๗
กองสอดแนม
“ว่ากระไรหนาเจ้าคะ!”
ร่างสง่าบนตั่งสะดุ้งตามเสียงกึ่งตะโกนของหญิงสาวในปกครอง หมากพลูที่ถืออยู่จึงแทบร่วงหล่นไปกองบนพื้น
ปรางรู้ตัวว่าเผลอแสดงกิริยาไม่เหมาะสม มือเรียวดุจลำเทียนจึงเร่งประนมไหว้พร้อมเอ่ยคำขอขมา
คุณท้าวมณฑาคายน้ำหมากลงในกระโถนที่บ่าวรับใช้ข้างกายยกขึ้นอย่างรู้จังหวะอีกครั้ง แล้วจึงนำผ้าสะอาดที่เหน็บไว้กับขอบโจงกระเบนซับรอบขอบปาก ดวงตาฝ้าฟางทว่าทรงอำนาจหลุบมองร่างงามระหงที่หมอบคลานอยู่เบื้องล่าง
แทบมิเคยได้เห็นหญิงสาวผู้นี้ลืมสำรวมอาการ คะเนว่าเรื่องที่ตนเองพูดไป คงจะทำให้อีกฝ่ายตระหนกตกใจยิ่ง
“ฟังมิผิดดอก หนทางนี้ดีต่อตัวเจ้าที่สุดแล้วหนา อายุเจ้าก็มิใช่น้อย จักอยู่เป็นหญิงเทื้อคาเรือนให้ชาวบ้านเขาครหาได้เยี่ยงไร อยากมีบั้นปลายชีวิตเยี่ยงข้ากระนั้นรึ มิมีลูกหลานสักคนไว้คอยดูแลในยามแก่เฒ่า เจ้าพึงใจในชีวิตเช่นนี้ฤๅ แม่ปราง”
“เจ้าค่ะ ข้ายินดีถวายตัวเป็นข้ารับใช้ของแผ่นดิน แลมิขอคิดเรื่องออกเรือนจวบจนชีวิตจักหาไม่เจ้าค่ะ”
เสียงหวานปฏิเสธอย่างหนักแน่น ทั้งแววตาก็สำทับซ้ำในความต้องการของตน จนคนสูงวัยกว่าได้แต่สั่นศีรษะกับปณิธานอันแสนเด็ดเดี่ยวนั้น
“เจ้าโชคดีปานใดที่มีขุนนางซึ่งมากพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์มาทาบทามสู่ขอ แลข้าก็มิเห็นว่าจักเป็นสิ่งมิเหมาะควร ด้วยเจ้าเองก็มิเหลือผู้ใดในครอบครัวให้พึ่งพิง หญิงอย่างเรา จำต้องมีบารมีของผัวไว้ค้ำชู จึงจักอยู่รอดในสังคมนี้สืบไป”
ปรางลอบค้านความคิดนั้นหัวชนฝา ด้วยคิดกับตนเองเสมอมาว่าสตรีและบุรุษต่างก็เป็นมนุษย์ที่มีสองมือและสองเท้าทัดเทียมกัน ไฉนสตรีจึงจำต้องคอยพึ่งพาบุรุษในการดำรงชีพของตนอยู่เรื่อยไป
แต่หล่อนก็รู้ดีแก่ใจว่าความคิดของตนนั้นผิดแผกไปจากแนวทางปฏิบัติของสตรีในยุคสมัยนี้ ทั้งคำสอนของผู้ใหญ่ และตำราการครองเรือนก็ล้วนบัญญัติหน้าที่ของสตรีเอาไว้ว่าจะต้องเป็นช้างเท้าหลังที่อยู่ในโอวาทของผู้เป็นสามี
“เรื่องนี้พระชายาท่านก็เห็นสม แลยกอำนาจการตัดสินใจทั้งปวงให้เป็นของข้า ด้วยข้านั้นเป็นเกลอเก่าของแม่เขียนจันทร์มายาวนาน สิ้นแม่เจ้าไป ข้าก็เปรียบดั่งญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เจ้ามี ข้อนี้ข้าพูดถูกฤๅไม่”
ปรางช้อนตามองผู้พูดด้วยความพิพักพิพ่วนใจ แต่ไม่ทันได้ยกถ้อยคำใดมาปฏิเสธ เพราะน้ำเสียงกังวานสำทับเฉียบขาด หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้ารับฟังโดยไม่กล้าขัดคำผู้ใหญ่
ก่อนที่ชื่อซึ่งถูกเรียกขานออกมา จะทำให้คนฟังเบิกตากว้างอีกครั้ง สมองพลันเร่งครุ่นคิดหาทางให้ตนเองรอดพ้นจากสถานการณ์บีบคั้นเช่นนี้โดยไว
“จักได้ตบแต่งเป็นถึงภริยาเอกในหลวงบวรรังษี ขุนนางอนาคตไกลแห่งกรมเวียงเยี่ยงนี้ยังมีสิ่งใดที่ต้องกังวลใจไปอีกเล่า แม่ปรางเอ๋ย”
“นั่งถอดถอนใจจนอายุขัยจักสิ้นลงหลายสิบขวบปีแล้วหนา”
ดวงตากลมสวยเหลือบมองคนมาใหม่ที่หย่อนกายลงเคียงข้างกัน
ครูสอนละครรำที่วันนี้ได้รับการยกเว้นให้มิต้องทำการสอนชั่วคราว ด้วยบาดแผลตรงท่อนแขนทำให้การออกท่ารำนั้นมิสะดวกนัก จึงมีหน้าที่เพียงคอยเฝ้าดูเหล่าลูกศิษย์ทบทวนท่วงท่าที่เคยได้สอนไว้
เสียงขานจังหวะดังคลอตามสายลมมาแต่ไกล เห็นร่างสะโอดสะองของเหล่านางรำหน้าใหม่ที่ย่างเยื้องอรชรงดงามประหนึ่งนางอัปสรแล้ว จึงอวดระลึกถึงมารดาไม่ได้ หากท่านได้เห็นภาพเหล่านี้ คงเป็นที่พึงใจนัก
“แล้วเจ้าจักทำเยี่ยงไรต่อไปเล่า”
เพ็ญไต่ถามอย่างอาทร เพราะสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจจากผู้เป็นสหาย แม้เจ้าตัวจะกลบฝังมันไว้ใต้ท่าทางสุขุมเย็นชาเพียงใด แต่หล่อนก็มองออกได้ไม่ยากว่าเกลอรักคงนึกลำบากใจไม่น้อย
“ไม่รู้ซี เพลานี้ข้ายังคิดกระไรมิออกเลย”
“มิรู้ว่า...พูดไปแล้วจักฟังดูมิงามฤๅไม่ แต่ข้านั้นเคยได้ยินกิตติศัพท์ของออกหลวงผู้นั้นอยู่บ้าง”
ร่างเล็กเว้นวรรคไปชั่วอึดใจ ดวงตากลมใสที่มองมามีแววลังเล ปรางจึงขยับกายเข้าใกล้พร้อมกุมมือของเพื่อนเอาไว้ด้วยความสนใจใคร่รู้
“มีเรื่องอันใดฤๅ พูดมาเถิดแม่เพ็ญ ข้าใคร่อยากฟัง”
“ก็...เขาลือกันว่า ท่านนั้นเจ้าชู้นัก แลยังเลี้ยงเมียบ่าวไว้ในเรือนมากมาย บางครานางพวกนั้นก็วิวาทกันเสียจนเป็นที่เลื่องลือไปถ้วนทั่วทั้งหมู่บ้าน หากเพราะออกหลวงท่านมากล้นไปด้วยอำนาจแลบารมี เรื่องเพียงเท่านี้จึงมิอาจเป็นที่เสื่อมเสียได้...”
เสียงนุ่มว่าอย่างเนิบนาบตามลักษณะนิสัยของเจ้าตัว หากทุกถ้อยคำนั้นแสดงออกชัดว่าผู้พูดเดียดฉันท์บุรุษที่กำลังตกเป็นหัวข้อการสนทนาเพียงใด
“ข้าจึงนึกเป็นห่วงเจ้า คนเช่นนั้นจักมีใจรักใคร่หญิงใดจริงฤๅ คงตบแต่งเพื่อหวังให้หญิงนั้นเกื้อหนุนหน้าที่ราชการของตนเสียมากกว่ากระมัง”
ปรางฟังคำบอกเล่าพลางครุ่นคิดตาม กลีบปากอิ่มสวยขบเม้มเข้าหากันเป็นเชิงใช้ความคิด ทว่าสมองที่เคยปราดเปรื่องของตนกลับมืดบอดเสียจนไม่รู้ว่าจะหาทางออกให้เรื่องนี้อย่างไร ไหนจะอาการปวดแปลบบนท่อนแขนที่เริ่มหวนกลับมากวนใจ ดวงหน้าอ่อนเยาว์จึงซีดเซียวเสียจนคู่สนทนาปริวิตก
“ค่อยๆ คิดเถิดแม่ปราง คุณท้าวท่านคงเพียงเกริ่นนำไว้ก่อน แต่ยังมิได้เร่งรัดให้เจ้าตบแต่งในวันสองวันนี้ดอก แลถ้าหากเจ้าปรารถนาจักให้ข้าช่วยเหลือประการใด จงเร่งบอกมา ด้วยข้านั้นยินดีที่จักช่วยเกลอรักคนนี้เสมอ”
สบดวงตาสุกสกาวของเพ็ญแล้ว ร่างอรชรจึงส่งยิ้มอ่อนแรงให้
ฉับพลันดวงหน้าคมคายของใครอีกคนจึงผุดขึ้นในห้วงความคิด แต่ด้วยรู้ดีว่าเขาคงมิมีทางยินยอมช่วยเหลือกันเป็นแน่ ไหล่ลาดจึงได้แต่ห่อเข้าหากันอย่างอ่อนใจ
เคร้ง!
“ไหวฤๅไม่ขอรับหมื่นท่าน พักสักประเดี๋ยว เพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก ออกพระท่านคงมิลงอาญาดอกขอรับ”
คำถามไถ่อย่างอาทรนี้เกิดแต่ร่างสันทัดของคู่ฝึกซ้อมที่เร่งลดดาบของตนตาม หลังจากเห็นขุนศึกหนุ่มตรงหน้าคลายดาบในมือลงก่อน สีหน้าของหมื่นสุรเสนาบิดเบี้ยวพิกล จนกระทั่งดวงตาคมสวยดั่งอิสตรีมองเห็นรอยเลือดเป็นวงขนาดย่อมบนแผ่นหลังของผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงกว่า เสียงห้าวจึงสำทับซ้ำอีกครั้ง แล้วพานายของตนหลบเข้าพุ่มไม้
“ปูโธ่ เลือดออกถึงเพียงนี้ จักบอกว่ามิเป็นกระไรมิได้แล้วนะขอรับ”
“พูดกระไรให้มากความวะ อ้ายสังข์ เหมือนนกกระจิบเจื้อยแจ้วข้างหูข้า น่ารำคาญเสียจริง”
‘นายสังข์’ ยกยิ้มดังว่าไม่ถือสากับถ้อยวาจาเราะรายเหล่านั้น เพราะอยู่ด้วยกันมายาวนานหลายขวบปี จึงรู้ดีว่าผู้พูดนั้นมิได้ใจร้ายดั่งคำที่เจรจา
“ปากคอเยี่ยงนี้ เมื่อไรจักหาเมียได้เล่าขอรับ หมื่นท่าน”
เสียงห้าวอดกระเซ้าคนหน้าดุมิได้ จึงได้รับของกำนัลเป็นฝ่าเท้าที่เตรียมจะยันเข้าที่กลางลำตัวของตน แต่ไม่ทันความว่องไวปานลมกรด เพราะนายสังข์นั้นเร่งกระโดดออกห่างอย่างทันท่วงที จึงมีเพียงสายตาเรียวแหลมที่ตวัดมองมา พอให้ได้หลุดหัวเราะเบาๆ
“ประเดี๋ยวเถิดมึง กูจักกราบเรียนให้ออกพระท่านสั่งขังลืมสักสามสี่เพลา เอาให้นางหน้าขาวโรงน้ำชานั้นลืมหน้ากันไปเสียเลย ดีฤๅไม่เล่า”
“อูย มิดีขอรับ เมตตาอ้ายสังข์เถิดหนา หากเป็นเช่นนั้นไซร้ มิแคล้วใจอ้ายสังข์ผู้นี้คงจักขาดรอนๆ แลมิมีกำลังวังชามาต้านรับสรรพยุทธ์ของหมื่นท่านได้ เห็นทีจักกระทบราชการบ้านเมืองกันไปใหญ่โตเทียวละขอรับ”
ฟังคำแสนกะล่อน และท่าทางออดอ้อนของนายทหารคนสนิทแล้ว หมื่นสุรเสนาจึงหัวเราะออกมา พลางสั่นศีรษะน้อยๆ
เมื่อยามสิ้นไร้การสงคราม ชายชาติทหารที่ยังมิได้ออกเรือนก็จำต้องหาความสำราญใจด้วยสุราเคล้านารี หากมิได้มากมายถึงขั้นทำให้ขาดสติจนเสียการงานไป อย่างเช่นอ้ายสังข์ผู้นี้ ที่มักเป็นหัวโจกของทหารในสังกัด คอยพากันแวะเวียนไปยังโรงรับชำเราตรงชุมชนของชาวจีน ที่มีสตรีมากมายพร้อมบำรุงบำเรอให้ขุนศึกหนุ่มได้ผ่อนคลายกายาจากการศึกที่เหนื่อยล้าและบั่นทอนกำลัง
ทว่านั่นมิใช่วิสัยของเขา ที่พึงกระทำเสมอมาจึงมีเพียงการคอยควบคุมมิให้คนในปกครองแสวงหาความสำราญจนเกินสมควร เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากผู้เป็นนาย ให้คอยกำกับดูแลทหารในสังกัดตั้งแต่ครั้งยังอยู่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งก็นับเป็นความโชคดีที่พวกมันก็มิเคยสร้างปัญหาให้ได้ระคายใจสักครา ทุกคนในกรมกองจึงสมัครสมานรักใคร่กันดั่งพี่น้องที่พร้อมเป็นตายไปด้วยกัน ไม่ว่าต้องออกกรำศึกทั่วแคว้นแดนใด
มือแกร่งยกขึ้นแตะรอยช้ำบนแผ่นหลังพร้อมเสียงคำรามในลำคอ ครั้นเห็นรอยเลือดที่ไหลซึมตามคำบอกกล่าวของผู้ใต้ปกครองจึงได้แต่ถอนใจออกมา ตาเรียวอ่อนแสงลง เมื่อใบหน้าวิตกกังวลของใครอีกคนผุดขึ้นในห้วงความคิด
“แผลนี้ไปได้แต่ใดมาฤๅขอรับ เมื่อวานตอนสาย กระผมยังมิเห็นว่าหมื่นท่านจักเป็นกระไร หรือแม่ครูหน้าหวานผู้นั้นจักเป็นผู้กระทำหมื่นท่าน!”
ผลัวะ!
ศีรษะได้รูปถูกโบกเข้าเต็มแรงจนนายสังข์เห็นดาวพราวระยับเหนือกระหม่อมของตนกลางวันแสกๆ มือสากเพราะจับแต่ด้ามศัสตราวุธจึงยกขึ้นลูบจุดที่ถูกประทุษร้ายป้อยๆ พร้อมเสียงครางหงืดหงาดอย่างน่าสงสาร หากคนหน้าดุนั้นกลับทำเพียงขึงตาใส่เป็นเชิงปราม เพราะระลึกได้ว่าวันนี้นายทหารคนสนิทดูจะพูดมากกว่าทุกวัน
“พูดจาเรื่อยเจื้อย ก็สมควรจักโดน”
“ปูโธ่...ว่าแต่ เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ อ้ายทหารผู้นั้นโดนตัดสินความว่ากระไร”
นายสังข์ไต่ถามถึงทหารต่างเมืองที่ตนเองตามไปลากตัวมันกลับมาเพื่อรับโทษทัณฑ์ ด้วยมันบังอาจเหิมเกริมลงมือทำร้ายข้าราชบริพารในราชสำนัก ซ้ำยังเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ เท่านั้น คิดแล้วก็คับแค้นใจนัก หากมิติดว่าไม่ใช่หน้าที่ของตนโดยตรงคงจักกระทืบมันสักทีสองทีเพราะความอวดดีที่มันสำแดงออกบ่งบอกว่ามันหาได้หวั่นเกรงต่ออาญาของแผ่นดินนี้ไม่
หมื่นสุรเสนาเหลือบมองผู้ใต้บังคับบัญชาพลางระบายลมหายใจอีกครา เพราะก่อนที่จะเดินทางมายังลานฝึกซ้อม เขาได้เข้าพบขุนนางที่รับดูแลเรื่องนี้ หากถ้อยคำที่ได้ฟังนั้น กลับมิเป็นที่น่าพึงพอใจ
‘เอ็งก็รู้ว่ายามนี้บ้านเมืองเรามิเป็นเช่นเก่าก่อน แลก็เป็นคนของเราเองที่เริ่มต้นหาเรื่องฝ่ายนั้น หากลงอาญาไป มิแคล้วจักเป็นเรื่องบาดหมางใหญ่โต น้ำผึ้งหยดเดียวจงอย่าทำให้เป็นชนวนใหญ่เลย...อีกอย่างแม่หญิงผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นกระไรมิใช่ฤๅ’
เพราะเป็นเมืองประเทศราชจึงจำต้องอยู่ใต้อาณัติ และยินยอมน้อมรับความอยุติธรรมตลอดไปกระนั้นฤๅ?
กรามแกร่งบดแน่นพลางทุบกำปั้นลงกับแคร่ไม้ไผ่ คนที่นั่งถัดไปบนพื้นดินจึงสะดุ้งตาม เดาเอาว่าผลลัพธ์ที่ได้คงไม่ใคร่น่าพึงใจ มิฉะนั้นผู้เป็นนายคงไม่แสดงอาการเช่นนี้
นายสังข์จึงไม่คิดถามอะไรต่อ คงมีเพียงความเจ็บแค้นไม่ต่างกันที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่คม พร้อมใจที่หมายมั่นจะทวงคืนอิสรภาพมาสู่แผ่นดินเกิดของตนให้จงได้
“หมื่นท่านขอรับ ออกพระท่านให้มาตาม ด้วยมีเรื่องอยากหารือเป็นการด่วนขอรับ”
หมื่นสุรเสนาพยักหน้ารับ ก่อนจะตบบ่าทหารคู่ใจที่ช้อนตามองตาม เห็นมันฉีกยิ้มซื่อๆ จนฟันดำเมี่ยมปรากฏอยู่ต่อหน้า ร่างสูงจึงสั่นศีรษะด้วยความขบขัน
ขาแกร่งก้าวเดินตามหลังนายทหารอีกคนที่ได้รับมอบหมายให้มาแจ้งข่าวไปยังกระโจมของผู้เป็นนาย ทั้งที่ยังไม่ได้จัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อที่สวมใส่ รอยเลือดสีจางจึงประทับเป็นวงกว้างอยู่อย่างนั้น จวบจนกระทั่งมาถึงที่พำนักชั่วคราวของผู้บังคับบัญชาโดยตรงของตน
“ไหว้ขอรับ ออกพระท่าน”
“มาแล้วฤๅ หายหน้าหายตาไปทั้งวันโดยมิมีคำบอกกล่าว หากอ้ายสังข์ไม่นำความมาเรียนข้าว่าเมื่อวานมีเรื่องเกี่ยวด้วยราชการบ้านเมืองไซร้ ข้าคงจักคิดว่าเอ็งใคร่ติดพันสาวใดอยู่เป็นแน่”
เสียงกังวานหยอกเย้าอย่างไม่ติดใจเอาความ แล้วจึงยกจอกใบน้อยที่บ่าวหญิงข้างกายส่งให้ขึ้นกระดกรวดเดียว รสสุราแสบร้อนไล่ลงไปตามลำคอ พอให้สีหน้าเหยเก ก่อนที่ร่างสมส่วนบนตั่งไม้จะขยับท่านั่งของตนใหม่ เพื่อเจรจากับขุนศึกในบังคับบัญชาของตน
“ท่านเจ้าคุณได้รับพระราชโองการมาอีกที จึงให้ข้านำความนี้มาแจ้งแก่พวกเจ้า”
ดวงตารียาวช้อนมองผู้พูด ตั้งใจฟังถ้อยคำที่ผู้เป็นนายจะบอกกล่าวแก่ตนในอีกไม่ช้า
‘พระศรีธรรมวงศา’ผู้ซึ่งเป็นนายสายตรง คุมกองทหารที่หมื่นสุรเสนาสังกัดอยู่นับแต่ครั้งยังประจำการอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยา เว้นวรรคไปชั่วอึดใจ แล้วจึงเร่งแจ้งข้อความตามที่ตนได้รับการกำชับมาแก่ผู้ใต้ปกครอง
“เราจักตั้งกองทหารสอดแนมเป็นเสือหมอบแมวเซา คอยสังเกตการณ์พวกข้าศึกแถบแนวชายแดน แลลอบฝึกสรรพยุทธ์แบบพวกพม่ารามัญ โดยมิให้เรื่องนี้แพร่งพรายไปถึงผู้ใด ท่านเจ้าคุณจึงให้ข้าเป็นธุระในการจัดหาคนที่เหมาะสมจักกระทำการนี้ ข้าเห็นว่าเจ้านั้นเคยอาสาไปยังเมืองเจ้าประเทศราชมาก่อน คงจักพอรู้กระไรติดตัวมาบ้าง จึงเห็นควรให้เจ้าเป็นผู้นำกองทหารในครานี้ เจ้าจักขัดข้องประการใดฤๅไม่เล่า”
“กองสอดแนมนี้จักต้องใช้กำลังพลกี่มากน้อย แลจักให้กระผมเดินทางเมื่อใดขอรับใต้เท้า”
“อีกสามราตรี...นอกจากอ้ายสมิงทออู ทหารมอญอาสาที่จักเดินทางไปด้วยแล้ว ที่เหลือข้าให้เจ้าเลือกเอาตามแต่ใจ ใคร่อยากจักใช้คนผู้ใด ก็สุดแต่ใจเจ้าจักปรารถนาเถิด พ่อทัดเอ๋ย”
เสียงทรงอำนาจว่า แล้วจึงยกมวนยาเส้นจรดริมฝีปากด้วยความพึงพอใจ รอยยิ้มในหน้าปรากฏขึ้น เพราะถ้อยคำที่ขุนศึกหนุ่มทวนถามนั้นเปรียบดั่งคำสนองรับโองการอยู่ในตัว ความโล่งใจจึงบังเกิดแก่ออกพระวัยกลางคน ด้วยถ้ามิใช่ทหารกล้าเบื้องหน้านี้แล้ว เขาก็มิรู้จะวางใจให้ผู้ใดรับหน้าที่อันแสนสำคัญนี้ได้อีก
ต่างไปจากผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีสีหน้าเครียดขึ้งชัดเจน หลังเสร็จสิ้นจากการรับคำสั่งแล้ว ร่างสูงจึงออกเดินไปยังจุดหมายที่ได้นัดแนะไว้กับสตรีอีกผู้ ใบหน้าหล่อเหลายุ่งเหยิงประหนึ่งคนคิดไม่ตก จนกระทั่งได้เห็นแผ่นหลังขาวนวลภายใต้สไบสีกลีบบัว คิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นจึงคลายลง
หมื่นสุรเสนากระชับดาบคู่ที่สะพายติดแผ่นหลังแล้วสืบเท้าเข้าหาแม่นางรำหน้าหวาน ที่หมุนกายกลับมาในจังหวะที่เขาหยุดยืนต่อหน้าหล่อนพอดี ดวงหน้าของสตรีจึงเกือบปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้าง
“อุ๊ย คุณพี่!”
ระดับส่วนสูงที่ต่างกันอยู่มาก ทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นมอง เห็นดวงตารียาวหลุบมองมาก่อนแล้ว แก้มใสพลันซับสีเรื่อ แล้วก้าวถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว เป็นท่าทางที่ทำให้นายทหารหนุ่มคันยุบยิบในใจชอบกล
“มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเทียวเจ้าค่ะ”
คำตำหนิจากกลีบปากสีเรื่อดังผะแผ่ว เพราะคนพูดนั้นก้มหน้ากดคางลงเสียจนแทบชิดลำคอ
“เป็นเจ้าที่ใจลอยเองเสียมากกว่ากระมัง หากเป็นโจรผู้ร้าย เจ้าคงมิเหลือรอดมายืนเจรจาอยู่เยี่ยงนี้ดอก”
ดวงตาวาววับตวัดมองเจ้าของวาจาเราะรายนั้นโดยพลัน ใบหน้างามซึ้งเชิดขึ้นประหนึ่งคนรั้น
หากนั่นเป็นกิริยาที่ชายหนุ่มคิดว่าน่ามองกว่าเวลาเจ้าหล่อนทำตัวเฉยชาเสมือนว่าไร้ความรู้สึกเสียเป็นไหนๆ รอยยิ้มน้อยๆ จึงค่อยแย้มพรายบนกลีบปากหยักลึกดั่งคนเผลอไผล ทั้งแววตาที่ทอดมองดวงหน้าของหญิงสาวก็อ่อนโยนลง จนเจ้าตัวคงไม่คาดคิดว่าตนเองจะเป็นไปได้ถึงเพียงนั้น
“คุณพี่...ยิ้มฤๅเจ้าคะ”
ความคิดเห็น |
---|