10

บทที่ 9


 

บทที่ 10

 

                ทั้งที่บนทางด่วนรถควรจะเคลื่อนตัวด้วยความเร็วได้เต็มที่ ทว่าการจราจรฝั่งขาออกจากกรุงเทพช่วงเย็นนั้นกลับแน่นขนัดจนทางด่วนหรือทางไม่ด่วนก็มีค่าไม่ต่างกัน ยิ่งด้านล่างมีการปิดเส้นทางเพื่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ผู้คนที่ใช้รถส่วนตัวสัญจรบนถนนจึงเลี่ยงขึ้นมาวิ่งบนทางด่วนกันหมด ผลคือรถทุกคันต่างต้องขับ ๆ เบรก ๆ จนน่าหงุดหงิด

                “โธ่โว้ย! เสียตังค์ขึ้นทางด่วนเพื่อจะไปให้เร็วแท้ ๆ กลับต้องมาติดแบบนี้ โคตรเซ็งเลย”

                อาเธอร์ที่รับหน้าที่สารถีบ่นอุบเมื่อตนต้องสลับเท้าระหว่างคันเร่งกับเบรกมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และดูท่าคงจะต้องสลับอยู่เช่นนี้ต่อไปอีกนาน

                “แกจะบ่นอะไรนักหนาวะ คนอื่นเขาก็ติดเหมือนกัน ไม่ได้ติดแค่คันเราคันเดียวซะที่ไหน” ดาวอดไม่ได้ที่จะแขวะ พวกเธอทั้งสามคนเป็นผู้หญิงยังไม่มีใครหงุดหงิดจนต้องบ่นออกมาให้รำคาญ ขณะที่อีกฝ่ายเป็นชายเพียงคนเดียวแท้ ๆ แต่กลับหยุมหยิมเสียยิ่งกว่าผู้หญิงอีก

                อันที่จริงโชเองก็ร้อนใจเหมือนกัน เพราะวันนี้กว่าจะเลิกงานและรวมตัวเพื่อนอีกสามคนได้ก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็น อันเป็นเวลาที่การจราจรคับคั่ง แม้ปทุมธานีจะเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับกรุงเทพมหานคร ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่ถึงชั่วโมงในยามปกติ แต่ช่วงยามนี้ต้องบวกเวลารถติดไปด้วยอีกอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง

                เธอรู้ข่าวจากลุงโชคชัยว่าปลื้มอาการดีขึ้นมากแล้ว จึงตั้งใจไปเยี่ยมและหาซื้อสิ่งของที่จำเป็นติดมือไปเป็นจำนวนมาก มีทั้งหนังสือ แผ่น DVD ภาพยนตร์แนวฟีลกู้ด และข้าวของเครื่องใช้ของผู้ชาย เพราะไม่รู้ว่าปลื้มจะต้องอยู่ที่สวนโชคชัยไปอีกนานแค่ไหน

                “แต่จะว่าไป ก็หิวเหมือนกันแฮะ ไม่รู้จะไปทันกินข้าวเย็นกับลุงโชครึเปล่า รู้งี้เมื่อกลางวันน่าจะซัดข้าวสักสองจาน” ดาวโอดครวญพลางเอามือลูบท้อง เสียงท้องร้องดังไม่ทำให้เธออาย เพราะในรถมีแต่เพื่อนสนิท

                “อี๋! ท้องร้องน่าเกลียดว่ะ ไอ้ตะกละเอ๊ย”

กลับเป็นอาเธอร์ที่แสดงสีหน้ารังเกียจในพฤติกรรม จนดาวต้องเอามือมายีผมเพื่อนชายจนหนุ่มตี๋ต้องร้องลั่นเพราะผมที่อุตส่าห์เซ็ตมาอย่างดีให้เหมือนนักร้องเกาหลี ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงเสียแล้ว

                โชคลายความร้อนใจลงไปได้ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทหยอกเย้ากันเช่นนี้ แต่เมื่อสายตาเหลือบมองผ่านกระจกหลังเห็นชามที่นั่งนิ่งพลางมองออกไปนอกกระจกรถราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง

                “เป็นอะไรรึเปล่าชาม หน้าเครียดเชียว”

                ต้องถามย้ำถึงสองครั้ง กว่าผู้ถูกถามจะได้ยินจนสะดุ้งเล็กน้อย

                “ปละ เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ชามปฏิเสธอย่างมีพิรุธ แต่เพราะโชรู้ว่าอีกฝ่ายหากไม่ต้องการพูด ต่อให้เอาคีมมาง้างปากก็ไม่ยอมพูด จึงไม่ซักไซ้ไล่เลียงอะไรต่อ ทำได้เพียงเฝ้าสังเกตอย่างเป็นกังวลเท่านั้น

                ฝ่ายชามเองเมื่อรู้ตัวว่าเผลอเหม่อลอยเพราะคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ก็ต้องสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านไป เธอรู้ดีว่าคนเช่นปราปต์ ถาวรเสริม คือนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักในสังคมอย่างกว้างขวาง หากเขาคิดจะสืบหาที่อยู่น้องชาย ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก และถ้าเขารู้ที่อยู่ปลื้มแล้ว ก็อาจจะบุกไปจับตัวน้องกลับมาก็ได้

                แต่นั่นคือสิ่งที่เธอกังวลไปเอง หญิงสาวพยายามคิดในแง่ดีว่าหากระมัดระวังตัวไม่เปิดโอกาสให้ใครติดตามพวกเธอมาได้ ก็ยากที่จะรู้ว่าปลื้มพักอาศัยอยู่ที่บ้านสวนในต่างจังหวัด

                ชามลอบมองกระจกหลังเป็นระยะเพื่อสังเกตว่ามีรถคันไหนติดตามมาเป็นระยะเวลานานบ้างหรือเปล่า

 

                ร่างใหญ่ซุกซ่อนตัวเองอยู่หลังต้นตะแบกที่ขึ้นเป็นแนวริมถนนฝั่งตรงข้ามสวนโชคชัย สายตาสอดส่องผ่านรั้วลวดหนามเข้าไปจับจ้องที่บ้านไม้หลังเล็กซึ่งตั้งอยู่กลางสวน แม้ประตูหน้าจะเปิดอ้า แต่ทว่ากลับไม่มีใครเข้าออก ดวงตาวาวโรจน์คุกรุ่นไปด้วยความแค้นที่ฝังแน่นอยู่ ไม่มีวันใดเลยที่มันจะลืมภาพทรงจำที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนและถูกจับเข้าสถานพินิจด้วยข้อหาพยายามฆ่า

                แรงอาฆาตของพุกประหนึ่งม่านหมอกที่ห่มคลุมสำนึกดีงามในจิตใจจนสิ้น

                เพราะพ่อของปลื้ม อิทธิพลและเงินของตระกูลถาวรเสริมกดดันตำรวจให้ทำคดีอย่างตรงไปตรงมา แม้พ่อและแม่ของตนจะพยายามให้สินบนกับตำรวจเพื่อให้ช่วยเขียนสำนวนคดีที่เอื้อประโยชน์กับตนและเพื่อน แต่ไม่มีตำรวจคนใดกล้าหันมาเข้าข้างหรือทำสำนวนแบบไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

เมื่อครั้งอยู่ที่โรงเรียน มันตั้งตัวเป็นหัวโจก มีลูกน้องติดสอยห้อยตามเกะกะระรานสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจให้เพื่อนนักเรียนและครูอาจารย์ไม่เว้นวัน แต่เมื่อต้องมาอยู่ในสถานที่คล้ายเรือนจำ กลับมีเหล่าอันธพาลที่เป็นขาใหญ่ในนั้น เล่นงานมันจนต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว

                และเมื่อครั้นได้รับอิสระ ข่าวร้ายก็ถาโถมเข้าหาแบบไม่ให้ตั้งตัว เพราะพ่อกับแม่ถูกจับกุมในคดียาเสพติด พุกเพิ่งรู้ว่าที่ตนเองมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย พ่อแม่มีบ้านหลังใหญ่โต มีรถคันหรู มีเงินทองซื้อข้าวของเครื่องใช้หรูหรา เป็นเพราะเงินบาปที่บุพการีได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายทั้งสิ้น

                เพราะยังอยู่ในวัยไม่พ้นสถานะ ‘เยาวชน’ หนำซ้ำเงินทองของพ่อแม่ก็ยังถูกยึด พุกมืดแปดด้านมองอนาคตตัวเองไม่เห็น เคราะห์ดียังมีญาติห่าง ๆ อย่างน้าสาวที่เป็นคนสวนอยู่ในจังหวัดปทุมธานีเมตตารับมันมาเลี้ยงดู มิเช่นนั้นคงได้เร่ร่อนขอทานกลายเป็นเด็กไร้บ้านเป็นแน่

                ชีวิตพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเด็กร่ำรวยที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มีเงินทองซื้อทุกสิ่งที่ต้องการ ซ้ำยังแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงเพื่อซื้ออำนาจและความเป็นผู้นำ กลับต้องมาช่วยน้าสาวทำสวนทำไร่ ตากแดดตัวดำทำงานเหน็ดเหนื่อย แม้มีข้าวกินครบมื้อ แต่จะหวังขนมนมเนยหรือของใช้ทันสมัยอย่างโทรศัพท์มือถือรุ่นแพง ๆ หรือรถมอเตอร์ไซค์แต่งซิ่งดังเช่นเมื่อก่อน ก็กลายเป็นเพียงภาพฝันไปเท่านั้น

                “เพราะมึงคนเดียว! เพราะไอ้ปลื้มกับพ่อของมัน ที่ทำให้กูต้องมาลำบากลำบนใช้ชีวิตอัตคัดขัดสนอยู่บ้านนอกคอกนาเช่นนี้”

ประโยคนี้ตอกย้ำซ้ำวนเวียนไปมาในหัว ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นจนต้องระบายด้วยการทุบต้นไม้เต็มแรง

                พุกเป็นคนที่เข้าทำนอง ‘ความผิดคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดเราเท่าเส้นผม’ โดยแท้

                ชายหนุ่มมองเห็นเพียงสิ่งที่ปราปต์ ปลื้ม และเชิดศักดิ์กระทำต่อตน และคิดว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันตกอับเช่นนี้ แต่พุกไม่เคยย้อนกลับมามองตนเองเลย

เพราะประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเรไม่ใช่เหรอ ถึงต้องหวาดระแวงต่อโทษของโรงเรียนที่ปราปต์ตั้งเอาไว้

เพราะใช้กำลังทำร้ายปลื้มไม่ใช่เหรอ ถึงต้องถูกลงโทษอย่างร้ายแรงจนต้องเข้าสถานพินิจ

และเพราะพ่อกับแม่ค้ายาเสพติดไม่ใช่เหรอ ถึงต้องถูกจับเข้าคุกและยึดทรัพย์จนทำให้ต้องย้ายมาอยู่กับน้าสาวที่ต่างจังหวัดนี้

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำของตนและครอบครัวทั้งสิ้น หาไม่แล้วป่านนี้พุกก็อาจจะเรียนจบมหาวิทยาลัยทำงานทำการดี ๆ มีอนาคตที่สดใสไม่ต่างจากเพื่อนร่วมสถาบันคนอื่น

หากจะเปรียบ พุกก็คงเปรียบได้กับบัวเหล่าที่สี่คือบัวใต้โคลนตม ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพาชีวิตตัวเองสู่ห้วงแห่งความลำบาก

และวันนี้พุกก็กำลังจะทำผิดซ้ำอีกหน โดยไม่สนต่อโทษทัณฑ์ที่จะได้รับเลยสักนิด

 

ปลื้มนั่งนิ่งอยู่บนเตียง นับแต่เมื่อกลางวันที่ถูกเด็กสาวแปลกหน้าพรวดพราดเข้ามากอด ซ้ำยังนั่งจ้องหน้าเขาเช่นนั้น อาการหวาดกลัวผู้คนก็หวนกลับมาทั้งที่อยากให้มันหายขาดเสียที หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอก ลมหายใจกระชั้นถี่จนพานให้เวียนหัวเหมือนจะเป็นลม

จนกระทั่งได้เข้ามานั่งในห้องครู่ใหญ่ เขาถึงค่อยยังชั่วขึ้น

เสียงเคาะประตูสองครั้ง ก่อนเปิดเข้ามาอย่างถือวิสาสะ โชคชัยเดินเข้ามาในห้องพร้อมกระบอกไม้ไผ่ที่ตัดขนาดสูงเกือบฟุต ใช้ทำเป็นแก้วใส่น้ำดื่มสองแก้ว ในนั้นมีน้ำมะตูมเย็นเจี๊ยบส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยเข้าจมูกปลื้ม

“ลุงขอโทษที่ปล่อยให้โบ... เด็กผู้หญิงคนนั้นทำรุ่มร่ามกับเอ็ง เมื่อก่อนตอนลูกชายลุงยังอยู่ที่นี่ เด็กนั่นก็แวะเวียนมาหาบ่อย ๆ ตามประสาวัยรุ่นที่เริ่มปิ๊งปั๊งเพศตรงข้าม เสียอย่างเดียวพ่อแม่มันไม่ค่อยอบรมสั่งสอนให้ดี จึงแก่นกะโหลกเกินไป”

ปลื้มพยักหน้าเข้าใจ เขามิได้ถือโทษโกรธชายชรา ทว่ากลับหงุดหงิดตัวเองที่ควบคุมสภาพจิตใจไม่ได้เสียที

โชคชัยยื่นกระบอกน้ำให้ เขารับมาถือไว้พลางมองน้ำสีน้ำตาลเข้มนั้นครู่หนึ่ง กลิ่นเย้ายวนชวนให้ยกกระบอกดื่ม และเมื่อรสชาติหวานอ่อนผสานความหอมของเครื่องดื่มสมุนไพรที่ให้สรรพคุณคลายความอ่อนเพลีย ปกติเขาเคยกินน้ำมะตูมก็เป็นแบบสำเร็จรูปที่ขายเป็นขวด ไม่เคยกินแบบต้มสดเช่นนี้ จึงรู้สึกว่าอร่อยเป็นพิเศษ

                “ไม่... เป็นไรครับ”

                ปลื้มคลายความตระหนกและหวาดกลัวไปจนสิ้นแล้ว โชคชัยเมื่อเห็นชายหนุ่มอาการดีขึ้นก็ขอตัวไปตลาด ปล่อยให้ปลื้มพักผ่อนลำพัง

                หน้าต่างที่ปิดเอาไว้ด้วยความระแวง ถูกเปิดออกจนลมพัดกรูเข้ามาในห้องปะทะใบหน้าสร้างความสดชื่นแก่เขา ปลื้มถอนใจยาวพลางคิดถึงอาการของตัวเอง แม้ใจหนึ่งจะยังอดโกรธตัวเองไม่ได้ที่ตื่นตระหนกตกใจกับเพียงแค่ถูกผู้หญิงคนเดียวเข้าใกล้ แต่อีกใจก็เหมือนเห็นแสงแห่งความหวังบางประการ เพราะเขามิได้ชักดิ้นชักงอหรือเสียสติดังเช่นเมื่อครั้งแรกมีอาการหวาดกลัวผู้คน

                ปลื้มมองแปลงผัก อีกครู่คงมีคนสวนลูกจ้างของโชคชัยมาช่วยเก็บผักใส่รถกระบะไปขาย แม้ใจอยากจะออกไปช่วยพวกเขาดังเช่นที่ช่วยโชคชัยเก็บกะหล่ำปลีเมื่อวาน แต่คิดไปคิดมา สภาพจิตใจของตนยังไม่พร้อมดีพอ เขาหวังว่าวันข้างหน้าคงมีโอกาสได้ทำตามที่ตั้งใจ

                เงารางปรากฏที่หน้ารั้ว แต่เจ้าของร่างหาใช่คนงานดังที่ปลื้มคาดเอาไว้ไม่ กลับเป็นชายอีกคนที่เขารู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก

                และเพียงเห็นสายตาแข็งกร้าวที่มองจ้องมา กับใบหน้าถมึงทึง ภาพความหลังก็ผุดวาบในสมอง

                นักเรียนรุ่นพี่ที่ลากเขาเข้าไปในอาคารเรียนที่กำลังจะถูกทุบ...

                กำปั้นและฝ่าเท้าที่ประเคนเข้าใส่ร่างกายจนสร้างรอยบาดแผลทั้งตัว...

                ร่างถูกผลักจากชั้น 3 ของอาคารหล่นร่วงลงกระแทกพื้นจนบาดเจ็บสาหัส...

                “ไม่จริง

                ปลื้มครางพลางถอยกรูดจนขาพันกันล้มก้นกระแทกพื้น และแม้ประตูบ้านจะปิดล็อกเอาไว้ แต่หน้าต่างห้องที่เปิดอ้า เปรียบดั่งประตูที่เปิดรอต้อนรับผู้อาฆาตแค้นให้ปีนพรวดเข้ามาในห้องของปลื้ม พลางยืนจังก้าปิดทางมิให้เขาหนีไปไหนได้

                “สวัสดีครับคุณปลื้ม ไปยังไงมายังไงถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละครับ”

                แม้ประโยคจะสุภาพ ทว่าน้ำเสียงเย้ยหยันกับใบหน้าเหี้ยมเกรียมกลับบ่งบอกถึงเจตนาอันแท้จริง ปลื้มใช้สองขาดันร่างถอยไปจนติดผนัง ลมหายใจหอบถี่ หัวใจเต้นแรงด้วยอาการหวาดกลัวจนควบคุมไม่อยู่

                เขาที่กลัวต่อผู้คนจนมีความผิดปกติทางจิต เมื่อต้องพบเจอกับต้นเหตุแห่งอาการโดยบังเอิญเช่นนี้ สติก็แทบกระเจิดกระเจิงจนทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงก้มหน้างุดพลางถีบพื้นเพื่อหวังจะให้ตนถอยห่างจากอีกฝ่ายโดยไม่รู้เลยว่าแผ่นหลังชนผนังไม้ของบ้านตั้งนานแล้ว

                “รู้ไหมครับ เพราะคุณพ่อของคุณแท้ ๆ ทำให้ชีวิตของผมบัดซบป่นปี้อย่างทุกวันนี้ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เมื่อลูกชายของนักธุรกิจดังมาหาผมถึงที่ ก็คงต้องขอตอบแทนบุญคุณกันให้เต็มที่หน่อยละ”

                ไม่ทันให้ปลื้มได้วิงวอนร้องขอความเห็นใจ หลังเท้าก็ฟาดเข้าใส่ใบหน้าจนศีรษะสะบัดส่งเลือดกระเซ็นจากปาก ร่างชายหนุ่มล้มลงไปกองกับพื้นราวตุ๊กตาหมดลาน แต่ภาพที่เห็นไม่ทำให้พุกรู้สึกสงสาร กลับยิ่งทวีความสาแก่ใจที่วันนี้จะได้ชำระความแค้นที่ฝังแน่นอยู่ในใจมานานเนิ่น

                มันนั่งยองก่อนจิกผมปลื้มกระชากเขาให้กลับมานั่งอีกครั้ง แว่นที่กระเด็นไปไกลทำให้ปลื้มมองภาพตรงหน้าไม่ชัด แต่นั่นกลับเป็นข้อดี เพราะหากเขาเห็นหน้าของศัตรูชัดเต็มสองตา ความกลัวอาจพลุ่งพล่านจนทำให้เขากลายเป็นบ้าไปได้

                “เร็วเกินไปที่มึงจะสลบ ห้าปีที่กูต้องใช้ชีวิตแบบคนชั้นต่ำ ทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาดเพื่อแลกเศษเงิน เสื้อผ้าเก่าขาดแล้วขาดอีก โทรศัพท์ก็ใช้เครื่องละไม่ถึงพัน ถ้าเทียบกับมึง คงต่างกันราวฟ้ากับดินเลยสินะ แต่วันนี้กูจะทำให้รู้ว่า เทวดาที่อยู่บนฟ้าแบบมึง ก็ตายคาตีนกูได้เหมือนกัน!”

                กำปั้นง้างหมายกระแทกเข้าใส่ใบหน้าปลื้ม ทว่าเสียงโหวกเหวกโวยวายจากด้านนอกก็ทำให้พุกต้องยั้งมือ

                “แกจะทำอะไรน่ะ”

                เป็นเสียงโช หญิงสาวที่มาถึงสวนโชคชัยพร้อมเพื่อนทั้งสี่คน เห็นประตูบ้านปิดล็อกอยู่จึงเดินมาด้านข้างหมายเคาะกระจกหน้าต่างห้องปลื้ม เพราะแน่ใจว่าชายหนุ่มมิได้ออกไปข้างนอกกับเจ้าของบ้าน ทว่าภาพที่เห็นผ่านบานหน้าต่างเปิดอ้า กลับเป็นชายแปลกหน้ากำลังทำร้ายปลื้มอยู่ เธอจึงร้องตะโกนสุดเสียง

                ผู้หญิงสามคน กับผู้ชายท่าทางสำอางอีกคน มีหรือนักเลงหัวไม้อย่างพุกจะกลัว มันไม่สนใจ กลับชกหมัดเข้าใส่หน้าปลื้มจนดั้งหัก เลือดไหลซึมจากจมูก

                โชไม่อาจทนเห็นภาพนั้นได้ หญิงสาวในชุดกางเกงยีนส์ขายาวกับเสื้อยืดทะมัดทะแมง ปีนผ่านหน้าต่างห้องเข้ามาด้านใน ก่อนคว้ากระบอกไม้ไผ่ที่เคยใส่น้ำมะตูมแต่บัดนี้ไม่เหลือของเหลวแล้ว เขวี้ยงเข้าใส่ชายแปลกหน้าเต็มแรง

                “โอ๊ย!” มันร้องเสียงหลง แม้ไม่เจ็บเท่าใดนัก แต่เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายที่เป็นหญิงจะกล้าบุกเข้ามาห้ามปรามมันซึ่งเป็นผู้ชายซ้ำยังตัวใหญ่กว่าหลายเท่า

                พุกเปลี่ยนเป้าหมายทันที

                มันปล่อยร่างปลื้มที่ตาค้างตัวแข็งทื่อลงไปนอนกองกับพื้น ก่อนลุกขึ้นและย่างสามขุมเข้าหาโชที่หันซ้ายหันขวาหมายหาอาวุธ ทว่าในห้องนี้นอกจากหนังสือที่อัดแน่นเรียงรายเต็มตู้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดพอเป็นอาวุธที่จะช่วยป้องกันตัวจากชายคนนี้ได้เลย

                “เฮ้ย! หยุดนะมึง จะทำอะไรโช” อาเธอร์ตะโกนเสียงลั่นอยู่ด้านนอก แต่กลับไม่กล้าปีนหน้าต่างเข้าไปในห้อง

                กลับเป็นดาวที่กระโจนพรวดเดียวก็พาร่างตัวเองมายืนข้างเพื่อนสนิทได้ ในมือมีมีดโกนหนวดด้ามพลาสติกที่โชซื้อมาให้ปลื้มถือมั่น มีดอันเล็กยื่นชี้มาด้านหน้าพลางแค่นคำรามเสียงห้าว

                “อย่าเข้ามานะ ถ้าแกเข้ามาฉันจะกรีดหน้าให้ยับเลย”

                แทนที่จะกลัว ไอ้พุกกลับหัวเราะเสียงลั่น “มีดอันประติ๋วแค่นั้น เก็บไว้โกนขนรักแร้ดีกว่ามั้งน้องสาว หรือถ้าไม่ว่าง เดี๋ยวพี่จะช่วยโกนให้ จะโกนให้เกลี้ยงตั้งแต่รักแร้ยัน... เลย”

                พูดจบก็กวาดสายลาโลมเลียทั่วร่างก่อนหยุดมองในตำแหน่งที่มิพึงมอง ดาวกลืนน้ำลายเอื้อกพลางตีสีหน้าขยะแขยง เช่นเดียวกับโชที่ทำใจดีสู้เสือ ใช้สติเข้าแก้สถานการณ์

                “ฉันโทรหาลุงโชคชัยแล้ว อีกเดี๋ยวลุงก็จะกลับมา  ถ้าแกไม่รีบหนีไปตอนนี้แกถูกตำรวจจับเข้าคุกแน่”

                พุกเลิกคิ้ว มันยิ้มเหี้ยมให้โชเพราะจับอาการสั่นจากน้ำเสียงได้

                “อยู่ในคุกสบายจะตายห่า ข้าวก็มีให้กินฟรี งานหนักก็ไม่ต้องทำ พี่อยู่สถานพินิจมาตั้งนาน อยู่ในคุกมันคงไม่ต่างกันหรอกมั้ง” เท้าสืบไปด้านหน้าช้า ๆ ย่นระยะห่างจากมันและสองสาวเหลือเพียงไม่กี่ก้าว “และกว่าไอ้แก่นั่นจะมา พี่คงสนุกกับน้อง ๆ ได้จน ‘อิ่ม’ พอดี”

                โชเหลือบตามองสภาพปลื้มแล้วต้องตกใจ ร่างเขาเริ่มเกร็ง นิ้วมือประกบค้างหนีบเอาไว้ติดกันไม่อาจแยก หน้าซีดไร้สีเลือด หากปล่อยเอาไว้ไม่รีบพาไปหาหมอ อาจเกิดอันตรายร้ายแรง

                แต่จะให้ไปได้อย่างไรเล่า ในเมื่อพวกเธอยังติดพันกับไอ้คนเลวนี่อยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งโทษตัวเองที่พาปลื้มมาอยู่ที่นี่จนทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้กับเขา

                “ดาว โช! เอานี่” เสียงชามเรียกความสนใจให้สองสาวหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของเพื่อนพวกเธอก็ยิ้มออกมาได้

                ทั้งคู่คว้า ‘เสียม’ ที่ชามวิ่งไปหยิบมาจากโรงเก็บเครื่องมือมาถือมั่น ขณะเดียวกันกับที่อาเธอร์ซึ่งมีจอบก็อุ่นใจจนกล้าปีนเข้ามาเผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่เสียที แม้เห็นมีดโกนพุกจะไม่นึกหวั่นกลัว แต่เมื่ออาวุธในมือเด็กหนุ่มสาวพวกนี้เปลี่ยนไปเป็นขนาดที่ใหญ่และอันตรายมากกว่าเดิมหลายเท่า มันก็เริ่มหน้าเสีย

                พุกกัดฟันกรอด มันเหลือบมองร่างเกร็งของปลื้มอย่างเสียดาย หากเด็กพวกนี้ไม่โผล่มามันคงได้แก้แค้นจนสาสมใจไปแล้ว

                ร่างใหญ่หันหลังรีบวิ่งออกจากห้อง วันนี้ทำไม่สำเร็จ แต่วันหน้ามันจะกลับมาระบายความแค้นใหม่ และเมื่อถึงวันนั้น ปลื้มจะไม่มีสภาพน่าสมเพชเพียงเท่านี้

แต่จะต้องถูกส่งลงนรก!

                หากทว่า สิ่งที่มันวาดฝันเอาไว้ กลับไม่มีวันเป็นจริงได้ เพราะผู้ที่ยืนรออยู่หน้าประตู กลับเป็นโชคชัยที่ถือปืนพกลูกโม่เล็งตรงมาอย่างโกรธเกรี้ยว

                “มึงกล้ามากนะ ไอ้พุก”

                เสียงเหี้ยมของชายชราบ่งบอกว่าเขาไม่มีความปรานีต่อมันแม้เพียงเศษเสี้ยว สองขาที่ตั้งใจพาร่างวิ่งหนีไปหาที่กบดาน กลับต้องหยุดนิ่งราวกับเรี่ยวแรงในร่างถูกสูบจนเหือด แม้เคยถูกทำร้ายอย่างทารุณมาแล้วในสถานพินิจ แต่เมื่อถูกอาวุธที่มีอานุภาพสังหารจ่อใส่ต่อหน้า ความตายที่คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวกลับรุกคืบเข้าใส่ห้วงคำนึงจนมันเพิ่งสัมผัสถึง ‘ความกลัว’ อย่างสุดหัวใจก็ตอนนี้

                “รีบพาเขาไปโรงพยาบาล ทางนี้เดี๋ยวลุงจัดการเอง”

                โชคชัยสั่งเสียงเฉียบขาด โชและเพื่อนวางจอบเสียมก่อนช่วยกันแบกร่างปลื้มที่ยังเกร็งค้างขึ้นรถ อาเธอร์รับหน้าที่พลขับเช่นเดิมขณะที่ดาวนั่งด้านหน้า เบาะหลังจึงมีปลื้มที่นอนอยู่บนตักโช เหลือเพียงชามที่ไม่มีที่นั่งจึงต้องอยู่ที่สวนกับโชคชัย

                “คุณต้องไม่เป็นอะไรนะคุณปลื้ม”

โชพูดกรอกหูพลางโอบกอดเขาไว้หวังให้อ้อมกอดของตนคลายอาการหวาดกลัวในจิตใจของชายหนุ่มลงไปได้บ้าง

               

                ปลื้มถูกพาเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำอำเภอ ดาวและอาเธอร์นั่งอย่างหมดแรงตรงเก้าอี้ด้านหน้าห้อง ส่วนโชที่ออกแรงมากกว่าเพื่อนทั้งคู่ กลับเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย แต่ละวินาทีที่พ้นผ่านราวคมมีดกรีดชำแรกหัวใจจนเธอเจ็บปวดกับความผิดพลั้งของตนเองที่เป็นสาเหตุให้เขาตกอยู่ในอันตราย ความเป็นห่วงกังวลถาโถมเข้าใส่จนโชใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวภาวนาขอให้คุณพระคุณเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอนับถือ คุ้มครองชายหนุ่มให้ปลอดภัยไม่เป็นอันตรายร้ายแรง

                ครึ่งชั่วโมงพ้นผ่าน ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมร่างแพทย์ผู้รักษาก้าวออกมา โชปรี่เข้าหาพลางเอ่ยถามอย่างร้อนรน

                “คุณหมอคะ เพื่อนหนูเป็นยังไงบ้างคะ”

                “หมอทำแผลให้แล้ว แผลที่หน้าไม่อันตรายร้ายแรงเท่าไหร่ แต่ต้องรอผลเอกซเรย์สมองก่อน ส่วนสภาวะช็อกทางอารมณ์จนส่งผลให้ตัวเกร็งนั้น หมอฉีดยาระงับประสาทให้แล้ว ตอนนี้ไม่น่าเป็นห่วง เดี๋ยวจะให้พยาบาลพาไปพักที่ห้องผู้ป่วยนะ คงต้องนอนที่โรงพยาบาลสักคืนเพื่อรอดูอาการและรอผลเอกซเรย์สมองก่อน ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วละ”

                โชยกมือไหว้ขอบคุณหมอก่อนหันมายิ้มกับดาวที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ สาวผมสั้นรู้ข่าวดีก็โล่งใจจนเอนร่างเอาศีรษะพิงไหล่อาเธอร์ที่นั่งแผ่หลากางขาสองข้างอย่างเหนื่อยหน่ายเพราะนั่งรอนานจนเงก

                “ไม่ต้องมาพิงฉันเลย ไหล่นี้มีไว้ให้โชคนเดียว” หนุ่มตี๋พูดจบก็ผลักศีรษะดาวออกจนเธอหันมาตบกะโหลกเขาเสียงดังฟังชัด

                “อย่าทำเป็นเล่นตัวหน่อยเลยไอ้ตี๋ ฉันไม่ได้พิงเพราะพิศวาสแกสักหน่อย คนแค่เหนื่อยโว้ย”

                โวยวายเสียงดังจนลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองอยู่โรงพยาบาล คิดได้ดาวก็ทำหน้าสำนึกผิด แต่ยังไม่วายส่งสายตาเพชฌฆาตมาให้อาเธอร์ที่ลูบศีรษะป้อย ๆ พลางทำหน้าแหยง

                ชามกระหืดกระหอบมาถึงโรงพยาบาลพอดี โชที่เห็นก็รีบจับมือเพื่อนก่อนเอ่ยถามด้วยความกระหายใคร่รู้

                “ที่สวนเป็นยังไงบ้างชาม ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แล้วเขาทำร้ายคุณปลื้มทำไม เป็นโจรจะมาปล้นบ้านรึเปล่า แล้วตอนนี้ลุงโชคชัยอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาด้วยกัน”

                ชามเอามืออีกข้างอุดปากโชไว้ เพราะขืนปล่อยให้เพื่อนถามมากกว่านี้คงยืดยาวหลายสิบคำถามจนเธอตอบไม่ทันแน่

                “เขาคือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของคุณปลื้ม เป็นคนที่เคยทำร้ายคุณปลื้มให้ตกลงมาจากตึกจนได้รับบาดเจ็บและกลายเป็นโรคฮิกิโกะโมะริ”

                คำตอบของชามราวฟ้าผ่ากลางศีรษะโช เรื่องไม่คาดฝันซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น กลับเกิดต่อหน้าเธอ คนที่คิดว่าชาตินี้ปลื้มย่อมไม่มีโอกาสได้เจอกับเขาอีกแล้ว ดันมาโผล่ที่ปทุมธานี ในบ้านที่ปลื้มมาพักรักษาตัว หากการบังเอิญพบคนที่เคยรู้จักเปรียบได้กับโลกที่เป็นทรงกลม การพบคนที่เคยรู้จักและเป็นสาเหตุให้ชีวิตปลื้มกลายเป็นคนเก็บตัวและหวาดกลัวผู้คน ก็คงเปรียบได้กับโลกที่กลมและลื่นจนคนทั้งคู่ไถลมาชนกันอีกครั้งในที่สุด

                “ลุงโชคชัยบอกว่าไม่รู้มาก่อนว่าผู้ชายคนนั้น... ที่ชื่อพุกน่ะ เกี่ยวข้องยังไงกับคุณปลื้ม แต่พอตำรวจมาเอาตัวไปที่โรงพัก เขาก็สารภาพออกมาเองว่าทำไปเพราะความแค้น ที่ถูกพ่อของคุณปลื้มใช้อำนาจทำให้ตัวเองต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียน เข้าสถานพินิจ และมาใช้ชีวิตตกต่ำเป็นคนสวน ตอนนี้ลุงโชคชัยอยู่ที่โรงพักให้ปากคำกับตำรวจอยู่ เลยให้คนสวนขับรถพาเรามาที่นี่ก่อน”

                โชพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันมองบานประตูห้องฉุกเฉินที่เปิดอ้าอีกครั้ง บุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีร่างปลื้มนอนหลับอยู่เพราะฤทธิ์ยาออกมา สายตาหญิงสาวมองผ้าก๊อซแผ่นใหญ่ที่ปิดตรงแก้มและสันจมูกของปลื้มอย่างสงสาร ความรู้สึกผิดบังเกิดขึ้นในใจอีกคราเมื่อคิดว่าเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้

                ดาวเอามือวางบนบ่าโชอย่างให้กำลังใจ “อย่าคิดมากเลยแก ความตั้งใจดีของแกฉันเชื่อว่าเขาต้องรับรู้ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเหตุไม่คาดฝัน ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมีเรื่องบังเอิญได้มากขนาดนี้”

                โชยิ้มขอบคุณ ก่อนเดินนำเพื่อนตามหลังบุรุษพยาบาลไปยังห้องผู้ป่วยพิเศษ

 

                โรงพยาบาลคือสถานที่ที่ไม่มีใครอยากมา จะด้วยบรรยากาศแห่งความเศร้าหม่นก็ดี จะด้วยภาพผู้ป่วยผู้บาดเจ็บและเสียงโอดโอยก็ดี กลิ่นยาที่คละคลุ้ง หรือความตายที่รายล้อมอยู่รอบตัวก็ดี คนเจ็บไข้ได้ป่วยต่างปรารถนาจะรักษาตัวให้หายโดยเร็วเพื่อไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้

                ปลื้มนอนหลับไม่ได้สติ โชคาดเดาไม่ได้ว่าที่ชายหนุ่มหลับลึกขนาดนี้ เป็นเพราะฤทธิ์ยาที่หมอฉีดให้ หรือเป็นเพราะสภาพจิตใจที่ปฏิเสธการตื่นมาเผชิญกับความโหดร้ายบนโลกนี้ต่อไปกันแน่ หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียง จ้องใบหน้ายามหลับใหลของชายหนุ่มด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วันจิตใจเขาได้รับการฟื้นฟูจนสามารถพูดคุยสื่อสารกับลุงโชคชัย และตัวเธอได้มากยิ่งขึ้น ท่าทีแข็งกร้าวและปฏิเสธการปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ก็ลดน้อยลง โชเชื่อว่าหากรักษาปลื้มด้วยแนวทางเช่นนี้ต่อไป อีกไม่ช้าเขาคงสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ดังเช่นคนปกติ

                ไม่น่าเลยจริง ๆ...

                และแม้คนก่อเหตุจะถูกตำรวจจับไปแล้ว แต่สถานที่เกิดเหตุคือบ้านของลุงโชคชัย หากปลื้มต้องอยู่ในห้องที่ตนถูกทำร้าย จนสะกิดแผลเก่าให้เปิดออกมาอีกครั้ง แทนที่อาการจะดีขึ้น กลับจะยิ่งทำให้เขาแย่ลง

                ปลื้มอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว

                มือหญิงสาววางมือลงบนมือยาวของปลื้ม เธอรู้สึกสงสารสำนึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยมีตนเองเป็นต้นเหตุ ไม่แน่ว่าบางทีการปล่อยให้ปลื้มอยู่ในห้องที่บ้านของเขาเช่นเดิม อาจไม่ทำให้อาการเขาแย่ขนาดนี้ก็ได้

                เพราะห้องพิเศษจำเป็นต้องมีญาติผู้ป่วยเฝ้าอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน โชจึงอาสานอนเฝ้าปลื้มและบอกให้เพื่อนทั้งสามกลับบ้านไปพักผ่อน ดาวโทรศัพท์ขออนุญาตพ่อกับแม่นอนค้างที่บ้านลุงโชคชัยเพื่อจัดการห้องและข้าวของที่เสียหาย อีกอย่างคือเพื่อสอบถามรายละเอียดของปลื้มจากลุงให้มากที่สุด จะได้เป็นแนวทางในการรักษากันต่อไป

                เข็มนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม แม้ปกติโชจะเป็นคนนอนดึก หากไม่นั่งตรวจสอบผลการดำเนินกิจการของบริษัทว่ามีปัญหาข้อขัดข้องใดให้แก้ไขหรือเปล่า ก็ท่องโลกออนไลน์ดังเช่นผู้คนในยุคไซเบอร์นิยมทำกัน แต่เพราะวันนี้เจอเรื่องน่าหวาดกลัว ทำให้เธอที่ตื่นเต้นตกใจมานับตั้งแต่ช่วงเย็น รู้สึกอ่อนเพลียจนหนังตาเริ่มปิด

                หญิงสาวที่นั่งกุมมือปลื้มอยู่ สัปหงกและทำท่าจะฟุบตัวลงนอนกับเตียงของเขา แต่ไม่ทันได้พาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา เสียงสัญญาณเตือนว่ามีข้อความสนทนาทางแอพลิเคชันไลน์ก็ดังปลุกเธอให้สะดุ้งตื่น พลางรีบกดปุ่มปิดเสียงเพราะกลัวจะรบกวนชายหนุ่มที่หลับอยู่

                “แย่แล้วโช”

                และสติที่เพิ่งถูกปลุก ก็พลันตื่นเต็มที่ เมื่อเห็นข้อความประโยคนี้บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

                ไม่ทันได้อ่านรายละเอียด ก็รู้แน่ชัดว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ผู้ส่งข้อความมาคือชามที่น่าจะกลับบ้านไปพร้อมกับอาเธอร์แล้ว โชรีบพิมพ์ถามกลับไปทันที

                “มีเรื่องอะไรเหรอชาม”

                แต่ประโยคตอบกลับ กลับเป็นลิงค์เข้าเว็บไซต์เฟซบุ๊ก นี่คือเหตุผลที่ชามใช้การสนทนาทางแชทแทนที่จะเป็นโทรศัพท์

                “ลองเข้าไปดูในเพจนี้สิ”

                โชกดโดยไม่ถามอะไรต่อ หน้าจอเปลี่ยนจากไลน์เป็นแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก ลิงค์นำโชมาสู่หน้าเพจ ‘ชาวสวนชาวไร่ หน้าใสบอกด้วย’ หญิงสาวมุ่นคิ้วเมื่ออ่านชื่อเพจนี้

                คราแรกเธอรู้สึกแปลกใจว่าทำไมจู่ ๆ ชามถึงส่งลิงค์เพจพรรค์นี้มาให้ เพราะแม้ปัจจุบันจะมีเพจแสดงรูปหนุ่มหล่อสาวสวยหลากหลายวงการ อาทิ นักกีฬาหล่อบอกต่อด้วย สมาคมนิยมสาวหน้าใสวัยทีน ฯลฯ แต่ชามผู้ไม่สนใจใคร่เสพเรื่องเหล่านี้ ไม่เคยตื่นเต้นหรือส่งรูปหนุ่มหล่อ ๆ มาให้เธอดูดังเช่นเพื่อนบางคนที่คลั่งไคล้เน็ตไอดอล

                แต่เพียงรูปภาพที่ปรากฏบนหน้าเพจกระจ่างชัดในสายตา โชก็ต้องครางออกมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

                “ไม่จริง...”

                เป็นภาพของเด็กสาวไม่คุ้นหน้า ที่ถ่ายรูปตัวเองคู่กับปลื้มซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะไม้ข้างบ้านลุงโชคชัย ด้านหลังเป็นแปลงผักหลากชนิดหลายสีสัน ชายหนุ่มในภาพมีสีหน้าตกใจคล้ายไม่ตั้งตัวกับการถ่ายภาพครั้งนี้ ผู้โพสใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า ‘โบผูกผม เหมือนปมผูกใจ’ เขียนบรรยายในภาพเอาไว้ด้วยประโยคสั้น ๆ

                “หนุ่มชาวสวนหน้าใส ฟ้าส่งเนื้อคู่หนูมาเกิดแล้ว”

                โชไม่รู้หรอกว่าผู้โพสเป็นใคร และไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ถ่ายรูปคู่กับปลื้มตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่การที่มีภาพใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏบนโลกออนไลน์ เท่ากับมีโอกาสเปิดเผยความลับเรื่องที่เธอพาเขาออกมาจากบ้านให้ครอบครัวของปลื้มรู้

                หญิงสาวเดินบนปลายเท้าอย่างร้อนรนและเปิดประตูระเบียงออกไปยืนด้านนอก ก่อนกดโทรศัพท์หาชามเพื่อพูดคุยปรึกษาหาทางรับมือสถานการณ์

                “ใจเย็น ๆ นะโช คือเรามีเรื่องจะบอก”

                ยังไม่ทันที่โชจะกล่าวอะไร ชามกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียก่อน

                และประโยคของชามก็ทำให้หญิงสาวต้องนิ่งฟัง เสียงเบาของชามแฝงความอัดอั้นบางประการ อันที่จริงโชสังเกตได้ตั้งแต่เห็นเพื่อนสาวเหม่อลอยตอนที่นั่งรถมาด้วยกันแล้ว เพราะเป็นเพื่อนสนิทจึงรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น

                “ทางบ้านคุณปลื้มรู้เรื่องที่พวกเราพาคุณปลื้มหนีออกมาจากบ้านแล้วละ”

                “หา!” อุทานอย่างตกใจ โชอ้าปากค้างพลางฟังสิ่งที่ชามเล่าอย่างพยายามตั้งสติ

                “เมื่อวานเราเจอพี่ชายเขาโดยบังเอิญ เขาถามหาน้องชายว่าพวกเราพาคุณปลื้มไปไว้ที่ไหน”

                “แย่แล้ว ทำยังไงดีละ ถ้าครอบครัวเขารู้เรื่องแล้วไปแจ้งความ หรือใช้กำลังมาลากคุณปลื้มกลับบ้าน”

                ชามกล่าวด้วยเสียงดังขึ้นเล็กน้อย เพื่อสร้างความมั่นใจให้โชตามการคาดเดาของเธอ “ถ้าให้เดา เราว่าเขาคงยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะอย่างน้อยพ่อคุณปลื้มเขาก็ห่วงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของบริษัทเหนือเรื่องอื่น ถ้าแจ้งความกลายเป็นข่าวใหญ่โต คงมีแต่เสียกับเสีย ส่วนเรื่องที่จะใช้กำลังมาพาคุณปลื้มกลับ เราว่าก็ไม่น่าจะทำตอนนี้ เพราะหากเขาตั้งใจทำ เมื่อวานที่เจอเราเขาจะใช้วิธีบังคับข่มขู่ให้เราพามาหาคุณปลื้มก็ได้ หรือไม่ก็จ้างนักสืบสะกดรอยตามเรามาก็ไม่ใช่เรื่องยาก บางทีคุณปราปต์อาจรู้เรื่องนี้แค่คนเดียว คุณเชิดศักดิ์คงยังไม่รู้ก็ได้”

                โชฟังตามอย่างครุ่นคิด จริงดั่งที่ชามว่า หากทางบ้านปลื้มรู้เรื่องแล้ว มีนับสิบนับร้อยวิธีที่มหาเศรษฐีตระกูลถาวรเสริมจะสามารถพาตัวลูกชายคนเล็กกลับไปได้ แต่ที่ตอนนี้ปลื้มยังคงอยู่ในความดูแลของเธอ อาจเพราะสาเหตุที่ชามกล่าวมา

                “แต่ถึงยังไง หลังจากคุณปลื้มหายก็คงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วละ เราคงต้องพาเขาไปอยู่ที่บ้าน แล้วหาทางปรึกษาคุณอาหมออีกทีว่าจะรักษาเขายังไงกันดี”

                ชามรับรู้ข้อมูลที่โชบอก ก่อนกล่าวให้กำลังใจเพื่อน และวางสายไป

                โชแหงนหน้ามองฟ้าพลางระบายลมหายใจเฮือกใหญ่  ฟ้าต่างจังหวัดที่ไร้แสงไฟรอบกายรบกวนเหมือนมหานคร มืดสนิทจนมองเห็นแสงดาวชัดเจน นับแต่เรียนจบเธอก็ยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดเหมือนสมัยเรียน เมื่อเห็นภาพดวงดาวสุกสกาวเต็มท้องฟ้าเช่นนี้ ก็หวนคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ เมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้

                “จริงสิ!”                

                หญิงสาวคิดเรื่องดี ๆ ขึ้นมาได้จนต้องเอากำปั้นทุบฝ่ามืออีกข้าง

                ขอเพียงสวรรค์ประทานเวลาให้ โดยไม่ถูกทวงคืนสิทธิ์ความเป็นลูกและน้องชายจากครอบครัวของปลื้ม โชมั่นใจว่าหนทางการรักษาที่เธอคิดขึ้นได้นี้ น่าจะช่วยให้ชายหนุ่มกลับมามีสภาพจิตใจเป็นปกติในเร็ววัน

 

                แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่เข้าข้างโช

                ความไวของเทคโนโลยีทำให้คนที่อยู่อีกซีกโลกสามารถพูดคุยกันได้ในเวลาเดียวกัน ราวกับอยู่สถานที่เดียวกัน ประสาอะไรกับคนในประเทศ ที่สามารถเห็นรูปของปลื้มจากเพจ ‘ชาวสวนชาวไร่ หน้าใสบอกด้วย’ แม้ชายหนุ่มมิใช่ดารานักร้องหรือคนมีชื่อเสียงขนาดที่เห็นปุ๊บย่อมรู้จักปั๊บ แต่ตระกูลถาวรเสริมก็มีคนรู้จักเป็นวงกว้าง จะญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง คนรู้จักในแวดวงธุรกิจ และ...

                นักข่าว

                เพราะเป็นนักธุรกิจใหญ่ เชิดศักดิ์จึงปรากฏตัวในภาพข่าวทั้งเศรษฐกิจ สังคม และข่าวในแวดวงไฮโซเซเลบต่าง ๆ ปราปต์และปลื้มเองก็เคยติดตามพ่อไปในงานต่าง ๆ รวมถึงติดตามแม่ไปงานสังคมที่นาน ๆ ครั้งหญิงกลางคนจะไปสักที แม้เจ็ดปีที่ผ่านไปจะไร้ซึ่งใบหน้าของปลื้มด้วยข้ออ้างจากเชิดศักดิ์ว่าส่งลูกชายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่เมื่อมีภาพปรากฏบนสื่อออนไลน์ การ ‘ส่งต่อ’ จึงเร็วดุจไฟลามทุ่ง

                คนที่รู้จักคุ้นเคยอย่างเพื่อนร่วมชั้นเรียน ที่เมื่อเห็นภาพนี้แล้วก็แท็กเพื่อนพ้องอีกหลายคนให้มาช่วยกันพิจารณาดูว่าชายในรูปคือปลื้ม เพื่อนของตนที่ถูกทำร้ายจนหายหน้าไปนานหลายปีหรือไม่

                และเพียงชื่อ ปลื้ม ถูกเขียนขึ้น มันก็แพร่กระจายไปยังผู้คนมากมายที่เชื่อมโยงกันด้วยสายสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่ว่ามา

                จนกระทั่งถึงนักข่าวที่นำภาพข่าวในอดีตซึ่งมีใบหน้าของปลื้มวัยเด็กมาเปรียบเทียบ รวมถึงเทียบโครงสร้างใบหน้าของเชิดศักดิ์และปราปต์ที่ราวกับถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน จะมีส่วนต่างก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

                เพราะข่าวคาวเป็นสิ่งหอมหวานสำหรับผู้เสพในยุคนี้ ยิ่งขุดคุ้ยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบเจอเรื่องที่ซุกซ่อนเอาไว้ราวกับเปิดพรมเจอขยะมากมายถูกกวาดไปกองรวมอยู่ใต้นั้น แม้คดีของปลื้มจะถูกอำนาจเงินปกปิดเอาไว้ไม่ให้กลายเป็นข่าวใหญ่โต แต่เงินกลับไม่อาจปิดปากคนได้ทุกคน

                เพจข่าวซุบซิบไฮโซเริ่มนำภาพของปลื้มมาโพส มีผู้มาแสดงความคิดความเห็นกันมากมาย ทั้งคนไม่รู้จักเกี่ยวข้อง

                และรู้จักคุ้นเคย

                “ลูกชายคนเล็กของเจ้าพ่อไอทีแห่งมัลติมีเดียเทค กลับจากเมืองนอกผันตัวเองเป็นชาวสวน”

                โพสนี้ถูกส่งต่อกันในกลุ่มพนักงานบริษัท จนกระทั่งถึงระดับผู้บริหาร และคนสุดท้ายที่เห็นภาพ ก็คือคนที่ไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูลของลูกชายของตนมากที่สุด

                เชิดศักดิ์กดโทรศัพท์เรียกปราปต์มาพบที่ห้องทำงานทันที 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น