บทที่ 9
แม้ห้างสรรพสินค้าจะปิดเวลาสี่ทุ่มในวันศุกร์เช่นนี้ แต่ร้านรวงต่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายฝั่งตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร เครื่องดื่ม ต่างเปิดเรียกลูกค้ากันถึงดึกดื่นเที่ยงคืน แสงไฟหลากสีกระพริบวับวาวดุจแสงสว่างสุกไสล่อแมลงเม่าให้บินหลงเข้าไปจนถูกเปลวไฟแผดเผาจนมอดไหม้ ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ที่ลุ่มหลงแสงสีและความคึกคักของเสียงดนตรีอึกทึกและบรรยากาศความสนุกจนพาตัวเองมานั่งจับจองเก้าอี้ของทุกร้านจนเต็มเอียด
ปราปต์เลือกร้านกาแฟที่ลูกค้าค่อนข้างบางตา เขาลากชามที่ไม่เต็มใจแต่ไม่อยากแข็งขืนจนกลายเป็นภาพการฉุดกระชากลากถูให้คนอื่นตกอกตกใจ มานั่งด้านในสุดของร้าน
พนักงานเดินมารับเมนู
“อเมริกาโนร้อนสองแก้วครับ” ปราปต์สั่งด้วยเสียงเรียบแต่ดังเพียงพอให้ได้ยิน
ชามขึงตามองสีหน้าเรียบเฉยนั้น เขาไม่ถามเธอสักคำว่าจะดื่มอะไร
“ฉันไม่กินกาแฟ”
“ฉันสั่งให้เธอตามมารยาท ส่วนจะกินหรือไม่นั้นก็เรื่องของเธอ”
หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างโดยไม่รู้ตัว เธอไม่เคยเจอคนวางอำนาจและไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นมากเท่านี้มาก่อน
“ทีนี้จะบอกฉันได้รึยัง ว่าเธอกับเพื่อนเอาน้องชายฉันไปไว้ที่ไหน”
“ฉันไม่รู้จริง ๆ ค่ะ คุณต้องไปถามโช... ฉันหมายถึงเพื่อนฉันคนผมยาว เพราะหลังจากวันนั้นที่พาคุณปลื้มไปที่บ้านของโช พวกเราก็แยกย้ายกัน และฉันก็ไม่ได้ถามว่าตอนนี้คุณปลื้มยังอยู่ที่บ้านหรือถูกพาไปรักษาที่ไหน”
“เป็นไปไม่ได้!” เขาเผลอตวาด “พวกเธอเป็นเพื่อนกัน ซ้ำยังบุกรุกบ้านฉันด้วยกัน มีเหรอจะไม่คุยกันเรื่องนี้”
ชามระบายลมหายใจอย่างจนปัญญา
“ฉันบอกความจริงที่คุณอยากรู้แล้ว ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่นั้นก็เรื่องของคุณ”
ย้อนกลับอย่างเจ็บแสบ ประโยคที่ปราปต์เคยพูดถูกโต้ตอบมาแทบจะทันควันจนชายหนุ่มกัดฟันกรอด เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าครั้งที่ตนพยายามขัดขวางมิให้พวกคนแปลกหน้านี้พาปลื้มไปจากบ้าน ก็เป็นหญิงสาวตรงหน้าที่ขู่เขาด้วยการจะถ่ายทอดสดภาพเหตุการณ์ลงบนเฟซบุ๊ก จนเขาต้องหลีกทางให้อย่างไม่เต็มใจ
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องแจ้งความจับพวกเธอข้อหาลักพาตัวและกักขังหน่วงเหนี่ยว อย่าลืมนะว่าฉันพอจะเป็นที่รู้จักของสังคมในวงกว้าง เรื่องคุยกับตำรวจเพื่อเร่งรัดหมายจับพวกเธอน่ะ ไม่ยากนักหรอก”
“ถ้าอย่างนั้น คุณคงต้องแจ้งความจับแม่ของคุณเพิ่มอีกคน เพราะท่านคือผู้สนับสนุนให้พวกฉันลักพาตัวและกักขังหน่วงเหนี่ยวคุณปลื้มเอาไว้”
ปราปต์จ้องตาที่มองตอบกลับมาอย่างไม่หวั่นเกรงของชาม แม้จะพูดด้วยเสียงเบาจนดูเหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ทุกประโยคที่ตอบกลับมานั้นบ่งบอกถึงกระบวนความคิดที่เปี่ยมด้วยความฉลาดเฉลียว ทันคน และไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ ขัดกับบุคลิกเรียบร้อยอ่อนหวานนั้น
ถ้าไม่กลัวจะเสียภาพลักษณ์ และไม่อยู่ในที่สาธารณะที่คนพลุกพล่านเช่นนี้ เขาคงเอื้อมมือไปปิดปากบางคู่นั้นมิให้เถียงอะไรออกมาได้อีกแม้แต่ประโยคเดียวแล้ว
“มีอะไรอีกไหมคะ ดึกแล้ว ฉันจะกลับบ้าน”
อันที่จริงหากเธอลุกออกจากร้านตอนนี้ ก็เชื่อว่าปราปต์คงไม่กล้าใช้กำลังเหนี่ยวรั้งเธอท่ามกลางสายตาคนอื่นมากมายแบบนี้ แต่ชามมีความรู้สึกผิดในใจอยู่บ้าง ที่ทำเรื่องอุกอาจอย่างการร่วมมือกับโชพาตัวน้องชายเขาไป ซ้ำยังขู่ว่าจะแฉความลับผ่านโลกโซเชียล ชามจึงจำยอมตามเขามาถึงที่ร้านนี้
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร ผู้ร้ายปากแข็งอย่างพวกเธอเล่นซึ่งหน้าไม่ได้ ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายแล้วกัน”
กลับเป็นปราปต์ ที่ลุกขึ้นก่อนกระแทกธนบัตรใบละ 1,000 บาทไว้บนโต๊ะ เขาเดินสวนกับพนักงานที่ยกกาแฟมาเสิร์ฟและทำสีหน้างงว่าลูกค้ายังไม่ทันดื่มก็ออกจากร้านไปเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงชามที่ถอนใจยาวอย่างโล่งอกที่ผ่านสถานการณ์แบบนี้มาได้
เธอลุกตามไปอีกคน และครั้งนี้พนักงานก็ต้องเกาหัวแกรกอย่างไม่เข้าใจจริง ๆ
สวนโชคชัยมีผลิตผลให้คนสวนเก็บเกี่ยวทุกวัน เพราะรู้ระยะเวลาการเติบโตนับแต่หย่อนเมล็ดพันธุ์ลงดินจนถึงขนาดพอเหมาะสำหรับการส่งขาย ชายชราเจ้าของสวนจึงปลูกพืชหลากชนิดในห้วงระยะเวลาที่ลดเหลื่อมกันโดยผ่านการคำนวณอย่างแม่นยำ เมื่อแปลงหนึ่งโตและเก็บได้แล้ว วันถัดมาอีกแปลงหนึ่งก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวพอดี
พืชผักและผลไม้ถูกทยอยขนขึ้นรถกระบะในช่วงเวลาเย็นของแต่ละวัน เพื่อนำไปส่งให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสำหรับขายในตลาดเช้าที่เปิดตั้งแต่ตีสี่ และเพราะการปลูกแบบธรรมชาติที่ใช้สารเคมีให้น้อยที่สุดตามแนวทางที่โชคชัยยึดมั่นถือมั่นมาโดยตลอด ก็ทำให้สินค้าของสวนเขามีคุณภาพ รสชาติอร่อย เมื่อเทียบกับสวนอื่นที่แม้พืชผักจะงามไร้ตำหนิ ทว่ารสกลับกระด้างกว่า
ชายชราแม้อายุมากกว่าพ่อของปลื้มอยู่หลายปี แต่เพราะทำงานที่ต้องใช้แรงกายมาตั้งแต่หนุ่ม เปรียบได้กับการออกกำลังเป็นประจำทุกวัน ทำให้รูปร่างเขายังคงสูงใหญ่แข็งแรง หากไม่บอกอายุคงมีคนทายผิดเป็นสิบปี นอกจากเป็นคนมือเย็น ปลูกอะไรก็ขึ้น เพาะอะไรก็งามแล้ว ฝีมือการทำอาหารของเขายังเหนือกว่าผู้หญิงในละแวกเดียวกันเป็นไหน ๆ เพราะภรรยาที่ด่วนจากไปตั้งแต่ลูกชายยังเล็ก ทำให้เขาต้องรับหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่ไม่เคยทำอย่างการทำงานบ้านงานเรือน หรือหุงหาอาหาร ก็จำต้องฝึกฝนควบคู่ไปกับการทำสวน
เพราะความมองโลกในแง่ดี บวกกับความอุตสาหะมุมานะไม่ย่อท้อแม้ต้องเผชิญมรสุมชีวิตที่โหมกระหน่ำ ทำให้โชคชัยเป็นคน ‘แกร่ง’ ทั้งร่างกายและจิตใจ บุคลิกนี้ถ่ายทอดมาถึงดาว หลานสาวที่มักมาเที่ยวที่สวนของตนในทุกปิดเทอม เธอมีลุงเป็นไอดอลจนบุคลิกห้าวหาญเหมือนผู้ชาย
ปลื้มเองก็อดถูกบุคลิกของโชคชัยดึงดูดไม่ได้
เขาต่างจากพ่อราวหน้ามือหลังมือ หากพ่อคือความมืดมิดของห้วงราตรี โชคชัยก็คงเป็นความสว่างของดวงตะวัน รอยยิ้มของชายชราประดับอยู่บนใบหน้าตลอดแม้กระทั่งยามเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ด้วยเหตุนี้ ปลื้มที่ไม่กล้ามีปฏิสัมพันธ์กับใคร จึงสามารถพูดคุยประโยคสั้น ๆ กับเจ้าของบ้าน
...แต่ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาอยู่ดี
“เดี๋ยวลองออกไปเก็บผักดูไหมละ ออกแรงบ้างเส้นจะได้ไม่ยึด”
โชคชัยที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับปลื้มบนโต๊ะกินข้าวกล่าวอย่างอารมณ์ดี เขามองรูปลักษณ์ของชายหนุ่มหลังแปลงโฉมด้วยการตัดผมและโกนหนวด แม้ใบหน้าจะตอบซูบจนดูเหมือนคนขาดสารอาหาร แต่ผิวพรรณที่ขาวสะอาด ประกอบกับเครื่องหน้าที่ได้ส่วนผสมของพ่อและแม่มาอย่างลงตัว ทำให้ใบหน้าหลังแว่นนั้นดูอย่างไรก็รู้ว่าเป็นลูกผู้ดีมีสกุล
การชวนชายหนุ่มบุคลิกคุณหนูแบบไม่เคยใช้แรงกายทำงานหนักมาลองทำสวน แม้อาจคาดเดาคำตอบเอาไว้ได้อยู่แล้ว แต่โชคชัยก็อยากให้เขาลองปรับเปลี่ยนตัวเองดู การทำกิจกรรมนี้คือหนึ่งในแผนการรักษาที่โชแนะนำให้
“ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้มีผักน้อย น่าจะเก็บได้แค่ครึ่งคันรถ ลุงเลยไม่ได้ให้คนงานมาช่วย ว่าจะทำเองคนเดียว แต่ถ้าพ่อหนุ่มสนใจ จะลองมาเป็นลูกมือลุงก็ไม่รังเกียจ ค่าจ้างเอาเป็นกล้วยไข่เชื่อมแล้วกัน เพิ่งเก็บกล้วยไข่ห่าม ๆ มาได้หวีหนึ่ง ขนาดกำลังพอดีเลย”
ดูเหมือนปลื้มจะชินกับนิสัยพูดเองเออเองและพูดไปเรื่อยไม่หยุดของโชคชัยเสียแล้ว แม้คราแรกจะรู้สึกรำคาญ แต่หากคิดว่าถ้าเขาไม่พูด ตนก็ไม่พูด บรรยากาศคงน่าอึดอัดพิลึก การฟังชายชราพูดแต่ฝ่ายเดียวมันก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ครับ...”
เสียงเบาจนโชคชัยต้องเงี่ยหูฟัง “หะ ว่ายังไงนะ”
“ไปครับ”
ประโยคตอบรับแบบอ้อมแอ้มของปลื้ม ทำให้เจ้าของสวนระเบิดหัวเราะออกมาได้
“มันต้องอย่างนี้สิ ไปยืดเส้นยืดสายกันเร็ว”
ชายชรากระฉับกระเฉงราวม้าศึก เขาคว้าหมวกสานปีกกว้างสวมศีรษะก่อนเดินลิ่วออกจากบ้าน ทิ้งปลื้มที่นั่งก้มหน้างุดเอาไว้ กว่าจะรู้ตัวชายหนุ่มก็ผลุนผลันลุกจากเก้าอี้จนขาฟาดกับขาโต๊ะต้องร้องโอดโอย พลางเดินกะเผลกตามหลังเจ้าของสวนไปอย่างทุลักทุเล
ฟ้ายามผีตากผ้าอ้อมเช่นนี้แม้บรรยากาศควรเงียบเหงา แต่เสียงนกเสียงกาที่กระโดดไปมาบนกิ่งไม้และเสียงแมลงหลากชนิดที่อาศัยอยู่นับพันนับหมื่นตัวรอบบ้าน ก็ดังผสานกันดั่งบรรเลงดนตรีจากธรรมชาติ จนฟังแล้วเสนาะหูเสียยิ่งกว่าเสียงเพลงจากวิทยุหรือโทรทัศน์ ปลื้มที่แต่แรกรำคาญเสียงนกจนต้องสะดุ้งตื่นตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน เมื่อผ่านไปหลายวันเข้าเขาก็เริ่มชินจนใช้มันเป็นเสียงขับกล่อมให้ห้วงนิทราต่อเนื่องยาวนานถึงเช้า
โชคชัยพาปลื้มเดินมาที่แปลงกะหล่ำปลี สีเขียวชอุ่มละลานตาของพืชหัวที่ขึ้นเรียงรายสร้างความตื่นตาให้ชายหนุ่มแม้เห็นผ่านบานหน้าต่างหลายครั้งแล้วก็ตาม
“กะหล่ำปลีเนี่ย อายุสัก 50-60 วันก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว แปลงนี้อายุครบเก็บพอดี วิธีเก็บก็ให้เลือกดูหัวขนาดสัก 2-3 กิโลกรัม... นี่ไง หัวประมาณนี้” พูดจบก็นั่งลงชี้ที่กะหล่ำปลีหัวหนึ่งซึ่งมีใบนอกหุ้มซ้อนเรียงเป็นชั้นดุจกลีบกุหลาบ “เราใช้มีดตัดให้ใบนอกที่หุ้มหัวอยู่ติดมาด้วย เวลาขนส่งจะได้เป็นตัวรองไม่ให้หัวกะหล่ำปลีด้านในมันช้ำ แบบนี้นะ”
ชายชราใช้มือข้างหนึ่งแหวกใบจนเห็นโคน ก่อนใช้มีดตัดฉับครั้งเดียวก็ได้หัวกะหล่ำปลีที่มีใบนอกห่อหุ้มอยู่สมบูรณ์มาไว้ในมือ
ดูเหมือนง่ายดาย แต่เมื่อปลื้มลองทำดูบ้าง หัวแรกที่เขาตัดก็เฉือนเข้าใส่หัวกะหล่ำปลีด้านในเป็นทางยาว ชายหนุ่มหน้าเสียไม่กล้ามองโชคชัยที่นั่งจ้องมาอยู่ด้วยสำนึกผิด
“ไม่เป็นไร เสียไปหัวสองหัวไม่ใช่เรื่องใหญ่ ลุงเองบางครั้งบางคราวก็ยังทำพลาดจนส่งขายไม่ได้ ต้องเอามากินเองก็ยังมีเลย หัวนั้นเดี๋ยวเอาไว้ทำกะหล่ำปลีผัดน้ำปลาเป็นมื้อเย็นก็แล้วกัน”
ไม่มีคำตำหนิหรือกระทั่งสีหน้าโกรธเกรี้ยวปรากฏให้เห็นเลยสักนิด
ปลื้มหวนคิดไปถึงพ่อของตน เมื่อใดที่เขาทำผิดไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เขาจะถูกตำหนิหรือลงโทษแบบไม่ปรานี รอยไม้เรียวที่ฟาดยังคงเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อคิดถึง ถ้อยคำทำร้ายจิตใจยังคงดังก้องสองหู ปลื้มที่อยู่ภายใต้เงาของปราปต์แทบไม่เคยได้รับคำชมจากพ่อเลย แตกต่างจากพี่ที่เป็นลูกรัก ทำอะไรก็ถูกต้องเหมาะสมไปเสียทุกอย่าง
“ขอบคุณ... ครับ”
ปลื้มกล่าวขอบคุณโชคชัยในน้ำใจและทุกสิ่งที่ได้รับ เขารู้สึกเหมือนเป็นคนใหม่ เพราะจากที่มองเห็นเพียงด้านร้ายของมนุษย์ เขากลับสัมผัสได้ถึงด้านดีมากมายจากตัวชายชราตรงหน้า
รวมไปถึง... ผู้หญิงคนนั้น
ชานัสตา เอี่ยมไพศาลสกุล ชื่อนามสกุลที่เธอแนะนำยังดังวนอยู่ในหูราวกับเธอมาพูดย้ำซ้ำให้ฟัง แปลกหูทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น ต่อให้อยากจะลืมก็ลืมไม่ลง
เมื่อลดความโกรธเกลียด ด้านดีของโชก็ปรากฏให้ปลื้มเห็นดุจดวงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้าขับไล่ความมืดของยามราตรี ผู้หญิงคนนั้นเปรียบเหมือนแสงอาทิตย์ที่สว่างเสียจนพร่าตา
จนเขาไม่กล้ามอง
“ลองอันใหม่ดู ไม่ต้องกลัวพลาดนะ ถ้าพลาดก็แค่มีกะหล่ำปลีผัดน้ำปลาจานใหญ่ขึ้นเท่านั้น ฮะ ๆ ๆ”
เสียงโชคชัยปลุกเขาตื่นจากภวังค์ ปลื้มสูดลมหายใจลึกเข้าปอด ก่อนตั้งสมาธิและลงมือตัดหัวกะหล่ำปลีหัวที่สองอย่างระมัดระวังกว่าเดิม
ครั้งนี้เขาไม่พลาดแล้ว
เชิดศักดิ์ทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน
แม้วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แต่ประธานกรรมการบริหารบริษัทมัลติมีเดียเทคก็ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ อาบน้ำแต่งตัวเป็นชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีกรมท่ากับกางเกงสแล็คสีดำเพื่อเข้าไปสะสางงานคั่งค้างที่บริษัท เพราะเติบโตมาในครอบครัวคนจีนที่ถูกพร่ำสอนให้ขยันและมุมานะ กิจกรรมชีวิตส่วนใหญ่ในแต่ละวันของชายกลางคนจึงมีเพียงเรื่องงาน
แม่บ้านทำอาหารง่าย ๆ อย่างข้าวผัดเป็นมื้อเช้า เชิดศักดิ์ที่ปกติกินมื้อเช้าเพียงกาแฟดำเท่านั้น นั่งอ่านข่าวจากแท็บเล็ตบนโต๊ะอาหารพลางจิบกาแฟที่ยังกรุ่นด้วยควัน แม้เมื่อคืนกว่าเขาจะทำงานเสร็จก็ปาเข้าไปตีสอง แล้ววันนี้ยังต้องตื่นเช้า แต่ชายกลางคนก็ไม่มีอาการง่วงงุนให้เห็นแม้แต่น้อย
อัมพรนั่งอ่านหนังสือพิมพ์หน้าบันเทิง แม้โลกจะพัฒนาให้คนในยุคปัจจุบันสามารถเสพข่าวสารผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างปัจจุบันทันด่วนแล้ว แต่หญิงกลางคนไม่รู้สึกคุ้นชินกับความทันสมัยที่ว่า ยังคงนิยมการอ่านข่าวในรูปแบบเดิมเช่นนี้
จำเนียร แม่บ้านสูงวัยเดินถือถาดอาหารลงมาจากชั้นสองของบ้านเพื่อนำมาล้าง ผู้ที่กินข้าวในห้องมีเพียงคนเดียวคือปลื้ม ภาพที่เห็นไม่ทำให้เชิดศักดิ์แปลกใจอะไร
หากไม่มีบางสิ่งบางอย่างผิดสังเกต...
“คุณ! ตาปลื้มอยู่ที่ไหน”
อัมพรที่กำลังอ่านหนังสืออยู่พลันสะดุ้งโหยงดุจถูกจี้ด้วยไฟฟ้า ดวงตาเบิกกว้างปากสั่นอย่างไม่ตั้งใจ
“อะ อะไรกันคะ คุณถามอะไรพิลึก ตาปลื้มก็อยู่บนห้องแกไง”
เชิดศักดิ์ไม่สนใจคำตอบนั้น เขาลุกพรวดจากเก้าอี้ก่อนเดินกระแทกเท้าขึ้นบันไดไปหยุดยืนหน้าห้องลูกชายคนเล็ก ผู้เป็นภรรยาและแม่บ้านวิ่งกระหืดกระหอบตามมาด้วยอารามตกใจ อัมพรปรี่เข้าหาเชิดศักดิ์พลางเอามือแตะต้นแขนสามี
“ตาปลื้มเพิ่งกินข้าวเสร็จ คุณไม่เห็นถาดอาหารที่เนียรถือลงไปเหรอ ตาปลื้มกินข้าวหมดเลยนะ”
เชิดศักดิ์หันขวับมองภรรยา ดวงตากร้าวบ่งบอกอารมณ์โกรธกรุ่น
“ตาปลื้ม ไม่ กิน มะ เขือ เทศ!”
หญิงกลางคนตกใจจนเอามือทาบหน้าอก เธอลืมไปเสียสนิทว่าลูกชายคนเล็กเกลียดมะเขือเทศจนต้องเขี่ยทิ้งทุกครั้งที่กินอาหารอันมีส่วนผสมของผักสีแดงชนิดนี้
เธอรู้แก่ใจ จำเนียรก็รู้แก่ใจ ทว่าคนที่อยู่ในห้องซึ่งรับบทบาทเป็นปลื้ม ไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้
“เปิดประตู!” เสียงเชิดศักดิ์ดังราวอัสนีบาต ทุกผู้ที่อยู่ในรัศมีเสียงนั้นสะดุ้งเฮือกราวถูกฟาดด้วยแส้
เมื่อรู้ว่าความลับแตก กลัวว่าหากดึงดันปิดบังและหลอกลวงต่อไปจะได้รับโทษหนัก สังข์จึงเปิดประตูห้องปลื้มออกมายืนหน้าซีดเอามือกุมประสานกันด้านหน้า สายตาก้มต่ำไม่กล้ามองดวงตาแข็งกร้าวของผู้เป็นเจ้านาย เหงื่อผุดพรายเปียกท่วมใบหน้าและแผ่นหลัง
อัมพรและจำเนียรไม่ต่างกัน ขบวนการโกหกที่ร่วมมือกันถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ พวกเธอไม่อยากอาจคาดเดาอนาคตของแต่ละคนได้ว่าจะได้รับการลงโทษอย่างไร
“ผมเป็นคนวางแผนพาปลื้มไปรักษาตัวข้างนอกเองครับ”
ก่อนเชิดศักดิ์จะได้ทันพูดอะไรต่อ ประโยคของปราปต์ที่เพิ่งเปิดประตูห้องนอนออกมาเผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อ ก็ทำให้ชายกลางคนถลึงตามองลูกชายคนโตอย่างไม่เข้าใจในความคิด
“ตาปลื้มอยู่ในนั้นตลอดชีวิตไม่ได้ครับคุณพ่อ ผมจึงต้องพาน้องออกไปรักษาอย่างถูกวิธีกับจิตแพทย์ แต่คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ การรักษานี้ถูกปกปิดเป็นความลับ ไม่มีใครรู้ว่าตาปลื้มอยู่ที่ไหนแน่นอน”
เชิดศักดิ์จ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทเหมือนขนกา ปราปต์มองพ่อด้วยสีหน้าเรียบไม่มีแม้ความกริ่งเกรงทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์คุกรุ่นด้วยความโกรธแค่ไหน ส่วนสามผู้ต้องหาตัวจริงทำเพียงยืนตัวลีบเบียดกันราวกับกลัวว่าหากถูกจับแยกจากกันจะต้องถูกลงทัณฑ์อย่างไร้ปรานี
ราวกับเกมจ้องตา พ่อลูกยืนจ้องกันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีคำพูดใดปริจากปาก บรรยากาศอึดอัดดำเนินผ่านห้วงเวลาอันสั้นทว่ายาวนานเหมือนเป็นชั่วโมง ไม่มีใครรู้ว่าในสมองของเชิดศักดิ์บรรจุความคิดอะไรไว้บ้าง จนสังข์ผู้ที่ต้องสวมรอยเป็นลูกชายเจ้าของบ้านแทบน้ำตาปริ่มเพราะคาดเดาไปว่าตนคงต้องถูกไล่ออกเป็นแน่
“ตามใจแก จะทำอะไรก็เรื่องของแก แต่อย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายไปให้ใครโดยเฉพาะนักข่าวรู้เด็ดขาด”
พูดจบก็พ่นลมหายใจแรงก่อนหุนหันเดินลงบันไดไปโดยไม่ชายตาแลภรรยาและคนรับใช้แม้แต่น้อย ทั้งสามเป่าปากอย่างโล่งอกที่ศีรษะตนเองยังอยู่บนบ่าไม่ถูกประหัตประหารไปดั่งที่หวั่นเกรง คงมีเพียงปราปต์ที่ยังคงตีหน้านิ่งเสมือนสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา
อัมพรมองลูกชายด้วยความซึ้งใจ
“ขอบใจนะลูก ที่ช่วยออกรับแทนแม่ ขอบใจที่ช่วยน้อง”
ปราต์ส่ายหน้าเล็กน้อย “ผมไม่ได้ช่วยตาปลื้ม แค่ไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายจนบ้านร้อนเป็นไฟ ก็เท่านั้นครับ”
ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับเข้าห้องโดยไม่ทันมองเห็นใบหน้าผิดหวังของมารดา
อัมพรมองบานประตูห้องปราปต์ที่ปิดลงด้วยความสะทกสะท้อนใจ ก่อนเบนสายตามาจับจ้องที่ประตูห้องนอนของปลื้ม นับแต่นี้ประตูบานนี้คงถูกเปิดออกเพื่อให้แม่บ้านได้เข้าไปทำความสะอาดทุกวัน
ห้องนี้ไม่ใช่ห้องปิดตายอีกต่อไปแล้ว
กะหล่ำปลีผัดน้ำปลามื้อนี้อร่อยที่สุดตั้งแต่ปลื้มเคยกินอาหารเมนูนี้มา
ผักจากสวนที่เด็ดจากต้นเมื่อเย็นวานยังคงสดกรอบ ผ่านการปรุงด้วยฝีมือชั้นเลิศของพ่อครัวหัวป่า รสชาติกะหล่ำเค็มปะแล่มพอติดลิ้น เมื่อคลุกเคล้าเข้ากับข้าวสวยร้อน ๆ ขนาดปลื้มที่กินข้าวเพียงมื้อละครึ่งหนึ่งของชายหนุ่มในวัยเดียวกัน ยังอดไม่ได้ที่จะลุกไปตักข้าวเพิ่มทั้งที่หน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย
“ไม่ต้องอาย ๆ อร่อยก็กินเข้าไปเยอะ ๆ รู้ไหมว่าพ่อครัวน่ะ ถ้าคนกินอาหารจนหมดเกลี้ยงจาน นั่นคือเครื่องหมายแสดงความขอบคุณและแสดงว่ารสชาติอาหารอร่อย ไม่มีอะไรที่จะทำให้พ่อครัวดีใจได้มากเท่านี้อีกแล้ว”
และนอกจากรสชาติแล้ว อาจเป็นเพราะบรรยากาศการกินข้าว ‘นอกบ้าน’ ครั้งแรก ที่ทำให้ปลื้มเจริญอาหารมากเป็นพิเศษ โต๊ะไม้ตัวยาวตั้งอยู่ข้างบ้าน เป็นที่ทานอาหารร่วมกันของเหล่าคนสวน แต่มื้อกลางวันนี้มีเพียงโชคชัยและตนนั่งอยู่เพียงสองคน แม้จะหวาดระแวงว่าอาจจะมีใครโผล่พรวดมารึเปล่า เพราะปกติแล้วมักมีผู้คนแวะเวียนมาหาเจ้าของสวนซึ่งเป็นคนกว้างขวางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เพราะยาที่กินอย่างต่อเนื่อง และสภาพจิตใจที่ได้รับการเยียวยาจากทุกกิจกรรมที่ได้ทำ ก็ทำให้ปลื้มไม่ระแวงจนเข้าขั้นหวาดกลัวดังเช่นในอดีต
“เดี๋ยวเย็นนี้ลองเข้าไปในตลาดดูไหม เผื่อมีของกินของใช้อะไรที่อยากได้ ถือว่าเปิดหูเปิดตาด้วย”
“มะ ไม่ครับ”
ปลื้มปฏิเสธทันควัน แม้เขาจะคุ้นชินกับการสนทนากับโชคชัยอยู่บ้างแล้ว แต่จะให้ไปเดินท่ามกลางผู้คนมากมาย สภาพจิตใจของเขาก็ยังไม่แข็งแรงพอ
ชายชราพยักหน้าเข้าใจ “ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวถ้าอยากได้อะไรก็บอกลุงแล้วกัน จะได้ซื้อมาไว้ให้ แถวนี้มีแต่สวนแต่ไร่ ข้าวของจิปาถะก็มีขายในร้านชำไม่มากนักหรอก หากจะซื้อของเยอะ ๆ หรือของดี ๆ ก็ต้องขับรถไปไกล ถึงจะเจอเซเว่น”
ปลื้มเคี้ยวข้าวพลางพยักหน้า เขาเองที่ไม่เคยต้องขวนขวายดิ้นรนอะไร เพราะปกติอยากได้อะไรก็เพียงเขียนใส่กระดาษแล้วยื่นผ่านประตูแมวออกมานอกห้อง ก็จะมีคนจัดหามาเตรียมไว้ให้แทบจะทันที เมื่อต้องมาอยู่บ้านสวน ความสะดวกสบายที่เคยได้รับกลับหายไป
กลับมีความสบายใจเข้ามาแทนที่...
แต่ก็คงอยู่เพียงไม่นาน เมื่อเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามา ปลื้มที่กำลังตักข้าวเข้าปากต้องยกช้อนค้างเอาไว้อย่างนั้น เขานั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าเหลียวหลังกลับไปมอง
แต่ถึงไม่มอง ก็รู้แน่ชัดอยู่ดีว่ามีผู้มาหาโชคชัย เสียงรถอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ก่อนจะดับเครื่องและตามมาด้วยเสียงเดินลากเท้า
“ผมยืมจอบหน่อยสิพี่โชค ที่บ้านมันหัก ว่าจะเอาชมพู่ลงสักหน่อย”
เสียงดังฟังชัดเปล่งจากปากชายร่างท้วมผิวคล้ำแดด ฟังจากประโยคที่พูดอย่างสนิทสนมคุ้นเคย ปลื้มเดาว่าคงเป็นเพื่อนชาวสวนบ้านใกล้เรือนเคียง
เจ้าของสวนมองชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามด้วยสายตากังวล ก่อนรีบลุกจากโต๊ะเดินเข้าหาแขกไม่ได้รับเชิญเพื่อป้องกันมิให้เขาเดินมาถึงโต๊ะ
“มานี่ ๆ อยู่ในโรงเก็บเครื่องมือ เดี๋ยวข้าหยิบให้”
แต่แม้จะป้องกันได้คนหนึ่ง กลับไม่อาจกันร่างเล็กที่เดินตามหลังชายท้วมมาได้ ทันทีที่เห็นแผ่นหลังปลื้ม เด็กสาวก็ปราดวิ่งเข้าหาพลางกอดเขาจากด้านหลัง
“พี่ชิตกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกโบเลย”
ปลื้มที่นั่งเกร็งเป็นรูปปั้น กลับยิ่งตัวแข็งจนไม่อาจกระดุกกระดิกได้ สองแขนป้อมสั้นนั้นรัดร่างเขาเสียแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ชายหนุ่มใจเต้นรัวเพราะนับจากเกิดเหตุรุนแรงในอดีต ตนแทบไม่เคยเข้าใกล้ใครในระยะประชิดตัวเช่นนี้มาก่อน
“นังโบ! มานี่เดี๋ยวนี้” ผู้เป็นพ่อตวาดลั่นเมื่อเห็นกิริยาเกินงามและเกินเด็กของลูกสาว ก่อนวิ่งไปคว้าคอเสื้อด้านหลังเด็กสาวดึงให้ออกห่างจากปลื้ม
โชคชัยเองก็ตกใจใช่น้อย เขารีบวิ่งไปยืนกั้นระหว่างสองพ่อลูกกับปลื้ม
“นี่ไม่ใช่เจ้าชิต เขาเป็นหลานของลุง มาเที่ยวที่สวนไม่กี่วันเดี๋ยวก็จะกลับกรุงเทพแล้ว”
“อ้าว หนูก็นึกว่าพี่ชิตกลับมาเสียอีก” เธอหมายถึงพิชิต ลูกชายคนเดียวของโชคชัยที่ตอนนี้ทำงานตำแหน่งผู้จัดการบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
“แต่... ไม่ใช่พี่ชิตก็ไม่เป็นไร หลานจะหล่อเหมือนลูกรึเปล่าน้า!”
พูดจบก็สะบัดตัวจนหลุดจากการเกาะกุมของพ่อ ก่อนวิ่งอ้อมร่างโชคชัยไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับปลื้ม และทันทีที่เห็นใบหน้าชายหนุ่ม เด็กสาวก็เบิกตากว้างอย่างตะลึง
“หล่อระเบิดระเบ้อ!” เธออุทานอย่างไม่เก็บอาการด้วยผิวขาวจัดกับรูปร่างสูงโปร่งของปลื้ม เมื่อตัดผมเผ้าโกนหนวดเคราออก ใบหน้าชายหนุ่มจึงหล่อเหลาด้วยมีต้นทุนที่ดีอยู่แล้ว หนำซ้ำสำหรับเด็กสาวที่วัน ๆ ก็เห็นแต่ชาวสวนชาวไร่ตัวใหญ่เป็นหมี หน้าดำเหมือนทาด้วยถ่าน เมื่อเจอผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาราวกับหลุดออกมาจากหน้าปกนิยายเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เธอตื่นเต้นจนอดไม่ได้ที่จะล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ตัวสั้นจุดมาถ่ายรูปเซลฟี่ตัวเองกับปลื้ม
กว่าจะรู้ตัว ปลื้มก็พรวดพราดลุกจากเก้าอี้วิ่งเข้าบ้านไปท่ามกลางความตกตะลึงของเด็กสาวและพ่อของเธอ
“อะ อะไรน่ะลุงโชค พี่เขาเป็นอะไรไป ปวดขี้เหรอ ถึงรีบวิ่งเข้าบ้านไปแบบนั้น”
โชคชัยถอนใจอย่างเหลืออด เห็นอาการเจ้าของบ้านเช่นนี้ ชายท้วมก็หน้าเสียต้องรีบดึงแขนลูกสาวขึ้นมอเตอร์ไซค์
“เอ่อ... เรื่องจอบไม่เป็นไรแล้วพี่โชค เดี๋ยวผมค่อยมารบกวนวันหลัง”
เสียงสตาร์ทรถดังผสานเสียงร้อยโอยของเด็กสาวจากการถูกบิดจนเนื้อเขียว โชคชัยเมื่อเห็นสองพ่อลูกขี่รถออกจากสวนจนลับตา ก็รีบเข้าบ้านเพื่อไปดูอาการของปลื้มด้วยความเป็นห่วง ใจประหวั่นไปว่าเรื่องของปลื้มที่โชขอร้องเอาไว้ว่าอย่าให้ใครรู้ว่าชายหนุ่มอยู่ที่นี่จะถูกแพร่งพรายออกไป แต่คิดอีกที สองพ่อลูกนั้นไม่รู้จักปลื้มมาก่อน อีกทั้งชายหนุ่มเองก็ไม่ใช่คนดังเหมือนศิลปินดาราที่เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเป็นใคร โชคชัยจึงเบาใจว่าความลับของปลื้มคงไม่ถูกแพร่งพรายไปให้ใครรู้
หากแต่ชายชราประมาทความรวดเร็วในการกระจายข้อมูลข่าวสารของโลกออนไลน์เกินไป
“ฟ้าส่งเนื้อคู่มาให้ฉันแล้ว คนนี้แหละ สามีในอนาคต!”
ข้อความบรรยายภาพในเฟซบุ๊กของโบ เรียกยอดไลค์และคอมเมนท์จากบรรดาเพื่อนในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กได้มากเป็นประวัติการณ์ บรรดาเพื่อนสาวสก๊อยเกิร์ลของเธอต่างตื่นเต้นยกใหญ่ที่ได้รู้ว่ามีหนุ่มหล่อมาพักอาศัยในระยะใกล้แค่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่กี่นาทีถึง หลายคนนัดหมายรวมตัวกันไปสวนโชคชัยเพื่อดูหน้าเขาให้เห็นกับตา
และอาจเป็นดังเช่นที่โชคชัยคิด แม้เด็กสาวพวกนี้จะตื่นเต้นดีใจกับการปรากฏตัวของหนุ่มหล่อ แต่ก็ไม่ได้คิดสืบสาวราวเรื่องว่าแท้จริงแล้วปลื้มเป็นหลานของตนจริงหรือไม่ เพราะวัน ๆ นอกจากแต่งหน้าจัดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เที่ยวเตร่แล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นใดที่สำคัญสำหรับพวกเธอ
ตัวตนของปลื้มคงถูกรู้จักในฐานะหลานชายของเจ้าของสวน หากหนึ่งในเพื่อนเฟซบุ๊กของโบ มิใช่คนที่เคยรู้จักและเคยมีความหลังฝังใจกับเขาอยู่
ทันทีที่เห็นรูปนี้ ชายหนุ่มร่างใหญ่ก็บิดมอเตอร์ไซค์มาหาโบที่บ้านทันที
“โบ!” เขาตะโกนเรียกอย่างไม่เกรงใจ และไม่แม้แต่จะยกมือไหว้พ่อของเธอที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่
เด็กสาวที่นอนไขว่ห้างเล่นโทรศัพท์อยู่บนที่นอน ชะโงกหัวออกมาดูจากบานหน้าต่าง เห็นเป็นชายคุ้นหน้าก็รีบวิ่งลงจากชั้นสองของบ้าน กระโจนผ่านแปลงผักของพ่อวิ่งตื๋อออกจากรั้วบ้านโดยไม่สนบุพการรีที่ส่ายหัวอย่างระอา
“คิดถึงหนูเหรอพี่ อุตส่าห์ขี่มอไซค์ฝ่าแดดเปรี้ยง ๆ มาเนี่ย”
ชายหัวเกรียนมองโบอย่างหงุดหงิด เขาเคยถูกเธอตามตื๊อจีบอย่างหน้าไม่อายจนแม้ตนเองจะเป็นคนเจ้าชู้ แต่ก็ไม่คิดอยากได้ผู้หญิงพรรค์นี้ทำแฟน แต่วันนี้เขากลับต้องข่มความรำคาญใจเอาไว้เพื่อมิให้เสียเรื่อง
“ผู้ชายที่โพสในเฟซ เป็นใคร อยู่ที่ไหน”
โบกะพริบตาถี่ เด็กสาวร่างเตี้ยป้อมมัดผมสองข้างเข้าใจว่าตนสวยที่สุดในหมู่บ้าน และยิ่งได้ยินคำถามเช่นนี้ ก็เข้าใจไปเองว่าชายหนุ่มถามเพราะหึงที่เธอเอารูปคู่กับผู้ชายคนอื่นโพสลงเฟซบุ๊ก
“แหมพี่ ไม่ต้องหึงหรอก ก็แค่คนบ้านใกล้เรือนเคียง มาเที่ยวเดี๋ยวเดียวก็กลับ ยังไงหนูก็ไม่นอกใจพี่หรอกน่า”
ผู้ถามกัดฟันกรอด ความอดทนของเขาใกล้จะขาดผึง
“ฉันอยากรู้แค่ว่า ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายตีหน้าถมึงทึงไม่ได้ล้อเล่น เด็กสาวจึงส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจ ก่อนตอบด้วยเสียงหงุดหงิด
“หลานลุงโชค มาเที่ยวและพักอยู่ที่สวนแกนั่นแหละ ไม่ได้บอกว่าจะกลับเมื่อไหร่ แต่คงอยู่ไม่นานหรอกมั้ง” โบเท้าสะเอวมองชายที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อย่างจับผิด “หรือว่าที่พี่ไม่ยอมเป็นแฟนหนูเนี่ย เพราะพี่เป็นเก้ง เห็นหนุ่มหล่อก็รีบมาถามว่าเป็นใครมาจากไหน แล้วไอ้ที่ทำตัวแมนเป็นนักเลงตีรันฟันแทงเขาไปทั่วแบบนี้ ทำเพื่อกลบเกลื่อนเหรอ”
ไม่อยากฟังเสียงแจ๋นของเด็กสาวอีกต่อไป ชายหนุ่มรีบสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ก่อนขับออกไป โดยมีจุดหมายที่สวนซึ่งอยู่ห่างไปไม่ถึงกิโลเมตร
เขารู้แล้วว่ามันอยู่ไหน และแม้คำตอบที่ถามว่า “มันเป็นใคร” จะได้รับข้อมูลที่ไม่จริงมา แต่ชายหนุ่มก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าคนในรูปชื่อ ‘ปลื้ม’
ชื่อที่ชาตินี้เขาไม่มีทางลืม เพราะเป็นชื่อของคนที่ทำให้ตนต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียน จนกลายเป็นคนหมดอนาคตต้องมาเป็นนักเลงหัวไม้อยู่ต่างจังหวัดเช่นนี้
‘พุก’ อดีตหัวโจกที่เคยก่อเหตุทำร้ายร่างกายปลื้ม บิดมอเตอร์ไซค์เต็มกำลังพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างมาดร้าย
ความคิดเห็น |
---|