๓
รอยอดีต
กรุงศรีอยุธยา
๒ ปีก่อน...
‘แม่พิกุลตายแล้วขอรับ’
ข่าวร้ายที่นายทหารหนุ่มผู้ซึ่งรอนแรมมาไกลแจ้งให้รับทราบ พาทุกชีวิตในเรือนหลังใหญ่ชะงักนิ่ง
โดยเฉพาะสตรีผู้เป็นเจ้าของเรือนนั้น รอยโศกาฉายชัดในดวงตาแห้งผาก หากไม่มีแม้แต่ถ้อยคำใดที่เรียวปากสีซีดจะสามารถเอื้อนเอ่ยมันออกมา
ร่างกายของคุณหญิงเขียนจันทร์ผ่ายผอมเสียจนกระดูกแหลมหวิดทิ่มแทงผ่านผิวเนื้อ มิพ้นอาการตรอมใจที่รุมเร้าอยู่หลายขวบปี นับแต่ส่งหญิงสาวที่นางรักใคร่ประหนึ่งบุตรีในอุทรไปสู่แดนศัตรู
‘กระผม...ส่งนางอย่างดีที่สุด...เท่าที่จักสามารถกระทำได้’
น้ำเสียงของหมื่นสุรเสนาขาดห้วง เสมือนมีก้อนบางอย่างขวางกั้นอยู่กลางลำคอ ซ้ำยังเสียดร้าวไปถึงความรู้สึกของผู้ฟัง ยามเสียงทุ้มนั้นอ้างถึงความสูญเสีย
ทว่าคนที่ร้าวรานที่สุดคงมิพ้นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าเรือน ที่แม้จะวางหน้านิ่งเสมือนไม่ทุกข์ร้อน แต่ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้ว่าภายในจิตใจนั้นเจ็บปวดแสนสาหัส
ปรางมองร่างผอมแห้งบนเตียงไม้ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปยังอีกทิศทางหนึ่งเพื่อเก็บซ่อนหยาดน้ำตา
มารดาของหล่อนล้มเจ็บด้วยโรคตรอมใจ สาเหตุย่อมมิพ้นเรื่องของหญิงสาวนามว่าพิกุลที่ท่านนั้นรับมาเลี้ยง ซ้ำยังรักและเอ็นดูหญิงผู้นั้นดังเช่นบุตรีของตน
นางมีดีกระไรฤๅ ไฉนใครๆ ต่างก็รุมรักนางไปเสียทั้งหมด
ทั้งที่พิกุลเป็นเพียงเด็กกำพร้า และไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมบุตรีเจ้าพระยาอย่างหล่อนได้สักนิด แต่ทุกคนกลับรักและเมตตานาง
มิวายรวมถึงบุรุษที่นั่งอยู่ต่อหน้ากันในเวลานี้ ไยหล่อนจะมิรู้ว่า...พิกุลคือรักแรกและรักเดียวของเขาตลอดมา
คราแรกที่ปรางทราบความว่าคุณหญิงเขียนจันทร์จะส่งตัวหล่อนไปหงสาวดีพร้อมคณะนางรำตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าชนะสิบทิศ จึงน้อยใจและโกรธา ที่ท่านมิยอมสอบถามความเห็นกันก่อนแม้แต่สักคำ
หากมิทราบเรื่องราวจากพิกุลเสียก่อน หล่อนนั้นมิแคล้วต้องถูกผลักไสไปสู่แดนศัตรูด้วยฝีมือของผู้เป็นมารดาอย่างนั้นหรือ?
อาจเป็นความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แต่เมื่อหญิงรุ่นน้องเสนอตนเอง ทั้งยังบอกว่าปรารถนาจะไปตามหาคนที่นั่น ไฉนหล่อนจึงต้องปฏิเสธ แล้วปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดมือไปเล่า ในเมื่อหนทางนี้ต่างก็ทำให้ทุกฝ่ายสมประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น
แผนการแยบยลจึงถูกคิดขึ้นในขณะนั้น และลงมือกระทำอย่างเงียบเชียบ โดยมิให้ล่วงรู้ไปถึงหูผู้ใด
แต่ใช่ว่าหล่อนจะไม้ไส้ระกำ และไม่รู้สึกอะไรดังเช่นกิริยาที่แสดงออก เพราะเมื่อคราวที่ต้องสับเปลี่ยนตัว ณ ชายป่า ก่อนพิกุลจะแฝงกายไปกับคณะเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังหงสาวดีแทนกัน ปรางยอมรับว่าตนเองใจหายและนึกพะว้าพะวัง
คนอยู่ร่วมชายคากันมายาวนาน ยิ่งต้องเดินทางไปสู่เมืองศัตรูแล้วไซร้ ย่อมไม่อาจคาดคะเนได้ว่าหนทางข้างหน้าจะต้องเผชิญกับสิ่งใด
เพียงแต่หล่อนมินึกว่าหญิงสาวผู้นั้นจักต้องจบชีวิตลงเช่นนี้...
‘หากมิมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น พิกุลแล...ลูก...คงจักกลับมาด้วยกระผมแล้วขอรับ’
นางมีใจให้ขุนศึกในพระเจ้าชนะสิบทิศกระนั้นฤๅ...?
ภาพจำของนายกองหนุ่มที่เป็นผู้มาส่งพิกุลยังค่ายพักแรมในคืนนั้นผุดขึ้นในห้วงความทรงจำ
สำหรับคนทรยศมาตุภูมิแห่งตน เป็นเช่นนี้คงมิพ้นเวรกรรมที่ตามคืนสนองกระมัง
แม้จะบอกตนเองเช่นนั้น แต่มิรู้ทำไมจิตใจของปรางกลับไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่สักนิด
เพราะสิ่งที่หล่อนพยายามเก็บซ่อนมันให้ลึกถึงก้นบึ้งของดวงใจกำลังร้องบอกว่า...เป็นหล่อนเองนั่นแล ที่มีส่วนทำให้เรื่องราวต้องลงเอยเช่นนี้
ลำคองามระหงตั้งตรงดั่งคนหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเป็นที่ขวางหูขวางตาของบุรุษหนุ่มยิ่งนัก ดวงตาแดงก่ำจึงตวัดมองใบหน้างามพิลาศ แต่คงมีเพียงความงามด้วยรูปโฉมภายนอกเท่านั้น เพราะจิตใจของสตรีผู้นี้ช่างอัปลักษณ์เสียเหลือทน
‘คุณพี่เจ้าคะ’
เสียงเรียกจากร่างอรชรที่ก้าวตามหลังมาอย่างไวๆ ทำให้คนถูกเรียกขานต้องจำใจหยุดเดิน ดวงตารียาวที่ไม่หลงเหลือความร้าวรานเฉกเช่นเมื่อครู่มองจ้องใบหน้าเนียนเกลี้ยงโดยไม่ปริปากพูดอะไร
‘เรื่องแม่พิกุล...ข้า...’
เพียงกลีบปากสีเรื่ออ้างถึงหญิงสาวอีกคน มือแกร่งพลันบีบต้นแขนบอบบางเสียจนคนถูกกระทำต้องหลุดเสียงอุทธรณ์ออกมา
ปรางมองใบหน้าคร้ามคมด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่ร่างสูงตรงหน้าจะลงมือกับหล่อนรุนแรงถึงเพียงนี้
‘คนเช่นเจ้าหามีสิทธิ์จักเอ่ยชื่อนางไม่!’
เมื่อคนพาลพาโลกล่าวอ้างเช่นนั้น ร่างปลิวลมจึงสลัดแขนตนเองออกจากการเกาะกุมของเขา พร้อมโทสะที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ ถ้อยวาจาเผ็ดร้อนอันเกิดแต่แรงอารมณ์จึงถูกเอื้อนเอ่ยออกไปให้บุรุษหนุ่มได้ยินยล
ฉับพลัน กรามแกร่งของคนฟังจึงบดแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน
‘สำหรับคนทุรยศ เป็นเช่นนี้ก็สมควรแล้ว’
หล่อนมิได้อยากให้เรื่องราวต้องลงเอยเช่นนี้ แต่ทิฐิสูงชันทำให้ปากนั้นพลั้งพูดออกไป
และสุดท้ายจึงเป็นหล่อนเองที่ต้องเสียใจสุดจะพรรณนา เพียงได้ฟังวาจาแสนเย็นชาจากบุรุษที่หล่อนรักมั่นปักใจมายาวนาน
‘ไฉน...จึงมิเป็นเจ้า’
หากเป็นหล่อนที่ตายแทน...คงจักสาสมแก่ใจเขากระมัง
มือเรียวปาดป้ายน้ำตาที่ไหลซึมข้างแก้มออกไป แล้วซบหน้าลงแนบท่อนแขน ก่อนจะสะดุ้งน้อยๆ เมื่อกระเทือนต่อรอยฟกช้ำที่ยังสดใหม่ จึงเปลี่ยนมากดปลายคางลงบนเข่ามน ขดตัวโอบกอดตนเองไว้เป็นก้อนกลมขณะเหม่อมองทิวทัศน์รอบนอก
กระทั่งได้ยินเสียงเรียกจากเบื้องหลังจึงสะดุ้งรับ เนื่องจากยังไม่หายขวัญผวาจากเหตุการณ์เมื่อตอนค่ำ
“กลับมาตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ บ่าวออกไปตามหาเสียถ้วนทั่ว นึกว่าจักเกิดเรื่องกระไรเสียแล้ว”
เมื่อเห็นว่าคนมาใหม่เป็นนางน้อมจึงส่งยิ้มอ่อนแรงให้ หากด้วยความมืดมิดรอบข้าง บ่าวชราคงไม่ทันสังเกตเห็นร่องรอยบอบช้ำบนใบหน้า
“มิมีกระไรดอกแม่น้อม ที่วังงานล้นมือนัก ข้าจึงอยู่ช่วยก่อนก็เท่านั้น แม่น้อมเข้านอนเถิดจ้ะ ข้ายังอยากรับลมกงนี้อีกสักประเดี๋ยว”
นับแต่กลับมาถึงเรือนแล้วอาบน้ำผลัดผ้าเป็นชุดใหม่ ปรางจึงพาตนเองมานั่งอยู่ตรงชานเรือน สายลมอ่อนจางพัดพากลิ่นไอดิน กอปรกับกลิ่นกองไฟที่ชาวบ้านข้างเคียงสุมขึ้นเพื่อไล่ยุงปลิวแตะปลายจมูก
แว่วเสียงจิ้งหรีดเรไรและนกกลางคืนที่กำลังออกหากินตามประสา คืนเดือนมืดเช่นนี้พาให้หัวใจหล่อนเหว่ว้า ภาพจำบาดใจจึงผุดขึ้นตามอารมณ์อ่อนไหว
“บ่าวจัดของไว้ตามที่คุณปรางสั่งแล้วหนาเจ้าคะ”
“ขอบน้ำใจจ้ะ”
เมื่อเห็นว่านายหญิงของตนคงอยากอยู่เพียงลำพัง นางน้อมจึงค่อยๆ กระถดกายห่างจากมา ทว่ามิวายเป็นกังวลใจกับท่าทางหมองเศร้าที่ดูทีแล้วมีแต่จะย่ำแย่ลงกว่าเดิมทุกวัน
รุ่งเช้าวันถัดมา ปรางจึงเร่งออกจากเรือนตั้งแต่ฟ้ายังมิสาง ด้วยไม่อยากตอบคำถามของนางน้อม คะเนเอาว่าหากอีกฝ่ายเห็นรอยช้ำบนร่างกายตน คงมีอันต้องซักไซ้กันอีกยาวนาน และจะพานทำให้ต้องเป็นพะวงกันไปไม่จบไม่สิ้น
แม้หญิงสาวจะไม่ค่อยแสดงออกว่ารู้สึกเช่นไรต่อคนรอบตัว แต่ก็มิได้นิ่งดูดาย และเมินเฉยต่อความอาทรเหล่านั้น เพราะหล่อนเองก็นึกห่วงใยบ่าวชราอยู่ไม่ต่างกัน
ปีนี้นางน้อมอายุย่างเข้าเจ็ดสิบห้า ร่างกายจึงมีเจ็บออดแอดตามวัย กอปรกับมิมีบุตรหลาน บั้นปลายชีวิตจึงหามีผู้ใดคอยช่วยดูแลได้ไม่ เมื่อสิ้นมารดาไป จึงมีเพียงนางน้อมเท่านั้น ที่หล่อนอุ่นใจที่จะอยู่ด้วย หลังจากคืนเรือนหลังเดิมที่กรุงศรีอยุธยาแก่ทางการและให้บ่าวไพร่แยกย้ายไปอยู่กับนายคนใหม่ หล่อนจึงตั้งใจพาหญิงชราผู้นี้เดินทางกลับมายังเมืองสองแควด้วยกัน
“เอาของข้าคืนมา!”
เสียงหวีดร้องที่ดังมาจากตลาดเบื้องหน้ารั้งความสนใจของปรางกลับมา ในคลองตาเห็นหญิงสาวร่างเล็กกำลังยื้อแย่งของบางอย่างจากทหารเมืองเจ้าประเทศราช ที่นั่งอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่
“อย่าเอาของข้าไป อ้ายคนใจทราม!”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย จึงเห็นว่าสิ่งที่ยื้อยุดกันอยู่นั้น คือห่อผ้าใบน้อยที่คงจะบรรจุอัฐไว้ภายใน
ใบหน้ามอมแมมนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา พร้อมเสียงอ้อนวอนแผ่วพร่าราวกับจะขาดใจ คนมองจึงไม่คิดอยู่เฉย ทั้งที่โดยวิสัยแล้ว หล่อนไม่นึกอยากมีเรื่องกับผู้ใดทั้งสิ้น
ปรางเร่งสืบเท้าเข้าหา ก่อนจะแตะท่อนแขนผอมแห้งของสาวชาวบ้าน ดวงตาตื่นกลัวคู่นั้นผินมองมา ตามด้วยหยาดน้ำใสไหลพรั่งพรู ครั้นเห็นว่าหล่อนเป็นเพียงคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วย
นัยน์ตาสงบนิ่งกวาดมองรอบกาย เห็นชาวบ้านคนอื่นล้อมวงอยู่ห่างออกไปพลางส่งเสียงซุบซิบ หากยังนิ่งเฉยและไม่คิดช่วยเหลือกันแต่อย่างใด เดาว่าส่วนใหญ่คงจะนึกเกรงกลัวต่ออำนาจของทหารต่างเมือง เนื่องด้วยยามนี้ศรีอโยธยาและพระพิษณุโลกสองแควต้องตกเป็นเมืองประเทศราช การแสดงออกว่ามิยินยอมศิโรราบใต้อาณัติรังแต่จะนำมาซึ่งความเดือดร้อน
แล้วเป็นเช่นไร...จักยอมให้ตนเองถูกย่ำยีศักดิ์ศรีเช่นนี้ตลอดไปกระนั้นฤๅ?
“แม่หญิงเป็นคนจากในวังใช่ฤๅไม่ ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ถุงนั้นเป็นเบี้ยที่ข้าเก็บไว้ซื้อยารักษาแม่ข้า หากพวกมันเอาไป แม่ข้าคงต้องตายในคืนนี้เป็นแน่ ได้โปรดช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะ”
คำวิงวอนพร้อมน้ำตาที่ไหลทะลักราวกับทำนบแตก ทำคนฟังสะท้อนใจ ยิ่งได้ยินว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับมารดาของหญิงผู้นั้นด้วยแล้ว คนที่มีปมฝังใจเรื่องเดียวกันจึงยิ่งไม่อาจปล่อยผ่าน
ดวงตากลมโตตวัดมองทหารชั้นเลวที่อยู่บนหลังม้าศึกตัวโต ดูจากการแต่งกายแล้วมันคงมิใช่แม่ทัพนายกองแต่อย่างใด หากกระทำกิริยาวางท่าประหนึ่งว่าตนเองนั้นมากล้นไปด้วยอำนาจ ซ้ำยังข่มเหงรังแกสตรีผู้ไม่มีทางสู้ ดูแล้วน่ารังเกียจเหลือทน
“จงคืนห่อผ้านั้นแก่นางไปเสีย”
เสียงหวานเอ่ยเรียบนิ่ง แววตาที่มองไปยังฝ่ายปรปักษ์ไม่มีแม้แต่ความหวั่นเกรง กลับกลายเป็นคนบนหลังม้าเสียเองที่รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา
พิจารณาจากเครื่องนุ่งห่มแล้ว พอจะทราบได้ว่าสตรีตรงหน้าคงเป็นข้าราชบริพารจากราชสำนักฝ่ายใน ทว่าความคึกคะนองและทะนงตนว่าเป็นบุรุษ จึงทำให้มันมิยอมอ่อนข้อต่อคนที่คิดว่าอ่อนแอกว่า
“แม่หญิงมิควรเยี่ยมหน้ามาสอดเลยหนา”
ร่างหนาว่าด้วยสำเนียงแปร่งปร่า มือหยาบกระตุกบังเหียนจนขาคู่หน้าของม้าศึกลอยสูง ทำทีเป็นข่มขวัญให้หญิงสาวทั้งสองหวาดกลัว
“คืนนางเสีย มิฉะนั้นข้าจักนำความนี้ขึ้นกราบทูลเจ้าฟ้าเมืองสองแคว หัวเอ็งคงมิแคล้วต้องหลุดจากบ่า”
คำขู่นั้นเป็นผลอยู่บ้าง เพราะทหารเลวหน้าเซียวลงไปชั่วครู่ ก่อนที่ริมฝีปากสีเข้มจะส่งเสียงหัวเราะออกมา ร่างใหญ่ดุจยักษ์ปักหลั่นกระโดดลงจากหลังอาชาพร้อมด้วยกริชเล่มเล็กที่ถูกชักขึ้นจากขอบลองยี
“ก็เอาซี หากท่านคิดว่าตนเองจักรอดพ้นไปจากมือข้าได้”
เสียงแหบต่ำว่าพลางควงอาวุธเล่มเล็กในมือไปมา ทำทีว่าตนเองมิได้อนาทรต่อโทษทัณฑ์ของผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน ด้วยถือว่าบ้านเมืองของตนนั้นกำชัยเหนือพระพิษณุโลกสองแคว และถ้าหากยอมถอยตามคำบอกกล่าวแล้ว มิแคล้วจะโดนหยามเหยียดเอาได้ในภายหน้าว่าตัวมันปราชัยต่อสตรีตัวเล็กๆ เพียงนางเดียว
“เอาของข้าคืนมา!”
จู่ๆ หญิงชาวบ้านก็ถลันเข้าหาทหารผู้นั้น สองมือหมายยื้อแย่งเอาของมีค่าของตนเองคืนมา ก่อนจะพลาดท่าถูกรวบเข้าไปในวงแขน พร้อมกริชปลายแหลมที่จ่ออยู่ตรงลำคอ
“กูว่าจักปรานีมึงแล้วเทียว แต่มึงดันแส่หาเรื่องเอง”คำข่มขู่ดังชิดใบหู มือหนากดคมอาวุธลงบนผิวเนื้อจนโลหิตอ่อนจางเริ่มไหลซึม
“ยอมกูแต่แรกก็คงมิต้องเป็นเช่นนี้ดอก อีเชลย”
แววตาสิ้นหวังและหวาดกลัวของหญิงเคราะห์ร้ายทำคนมองกำหมัดแน่นด้วยความคับแค้นใจ หากแต่สีหน้าที่ปรางแสดงออกยังคงสุขุม ก่อนที่ปากอิ่มจะเอ่ยข้อต่อรองแก่ฝ่ายตรงข้าม
“เอาเช่นนี้ดีฤๅไม่...”
มือเรียวถอดกำไลทองที่สวมใส่ติดกายอยู่เป็นประจำออก สิ่งนี้เป็นของมีค่าเพียงชิ้นเดียวที่หล่อนนำกลับมาจากกรุงศรีอยุธยาด้วย เนื่องจากเป็นของกำนัลที่ผู้เป็นมารดามอบให้ เมื่อครั้งสรรค์สร้างละครรำจนเป็นที่ถูกใจแก่เจ้านายฝ่ายใน
แลนั่น...ก็นับเป็นคราแรกและคราเดียว ที่มารดาจักแสดงออกว่าชื่นชมยินดีในตัวหล่อน
ครั้นหวนนึกถึงความหลัง รอยวูบไหวพลันฉายชัดในดวงตา ก่อนที่ปรางจะเร่งสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป เสียงหวานหากทรงอำนาจต่อรองอย่างใจเย็น
“ข้าขอแลกกำไลนี้กับชีวิตนางแลเบี้ยในห่อนั่น หากเจ้าลองตรองดู คงจักรู้ว่ามูลค่าของมันเทียบกันมิได้แม้แต่น้อย”
ถ้อยวจีที่เอื้อนเอ่ยคล้ายลดทอนคุณค่าของหญิงที่ตกเป็นตัวประกันลง แต่หล่อนเชื่อมั่นว่าคนที่ถนัดแต่การใช้กำลัง หากแต่ปราศจากการใช้สติปัญญาใคร่ครวญ คงจะคาดมิถึงว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงกลลวง
เมื่อเห็นดวงตาของมันวาววับประหนึ่งคนที่เต็มไปด้วยความละโมบ ปรางจึงลอบบิดยิ้ม
สบตากันอยู่ชั่วอึดใจราวกับจะประเมินท่าทีซึ่งกันและกัน ทหารชั้นเลวจึงยอมคลายวงแขนพร้อมลดอาวุธลง ร่างระหงอาศัยห้วงจังหวะนั้นกระชากแขนเล็กของสาวชาวบ้านไว้ ก่อนผลักออกไปให้พ้นจากรัศมีที่จะเป็นอันตราย
ฉึก!
ระหว่างรั้งฝ่ามืออีกข้างซึ่งถือกำไลกลับคืนแล้วพลิกตัวหันหลัง กริชแหลมคมของคนพาลพลันปักลึกลงบนผิวกาย ตามมาด้วยความเจ็บหน่วงตั้งแต่ท่อนแขนเรียวเสลาจรดปลายนิ้ว
“แม่ปราง!”
ดวงตาสั่นไหวผินมองไปยังที่มาของต้นเสียงกัมปนาท มือเรียวยกขึ้นแตะลำแขนของตนเสมือนกำลังงุนงง โลหิตสีแดงฉานชวนให้ตาพร่าไปชั่วขณะ ปรางจึงนิ่วหน้าน้อยๆ
หมื่นสุรเสนาเร่งกระชากเศษผ้าคาดเอวของตนขึ้นพันรอบแผลเพื่อห้ามเลือดเอาไว้ เสียงกังวานสั่งการไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา ทหารอีกสองนายจึงรับคำแล้วออกวิ่งตามหลังชายผู้ขลาดเขลาไปโดยไม่รีรอ
“คุณพี่...”
“เจ็บมากฤๅไม่”
นายทหารหนุ่มโอบประคองร่างแบบบางแนบกาย ยิ่งเห็นว่าสาวเจ้าสั่นศีรษะปฏิเสธ โทสะก็ยิ่งบังเกิด
กรามแกร่งบดแน่นจนเส้นขมับปูดโปน อยากจะต่อว่าคนในอ้อมแขนด้วยคำร้ายๆ ให้สาสมแก่ใจ แต่ด้วยบาดแผลฉกรรจ์ที่เจ้าหล่อนเพิ่งได้รับ กอปรกับร่องรอยบวมช้ำบนดวงหน้าที่ยังปรากฏชัดทำให้ชายหนุ่มได้แต่คำรามในลำคอ
สตรีผู้นี้วิปลาสหรือไร ไฉนจึงเทียวทำตนเองให้บาดเจ็บอยู่ร่ำไป!
“อดทนหน่อย ข้าจักพาเจ้าไปเรือนหมอทองดี”
“ข้ามิเป็นกระไรเจ้าค่ะ”
“ดื้อ!”
“ข้ามิได้ดื้อนะเจ้าคะ แต่ข้า โอ๊ย!”
จากคำถกเถียงผันเปลี่ยนเป็นเสียงหวีดร้องลั่น เพียงเพราะฝ่ามือแกร่งนั้นกดลงบนแผลโดยไม่ทันให้หล่อนได้ตั้งตัวก่อน ปรางกุมท่อนแขนของตนไว้แน่น ดวงตาที่แสนจะอวดดีในความรู้สึกของคนมองรื้นขึ้นด้วยหยาดน้ำแวววาว
“เจ็บก็บอกว่าเจ็บ มันจักเป็นกระไรหนักหนา เพียงบอกความรู้สึกของตนเองออกมา มันจักทำให้เจ้าขาดใจตายหรือไร!”
ความคิดเห็น |
---|