7

บทที่ 6


 

บทที่ 7

 

                ภาพในหัวอาเธอร์เมื่อได้ยินประโยคแรกของชาม มีแต่ความสยดสยองดังภาพที่เคยดูจากละครหรือภาพยนตร์ ความหมายของคำ ‘ฆ่า’ นั้นตรงตัวชัดเจน ไม่มีความหมายเคลือบแฝงเป็นอื่นไปได้ หนุ่มตี๋ไม่คาดว่าเพื่อนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มจะบ้าดีเดือดผุดแผนประหลาดเช่นนี้ขึ้นมา

                ทว่าเพียงฟังคำอธิบายจากปากชาม เขาก็ต้องร้อง ‘อ๋อ’ พลางพยักหน้าหงึกหงักอย่างทึ่งในความคิด

                “เจ็ดปีที่ผ่านมา คุณปลื้มมีตัวตน มีชีวิตในชื่อ ‘ปิยภัทร’ บนโลกออนไลน์ ปิยภัทรคืออุดมคติที่เขาสร้างให้มีชีวิตแทนตัวเองที่ไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ ดังนั้นแล้วหากเรากำจัดบุคลิกของปิยภัทรไป หรือทำให้เขาไม่สามารถเป็นปิยภัทรได้อีก เขาอาจจะทนไม่ได้ก็ได้นะ”

                ดาวยังไม่เข้าใจอยู่ดี

                “แล้วไอ้การกำจัดที่ว่า เราต้องทำยังไง จะให้ไปจ้างเซียนคอมที่แฮคระบบเก่ง ๆ ปล่อยไวรัสใส่ไอดีปิยภัทรในเว็บบอร์ดพันธ์แท้เหรอ”

                ชามยิ้มและส่ายหน้าน้อย ๆ “ไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้นหรอกดาว ก็แค่ทำให้เขาเล่นอินเทอร์เน็ตไม่ได้เท่านั้นเอง”

                ถึงตอนนี้ทุกคนต้องเบิกตากว้างและอ้าปากค้างอย่างเพิ่งคิดขึ้นมาได้

                ดังเช่นที่ชามพูด ปลื้มสร้างตัวตนในโลกอินเทอร์เน็ตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อให้มีชีวิตแทนตัวเอง เขาได้รับการยอมรับ มีคนยกย่องชื่นชมนับถือ ทำให้เขามีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตอยู่อย่างถูกจองจำเช่นนี้โดยไม่ปรารถนาจะออกไปสู่โลกออฟไลน์ภายนอก ดังนั้นหากทำให้เขาไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ก็เท่ากับเป็นการลบตัวตนในอุดมคติออก และอาจทำให้เขาหวนย้อนกลับมามองตัวตนที่แท้จริงบ้างก็ได้

                “แต่เราก็อดกลัวไม่ได้นะ ว่าหากเราทำตามแผนนี้ เขาอาจคลุ้มคลั่งขึ้นมาจนทำร้ายตัวเองก็ได้”

                เมื่อชามพูดจบ ทั้งหมดก็หันมองอัมพรที่นั่งนิ่งอย่างลังเล คราแรกที่หญิงกลางคนได้ยินแผนการจากปากของชาม เธอเห็นด้วยและอยากให้เด็กทั้งสี่รีบทำตามแผนนั้น แต่เมื่อรู้ถึงผลลัพธ์ที่ร้ายแรงซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ความเป็นห่วงก็ทำให้เธอไม่กล้าตัดสินใจอะไร

                แต่ความวิตกกังวลนั้นพลันสลายไป เมื่อโชลุกเดินมานั่งคุกเข่าตรงหน้าเธอ

                “หนูให้สัญญาค่ะ ว่าหากเห็นท่าไม่ดีว่าจะเกิดเรื่องอันตรายอะไรกับคุณปลื้ม หนูจะพังประตูเข้าไปช่วยเขาเอง”

                “ตัวเล็กเป็นมดแบบโชจะพังประตูใหญ่ขนาดนั้นได้ยังไงละ ไม่ต้องห่วงนะโช แค่เพียงโชสั่งมา เราพร้อมจะทำลายประตูนั่นให้พังราบ...” อาเธอร์ชิงเสนอตัวขึ้นมาก่อนที่อัมพรจะตอบรับหรือปฏิเสธ จนดาวต้องเอาหมอนอิงที่นั่งพิงอยู่เขวี้ยงใส่หน้าเขาจนไม่อาจพูดได้จบประโยคอย่างที่ตั้งใจ

                อัมพรมองจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของโช แววตานั่นมั่นคงและสงบนิ่งดุจหินผาทั้งที่เจ้าของดวงตาเป็นเพียงสาวน้อยรุ่นลูก อัมพรผ่านโลกมามากพอจะรู้ว่าคนไหนคือคนที่สักแต่พูด คนไหนคือคนที่พูดแล้วทำ

                โชคือคนประเภทหลัง

                หญิงกลางคนพนักหน้าน้อย ๆ อาเธอร์ที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวสอบถามตำแหน่งสะพานไฟจากคนขับรถควบตำแหน่งช่างประจำบ้านรุ่นพ่อชื่อลุงสังข์ ชายชราเดินนำเขาและสามสาวไปด้านหลังของบ้าน สะพานไฟติดตั้งเอาไว้ใต้ช่องบันไดทางขึ้นชั้นสองของบ้าน กลิ่นอับโชยออกมาเมื่อประตูบานเล็กเปิดออกโชที่เดินตามหลังอาเธอร์หันกลับไปขออนุญาตจากเจ้าของบ้าน

                “หนูขอตัดไฟบ้านหลังนี้นะคะ”

                อัมพรรับรู้ถึงแผนการที่เด็กเหล่านี้จะทำ ก็พยักหน้าอย่างเต็มใจ

                เพราะเจ้าของบ้านเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่มีฐานะเข้าขั้นมหาเศรษฐี โชเองก็เพิ่งคิดได้ว่าทั้งครั้งก่อนที่มาที่นี่รวมถึงครั้งนี้ บ้านทั้งหลังเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ตลอดเวลา กระทั่งในห้องครัวก็ยังเย็นเยียบเสมือนอยู่ในประเทศแถบยุโรป แน่นอนว่าระบบอินเทอร์เน็ตก็ย่อมเปิดไว้ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน

                ทันทีที่โชให้สัญญาณ ลุงสังข์ก็ปิดสวิตซ์เครื่องสำรองไฟ ก่อนอาเธอร์จะดันสะพานไฟลงจนไฟทุกดวงในบ้านดับพรึ่บ เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดพร้อมใจกันหยุดทำงาน ห้วงราตรีโอบคลุมทุกคนจนมองไม่เห็นแม้แต่ฝ่ามือของตัวเอง คนรับใช้ในบ้านตระเตรียมไฟฉายเอาไว้แล้ว จึงแจกจ่ายให้ทุกคนคนละกระบอก

                เทียนหลายเล่มจุดให้แสงสว่างก่อนนำไปตั้งยังจุดต่าง ๆ ให้พอมองเห็นได้ลาง ๆ ม่านหน้าต่างถูกเลิกออกให้แสงจันทร์ส่องมาทำหน้าที่สร้างความสว่างแทนแสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ ทว่าก็ยังไม่มากพอที่จะมองเห็นทุกสิ่งรอบกายได้ชัดเจน

                อัมพรและเด็กชายหญิงทั้งสี่คนเดินขึ้นไปยืนออกันอยู่หน้าห้องปลื้มอีกครั้ง ไม่มีแสงไฟ ไม่มีความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ และที่สำคัญที่สุด

                ไม่มีอินเทอร์เน็ต

                แม้เป็นเวลาหกโมงครึ่ง แต่ปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้ แต่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว หากไม่มีแสงไฟทางบริเวณถนนด้านหน้า และแสงไฟจากบ้านหลังอื่น บ้านหลังนี้คงตกอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิดเสียจนสิ้น ห้าคนยืนรออย่างคาดหวัง โชเงี่ยหูฟังเสียงที่เกิดขึ้นในห้องอย่างคาดเดาว่าผู้ที่อยู่ภายในกำลังมีอาการเช่นไร

                คงเปรียบเหมือนคนติดยา เมื่อยามมิได้เสพก็จะเกิดอาการลงแดง คนที่ใช้ชีวิตอยู่เพียงในโลกออนไลน์ หากไม่สามารถเข้าสู่โลกที่แสดงตัวตนของเขาได้ ก็คงมีอาการไม่ต่างกัน

                เข็มนาฬิกาเรือนใหญ่เดินส่งเสียงดังติ๊ก ๆ เป็นจังหวะต่อเนื่อง เช่นเดียวกับเข็มนาฬิกานับถอยหลังในใจของทุกคนที่เฝ้ารอราวกับจะแข่งขันกันว่าความอดทนของผู้ที่อยู่ภายนอกหรือภายในห้องจะมีมากกว่ากัน เหงื่อเริ่มผุดพรายที่ใบหน้าอัมพร เพราะยามปกติหญิงกลางคนอยู่แต่ในบ้านที่เย็นฉ่ำ ผิวกายแทบไม่ต้องแสงแดด เมื่อไร้ซึ่งลมและความเย็นเทียมที่มิได้เกิดจากธรรมชาติ เธอก็รู้สึกร้อนผ่าวจนต้องเอามือพัดโบก

                อาเธอร์กระดิกเท้าอย่างหงุดหงิด ดาวเดินงุ่นง่านไปมา ส่วนชามและโชยังคงยืนนิ่งอย่างอดทน พวกเธอไม่รู้หรอกว่าจะต้องรออยู่หน้าห้องนี้นานสักเท่าไหร่ จะสิบนาที ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงหรือนานกว่านั้น แต่เหมือนมีความมั่นใจบางอย่างปรากฏในใจว่าแผนการนี้ต้องประสบผลสำเร็จแน่ ๆ

                เงียบงัน...

มีเพียงความเงียบงันดำเนินผ่านกาลเวลาอย่างช้าเชื่อง นอกจากเสียงนาฬิกาแล้ว ไม่มีเสียงใดดังกระทบโสตประสาทอีก ใช่เพียงห้าคนบนชั้นสองที่รอคอยอย่างใจจดจ่อ เหล่าคนรับใช้ในบ้านนับรวมได้หกคนก็ชะเง้อชะแง้เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความใคร่รู้

                ผ่านไปนับสิบนาทีตั้งแต่ไฟดับ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด โชเริ่มใจเสียจนต้องหันมองอัมพรที่ส่งสายตาแสดงอารมณ์ไม่ต่างกัน

                และในจังหวะที่ละสายตาจากบานประตูเพียงเสี้ยววินาทีนั้น ประตูห้องของปลื้มก็เปิดผาง

เงาร่างผุดพรายในความมืดพุ่งเข้าใส่โชซึ่งยืนอยู่หน้าสุดโดยหญิงสาวไม่ทันตั้งตัว!

                ไม่มีใครกระทั่งอาเธอร์ที่ให้คำมั่นว่าจะปกป้องคุ้มครองโช ทันได้เห็นว่าในมือของชายที่โผล่พรวดจากห้องถือมีดโกนด้ามพลาสติกเอาไว้มั่น แสงสลัวรางของเทียนไขที่ตั้งเอาไว้บนราวระเบียง ส่องใบหน้าซูบซีดทว่าคลุ้มคลั่งให้น่าสะพรึงกลัวราวภูตผีปีศาจ ดวงตาแดงก่ำวาวโรจน์ในความมืดจับจ้องเพียงร่างเล็กของหญิงสาวที่บุกรุกเข้ามาในชีวิตและมุ่งมาดทำลายตัวตนของเขาจนสิ้น

                ตาย มันต้องตาย!

                ความอดทนที่ทำมาตลอดวัน เพื่อหวังว่าคนพวกนี้จะหยุดและรามือจากไปเอง กลับขาดสะบั้นลงเมื่ออินเทอร์เน็ตอันเปรียบเสมือนออกซิเจนที่ต่อลมหายใจของเขาถูกทำให้ใช้งานไม่ได้ ความโกรธแค้นที่อัดแน่นในจิตใจ เปรียบประดุจความดำมืดของน้ำครำที่อาบย้อมหัวใจของเขาให้กลายเป็นปีศาจ วินาทีนี้ผิดชอบชั่วดีไม่อยู่ในความคิดของปลื้มทั้งสิ้น ปรารถนาเดียวคือการทำลายผู้รุกรานให้ย่อยยับเท่านั้น

                เร็วกว่าทุกคนจะมองทัน คงมีเพียงผู้ที่เปี่ยมด้วยความรักให้บุตรชายเท่านั้น ที่ไม่ยอมให้เขากลายเป็นฆาตกรหรือผู้ต้องหาในคดีพยายามฆ่า

                ร่างโชถูกผลักออกจากวิถีที่มีดตวัดใส่ ก่อนแทรกตัวเองเข้าไปรับคมมีดแทน แขนอวบของอัมพรถูกใบมีดกรีดชำแรกจนเนื้อปริ ส่งเลือดแดงฉานกระเซ็นซ่านกระจายบนพื้นปาเกต์เป็นด่างดวง เสียงหวีดร้องระงมของสามสาวรวมถึงเหล่าคนรับใช้ที่อุทานอย่างตระหนก ทำลายความเงียบของบ้านกลายเป็นความโกลาหล

                แม้ไม่สว่างนัก แต่แผลเป็นทางยาวกับรอยเลือดกลุ่มใหญ่ก็เห็นได้ชัดเต็มสองตา ใช่เพียงชายหญิงทั้งสี่ที่ยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก กระทั่งคนลงมืออย่างปลื้ม เมื่อเห็นผู้รับผลแห่งความโกรธาของตนคือแม่บังเกิดเกล้า แทนที่จะเป็นหญิงสาวที่ชิงชัง เขาก็ยืนตัวแข็งทื่อราวกับหุ่นขี้ผึ้ง

                มือสั่นจนไม่อาจถือมีดโกน ปล่อยอาวุธร้ายให้หล่นร่วงลงพื้น ทันทีที่ได้ยินเสียงกระทบดังเข้าโสตประสาท ก็เหมือนสติที่กระเจิงหายถูกเรียกกลับมา โชแปรความตกใจกลายเป็นความโกรธรุนแรง ยิ่งเห็นสีหน้าแววตาอาทรทั้งที่ตนเองบาดเจ็บ โดยไม่มีแม้เศษเสี้ยวความโกรธ ด้วยหัวใจของคนเป็นแม่ ก็ยิ่งทำให้โชระเบิดอารมณ์จนปรี่เข้าหาปลื้มอย่างไม่กลัวเกรง

                ‘เผียะ!’ หญิงสาวตบเขาจนหน้าหัน ความอัดอั้นถูกระบายผ่านคำพูดกระแทกโสตชายตรงหน้าอย่างจัง

                “ถึงคุณจะโกรธจะเกลียดฉันแค่ไหน แต่เพราะอารมณ์ของคุณ ทำให้คนที่รับผลกรรมกลายเป็นแม่ของตัวเองแทนที่จะเป็นฉัน คุณเห็นสภาพท่านไหม ท่านเป็นห่วงคุณจนยอมให้พวกฉันทำเรื่องวุ่นวายในบ้านทั้งที่รู้ว่ามันจะยิ่งทำให้คุณโกรธจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ และท่านก็รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องเป็นบ้าแบบนี้ เลยเอาตัวเข้ารับมีดแทน ถ้าคุณไม่สำนึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด คุณก็บ้าจนเกินเยียวยาแล้ว”

                ราวคมมีดกรีดหัวใจเป็นชิ้น คำพูดของโชตอกย้ำถึงการกระทำของตน ดวงตาปลื้มจับจ้องใบหน้าซีดของแม่ที่กัดฟันฝืนข่มความเจ็บปวด สลับกับบาดแผลยาวที่ตนเองเป็นผู้กระทำ

                “ผะ ผม...” เสียงแผ่วเบาราวกระซิบ แม้ตั้งใจพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ แต่ดูเหมือนริมฝีปากจะไม่ทำตามสมองสั่ง อารมณ์หลากหลายซ้อนทับตีกันยุ่งเหยิงจนปลื้มต้องเอามือจิกทึ้งผมยาวประบ่าให้ยิ่งรุงรังเหมือนรังนก

                หากเปรียบอารมณ์ของปลื้มเป็นกราฟ ก็คงเป็นกราฟที่ขึ้นลงได้ตลอดเวลา

                เมื่อครั้งกระโจนออกจากห้อง อารมณ์เขาเปี่ยมด้วยความโกรธ ปรารถนาจะทำร้ายทำลายผู้บุกรุกเข้ามาในชีวิตให้สิ้นซากไปทุกคน

                ครั้นเมื่อพลั้งมือทำร้ายมารดา กราฟอารมณ์เขากลับดิ่งลงเหวจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวสั่นเทิ้ม นัยน์ตาลอย ริมฝีปากพะงาบ ๆ ดุจปลาขาดน้ำ ความโศกเศร้าและสำนึกผิดกดทับทุกห้วงความรู้สึกจนน้ำตาเขาหลั่งไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

                แต่ทันทีที่มองใบหน้าของหญิงสาวที่ยืนกางกั้นระหว่างตนกับมารดา อารมณ์โกรธก็ปะทุขึ้นมาอีกคราดุจภูเขาไฟระเบิด

                ปลื้มควบคุมตัวเองไม่ได้ เขามองมีดโกนที่ตกอยู่ที่พื้น ก่อนย่อตัวลงไปหมายหยิบมันขึ้นมาถือเพื่อกรีดหน้าโชให้แหว่งวิ่นจนสาแก่ใจ

                แต่โชไม่พลาดอีกเป็นหนที่สอง และทันทีที่ไฟในบ้านสว่างขึ้นเพราะลุงสังข์วิ่งไปเปิดสะพานไฟเนื่องจากมีเหตุร้ายแรง ภาพที่ทุกคนเห็นก็คือ หลังเท้าของโช ฟาดเข้าใส่ปลายคางของปลื้มเต็มแรงจนร่างสูงโปร่งหงายหลังล้มตึงลงไปนอนแผ่หลากับพื้น หมดสติไปในทันที

                “ชะ... โช” กระทั่งผู้ชายเพียงคนเดียวอย่างอาเธอร์ยังอดกลืนน้ำลายเอื้อกกับการตัดสินใจเด็ดขาดของหญิงสาวที่หมายปองไม่ได้

                ผู้ลงมือหันไปไหว้ขอโทษอัมพร ก่อนปราดเข้าไปดูบาดแผล เมื่อเห็นแผลเต็มตาเพราะไฟสว่าง จึงโล่งใจได้เปลาะหนึ่ง เพราะแผลแม้ยาวแต่ไม่ลึกจนเข้าขั้นสาหัส โชตะโกนร้องบอกให้กลุ่มคนรับใช้ที่อยู่ด้านล่างหายากับผ้าพันแผลมาให้ ดาวรู้งานรีบวิ่งมาประคองหญิงเจ้าของบ้านอีกด้านหนึ่งเพื่อพาลงไปที่ห้องรับแขกด้านล่าง ส่วนปลื้มนั้นโชปล่อยให้เป็นหน้าที่อาเธอร์ที่ต้องแบกร่างสูงลงบันไดอย่างทุลักทุเล

 

                “หนูขอโทษที่ทำรุนแรงกับคุณปลื้มนะคะ แต่ตอนนี้อารมณ์เขายังแปรปรวนอยู่ ถ้าไม่ทำให้หมดสติไปก่อน ก็อาจทำอะไรไม่คาดคิดได้อีก”

                โชกล่าวกับอัมพรขณะลงมือทำแผลให้ หญิงสาวพยายามเบามือที่สุดเพราะรู้ว่ายาสำหรับใส่แผลสดนั้นแสบมาก

เจ้าของบ้านหายตื่นกลัวแล้ว แม้แขนวางพาดกับพนักโซฟาให้หญิงรุ่นลูกทำแผล และแม้จะปวดระบมจนแขนแทบยกไม่ขึ้น ทว่าห้วงคำนึงทั้งมวลของเธอกลับจดจ่อกับร่างที่นอนเหยียดบนโซฟาตัวยาว เจ็ดปีแล้วที่เธอไม่เห็นหน้าลูกชายตัวเป็น ๆ ทำได้เพียงนั่งมองภาพเด็กหนุ่มวัยมัธยมที่ประดับอยู่ในกรอบรูปมากมายเรียงรายทั่วห้อง สภาพเขาตอนนี้แทบเป็นคนละคนกับเด็กร่างเล็กที่ชอบเดินหลังงุ้มด้วยความไม่มั่นใจ เขาสูงขึ้นพรวดพราดจนเกือบสูงทัดเทียมผู้เป็นพ่อ ร่างกายผ่ายผอมเสมือนคนกินไม่ครบมื้อ เธอไม่แปลกใจเพราะอาหารที่ส่งผ่านประตูแมวนั้นเมื่อรับคืนกลับมาแทบไม่เคยหมดสักมื้อ ใบหน้าตอบนั้นรกไปด้วยหนวดเคราครึ้มคงเพราะไม่ใส่ใจต่อรูปลักษณ์ ผมเผ้ายาวรุงรังระเกะระกะ เสื้อยืดคอกลมสีขาวและกางเกงนอนตัวยาวสีกรมท่าแม้มีขนาดพอดีกับร่างเพราะเธอกะขนาดร่างกายของปราปต์และซื้อชุดใหม่ให้ปลื้มเสมอ แต่ก็ยับย่นไม่ผ่านการรีดจนทำให้เขาดูซอมซ่อ ไม่มีมาดลูกชายนักธุรกิจพันล้านเลยสักนิด

แต่ถึงจะมีสภาพเช่นไร ชายคนนี้ก็คือลูกในไส้ อัมพรร้องไห้โฮออกมาเมื่อความอดทนที่เฝ้ารอมานานประสบผลแล้ว เธอได้เห็นใบหน้าของลูกชายเสียที

แต่กระนั้นก็ยังไม่วายกังวลกับอนาคต “แล้วถ้าตาปลื้มตื่นมาจะทำยังไงกันละหนูโช ดูจากอาการแล้วแกคงไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ให้เราพูดกล่อมแน่ ๆ ป้าว่าดีไม่ดีแกอาจอาละวาดหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

“อย่างที่เพื่อนหนูบอกน่ะค่ะ” โชเสหน้ามองชาม “แม้จะมีหลายทฤษฎีที่อธิบายอาการของคุณปลื้มเอาไว้ แต่โดยรวมแล้วคนป่วยประเภทนี้มักถูกกดดันจากสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวซึ่งเป็นสังคมที่เล็กและใกล้ชิดที่สุด หนูขออนุญาตพูดตรง ๆ นะคะ หลังจากที่เห็นพ่อและพี่ชายคุณปลื้ม หนูก็ไม่แปลกใจเลยค่ะ ว่าทำไมอาการเขาถึงแย่ลงและไม่มีทีท่าว่าจะหายเสียที”

อัมพรหน้าเสีย เธอรู้อยู่เต็มอกว่านิสัยของสามีเป็นเช่นไร และรู้อีกเช่นกันว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้ปลื้มเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ด้วยไม่อาจทนต่อแรงกดดันจากผู้เป็นพ่อ แต่เธอเป็นเพียงภรรยาที่ทำหน้าที่แม่บ้านเต็มตัว สิทธิเสียงทุกอย่างในการปกครองดูแลสมาชิกภายในบ้านล้วนตกอยู่ที่สามีทั้งสิ้น ครั้นจะแย้งในสิ่งที่เขาตัดสินใจ เธอก็ไม่กล้าพอ

“เราต้องพาคุณปลื้มไปจากบ้านหลังนี้ค่ะ ส่วนเรื่องการรักษา คุณพ่อหนูมีเพื่อนเป็นจิตแพทย์อยู่ ถ้าเราพาคุณปลื้มไปอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสม ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาการเขาน่าจะดีขึ้น”

เพิ่งได้พบกันหลังจากไม่เจอหน้านานหลายปี แต่ก็ต้องจากกันอีกแล้ว อัมพรสะท้อนใจจนแววตาหม่นลงวูบหนึ่ง

ดูเหมือนโชจะสังเกตเห็น

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูจะติดต่อคุณป้าหลังจากนี้เพื่อบอกสถานที่ คุณป้าสามารถไปเยี่ยมคุณปลื้มได้ตลอดเลยค่ะ”

ประโยคนี้เรียกรอยยิ้มอัมพรขึ้นมาได้

โชใส่ยาและพันแผลเสร็จ ก็พยักหน้าให้เพื่อนทั้งสามเพื่อให้เตรียมตัว ตาเหลือบมองนาฬิกาเห็นเป็นเวลาสองทุ่ม พวกเธอที่ปรึกษาวางแผนกันตั้งแต่เมื่อคืนจนดึกดื่น ซ้ำวันนี้ยังรีบตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเดินทางมาที่นี่ เหน็ดเหนื่อยกับการทำตามแผนต่าง ๆ กันทั้งวันจนค่ำ ถึงตอนนี้หนังตาอาเธอร์แทบปิดจนลืมไม่ขึ้นแล้ว โชรู้สึกผิดที่ลากเพื่อนมาลำบากด้วย เธออยากจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเพื่อให้ทุกคนกลับไปพักผ่อน

“พาคุณปลื้มไปที่บ้านเราก่อน เดี๋ยวเราจะปรึกษากับพ่อแม่เองว่าจะให้เขาไปอยู่ที่ไหนชั่วคราว เพราะขืนอยู่บ้าน พ่อคุณปลื้มกลับมาได้ไปอาละวาดที่นั่นแน่”

อาเธอร์รับหน้าที่แบกปลื้มอีกเช่นเคย ชายหนุ่มเมื่อเห็นคางของผู้ถูกแบก ก็ทำหน้าเหยเกเพราะไม่คิดว่าเท้าโชจะหนักขนาดเตะทีเดียวสลบยาวแบบนี้

...เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้โชโกรธ

 

หญิงสาวทั้งสามยกมือไหว้ลาอัมพร ขณะที่อาเธอร์และลุงสังข์ช่วยกันแบกร่างปลื้มขึ้นรถของโชที่ขับเข้ามาจอดเทียบประตูหน้าบ้านไว้ตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว หญิงกลางคนมองส่งเด็กทั้งสี่ และทอดสายตาค้างที่ลูกชายซึ่งนั่งคอพับอยู่ตรงเบาะหน้าข้างคนขับ

อาเธอร์รับตำแหน่งสารถีแทนโช เพื่อให้หญิงสาวร่างเล็กทั้งสามคนนั่งที่เบาะหลังอย่างไม่อึดอัด เสียงเครื่องยนต์คำรามก้อง แสงไฟหน้ารถส่องสว่างก่อนรถจะแล่นวนรอบน้ำพุด้านข้างและย้อนกลับมาที่ประตูรั้วขนาดใหญ่ด้านหน้าซึ่งถูกเลื่อนเปิดไว้รออยู่แล้ว

แต่ยังไม่ทันผ่านพ้นประตู หนุ่มตี๋พลันต้องกระทืบเบรกตัวโก่ง ส่งร่างทุกคนในรถให้ถูกแรงเฉื่อยกระชากให้หัวคะมำมาด้านหน้า ดาวที่หัวกระแทกเบาะคนขับโวยลั่นอย่างเดือดดาล

“ขับรถภาษาอะไรของแกวะไอ้ตี๋ ดูหัวฉันสิ โนหมดแล้วมั้ง” ถ้าไม่ติดว่าต้องพึ่งเพื่อนชายให้พาพวกเธอไปส่งถึงบ้าน ดาวคงบีบคอเขาจนขาดอากาศหายใจคามือเสียเดี๋ยวนี้

แต่แล้วดาวก็ต้องเก็บกลืนคำพูด เมื่อแสงสว่างกระทบม่านนัยน์ตาจนเธอต้องเอามือป้อง แสงแรงของรถบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์ 4 สีเดียวกับห้วงราตรี ส่องทะลวงเข้ามาในรถ เพียงเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่ารถคันนั้นจงใจขับสวนมาขวางทางและเปิดไฟสูงส่องเข้าใส่พวกเธอ

ดาวเป็นคนแรกที่เปิดประตูและกระโจนลงจากรถ หญิงสาวอารมณ์ร้อนและไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน เธอรู้แน่แก่ใจว่าคนขับรถเช่นนี้มีเจตนาไม่ดีกับพวกเธอแน่ สาวผมสั้นพร้อมจะเอาเรื่องอย่างห้าวหาญ

แต่ทันทีที่เห็นสายตาคมกริบกับร่างที่ก้าวลงจากรถมายืนนิ่ง ขาทั้งสองของดาวก็ต้องชะงัก

เธอกล้ามีเรื่องกับทุกคน เว้นเพียง... เจ้าของบ้านหลังนี้!

มิใช่เชิดศักดิ์ หากแต่เป็นปราปต์ที่ขับรถคันนี้มาดักไม่ให้พวกโชพาน้องชายเขาออกจากบ้าน โชเปิดประตูตามลงมาแม้จะใจหายวูบเพราะถูกจับได้ แต่เมื่อกวาดตามอง เธอก็เบาใจได้เปลาะหนึ่งเมื่อไม่เห็นร่างของชายกลางคนผู้เป็นเจ้าของบ้าน

“ลุงสังข์ มาพาตาปลื้มเข้าบ้าน”

เสียงตะโกนดังพอให้ชายชราที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าบ้านได้ยิน อัมพรเอามือทาบอกเพราะไม่คิดว่าลูกชายคนโตจะกลับมาถึงบ้านก่อนกำหนด

“ลุงสังข์!” เมื่อต้องเรียกซ้ำสอง เสียงนั้นจึงดังขึ้นเป็นเท่าทวี

คนขับรถสะดุ้ง หันมองอัมพรอย่างลังเล แม้หญิงกลางคนจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้านาย และเป็นแม่ของผู้ออกคำสั่ง แต่ที่ผ่านมาเธอไม่เคยออกปากห้ามปรามหรือขัดลูกชายคนโตเลยสักครั้ง ปราปต์จึงมีสิทธิปกครองสั่งการคนในบ้านเป็นรองจากเชิดศักดิ์ จนคนรับใช้ทุกคนต่างกลัวเกรงเขามากกว่าอัมพรทั้งสิ้น

                ชายชราเลี่ยงไม่ได้ จึงตีหน้าสำนึกผิดเดินตรงมาที่รถของโช บัดนี้ทุกคนในรถยกเว้นปลื้มลงมาจากรถจนหมดแล้ว ทั้งสี่เผชิญหน้ากับปราปต์ที่แม้ยืนขวางเพียงลำพัง ทว่ากลับดูมีอำนาจเสียจนไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย

                เว้นเพียง...

                “เธอจะทำอะไรน่ะ!” เสียงเข้มกระโชกดัง เมื่อเห็นชามหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่องที่ตน ขณะที่คนอื่นยืนหันซ้ายหันขวา กลับมีเพียงหญิงร่างเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดเท่านั้น ที่พุ่งความสนใจมาที่เขา

                ชามไม่มีสีหน้าตระหนกหรือตื่นกลัวต่อท่าทีของปราปต์ เธอกล่าวเสียงเรียบทว่าชัดถ้อยชัดคำ

                “ฉันกำลังเปิดเฟซบุ๊กน่ะค่ะ เฟซบุ๊กนี่ดีนะ มีระบบ ‘ถ่ายทอดสด’ ด้วย”

                ได้ยินเพียงเท่านี้ คนฉลาดอย่างปราปต์ย่อมรู้ดีว่าสาวผมหยักศกหมายถึงอะไร

                เธอกำลังขู่เขา หากผู้หญิงคนนั้นกดปุ่มถ่ายทอดสด ภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ก็ถูกเผยแพร่ไปในโลกออนไลน์ เขาที่เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงธุรกิจ ย่อมมีคนจดจำได้ และเมื่อนั้น เรื่องโกหกคำโตอย่างการเรียนต่อที่ต่างประเทศของปลื้ม ก็จะถูกเปิดโปง

                ปราปต์ขึงตามองใบหน้านิ่งนั้น แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูเปราะบางดุจแก้วใส แต่การตัดสินใจและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากลับหลักแหลมเสมือนผู้ผ่านโลกมามาก ความรู้สึกประหลาดบังเกิดในจิตใจชายผู้เงียบขรึม

                เขาจำต้องล่าถอย อย่างไม่เต็มใจ

                ชายหนุ่มกระชากประตูรถของตนเปิดออกพาร่างเข้าไปนั่ง ก่อนขับรถถอยเปิดทางให้รถของโชโดยไม่กล่าวอะไรอีก เห็นเท่านี้ ทั้งสี่ก็รีบกระโจนขึ้นรถ อาเธอร์กระทืบคันเร่งขับออกไปอย่างรีบเร่งเพราะกลัวปราปต์จะเกิดเปลี่ยนใจเรียกตำรวจมาจับพวกตนข้อหาลักพาตัวน้องชายเขาจากบ้าน

                ดวงตาคมของชายหนุ่มมองผ่านบานกระจกหน้าต่าง เห็นเพียงแสงสีแดงของไฟท้ายรถโชไกลห่างออกไป

                ปราปต์เม้มปากแน่น ก่อนขับรถเข้าไปในบ้าน

เขามีเรื่องต้องคุยกับแม่อีกยาว

 

                หายใจหอบกระชั้นจนปากต้องเปิดอ้าด้วยความเหนื่อยล้า เขาวิ่งมาไกลเท่าใดไม่รู้ รู้เพียงสองขาไม่อาจยั้งหยุดได้

                มันกำลังตามมา!

                เงามืดคืบคลานเข้ารุดไล่จากด้านหลัง ขนต้นคอลุกชันเพราะสัมผัสได้ถึงอันตรายอันเย็นเยียบจากเงาประหลาดนั้น แม้อยู่ห่าง แต่ยังรู้สึกอึดอัด สะอิดสะเอียน จนเหงื่อกาฬไหลชุ่มโชกทั่วร่าง

                เหนื่อย... เหนื่อยฉิบ!

                แม้ปากพร่ำสบถ แต่ไม่สามารถหยุดวิ่งได้ เพราะรู้ว่าหากหยุดเมื่อไหร่ เงานั้นจะกระโจนเข้าครอบคลุมร่างเขาจนสิ้น และเมื่อนั้น ตัวตนของเขาจะถูกห้วงอนธกาลกลืนให้มลายหายไป

                แล้วเท้าที่วิ่งนั้นพลันต้องสะดุดหินก้อนใหญ่ที่ตั้งขวาง ร่างถลาล้มไถลครูดไปกับพื้นส่งเนื้อถลอกวิ่นเป็นทางยาวทั้งแขนและขา ความแสบแล่นปราดเข้าสู่สมองจนต้องร้องโอดโอย

                แต่ความเจ็บแสบนั้นยังไม่เท่ากับความหวาดกลัวต่อเงามืดที่เคลื่อนเข้าใกล้อย่างไม่รั้งรอ มันรอจังหวะให้เขาเผลอและพลาดพลั้ง เพียงสายตามองสบความมืดดำนั้น ร่างก็ถูกห่อหุ้มด้วยเงาทะมึนจนมองไม่เห็นสิ่งใดอีก เขาอึดอัดทรมานราวกับเงานั้นแทรกซึมสู่ร่างผ่านทุกรูขุมขน หัวใจเต้นถี่ประหนึ่งจะทะลักออกมานอกอก

                ปากเปิดอ้าไม่อาจเปล่งแม้เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ห้วงคำนึงสุดท้ายมีเพียงภาพบาดแผลยาวบนแขนมารดาที่เขาเป็นผู้กระทำ ความผิดบาปเกาะกุมจิตใจส่งน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเลือด ประโยคที่ตั้งใจเอ่ยก่อนสติจะดับสูญ คงติดค้างอยู่ในสมองตลอดกาล

                ‘ผมขอโทษครับแม่...’

                เฮือก!

                ปลื้มสะดุ้งพรวด ทว่าสมองที่ยังมึนงงส่งให้ร่างเซล้มไปด้านข้างจนต้องเอามือยันกายมิให้หล่นร่วงจากเตียง

                ศีรษะสะบัดไปมาเบา ๆ ไล่ความงุนงง แสงจ้าส่องเข้าตาจนต้องกะพริบไล่ความแสบพร่า ก่อนยกมือป้องและหยีลืมตาช้า ๆ

                เขาอยู่ที่ไหนกัน?

                คำถามแรกผุดขึ้นในหัว ปลื้มกวาดตามองโดยรอบ พบว่าตอนนี้ตนเองนอนอยู่บนเตียงขนาดที่นอน 5 ฟุต  ผ้าปูที่นอนและผ้านวมสีน้ำตาลไร้ลวดลาย ผนังห้องเป็นไม้ประดับด้วยกรอบรูปเป็นภาพเขียนวิวทิวทัศน์รวมแล้วกว่า 20 ภาพ เครื่องเรือนมีเพียงโต๊ะเก้าอี้ไม้ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเตียง ชั้นหนังสือที่อัดแน่นเรียงรายด้วยหนังสือมากมาย และตู้เสื้อผ้าใบเล็กตรงมุมห้องแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดดังเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าสามัญที่ทุกบ้านควรมีอย่างโทรทัศน์หรือเครื่องปรับอากาศ

                นอกจากลมเบาที่ส่งจากพัดลมติดเพดาน บานหน้าต่างไร้ม่านที่เปิดอ้าเอาไว้ก็เป็นช่องทางให้ลมจากภายนอกกรูพัดเข้ามาสร้างความเย็นสบายในห้องได้ ปลื้มก้าวเท้าลงจากเตียง เมื่อได้สติเต็มที่ก็พบว่าตนเองเจ็บที่คางราวกับถูกไม้หน้าสามฟาดเข้าใส่ นิ้วที่ลูบสัมผัสได้ถึงความบวมเป่งจนต้องหันซ้ายขวามองหากระจก

                ไม่มี... ห้องนี้ไม่มีสิ่งสะท้อนใดพอให้มองเห็นหน้าตนเองได้เลย

                ปลื้มเดินช้า ๆ อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่รู้ว่าตอนอยู่ที่ใด และไม่รู้จุดประสงค์ของผู้พาตัวเขามาที่นี่ ความหวาดระแวงและกังวลจึงท่วมท้นจิตใจ เคราะห์ดีที่ยังไม่เห็นเงาของใครสักคน มิเช่นนั้นเขาคงหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแน่

                แต่ทันทีก้าวมาหยุดยืนที่ช่องหน้าต่าง ภาพภายนอกที่กระทบม่านนัยน์ตา ก็สลายความหวาดกลัวทั้งหมดไปจนสิ้น

                สีเขียวสดของใบผักกาดขาวที่ขึ้นเรียงรายเป็นแถวเป็นแนว สลับกับสีเขียวเข้มของคะน้าและสีม่วงของกะหล่ำปลีม่วงคั่นระหว่างแปลงด้วยทางเดินโรยกรวดนับรวมได้ 12 แปลง สีที่ตัดสลับกันเช่นนี้สร้างความสบายตาและสวยงามเมื่อได้มอง ด้านข้างซ้ายขวาสวนผักเรียงรายด้วยไม้ยืนต้นหลากพันธุ์ ทั้งมะม่วง มะพร้าว และกล้วยน้ำว้าจนบรรยากาศร่มรื่นและเย็นสบาย

                เย็นใจ... สบายใจ...

                เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้เกิดกับปลื้มมานานจนจำไม่ได้ว่าเคยรู้สึกเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แม้การท่องอินเทอร์เน็ต สร้างตัวตนสมมติและแสดงภูมิความรู้จนได้รับการยกย่องจากผู้คนมากมายจะทำให้สุขใจอยู่บ้าง แต่ทว่าความภาคภูมินั้นมิได้นำมาซึ่งความสงบและสบายใจเช่นนี้เลย

                ปลื้มที่ตกอยู่ในภวังค์ กลับถูกปลุกด้วยเสียงพื้นไม้ลั่นเป็นสัญญาณของการเดิน เสียงนั้นเพิ่มระดับความดังตามระยะทางที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

                ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก หน้าหันขวับมองที่บานประตูไม้ของห้องซึ่งปิดเอาไว้ เขารีบวิ่งเข้าหาประตูก่อนกดปุ่มล็อกลูกบิดด้วยมือสั่นเทิ้ม แต่ไม่ว่าจะกดเท่าไหร่ ตัวล็อกก็ดีดกลับมาทุกครั้ง ปลื้มสบถและก่นด่าถ้อยคำมากมายขณะง่วนกับประตู แต่ความตั้งใจที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องและปิดกั้นมิให้ผู้ใดเข้ามา กลับไม่อาจสมประสงค์

                และเมื่อเสียงฝีเท้าหยุดที่หน้าห้อง ปลื้มก็ถอยกรูดจนร่างแนบผนัง หัวใจที่สงบเพราะภาพบรรยากาศพลันเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว อาการตื่นตระหนกอย่างไม่อาจควบคุมเพราะโรคฮิกิโกะโมะริกำเริบอีกคราจนชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ

                บานประตูแง้มเปิดช้า ๆ ผู้ก้าวเข้ามาคือชายชราในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าโทเรสีกรมท่ากับกางเกงยีนส์ บนหัวสวมหมวกสานปีกกว้าง คาดเอวด้วยผ้าขาวม้า ร่างกายแกร่งด้วยมัดกล้ามทำให้ดูหนุ่มกว่าอายุจริงใบหน้ากร้านแดดเต็มไปด้วยกระฝ้าบ่งบอกว่าไม่เคยประทินผิวด้วยครีมบำรุงใด

                ในมือถือถาดอาหาร มีชามข้าวต้มหมูสับส่งควันกรุ่นและกลิ่นหอมฉุยลอยมากระทบจมูกปลื้ม จานเล็กมีฝรั่งหั่นเป็นชิ้นเล็ก น้ำตะไคร้ใบเตยสีเขียวอ่อนและน้ำเปล่าอีกแก้วหนึ่ง ชายชรายิ้มน้อยก่อนวางถาดอาหารบนโต๊ะ เขามิได้ขบขันกับท่าทีของปลื้มที่ยืนตัวแข็งหลุบตามองพื้นไม่กล้าสบสายตาตน

                “ประตูมันเสีย ล็อกไม่ได้หรอกพ่อหนุ่ม ลุงว่าจะซ่อมตั้งนานแล้ว แต่ลุงอยู่บ้านนี้คนเดียว ห้องนี้เป็นห้องลูกชายลุงที่ไปเรียนกรุงเทพ นาน ๆ จะกลับมาเสียที เลยลืมไปสนิทว่าต้องซ่อม นอนหลับไปเป็นวันแบบนี้ตื่นมาคงหิวแย่ กินข้าวกินปลาเสียก่อน เสร็จแล้วก็กินยาแก้ปวดด้วยละ คางพ่อหนุ่มน่ะ ท่าจะระบมหนักทีเดียว”

                ปลื้มไม่ได้ตอบรับอะไร เขายังคงยืนนิ่งหลังพิงผนังอยู่ตรงนั้น ราวกับปรารถนาให้ชายชราออกจากห้องไปเสียที

                และก็ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะรับรู้ถึงปรารถนานั้น เขาไม่กล่าวอะไรต่อ ทำเพียงหันหลังเดินจากไปโดยไม่ลืมปิดประตูห้องเอาไว้ให้ดังเดิม

                ปลื้มยืนอยู่ตรงที่เดิมครู่หนึ่ง ก่อนระบายลมหายใจออกมา หัวใจที่เต้นแรงพลันสงบ อาการหวาดกลัวผู้คนที่เกิดขึ้นเขาเองก็ทรมานและไม่อยากให้มันเกิดกับตน จำได้ว่าครั้งแรกหลังออกจากโรงพยาบาลเมื่อครั้งถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน เพียงแม่พาไปห้างสรรพสินค้าเพื่อกินข้าวกลางวัน เขาที่เห็นผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ ก็พานกลัวเสียจนตัวสั่นไม่กล้าลงจากรถ ใบหน้าของคนพวกนั้นน่ากลัวเหมือนปีศาจ แขนขาที่หักจนต้องเข้าเฝือกนั้นปวดแปลบขึ้นมาจนต้องดิ้นทุรนทุราย

                นับจากวันนั้นมา แค่มีคนแปลกหน้าเข้าใกล้เขาก็เกิดอาการเช่นนี้ทุกครั้ง จนต้องปิดขังตัวเองอยู่เพียงแต่ในห้อง

                ไม่สิ... ไม่ใช่คนแปลกหน้าทุกคนหรอก กระทั่งพ่อและพี่ชาย เมื่อเข้าใกล้เขาก็ยังเกิดอาการเดียวกัน หนำซ้ำยังหนักหนากว่าคนที่ไม่รู้จักเสียอีก

                อาการของปลื้มกลับมาเป็นปกติแล้วเมื่อชายชราออกจากห้องไปสักพักหนึ่ง เสียงพูดคุยพอให้ได้ยินเบา ๆ จากภายนอก ทำให้เขาเยี่ยมหน้ามองออกไปมองเห็นเป็นชายชราคนเมื่อครู่กับผู้ชายอีกสองคนกำลังเดินใส่ปุ๋ยในแปลงผักที่ปลูกเอาไว้อย่างขะมักเขม้น ระยะไกลเช่นนี้ไม่ทำให้โรคกำเริบ

                เสียงท้องร้องดังจนปลื้มต้องเอามือกุม ไม่รู้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน รู้เพียงว่ากลิ่นข้าวต้มที่คลุ้งทั่วห้องช่างยั่วยวนจนน้ำลายสอ ขาลากพาร่างเดินไปนั่งที่โต๊ะโดยอัตโนมัติ ก่อนลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า

                ...อร่อย! แม้จะเคี้ยวอย่างยากลำบากเพราะยังปวดคางไม่หาย และแม้ปกติเขาจะกินอาหารฝีมือแม่ครัวที่บ้านรวมถึงอาหารจานหรูที่แม่ซื้อจากภัตตาคารมาให้ในหลายมื้อ แต่ข้าวต้มหมูสับธรรมดาถ้วยนี้กลับอร่อยจนเขาเผลอซัดเสียเกลี้ยงถ้วย ฝรั่งก็หวานกรอบ รสชาติผิดแผกจากที่ซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่นิยมนำผลไม้ตัดแต่งพันธุกรรมมาวางขาย ผิวไม่สวยเช่นนี้คงเพราะปลูกด้วยวิธีธรรมชาติและเพิ่งเด็ดมาจากต้นแน่ ๆ อีกทั้งน้ำตะไคร้แก้วสูงนี่ก็หอมกลิ่นตะไคร้ผสานใบเตย รสชาติหวานน้อย ๆ กระตุ้นให้ดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว

                นี่คือรสมือที่เขาไม่เคยกินมาก่อน เป็นรสชาติจากธรรมชาติที่ไม่มีส่วนประกอบหรือสารปรุงแต่งใดจากวิทยาศาสตร์

                ปลื้มมองยาแคปซูลสีฟ้าขาวอย่างลังเล คางที่ปวดร้าวกระตุ้นให้เขาหยิบยาเม็ดนั้นมาถือ แม้จะยังไม่อาจวางใจเพราะไม่รู้ว่าชายชราเป็นใคร และเหตุใดจึงต้องทำดีกับตนเช่นนี้ แต่จากท่าทีและความรู้สึกอบอุ่นจากบรรยากาศ จากอาหารมื้อนี้ ก็ทำให้เขาลดทอนความหวาดระแวงในใจลง

                ชายหนุ่มหย่อนเม็ดยาเข้าปากก่อนกระดกน้ำตาม เขานั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนอาหารที่กินเข้าไปจะออกฤทธิ์ให้หนังท้องตึง ดึงหนังตาให้หย่อน จนไม่อาจฝืนทนต่อความง่วง ต้องเดินโซเซไปนอนยังเตียงและล้มตัวลงหลับสนิท

 

                โชยกมือไหว้ชายชราเจ้าของสวน หญิงสาวในชุดทะมัดทะแมงด้วยเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ขายาวแบบรัดรูปยืนอยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่ด้านหลังบ้านในจุดที่มองไม่เห็นจากหน้าต่างห้องที่ปลื้มพักอยู่ ข้างเธอมีดาวนอนอยู่บนเปลญวนที่ผูกเอาไว้ระหว่างต้นไม้สองต้น

                ‘ลุงโชคชัย’ คือพี่ชายของพ่อดาว สวนผักและผลไม้ขนาดใหญ่ในจังหวัดปทุมธานีนี้แต่เดิมมีพื้นที่เพียงสามไร่ แต่เพราะความขยันขันแข็ง ประกอบกับการหมั่นศึกษาเรียนรู้วิธีการเพาะปลูกให้ทันยุคสมัยจากการอบรมที่ศูนย์เกษตรชุมชนและหาความรู้จากอินเทอร์เน็ต ทำให้ชายชรานำมาปรับใช้จนขยับขยายพื้นที่เพาะปลูกเป็นกว่าสิบไร่

                “ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ ที่อนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่”

                รอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้าและแววตาตอบกลับมาให้โช “ไม่เป็นไรหรอกหนูโช ปกติลุงก็ดูแลคนงานหลายคนอยู่แล้ว เพิ่มมาอีกสักคนจะเป็นอะไร

“หิวแล้วลุง มีอะไรให้หนูกินบ้าง” ดาวโอดครวญพลางเอามือลูบท้องทำท่าหิวเกินจริง

“มีมะม่วงบนต้น แกก็ปีนไปเก็บกินเอาสิ”

“โหลุง! หนูไม่ใช่ลิงนะ”

ชายชราหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวอย่างขบขัน “อะไรวะ ตอนเป็นเด็กก็เห็นปีนเป็นลิงเป็นค่าง เก็บของข้าหมดจนไม่เหลือไว้ขาย ทีโตเป็นสาวเข้าหน่อยทำเป็นปีนไม่เป็น”

“แหมมม! หนูสวยออกขนาดนี้ จะเป็นลิงเหมือนเมื่อก่อนได้ยังไง เดี๋ยวก็ขายไม่ออกกันพอดี”

โชอดขำไม่ได้กับการโต้คารมของสองลุงหลาน เธอรู้ดีว่าแม้ภายนอกดาวจะมีบุคลิกห้าวเหมือนทอมบอย แต่จริง ๆ แล้วเพื่อนสนิทคนนี้ก็คือผู้หญิงธรรมดาที่รักสวยรักงามเหมือนผู้หญิงอื่นทั่วไป

ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองไปที่บ้านไม้หลังไม่ใหญ่นักซึ่งสร้างจากไม้ทั้งหลังกลมกลืนกับมวลพฤกษ์โดยรอบ แม้ไม่เห็นร่างชายที่อยู่ในนั้น แต่โชมั่นใจว่าเขาคงรู้สึกสงบและปลอดภัยกว่าตอนที่อยู่บ้านแน่นอน

คิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่ราวกับฉากหนึ่งในละคร ทั้งการวางแผนต่าง ๆ ให้ปลื้มออกมาจากห้อง เหตุรุนแรงที่เขาก่อ รวมถึงการพบกับพี่ชายที่ไม่ยอมให้พวกเธอพาเขาออกมาจากบ้าน หลังเหตุการณ์ทั้งหมด โชพาปลื้มมาที่บ้านของตัวเอง พบพ่อกับแม่ที่ติดต่อ ‘อาวุฒิเดช’ จิตแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนของพ่อให้มารออยู่แล้ว

อาเธอร์แบกร่างปลื้มวางบนโซฟายาวชั้นล่างของบ้าน นันทวัฒน์และคนธวรรณ์มองใบหน้าชายผู้มีพระคุณด้วยความรู้สึกสงสาร ขณะที่เด็กทั้งสี่ยืนอยู่รายรอบเพื่อเฝ้าดูการรักษา

แพทย์ร่างเล็กสวมแว่นหนาจนขยายดวงตาให้ใหญ่เกือบเต็มกรอบ ฟังคำบอกเล่าถึงอาการคร่าว ๆ ของปลื้มมาก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นสภาพของเขาและรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็อดตกใจไม่ได้ที่กลุ่มเด็กสี่คนกระทำเรื่องอุกอาจถึงขนาดลักพาตัวชายหนุ่มมาจากบ้านโดย

“อาว่าลองคุยกับพ่อแม่เขาดี ๆ ก่อนดีกว่าไหม ให้พาเขามารักษากับอาที่คลินิก อารับรองว่าจะเก็บเรื่องการรักษาเป็นความลับไม่บอกให้ใครรู้หากเขากลัวเสียชื่อเสียง”

โชส่ายหน้าก่อนกล่าวอย่างทอดถอนใจ

“หนูคุยกับคุณแม่ของเขาแล้วค่ะ เธอเคยขอร้องคุณพ่อเขาหลายครั้งแล้ว แต่พ่อเขาก็ไม่ยอมท่าเดียว หนูก็จนปัญญาจริง ๆ ที่จะช่วยเขา จึงต้องขอให้คุณพ่อรบกวนคุณอามาที่นี่นั่นแหละค่ะ”

จิตแพทย์ลังเล ด้วยจรรยาบรรณแพทย์ การรักษาคนไข้ที่เจ้าตัวหรือครอบครัวไม่เต็มใจย่อมเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่จากข้อมูลที่รับฟังมา กรณีชายหนุ่มคนนี้ถือเป็นคนไข้ที่อาการหนักและยังไม่ได้รับการรักษามาตั้งแต่เริ่มมีอาการ หากไม่รีบช่วยเหลืออาจทำให้เขาหวนกลับมาเป็นปกติได้ยาก

“ก็ได้ การรักษาเบื้องต้นคงทำได้แค่การให้ยา ประเภท SSRI [1] ซึ่งช่วยป้องกันอาการซึมเศร้า หวั่นวิตก ได้ในระดับหนึ่ง” พูดพลางฉีดยาเข้าใส่หลอดเลือดบริเวณข้อพับ ชายหนุ่มที่หมดสติไม่รู้สึกถึงปลายเข็มที่ชำแรกผิวเนื้อ “ส่วนวิธีการรักษาขั้นต่อไป คงต้องเหนื่อยหน่อย”

“เหนื่อยแค่ไหนหนูก็จะทำค่ะคุณอา ขอเพียงสามารถช่วยรักษาเขาให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้”

โชกล่าวอย่างมุ่งมั่น ประโยคนี้ทำให้จิตแพทย์ยอมแพ้และละวางความรู้สึกผิดในใจจนกล่าวอธิบายยาวยืด

“สำคัญที่สุดคือครอบครัว แต่อย่างที่หนูโชว่า หากครอบครัวเขาคือต้นเหตุแห่งปัญหา เราก็ต้องจัดหาสถานที่อยู่นอกเหนือจากบ้านของเขา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ให้อิสระเขาสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่มีใครมาคอยบังคับหรือวางกฎเกณฑ์เพื่อกดดัน หลังจากเขามีอาการดีขึ้น ก็ต้องเตรียมกิจกรรมต่าง ๆ ไว้รองรับในการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่สังคม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เขา สาเหตุที่ทำให้เขาหวาดกลัวต่อผู้คนคือความรุนแรงที่เคยได้รับ ดังนั้นจึงต้องเป็นกิจกรรมที่ลดความหวาดกลัวในใจเขาให้ได้ อันนี้เป็นการบ้านที่พวกหนูต้องคิดกันละนะ”

ดาวเสนอบ้านสวนของลุงโชคชัย ตอนเด็กเธอเคยอาศัยอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่งจึงคิดว่าบรรยากาศของธรรมชาติน่าจะช่วยให้อาการของปลื้มดีขึ้น โชจึงขับรถพาปลื้มที่ยังคงสลบเพราะลูกเตะของเธอ ผนวกกับผลข้างเคียงของยาที่ทำให้ง่วง มายังจังหวัดปทุมธานีอันเป็นที่ตั้งของ ‘สวนโชคชัย’ แห่งนี้

ปลื้มกินยาฟลูออกซิทีนซึ่งเป็นยารักษาอาการซึมเศร้าโดยเชื่อว่าเป็นยาแก้ปวดดังคำลวงของชายชราเจ้าของสวน แม้จะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกชายหนุ่ม ทว่าเพื่อรักษาเขาให้หายดีดังคำขอร้องของโชและดาว โชคชัยจึงยอมทำตามแผนการที่วางเอาไว้แต่โดยดี

แผนขั้นแรกสำเร็จ ที่เหลือก็แค่รักษาอย่างต่อเนื่องจนความหวาดกลัวและวิตกกังวลในใจปลื้มที่มีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนอื่นบรรเทาลง จากนั้นจึงเป็นเรื่องการหากิจกรรมเพื่อให้เขาพร้อมเข้าสู่สังคม

โชมีการบ้านอีกกองโตสำหรับการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ แต่ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายหรืออยากล้มเลิก เพราะชีวิตใหม่ที่เธอได้รับ สมควรตอบแทนเขากลับไปด้วยชีวิตใหม่ที่เขาต้องได้รับเช่นกัน

แต่หญิงสาวไม่อาจรู้เลยว่า อุปสรรคอีกมากมายที่คอยกั้นขวางมิให้แผนการของเธอบรรลุผล จะปรากฏตัวในรูปแบบของคนที่พวกเธอคาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับปลื้มโดยบังเอิญในอนาคตอันใกล้นี้

 

[1] ยากลุ่ม SSRI (Selective serotonin reuptake inhibitor) ยารักษาอาการซึมเศร้า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น