เพราะเหตุนี้ ตลอดมาเธอไม่รู้เลยว่าลูกชายมีตัวตนอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ต และมีความรู้มากมายขนาดแนะนำวิธีการดำเนินธุรกิจให้ผู้คนจนสามารถปลดหนี้เป็นสิบล้านได้ เมื่อรู้ดังนี้แล้ว นอกจากจะโล่งใจที่ปลื้มมิได้กลายเป็นเพียงซากร่างที่มีเพียงชีวิตแต่ไร้จิตวิญญาณ ยังมองเห็นประกายความหวังบางอย่างผ่านเด็กสาวตรงหน้านี้อีกด้วย

                ไม่รอช้า เจ้าของบ้านลุกขึ้นพาเด็กทั้งสี่คนเดินตามขึ้นมายังชั้นสองของบ้าน ถึงตอนนี้แม้จะเห็นเครื่องเรือนหรูหราราคาแพงกี่ชิ้นต่อกี่ชิ้น ความตื่นเต้นตกใจเมื่อคราแรกก็ไม่บังเกิดอีกแล้ว ปรารถนาหนึ่งเดียวของโช คืออยากสื่อสารกับผู้มีพระคุณ อยากช่วยเหลือเมื่อรู้ว่าเขาเองก็ตกอยู่ในภาวะที่เลวร้ายเพราะเรื่องในอดีตเช่นเดียวกันกับเธอ

                ทั้งหมดหยุดยืนหน้าประตูห้องที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของทางเดิน ประตูไม้ทาสีครีมสลักร่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสสี่แถวตามแนวตั้ง แถวละสองช่องรวมแล้วเป็นแปด บานประตูปิดสนิทกระทั่งช่องประตูด้านล่างก็เหมือนมีอะไรอุดเอาไว้ไม่เห็นแสงใดส่องลอดออกมา ประตูแมวขนาดเล็กเป็นช่องสี่เหลี่ยมขนาดแมวพันธุ์ไทยปกติลอดผ่านได้ บานสวิงเป็นระบบบานพับเปิดได้ทั้งสองทาง

                โชก้มตัวหมอบจนศีรษะอยู่ระดับเดียวกับช่องประตูแมว ก่อนใช้มือดันบานสวิงให้เปิดเข้าไปด้านใน และพยายามสอดส่ายสายตามองเพื่อค้นหาร่างที่อยู่ในห้อง แต่ดูเหมือนปิยภัทรจะจงใจใช้ตู้ไม้ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นตู้หนังสือหรือตู้เสื้อผ้า วางเอาไว้ห่างจากประตูด้านในเล็กน้อย ให้สามารถปิดกั้นรายละเอียดไม่ให้คนจากด้านนอกมองเข้าไปเห็น และมีช่องซ้ายขวาสำหรับเดินเอาถาดอาหารหรือขวด กระป๋อง กล่องของใช้ส่วนตัวมาส่งให้แม่บ้านเปลี่ยนได้

                เมื่อรู้ว่าไม่มีทางเห็นอะไรภายในห้องแน่ โชจึงสูดลมหายใจเข้าปอดช้า ๆ อย่างรวบรวมสมาธิ ปรับอารมณ์มิให้ตื่นเต้นไปนัก ก่อนเคาะประตูสามครั้ง และเริ่มประโยคสนทนา

                “สวัสดีค่ะคุณปิยภัทร ฉันชื่อโช มาที่นี่เพื่อต้องการขอบคุณที่คุณช่วยเหลือฉันกับครอ..”

                ปัง!

                เสียงดังสนั่นพร้อมประตูที่สั่นไหวรุนแรงทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสะดุ้งตกใจ อาเธอร์แม้เป็นผู้ชาย แต่กระโดดเหยงไกลกว่าคนอื่นจนถอยไปติดกำแพงด้านหลัง โชใจหายวูบเพราะไม่ทันตั้งตัว จนเมื่อได้สติ หญิงสาวก็กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ

                “ฉันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ฉันรู้ว่าคุณต้องพบเจอเรื่องราวเลวร้ายมากแค่ไหน แต่มันก็ผ่านมาตั้งเจ็ดปีแล้ว คนที่ทำร้ายคุณก็ได้รับโทษตามกฎหมายไปแล้ว ถึงตอนนี้ไม่มีใครทำอันตรายอะไรคุณได้อีก ได้โปรดออกมาเถอะค่ะ”

                เงียบไปครู่หนึ่ง โชได้ยินเสียงลากรองเท้าผ้าเบา ๆ จากในห้อง หญิงสาวตั้งใจเงี่ยหูฟัง

                หัวใจเต้นรัวราวกับถูกจับเขย่า หากเขายินยอมรับฟังคำพูดจากใจของเธอ และออกมาจากห้องได้ นอกจากจะสามารถขอบคุณเขาต่อหน้า ยังได้ทดแทนบุญคุณที่ได้รับการช่วยเหลืออีก เท่านี้โชก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจอีกแล้ว

                “ออกไป! ฉันบอกให้ออกไป ออกไป! ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!”

                ราวกับคนบ้าคลั่ง เสียงตะโกนดังก้องจากด้านหลังบานประตู ทะลุประตูไม้ออกมากระแทกโสตประสาทโชยืนตัวแข็งทื่ออย่างตกตะลึง ถ้อยคำขับไล่ดังวนไปวนมาราวกับเพลงที่เล่นซ้ำแทรกเดิมต่อเนื่อง เสียงนั้นแผดดังเหมือนเสียงร้องคำรามของสัตว์ ประตูถูกทุบกระแทกเป็นจังหวะดังขึ้นเรื่อย ๆ โชก้าวเท้าถอยหลังอย่างไม่ตั้งใจ

                ไม่ทันที่หญิงกลางคนเจ้าของบ้านจะได้ชักชวนให้ทั้งหมดกลับลงไปด้านล่าง ก็มีผู้เดินขึ้นบันไดมาด้วยสีหน้าถมึงทึง

                “นี่มันอะไรกัน! พวกเธอเป็นใคร เข้ามาวุ่นวายอะไรในบ้านฉัน”

                คำสั่งห้ามยุ่งเกี่ยวกับปิยภัทรนอกจากเรื่องจำเป็นในการใช้ชีวิตถูกฝ่าฝืน ผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านหลังนี้ซึ่งเพิ่งกลับจากที่ทำงาน มองหน้าโชและเพื่อนทีละคนด้วยสายตาดุดัน น้ำเสียงและท่าทีบ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตรและไม่ต้อนรับพวกเธอ

                “ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะให้คนมาลากพวกเธอโยนออกไป”

                ลูกไม้หล่นใต้ต้น!

                เพิ่งถูกลูกชายไล่เมื่อครู่ ตอนนี้เจอคนพ่ออีก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพ่อลูกกันแน่นอน

                โชกัดฟันกรอด ก่อนยกมือไหว้หญิงกลางคน โดยไม่ลืมหันมาไหว้ชายเจ้าของบ้านที่ไม่แม้แต่จะผงกศีรษะเป็นสัญญาณรับรู้

                ดูท่า ประตูที่จะเปิดไปหาปิยภัทร จะไม่ได้มีเพียงประตูห้องบานนั้นบานเดียวเสียแล้ว แต่ยังถูกลงกลอนคล้องด้วยโซ่รัดพันอย่างแน่นหนา ด้วยพันธนาการที่เรียกว่า ‘พ่อ’ ที่ไม่เคยคิดดูดำดูดีคนเป็น ‘ลูก’ เลยแม้แต่น้อย

 

[1] ฮิกิโกะโมะริ (Hikikomori) เป็นคำภาษาญี่ปุ่น ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่บุคคลผู้รักษาสันโดษเลือกแยกตัวออกมาจากสังคม เพื่อแสวงหาความโดดเดี่ยวและกักตัวเองอย่างสุดโต่ง มีเหตุมีปัจจัยมาจากเรื่องราวส่วนบุคคลและเรื่องราวทางสังคมที่บุคคลนั้น ๆ ประสบมา เช่น ความผิดปรกติทางบุคลิกภาพแบบหลีกเลี่ยง หรือความอับอายอย่างแรงอาการกลัวการเข้าสังคมอาการกลัวที่โล่งหรือที่ชุมชนอาการกลัวความล้มเหลว เป็นต้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น