11

บทที่ 11 เมี้ยววว...


11

เมี้ยววว...

บุลลากลับมาพักฟื้นที่บ้านเป็นเวลาร่วมสองสัปดาห์แล้ว แต่ยังคงต้องใส่เฝือกเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เพียงสามวันแรกเท่านั้นพยาบาลพิเศษที่จ้างมาดูแลก็วิ่งแจ้นมาขอลาออก เนื่องจากทนรับอารมณ์เกรี้ยวกราดของคนป่วยไม่ไหว

โดยปกติหญิงสูงวัยเป็นคนชอบเข้าสังคม นางมีกลุ่มเพื่อนซึ่งนัดพบปะสังสรรค์กันเป็นประจำ กระนั้นการต้องมาติดแหง็กอยู่กับบ้านทั้งวัน ทั้งยังบาดเจ็บทำให้เดินเหินไม่คล่อง ต้องคอยระวังทุกย่างก้าว จึงไม่แปลกที่นางจะหงุดหงิดงุ่นง่านพาลไปเสียหมด สาวใช้จากเรือนใหญ่จึงเข็ดขยาดการเข้าใกล้ ไม่มีใครอยากมาอยู่รับใช้ที่เรือนริมน้ำสักคน พาพราวจึงขันอาสาด้วยเห็นว่าตนนั้นมีเวลาว่างระหว่างรอทำเรื่องจบ ซึ่งนอกจากศิลปนิพนธ์ที่ใกล้ผ่านการประเมินแล้ว คงเหลือเพียงงานแสดงภาพที่ต้องประสานงานกับอาจารย์ที่ปรึกษาอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในเดือนหน้าเธอก็จะก้าวผ่านจากรั้วมหาวิทยาลัยไปสู่โลกของการทำงานอย่างเต็มตัวเสียที

แม้คนป่วยจะค้านหัวชนฝาเหตุเพราะไม่ชอบขี้หน้าเธอ ทว่าพอโดนกัลยาตอกกลับ บุลลาจึงต้องจำยอม พาพราวรู้ดีว่านี่คงเป็นงานหนักไม่น้อย แต่เพราะความตั้งใจที่อยากชดเชยความผิด ด้วยคิดว่าตนอาจเป็นต้นเหตุของการบาดเจ็บครานั้น เธอจึงทุ่มเทและใส่ใจในการดูแลคนป่วยอย่างเต็มที่

หญิงสาวมาอยู่ดูแลบุลลาเป็นเวลากว่าสัปดาห์แล้ว แม้แรกเริ่มท่านยังคงต่อต้านการช่วยเหลือ ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามสักเท่าใด หลายครั้งที่ปฏิเสธ ด่าทอ แม้ไม่รุนแรงถึงขั้นตะคอกขึ้นเสียง ทว่าถ้อยคำก็ทำให้คนฟังระคายหูได้ไม่น้อย ครั้นหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจเรื่องใดก็พาลหาว่าเธอเป็นต้นเหตุของเรื่องแย่ๆ เสียอย่างนั้น เธอทำใจไว้แล้ว และเพียงสัปดาห์กว่าคนเป็นป้าก็เพลาลงมาก อาจไม่ถึงขั้นญาติดีด้วย ทว่าก็เลิกกระแนะกระแหนกันแล้ว ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดี

“จับดีๆ นะคะ” พาพราวบอกคนป่วยให้เดินอย่างระมัดระวังขณะประคองพาไปนั่งที่ริมชานบ้าน แม้เธอพยายามแย้งท่านเรื่องที่หมอสั่งห้ามไม่ให้เดินลงน้ำหนักที่เท้ามาก ทว่าฟังเสียที่ไหนล่ะ ยืนยันจะเดินออกมาให้ได้ท่าเดียว

“เดินช้าๆ หน่อยสิ” นางเอ่ยเสียงติดจะหงุดหงิดเล็กน้อย

“คุณป้านั่งตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวพราวไปเอาผลไม้มาให้” พยาบาลจำเป็นจัดท่าจัดทางจนมั่นใจว่าท่านนั่งได้ที่แล้ว จึงทำท่าจะผละไปทางครัวอีกฝั่งของเรือน

“ไปสิ จะไปไหนก็ไป ฉันขออยู่เงียบๆ สักพัก” คนฟอร์มจัดไล่ส่งๆ ก่อนจะทุ่มความสนใจไปที่เครื่องมือสื่อสารบนตัก

เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวจึงเดินออกไปด้วยกิริยานอบน้อม วันนี้จิตตรีพากัลยาไปตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาลแต่เช้า จึงไม่มีใครอยู่ที่เรือนริมน้ำสักคน เธอจึงต้องทนรับศึกหนักกับคนป่วยเพียงลำพัง

ระหว่างมือบางกำลังสาละวนกับการปอกเปลือกผลไม้อย่างตั้งใจ ใครบางคนก็แอบย่องเข้ามาทางด้านหลัง ก่อนจะรั้งเธอไปสวมกอดอย่างไวไม่ทันให้ตั้งตัว ทั้งยังฉวยโอกาสหอมแก้มใสอย่างเอาแต่ใจ ดีที่เธอยั้งมือไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงมีคนโดนแทงเลือดอาบคาครัวเป็นแน่

“พี่วิน! เล่นอะไรคะ เห็นไหมว่าพราวถือมีดอยู่” เธอรีบวางของมีคมในมือทันที ก่อนจะดันแขนเขาออกห่าง

“พี่ขอโทษ” น้ำเสียงออดอ้อนสิ้นดี

“ถอยไปไกลๆ ก่อนค่ะ”

“พี่คิดถึง พราวหนีมานอนที่นี่ตั้งหลายคืน พี่เหงาจะตายอยู่แล้ว อยากนอนกอด...”

พาพราวรีบหันตัวมาตะครุบปิดปากเขาไว้ เกรงว่าคนตัวโตจะหลุดพูดอะไรที่ไม่สมควรออกมา “ห้ามพูดนะคะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน” เมื่อมั่นใจว่าเขานิ่ง เธอจึงยอมผละมือออกห่าง แล้วหันมาจัดการงานครัวต่อ

“ไม่มีใครได้ยินหรอกน่า ป้านิ่มนั่งอยู่ที่ชานบ้านฝั่งโน้น อยู่ตั้งไกล ไม่ได้ยินหรอก”

“อย่าพูดอีกนะคะ พราวขอ” เธอยังคงวุ่นวายอยู่กับผลไม้ในมือ ขณะปากก็เอ่ยขอเขาไป

“ถ้าพราวขอ พี่ก็จะให้” ชายตัวสูงกระซิบเสียงเบาที่ข้างหู ก่อนจะเดินออกไปพ้นบริเวณโดยไว

ครั้นหันมองอีกครั้ง เขาก็จากไปเสียแล้ว แม้งุนงงท่าทีว่าง่ายนั้น แต่หญิงสาวขี้เกียจสนใจ รีบจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จดีกว่า เกรงว่าบุลลาจะบ่นเอาได้

ระหว่างพาพราวถือจานผลไม้ออกไป ไม่วายมีมือดีดักตะครุบปิดปากเธอไว้ ฉุดลากเธอเข้าไปในห้องหนังสือ ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เธอจำกลิ่นกายเขาได้ ชายหนุ่มทำทุกอย่างราวกับโจรดักฉุดมืออาชีพ กว่าเธอจะขัดขืนออกจากอ้อมกอดรัดรึงนั่นได้ ประตูห้องก็ถูกปิดลงเสียแล้ว

“อื้อ...พี่วิน” เธอขยับห่าง ทว่าคนไวกว่าก็ตามมายุ่มย่ามอีกจนได้ “ปล่อยนะ” คนโดนฉุดดิ้นขลุกขลักขณะพยายามประคองจานผลไม้ไม่ให้ร่วงหลุดมือ

“ไม่ปล่อย ตะกี้พราวขอพี่เองนะ”

“บ้า...พราวไม่ได้ขอแบบนั้นซะหน่อย” ถ้าเขาจะหน้ามึนตีความไปในทางนั้นได้ขนาดนี้ เธอก็ไม่มีอะไรจะพูด

“เอาเถอะ พี่อยากให้” ไม่ได้รอคำตอบเลยว่าอีกคนอยากรับหรือเปล่า

คนอยากให้จนตัวสั่นแย่งจานผลไม้จากมือบางไปวางยังโต๊ะใหญ่กลางห้อง ก่อนจะต้อนหญิงสาวให้เดินถอยหลังไปชิดยังผนังไม้สีเบจ โน้มใบหน้าเข้าใกล้จนเกือบแนบชิด หลับตาสูดเอากลิ่นอายบางอย่างที่แสนคะนึงถึง ลวงสะกดให้เธอหยุดนิ่งด้วยท่าทางอ่อนโยน

เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นคนเจ้าเล่ห์ก็ทำตามใจนึกคิด ยื่นเรียวปากเข้าหา พร่าเธอด้วยจุมพิตลึกล้ำ ครั้นเห็นเธอไม่ต่อต้านมากนักก็ยิ่งย่ามใจ ขยับเข้าใกล้อีกนิด กระชับกอดจนรับรู้ถึงเรือนร่างกันและกัน เก้าวันคือเวลาที่ต้องห่างหาย จูบนี้จึงมากมายไปด้วยความคิดถึง ตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้พบหน้าทำเอาเขาแทบจะคลั่งตายเสียให้ได้ ทว่าโพรเจกต์ใหญ่ที่เพิ่งได้รับมอบหมายก็สำคัญ ความรับผิดชอบจึงค้ำคอชายหนุ่มไว้ ในแต่ละวันต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ครั้นกลับเข้ามาก็เป็นเวลาเข้านอนของคนอื่นๆ เสียแล้ว หากจะบุกมาหาเธอก็เกรงใจคนสูงวัยในบ้าน จึงทนเก็บความคิดถึงไว้ รอให้จบงานแล้วค่อยมาจัดการทีเดียว

หลังจากถอนจุมพิต คำหวานถูกเอ่ยด้วยเสียงเพียงกระซิบ “คิดถึง”

หญิงสาวตอบรับคำพูดนั้นด้วยการหลับตาลง มีกระแสบางอย่างแล่นจี๊ดลงไปที่ใจกลางความนึกคิด อิทธิพลจากคำเพียงสองคำนั้นช่างร้ายกาจ พาใจเธอหวั่นไหวสิ้นดี

มีหรือชายหนุ่มจะยอมปล่อยโอกาสให้พ้นไป คนเอาแต่ได้อาศัยจังหวะนั้นป้อนความหวานซ้ำลงอีกระลอก เสียงสูดลมหายใจเข้าแรงๆ ทำเธอหวิว ปลายจมูกเขายังคงคลอเคล้าเร้าเธออยู่ไม่ห่าง ต้นคอเนียนระหงขาวจัดจึงถูกเขายึดครองในเวลาต่อมา

“อื้อ...ปล่อยก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณป้าสงสัย” เธอเกร็งกายต้านสัมผัสชวนหวามนั่นอย่างไม่คิดยอมแพ้ แม้จะมองไม่เห็นเส้นชัย คล้ายอย่างไรก็รู้ว่าตนสู้เขาไม่ได้ แต่จะให้ยินยอมก็ใช่ที่ หลังความใกล้ชิดในคืนนั้น เธอยอมรับว่ามันทำลายขนบบางอย่างที่ควรยึดถือ สั่นคลอนความเชื่อมั่นในใจเธอเรื่อยมา

เพราะเคยได้มาก เขาจึงต้องการอะไรที่มากกว่า ลืมไปเสียสนิทว่าอยู่ที่ใด เวลาใด หน้ามืดถึงขั้นโน้มน้าวเธอเพื่อนำพาไปสู่อะไรที่แสนอันตราย ความยับยั้งชั่งใจไม่มีเหลือ ฝ่ามือหนาจึงเลื้อยไปทั่วทุกส่วนสัดที่ต้องการ แม้มีปราการครบทุกชิ้น ทว่ามือร้ายก็นำพาความร้อนแล่นระอุไปทั้งสรรพางค์กาย คนไร้ประสบการณ์จึงลดกำลังต่อต้านลงตามฤทธิ์อารมณ์ที่ถูกปลุกเร้า ไม่รู้เพราะเธอยังใหม่หรือเพราะเขาเชี่ยวชำนาญเกินไป เธอจึงอ่อนไหวอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาได้ไม่ยาก

“พี่คิดถึงพราวมากนะ” มีหรือชายคนนี้จะไม่รู้จุดอ่อน เขายังคงป้อนอารมณ์หวานเติมเชื้อไฟลงไปเพิ่ม หวังให้เธอเคลิบเคลิ้มจนลุ่มหลง เดรสสีหวานบนเรือนร่างอรชรช่างเป็นใจให้ชายหนุ่มนัก

“อื้อ...อย่านะคะ” เธอวิงวอนเสียงหวาน รู้ว่าอันตรายอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว

มือแกร่งแตะต้องลงบนเรียวขานุ่มนวล กรีดกรายไล้เล่นจนเธอแทบยืนไม่ไหว ก่อนนิ้วร้ายจะขยับขึ้นสูงจนชายกระโปรงร่นขึ้น เพียงไม่นานซับในสีหวานก็ถูกเกี่ยวลงไปในชั่วลมหายใจเดียว เขาก้มลงยกปลายเท้าเธอขึ้นจากพื้นด้วยกิริยาอ่อนโยน แล้วดึงเอาปราการชิ้นบางให้หลุดพ้นไป

“ไม่เอานะคะ” ใช่ว่าไม่รู้ตัว ใช่ว่าไม่ต่อต้าน แต่ทุกอย่างไม่อาจอยู่ในการควบคุม ใจหนึ่งก็หลงเคลิ้ม ทว่าอีกใจก็รู้ว่าไม่ควร

“ไม่เอาเหรอ” เขายืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนตวัดแขนเข้าที่บั้นเอวบอบบาง ออกแรงรั้งเพียงนิดให้ชิดกัน เพื่อให้วงหน้าหวานแหงนหงายขึ้นมองเขา

จูบแสนหวานยังไม่อันตรายเท่าสายตาออดอ้อนจากเขา เธอจึงพ่ายแพ้ยับเยิน ก่อนเขาจะตอกย้ำชัยชนะด้วยการรุกล้ำเข้าไปยังส่วนหวามไหว นิ้วร้อนสัมผัสเธอไว้ด้วยจังหวะแสนร้าย ขยับไล้ส่วนนั้นของเธออย่างไม่เกรงใจ

“พราวพร้อมแล้วใช่ไหม” เพราะสิ่งที่เขาทำส่งผลให้เธอไร้สุ้มเสียงโต้แย้ง ส่วนสัมผัสกลางกายทำใจเธอเต้นแรง ทว่าพอเธอเงียบงัน เขาก็ยิ่งจู่โจมท้าทาย คล้ายกำลังสื่อสารกันด้วยการเคลื่อนไหวนิดๆ ใต้ชายกระโปรงนั่น

“อื้อ...” คนโดนปลุกเร้าต้องใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อเก็บกลั้นเสียงรัญจวนน่าอาย ซ้ำร้ายเธอยังเผลอไผลยอมให้เขาในเวลากลางวันเช่นนี้ แสงอาทิตย์เจิดจ้าพาให้ตระหนักชัดได้ว่าตนนั้น...ง่ายเพียงใด

ความละอายใจแล่นไปตามเส้นเลือดสาว ผสมเคล้ากับความหวามไหวที่ถูกกระตุ้นเร้า เขาไม่ผ่อนปรนให้เธอเลยสักกระผีกริ้น

คิ้วบางขมวดมุ่นจนเกือบจะเป็นเส้นตรง นัยน์ตาหวานปรือเยิ้มขณะมองเขา เรียวปากอิ่มเม้มขบเข้า กวินภัทรอดใจไม่ไหวจนต้องกดริมฝีปากเข้าหา ดูดกลีบปากล่างของเธออย่างเย้ายวน ก่อนผละออกในเสี้ยววินาทีต่อมา

“ห้ามร้องดังนะพราว” ชายหนุ่มเตือนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม อันเป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ร้าย เพราะภายใต้กระโปรงสีหวานเขายังคงควานเข้าหาความฉ่ำหวานแสนอ่อนไหวไม่เลิกรา

“พี่วิน...” ระหว่างจมอยู่ในห้วงอารมณ์ร้อน ประโยคใดก็ไร้ความหมาย มีเพียงเสียงขับขานและการเรียกชื่อผู้นำพาซ้ำๆ

เสียงหวานซึ่งครางกระซิบชิดใกล้ปลุกปั่นให้เขาต้องเพิ่มการขยับไหว เบียดนิ้วชายหมายจะเข้าไปในความนุ่มแน่นของเธอ “พี่ขอเข้าไปนะ...นะครับ” ไร้เสียงตอบรับ ทว่าแรงบีบรัดชัดเจนทำใจเขากระตุกเต้น

เธอตอบรับการบุกรุกนั้นด้วยเสียงหวีดสะท้านและการสะดุ้งกายกอดเขาไว้แน่น

“อะไร นี่แค่นิ้วเองนะ” จังหวะตอบรับจากเธอทำให้เขาอดจินตนาการไปไกลไม่ได้ จะรู้สึกดีแค่ไหนหากเป็น...

“อื้อ...เบาๆ นะคะ มันเหมือนจะเจ็บ” เสียงเธอต่ำพร่าอย่างที่ไม่เคยได้ยิน

“บอกให้พี่เบา แต่พราว...” คนตัวโตแกล้งเย้า “...ขยับหาพี่จัง นิ้วพี่ช้ำหมดแล้วมั้งเนี่ย ยังเจ็บอยู่ไหมครับ

“บ้า...” เธอหลบตาไม่กล้ามองหน้าเขา ครั้นเห็นอาการเธอก็เบาใจ คนเจ้าเล่ห์จึงเพิ่มระดับปลุกเร้า หวังเร่งให้เธอไปถึงยังเส้นชัยที่ปรารถนา ส่งแววตาหวานเชื่อมทอดมองใบหน้าพริ้มเพรา ซึ่งเธอยังคงไม่กล้ามองกัน

กวินภัทรจึงแกล้งหยุดเพื่อเย้า เท่านั้นเองเขาจึงได้สบกับนัยน์ตาหวานรื้นซึ่งเต็มล้นไปด้วยแววเว้าวอน ขับให้เขาต้องเร่งเร้าตามคำขอของเธอ

“...พี่วิน” คนปริ่มสุขกำลังครวญสะท้านเมื่อได้พานพบกับฝันแสนหวามไหวที่เขามอบให้ ก่อนใจกลางความอุ่นนุ่มของเธอจะยื้อเขาไว้ด้วยจังหวะกระตุกเต้น ชายหนุ่มอยากคงค้างอยู่อย่างนั้นไม่อยากถอดถอน

“ของจริงเสียวยิ่งกว่านี้อีก อยากลองยัง” กวินภัทรเชื้อเชิญเธอด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ กระซิบกระซาบราวกำลังบอกความลับขั้นสุดยอด

“...!” เปลือกตาสีอ่อนเปิดขึ้นทันใด มองชายมากชั้นเชิงอย่างตื่นไหว ตกตะลึงและเขินอายสุดจะกล่าว

“ยังไม่อยากเหรอ อยากเมื่อไหร่บอกพี่นะ...พี่พร้อม” การย้ำชัดความพร้อมของเขาช่างน่าหวาดหวั่นสิ้นดี

“ปล่อยก่อนค่ะ” เธอคงไม่กล้ามองหน้าใครหลังจากนี้เป็นแน่ ช่างไร้ยางอายสิ้นดีที่ยินยอมให้อะไรๆ ดำเนินมาไกลจนถึงจุดนี้

“เธอ! เธอ! ออกมานี่ที” เสียงประกาศิตแหวกบรรยากาศหวามไหวให้คลาคลายลงทันที หญิงสาวตัวสั่นเครือ ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ทำเอาชายหนุ่มนึกเอ็นดู

“พราวออกไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป” เขาตัดสินใจให้พลางลูบไล้ใบหน้าซับสีระเรื่อด้วยมือข้างเดียว จัดชุดสีหวานให้เรียบร้อย ก่อนเดินไปหยิบจานผลไม้ส่งให้และดันกายเธอเบาๆ ให้เดินออกไป

“มัวทำอะไรอยู่ตั้งนานสองนาน ฉันเรียกจนคอจะแตกแล้ว” บุลลาเอ็ดเสียงเบาคล้ายไม่จริงจังมากนัก เนื่องจากดวงตาหลังกรอบแว่นขอบทองกำลังจดจ้องอยู่ที่จอโทรศัพท์มือถือ

“เอ่อ...ปอกผลไม้อยู่ค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่วค่อยพลางวางจานลงบนโต๊ะไม้ตัวเล็ก

“ไปเก็บพัดมาให้ที ตะกี้มันปลิวไปทางโน้น” นางเอ่ยบอกพร้อมพยักพเยิดไปยังทิศทางที่ว่า

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ และเดินไปเก็บพัดสีน้ำตาลอ่อนซึ่งปลิวไปตามแรงลม ล้อไปกับยอดหญ้า ทว่าบางอย่างทำให้เธอต้องหยุดฝีเท้า ความวูบโหวงแสนเย็นเยียบทำให้รู้ว่าตน...ลืมอะไรบางอย่างไว้ในห้องหนังสือ มือบางจึงจับชายกระโปรงรวบไว้ เกรงจะพลิ้วไสวไปกับกระแสลม ก่อนจะเดินกระมิดกระเมี้ยนกลับมาหาหญิงสูงวัย

“อ้าว! ตาวิน มาตอนไหนลูก” นางละสายตาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมแล้วหันมองหลานชายที่เพิ่งมา ซ้ำยังมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง

“เพิ่งมาตะกี้ครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงปกติ ไร้ท่าทางพิรุธ ผิดกับเธอเหลือแสน

บางครั้งพาพราวก็นึกหมั่นไส้เขาขึ้นมาตงิดๆ ทำไมเขาช่างตีหน้าซื่อได้เก่งกาจเช่นนี้

“มากินแอปเปิลกับป้ามา แม่นี่เขาไปปอกชาติเศษกว่าจะได้”

“มันปอกยากมั้งครับ กว่าจะ ‘เสร็จ’” ท้ายเสียง...คงมีแต่เธอเท่านั้นที่เข้าใจความนัยที่เขาต้องการสื่อ คนบ้า!

หญิงสาวประหม่าเกินกว่าจะอยู่ตรงนี้ต่อไปได้ กายสาวจึงขยับอย่างกระสับกระส่าย ไม่มั่นใจเมื่อไร้สิ่งสำคัญ แถมเขา...เจ้าของความร้ายกาจนั่นยังแอบยิ้มมุมปากให้กัน อาศัยช่วงเวลาที่คนเป็นป้าทุ่มความสนใจให้เครื่องมือสื่อสาร กวินภัทรชูบางสิ่งบางอย่างในกำมือขึ้น สิ่งซึ่งมันควรอยู่กับเธอ

ม่านตาหวานขยายวาบขึ้นทันใด มองชายหนุ่มด้วยความอึ้งงัน ก่อนตาหวานจะดุดันขึ้นเล็กน้อย ปรามให้เขารีบเก็บมันโดยไว ชายหนุ่มจึงยอมเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง

เธออายจนอยากร้องไห้ ความร้อนผ่าวมหาศาลแล่นพล่านไปทั้งกายสาว

“คุณป้าคะ...พราว พราวขอตัวไปหยิบของในห้องสักครู่นะคะ” เธออึกอักจนกวินภัทรต้องแอบขำในลำคอ

“นี่! ฝากไปดูทีนะ ตะกี้ฉันได้ยินเสียงกุกกักแถวบันได ไม่รู้แมวบ้านอื่นแอบเข้ามารึเปล่า” คนแก่ก็ว่าไปเรื่อย ไม่ได้จริงจังสักเท่าใดนัก

“ท่าจะตัวใหญ่นะครับ เสียงดังมาถึงนี่เชียว” เขายังมิวายหาเรื่องแกล้งกัน

“แมวขโมยมั้งคะ” หญิงสาวเผลอพูดเสียงแข็งไปอย่างลืมตัว เพราะเขาชอบทำให้เธอว้าวุ่นอยู่คนเดียว

“อะไรนะ! ขโมยอะไร” คนหัวหงอกไม่รู้เรื่องรู้ราวกับสองหนุ่มสาวได้แต่งงงวยตามไม่ทัน

“ปะ...เปล่าค่ะ”

“อาจมีสองตัวรึเปล่าครับป้า พวกตัวผู้ตัวเมียมันชอบแอบมาคลอเคลียกัน”

สิ้นคำนั้น ชายหนุ่มจึงได้แววตาข่มขู่จากคนตัวเล็กเป็นของตอบแทน ซึ่งนานครั้งจึงจะมีมาให้เห็นสักที มันเขี้ยวนัก อยากจะแกล้งให้เธอเผลอลืมตัวบ่อยๆ เป็นแบบนี้แล้ว...น่ารักดี คนขี้แกล้งแอบคิดแผนไว้ในใจนับสิบ

พาพราวระอาเขาเหลือทน เบื่อคนที่ชอบแกล้งให้เธอหวั่นวิตกร่ำไป เกลียดที่เขาเอาแต่เล่นสนุกกับความกลัวของเธอ ซ้ำยังไม่เคยสำนึก หญิงสาวทนมองดวงตาวาววับของเขาไม่ไหว จึงรีบผละเข้าเรือนไปโดยไว

เท้าเปลือยเปล่าก้าวไปตามกระเบื้องลายโบราณ พุ่งตรงไปยังห้องนอนเฉพาะกิจของตน ปิดประตูไม้บานเฟี้ยมไม่เบามือนัก ก่อนก้าวไปหาสิ่งซึ่งถูกใครบางคนยึดครองไป หยิบชิ้นใหม่ขึ้นสวมด้วยใจสั่นไหวแปลบปลาบ วูบวาบยามสำนึกได้ชัดแจ้งว่าตนยินยอมเขาถึงเพียงไหน ทำไมร่างกายกับความคิดจึงสวนทางกันเช่นนี้

หากเป็นแบบนี้คงไม่แคล้วต้องพลาดพลั้งในสักวัน แม้รู้แน่ชัด แต่ก็ยากเกินหลีกหนี ส่วนหนึ่งเพราะยอมรับว่าตนเองก็ง่ายจนน่าหวั่นใจ ได้แต่ภาวนาให้ตนนั้นใจแข็งพอจะต้านทานเขาได้ นัยน์ตาหวั่นไหวมองตนเองในกระจก อายเกินกว่าจะกล้าสบตาตัวเอง ใบหน้าเธอขึ้นสีจัด แดงระเรื่อและมีเหงื่อผุดพรายราวกับไปวิ่งรอบสนามกลางแดดเปรี้ยง กระโปรงยับย่นจนอดคิดถึงสาเหตุของมันไม่ได้ มวลความร้อนผ่าวมากมายเห่อล้นขึ้นอีกครา พาพราวได้แต่หลับตา ตั้งสติ ก่อนก้าวออกไปเผชิญหน้ากับคนที่ทำเธอแทบเป็นบ้าต่อ

 

เย็นวันหนึ่งหลังเวลาเลิกงาน รินรดาถูกนัดให้มาพบรุ่นพี่สาวที่ข้างตึก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่จอดรถนัก

“หัดแต่งตัวให้มันดีๆ หน่อย” ทันทีที่ลับตาคน สินีนาถก็เปิดฉากด้วยคำเตือนแข็งกร้าว

“รินทำอะไรผิดเหรอคะ” รินรดากะพริบตามองอย่างงุนงง หน้าตาไม่บ่งบอกว่าเข้าใจเลยสักนิด

“กล้าถามนะ! คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ...ว่าแกแอบปลดกระดุมเสื้อโชว์นมให้แฟนฉันดู” คนเหนือกว่าด้านความสูงมองกดลงมายังหน้าอกหน้าใจของผู้หญิงไร้ยางอาย เหยียดยิ้มที่แม่นี่ยังคงภาพพจน์แสนดีกระทั่งบัดนี้

“เปล่านะคะ รินจะทำแบบนั้นไปทำไม” คนถูกกล่าวหาปฏิเสธพลางส่ายหน้าไม่ยอมรับคำว่ากล่าว

“ทำไปทำไมฉันไม่รู้ แต่แกทำไปแล้ว! ไม่มีปัญญาหาผัวเองเหรอไง ถึงได้มานั่งอ่อยของของคนอื่นเขาไปทั่ว หรือว่า...คันมาก” วาจาร้ายถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากสีแดงเข้ม เจ้าของคำพูดเดินวนรอบกายสาวที่เอาแต่ยืนนิ่ง

รินรดาก้มหน้าต่ำไม่กล้าสู้สายตา จับกระโปรงของตัวเองไว้แน่น ทำท่าราวกับหวาดกลัวสินีนาถหนักหนา

“กระโปรงสั้นๆ ที่แกพยายามถลกขึ้นให้ผู้ชายในออฟฟิศดูน่ะ อย่าคิดว่าไม่มีใครเห็น” ดวงตาเฉี่ยวกวาดมองอาการเสแสร้งของรุ่นน้องตรงหน้าด้วยแววดูแคลน

“รินไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นนะคะ” นัยน์ตาเธอแดงก่ำ วาวรื้นราวกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“เหรอ...ไม่ได้ตั้งใจเหรอ ต้องแก้ผ้าหมดตัวก่อนเหรอไง แกถึงจะบอกว่าตั้งใจ!”

“อย่าใส่ร้ายรินนะคะ”

“โถๆ แอ๊บใสเป็นคุณหนูรินรดาผู้น่าสงสาร” คนบริภาษยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนกระซิบเสียงเย็น “ที่แท้ก็เป็นแค่...คนใช้ ทำไม! โกรธเหรอ” เธอผละห่างพลางยืดตัวขึ้น ยิ้มสะใจยามเห็นใบหน้าของคนที่เผลอหลุดอาการ

“หยุดพูดนะคะ!” มือบางกำแน่นจนเกร็งเครียด พยายามเก็บกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองที่ลุกโชน

“มีอะไรกันรึเปล่า” เสียงทุ้มดังแทรกบทสนทนาร้อนแรง กวินภัทรกำลังจะกลับบ้าน ทว่าระหว่างเดินไปยังลานจอดรถเขาก็บังเอิญเห็นเหตุการณ์ที่ดูคล้ายจะไม่ปกตินี่เสียก่อน สังเกตอยู่สักพักจึงโผล่ออกมาขัดจังหวะ ด้วยเกรงว่าอาจจะนำไปสู่ความรุนแรง

สินีนาถซึ่งยืนหันหน้ามาทางเขามองตอบชายหนุ่มแวบหนึ่ง ก่อนกระซิบขู่คู่กรณีเสียงเย็น “ฝากไว้ก่อนเถอะ...ไม่มีอะไรค่ะคุณวิน แค่เคลียร์งานกันนิดหน่อย” ก่อนเธอจะเดินตรงไปยังจุดที่เจ้านายหนุ่มยืนอยู่ โค้งให้เล็กน้อยแล้วเดินพ้นไป

รินรดายังคงหันหลังให้เขา ไหล่ไหวสะอื้นราวกับร้องไห้อย่างหนัก เธอยกมือขึ้นบีบแก้มตัวเองจนช้ำ กระชากกระดุมเสื้อเชิ้ตจนหลุดเห็นบราเซียร์ด้านใน แล้วจึงค่อยๆ หันกายไปหาชายหนุ่ม...ด้วยสภาพราวกับถูกทำร้ายร่างกาย “คุณวิน...”

“ริน!” เขารีบหันหลังหนีทันทีเมื่อเห็นว่าสาบเสื้อเธอแบะอ้าโชว์อะไรต่อมิอะไร

“อุ้ย!” เธอแกล้งตกใจและพยายามจับสาบเสื้อกำไว้แน่นเพื่อปกปิดเนินอกของตัวเอง

“มีเรื่องกันเหรอ” กวินภัทรรีบถอดสูทของตนส่งให้เธอทั้งที่ยังหันหลัง โชคดีที่วันนี้เขามีนัดคุยกับคู่ค้ารายสำคัญพอดี จึงแต่งตัวภูมิฐานกว่าทุกวัน

มีเพียงเสียงสะอื้นให้ได้ยิน รินรดารับเสื้อจากชายหนุ่มไปคลุมไหล่ไว้ กลิ่นกายเขาช่างหอมเย้ายวนใจเธอนัก

“ฉันจะกลับบ้านพอดี ไปด้วยกันไหม” คงเป็นการใจร้ายเกินไปหากปล่อยเธอกลับคนเดียวในสภาพนี้

...

รอกระทั่งเธอคลายสะอื้นลง คนที่ขับรถอย่างเงียบๆ มาตลอดทางจึงเริ่มถามขึ้น “ตกลงมีเรื่องอะไรกัน”

“พี่นาถเธอ...เธอดูถูกว่ารินเป็นแค่คนใช้ แต่งตัวเฉิ่มเชยเหมือนไม่มีปัญญาซื้อเสื้อผ้าดีๆ มาใส่” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงร้าวราน

“หือ...เรื่องนี้เหรอ” กวินภัทรแทบไม่เชื่อหู นอกจากดูถูกกันแล้ว เหตุใดจึงต้องลงไม้ลงมือขนาดนี้ ทว่าเขาเองก็ไม่รู้นิสัยใจคอของอีกฝ่ายเท่าใดนัก จึงไม่อยากตัดสินความผิดใคร อาจมีปัญหาระหว่างผู้หญิงที่ยากเกินเข้าใจซ่อนอยู่

 “พี่นาถน่ากลัว รินขอย้ายไปทำงานกับคุณวินได้ไหมคะ”

“ไม่ได้หรอก ตำแหน่งงานไม่ใช่จะโยกย้ายกันได้ง่ายๆ ตามอำเภอใจ ทุกอย่างมีระบบระเบียบ ฉันว่ารินลองปรับตัวอีกหน่อย อะไรๆ คงดีขึ้น”

“เอานี่ไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่นะ ลองดูที่เหมาะสมกับตัวเอง” ขณะจอดรถรอสัญญาณไฟจราจร ชายหนุ่มยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้เธอ มากพอสำหรับซื้อเสื้อผ้าเกรดระดับกลางได้หลายสิบชุด

“ไม่เอาค่ะ รินเกรงใจ”

“รับไปเถอะน่า ถือว่าฉันช่วย”

“ขอบคุณค่ะ” ในใจเธอกำลังเบ่งบานราวกับมีหยาดน้ำหวานอาบชโลม คุณวินของเธอดีที่สุดเสมอ

 

ตกดึกคืนนั้นรินรดาจึงใช้เวลาอยู่กับคุณวินของเธอ

“คุณวินขา” หญิงสาวเรียกเขาเสียงหวานพลางจ้องมองนัยน์ตาคมเข้มชวนลุ่มหลง สูดดมกลิ่นหอมเย็นสะอาดจากเสื้อสูทสีเข้มจนช่ำปอด

อุ้งมือกอบกุมขยุ้มทรวงอกของเธอไว้ บดปลายถันชูชันอย่างเร่งเร้า ก่อนเสียงหวีดครวญจากปากอิ่มจะดังเป็นระยะ กายสาวบิดส่ายไปมาบนที่นอนเล็กของตน แอ่นสู้สายตาชายที่กำลังจดจ้องกันไว้ พลางเลิกชายกระโปรงของตนขึ้นสูง เปิดเปลือยชั้นในสีเข้มแก่สายตาเขา ก่อนสลัดมันทิ้งจนพ้นปลายเท้า ยั่วเย้าให้เขามองบางอย่างแสนลึกลับ

“รินสวยไหมคะ” ครั้นส่วนหวิวไหวถูกจู่โจมด้วยปลายนิ้วร้อน เจ้าของเรือนร่างอิ่มก็ยิ่งตอบสนองอารมณ์ที่กำลังทะยานซ่านอยู่ในกาย ขยับไหวรับกับสัมผัสร้อนที่กึ่งกลางความรู้สึก

“อา...” เสียงหวานครางสะท้านไม่ขาดสาย ระหว่างเพิ่มจังหวะรุกล้ำให้ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ สบตาชายหนุ่มซึ่งเขามองเธอมาอยู่ก่อนแล้ว จ้องลึกลงไปในดวงตาที่เธอหลงรัก ก่อนบางอย่างในกายจะระเบิดพร่างพราวราวกับห้วงฝันพร้อมเสียงครางลากยาวยามสุขสม

รินรดาทิ้งกายลงนอนอย่างเบาสบาย ผ่อนคลายฤทธิ์อารมณ์ร้อนรัก กดใบหน้าเข้าหาสูทเนื้อดี หายใจเข้าเอากลิ่นกายชายหนุ่มซึ่งลอยอบอวลกระตุ้นอารมณ์เธอเหลือจะกล่าว

เพียงนึกถึงเขา ความรัญจวนในส่วนลึกลับก็เร่งเร้าเรียกร้องให้ต้องสนองตอบ แม้ในจินตนาการเธอยังรู้สึกได้ว่าเขาช่างน่าหลงใหล ฝันว่าวันหนึ่งวันใดคงได้ทอดกายลงนอนเคียงข้างร่างหนาที่เธอใฝ่ฝันหาทุกขณะจิต

มือบางเอื้อมขึ้นลูบไล้รูปถ่ายของชายที่เธอรัก ภาพของเขาถูกแปะหราอยู่ที่ฝาผนังข้างเตียงนอนน้อย ก่อนเจ้าของห้องจะทอดมองภาพนั้นด้วยสายตาเสน่หา ไม่นานก็หลับลงเพื่อรอพบเขาในความฝันดังเช่นทุกค่ำคืน

 

เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้วที่พาพราวมาอยู่ดูแลบุลลาอย่างใกล้ชิด เธอตัดสินใจหอบข้าวของมานอนเฝ้าคนป่วยในยามวิกาลด้วย ทว่าคนเป็นป้ากลับไม่ชอบให้มีใครเกะกะสายตาในห้องส่วนตัว พยาบาลจำเป็นจึงต้องย้ายตัวเองออกมาจับจองห้องนอนด้านข้างแทน คอยฟังเสียงเรียกหายามดึกดื่น บ้างก็อยากดื่มน้ำ อยากเข้าห้องน้ำ อยากให้เธอช่วยหยิบสิ่งของบางอย่างให้ หรือคืนไหนนอนพลิกผิดท่าก็เรียกให้ไปช่วยบีบนวดคลายเส้นบ้าง

แม้ผ่านมาหลายค่ำคืน ทว่าเธอก็ยังไม่คุ้นชินเสียที เรือนไม้เวลากลางดึกมักมีเสียงเสียดสีแปลกๆ ดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ คนขี้กลัวจึงต้องนอนเปิดโคมไฟหัวเตียงไว้ตลอดจนรุ่งสาง แต่เวลานี้เสียงนั้นกลับรบกวนความนึกคิดของเธอจนเริ่มหวั่นวิตก หวาดกลัวบางสิ่งซึ่งไร้ตัวตน จินตนาการผสมกับความหวาดหวั่นทำให้เธอเริ่มคิดไปไกล ทั้งยังเสียงกุกกักดังเกินปกติ และ...เสียงฝีเท้าเดินลงส้นอยู่ไม่ไกล พาให้ยิ่งผวาหนัก พาพราวรีบหลับตา สวดมนต์ขณะคลุมโปงแน่น

ตุ้บ!

เสียงคล้ายของหนักหล่นกระทบพื้น ดังจนไม่อาจทนนอนนิ่งเฉย เธอทำใจอยู่นานกว่าจะกล้าเลิกผ้าห่มขึ้นมองไปทางต้นเสียง...ที่ริมหน้าต่าง

“เมี้ยววว...เมี้ยววว”

ฟองดู! ต้องเป็นเจ้าฟองดูแน่ๆ แมวสีขาวลายน้ำตาลที่ชอบแอบมาวิ่งเล่นบ่อยๆ ไม่รู้ใครเป็นเจ้าของ แต่เธอแอบตั้งชื่อให้มันไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าแมวอ้วนมักชอบมาคลอเคลียเสมอเวลาเธอมีขนมในมือ...ขี้อ้อนเป็นที่หนึ่ง

เท้าสวยตวัดลงจากเตียงนอนสี่เสา แล้วก้าวเดินออกไปยังหน้าต่างบานสวย ก่อนจะเปิดออกกว้างเพื่อดุเจ้าเหมียวเสียมารยาท แต่ไม่คาดคิดว่าจะเจอแมวขโมยตัวใหญ่เข้าให้แทน

“พี่วิน!”

“พราว ดึงพี่ขึ้นไปหน่อย”

“ไม่นะคะ กลับไปเลย เดี๋ยวคนอื่นเห็น”

“ตีหนึ่งแล้ว ไม่มีใครเห็นหรอก คนแก่นอนกันหมดแล้ว”

“ไม่เอานะคะ”

“เอานะ เอาๆ” กวินภัทรเกาะขอบหน้าต่างด้วยสองมือ ส่งสายตาออดอ้อนราวตัวเองเป็นเจ้าแมวน้อยแสนน่ารัก

เธออยากจะแกล้งปิดหน้าต่างหนีบมือเขานัก หรือไม่ก็ผลักให้ตกเก้าอี้ที่ป่ายปีนอยู่ ดีที่เธอพักอยู่ชั้นล่าง ไม่อยากนึกว่าหากเป็นชั้นสอง คนตรงหน้านี้จะมาในรูปแบบใด แต่ก็นั่นละ ขนาดระเบียงห้องนอนชั้นสามเขายังปีนเข้ามาได้แล้วเลย นับประสาอะไรกับความสูงแค่นี้

“ครั้งสุดท้ายแล้วนะคะ ห้ามมาอีก สัญญามาก่อน”

“สัญญาก็ได้”

พาพราวช่วยดึงคนตัวหนักขึ้นมา และทันทีที่ชายหนุ่มยืนทรงกายเรียบร้อยแล้ว มือบางรีบงับบานหน้าต่างลงทันที เกรงใครจะรู้เห็นเข้า หญิงสาวหวาดระแวงไปหมด

“ห้ามกอดนะคะ” เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่อาจต้านทานการเล้าโลมของเขาได้ รู้ว่าตนนั้นเผลอใจคล้อยตามเขาได้ง่ายเพียงใด ฉะนั้นทางที่ดีเธอควรหยุดยั้งเขาให้ได้ตั้งแต่แรกเริ่ม

“นิดเดียว สาบาน” เขาอุตส่าห์เดินมาตั้งไกล มืดก็มืด อากาศก็เย็น ปีนตกเก้าอี้ไปครั้งหนึ่งด้วย แล้วดูเธอทำสิ

“ไม่ค่ะ!”

“พี่อุตส่าห์ลำบากมาหา”

“ใครใช้ให้มาล่ะคะ”

“โอเค พี่มาของพี่เอง” กวินภัทรตัดพ้อเสียงเบา ทำเอาคนฟังรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ยิ่งเห็นสีหน้าหงอยๆ ของเขา เธอก็ยิ่งไปไม่เป็น

หญิงสาวทำเพียงเม้มริมฝีปากไว้แน่น ด้วยไม่เคยเจอเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่างอนหรือโกรธ แต่จะให้เธอง้อเหรอ ง้อเป็นเสียที่ไหนล่ะ

ความเงียบสงัดชวนอึดอัดปกคลุมระหว่างทั้งคู่ ก่อนผู้บุกรุกจะก้าวเท้าตรงไปยังเตียงนอนของหญิงสาว ทว่าเขากลับทิ้งกายลงนอนบนพื้นพรมนุ่มข้างเตียงแทน “พี่ขอนอนตรงนี้นะ พราวคงไม่ว่า”

พาพราวเห็นเขาเดินคอตกไปนอนคุดคู้ที่พื้นจนดูน่าสงสารอย่างนั้นก็อดโหวงในอกไม่ได้ แต่จะให้เธอทำอย่างไรล่ะ หญิงสาวจึงขยับตามไป เลิกมุ้งบางเบาขึ้น ก่อนจะก้าวขึ้นเตียงแล้วค่อยๆ ทิ้งกายลงนอน

ราวห้านาทีผ่านไป ช่วงเวลาวัดใจช่างยาวนานเทียบเท่าชั่วโมง กวินภัทรเกือบจะถอดใจแล้ว ทว่า...

“พี่วินคะ” เสียงหวานจากนางฟ้าเบื้องบนร้องเรียกเขา หญิงสาวมองเขาด้วยแววอาทร ชายหนุ่มนอนหันหลังให้กัน กอดอกราวกับหนาวสั่นเสียเต็มประดา

คนน่าสงสารลอบยิ้ม เธอใจอ่อนแล้วสิน่า ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ขึ้นไปนอนกอดร่างนุ่มนิ่มแล้ว

แค่มารยานิดๆ หน่อยๆ ก็สำเร็จ เสร็จโรงเรียนไอ้วิน! ชายหนุ่มพลิกกายหันมามองหญิงสาวบนเตียงด้วยรอยยิ้มอย่างคนกอบกุมชัยชนะ ทว่าต้องหุบฉับลงทันที

“หมอนกับผ้าห่มค่ะ เดี๋ยวพราวไปเอาใหม่ในตู้” เธอยื่นเครื่องนอนมาให้ครบชุดพร้อมทำหน้าตาใสซื่อจนดูน่ามันเขี้ยวในสายตาเขานัก ฝากไว้ก่อนเถอะ!

อุตส่าห์จะได้เป็นแมวขี้อ้อน คืนนี้เขาเลยได้กลายเป็นนกตัวเบ้อเริ่มแทน ซ้ำยังปีกหมดโอกาสโบยบิน

 

หลังจากค่ำคืนนั้นกวินภัทรก็ไม่มายุ่งเกี่ยวกับเธออีกเลย มีหลายครั้งที่พาพราวชะเง้อคอย หวังลึกๆ ให้เขามาหา ทว่าพอเจอหน้ากันเธอก็ทำตัวไม่ถูก ได้แต่ปั้นหน้าไร้อารมณ์ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ภายในใจกลับปั่นป่วน ส่วนชายหนุ่มก็ทำตัวนิ่งเฉยจนเธอกลัวใจ หวาดหวั่นคิดไปไกลว่าเขาอาจรำคาญกันแล้ว ความคิดมากมายที่สุมกองอยู่ภายในพาให้ใจเจ็บจี๊ดขึ้นทุกครา เกรงว่าตนจะโดนเขาเทอีกครั้ง

เธอทำตัวเองแท้ๆ เลย จะโทษใครได้

หญิงสาวสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปให้พ้นใจ แล้วรีบก้าวฉับขึ้นบันไดไปยังชั้นสามของบ้าน วันนี้เธอขออนุญาตบุลลาออกไปทำธุระข้างนอก หลังจากจัดการหน้าที่ของตนเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เช้าตรู่ พาพราวก็ตรงขึ้นมาเอาของบางอย่างที่ห้องนอนตนเองทันที ระหว่างไขกุญแจห้อง นัยน์ตาหวานอดมองไปทางประตูอีกบานไม่ได้ อยากรู้ว่าเขาอยู่บ้านไหม ทำอะไรอยู่ กินข้าวเช้ารึยัง...

เหม่อมองอยู่สักพักก็เริ่มรู้ตัว เขากวนใจเธอเกินไปแล้ว เธอถอนหายใจเพราะความเพ้อเจ้อของตนเองแล้วดึงสติกลับมา มีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำในวันนี้

หญิงสาวเข้ามาหยิบอุปกรณ์วาดภาพและถุงกระดาษอีกสามใบ แล้วเดินกลับออกไปทันทีอย่างรีบร้อน พาให้คนที่แอบอยู่หลังผ้าม่านนึกสงสัย เธอจะรีบไปไหนกัน

กวินภัทรสะกดรอยตามเธอไป ยิ่งน่าสงสัยหนักเมื่อเธอเลือกขึ้นแท็กซี่แทนที่จะให้คนขับรถไปส่ง

กระทั่งเขาได้มาเห็นมุมที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น หญิงสาวอยู่ท่ามกลางเด็กๆ เธอกำลังสอนให้เด็กเหล่านั้นใช้จินตนาการผ่านปลายพู่กัน พาพราวดูคล่องแคล่วและเข้ากับนักเรียนตัวน้อยได้เป็นอย่างดี นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกเป็นแน่

แล้วเธอรู้ได้อย่างไรว่าเป็นที่นี่ ที่ที่ครอบครัวเขาได้เจอเธอ จุดเริ่มต้นเมื่อยี่สิบปีก่อนของเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่เขา...รักไปแล้วในตอนนี้ และคงจะรักมากขึ้นอีกหากเธอจะทำให้ตกหลุมรักซ้ำๆ เช่นนี้ คนแอบตามมาซุ่มมองอยู่นานสองนาน กระทั่งมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินมาสะกิดเขาทางด้านหลังอย่างเอาเรื่อง

“ทำอะไรฮะ จะฟ้องครู”

“ชู่...” กวินภัทรส่งสัญญาณให้เด็กชายเงียบไว้ ยกนิ้วชี้จุปากพลางหรี่ตาขอความร่วมมือ “อย่าบอกใครนะว่าพี่อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวพี่ให้ค่าขนม”

“ติดสินบนเด็กไม่ดีนะคะ” ไม่ใช่เสียงของเด็กชายตาแป๋ว ทว่าเป็นเสียงราบเรียบของหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาวาววับที่กำลังมองมาราวจับผิด

กวินภัทรยิ้มแหย เกาท้ายทอยแก้อาการกระดากอาย ยิ่งได้มองแววตาใสซื่อไร้เดียงสาของเด็กน้อยก็ยิ่งพูดไม่ออก

“แอบตามพราวมาเหรอคะ”

“ก็พราวทำตัวลับๆ ล่อๆ น่าสงสัย”

“พี่วินเคยไว้ใจพราวบ้างไหม...” ไม่ได้มีแววกรุ่นโกรธหรือตัดพ้อ ทว่าน้ำเสียงราบเรียบเดาอารมณ์ยากของเธอทำเขาไปไม่เป็น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าถูกดึงให้ดรามาเฉยเลย

เธอทิ้งเขาไว้ให้นั่งจมอยู่กับอารมณ์อะไรสักอย่างของตัวเอง แล้วหญิงสาวก็กลับเข้าไปทำกิจกรรมกับเด็กๆ ต่อ ไม่ได้มีท่าทีขุ่นเคืองหรือตำหนิ แต่เพราะไม่มีน่ะสิ เขาเลยไม่รู้จะเข้าหาอย่างไร ได้แต่นั่งแกร่วรอจนเธอเสร็จงาน

...

ชายหนุ่มพาเธอกลับด้วยกันในเวลาบ่ายคล้อย พาพราวไม่พูดอะไรสักคำ แต่ก็ยอมทำตามเขาไม่เกี่ยงงอน นั่งนิ่งพิงกับเบาะด้วยกิริยาเรียบร้อย กวินภัทรใบ้กิน เอื้อมมือไปปรับแอร์ให้หญิงสาว เอาอกเอาใจด้วยเรื่องเล็กน้อย

“จะไปไหนคะ” คนที่นิ่งเงียบมาตลอดทางเริ่มหวาดหวั่นเมื่อสองข้างที่เห็นไม่คุ้นชินเอาเสียเลย

“ไปหาที่ดีๆ คุยกัน” กวินภัทรเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนเอื้อมมือมาหมายจะกุมมือเธอไว้ แต่คนตัวเล็กขยับหนีทันใด มือหนาจึงคว้าได้เพียงอากาศ เขาจึงแก้เก้อด้วยการกุมคันเกียร์ไว้แทน

เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่เพราะตกใจจึงรีบสะบัดมือ พอเห็นสีหน้าเขาก็ยิ่งรู้สึกผิด แต่จะให้ยกมือไปกุมมือเขาก็ใช่ที่ จึงทำนิ่งเฉยทั้งที่ภายในกำลังอึดอัดเพราะบรรยากาศประดักประเดิดนี้เสียเต็มประดา พลางมองไปข้างหน้าอย่างหวาดหวั่น

แม้เธอไม่ไว้ใจ แต่ขัดไปเขาก็คงไม่ย้อนกลับ เอาเถอะ...เธอมีวิธีเอาตัวรอดก็แล้วกัน

ชายหนุ่มแวะปั๊มน้ำมันเพื่อซื้อของกินเล่นให้คนตัวเล็ก ด้วยเลยเวลาอาหารกลางวันมามากแล้ว เกรงว่าเธอจะหิวเอาได้ ไร้บทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ มีเพียงสัมผัสทางกายที่ใช้สื่อสาร

มือหนาจูงหญิงสาวเข้าไปยังซูเปอร์มาร์เกต ถือตะกร้าและพาเธอเดินวนไปรอบร้าน หยิบขนมขึ้นพลางถามทางสายตาว่ากินไหม ชิ้นไหนที่เธอส่ายหน้า เขาก็เก็บเข้าที่คืน รู้สึกราวตนพาลูกสาวขี้งอนมาเลือกขนมยังไงยังงั้น

เขาไม่กล้าพูดเพราะนึกว่าเธอยังโกรธกันอยู่ ส่วนเธอไม่พูดเพราะทำตัวไม่ถูกที่เขานิ่งเงียบ ผลจึงกลายเป็นว่าต่างคนต่างเกร็ง ไม่เป็นธรรมชาติ

ระหว่างรอจ่ายเงิน ชายหนุ่มบังเอิญเห็นกล่องสินค้าสีฉูดฉาดวางเรียงรายบนชั้นเล็กๆ ก็นึกอยากแกล้งคนข้างกายขึ้นมา จึงหยิบกล่องสีชมพูรสผลไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมอง ทำท่าคล้ายกำลังอ่านฉลากแล้วจึงหันมาทางเธอ

พาพราวหน้าซับสีระเรื่อ ผิวแก้มแดงจัดไม่น้อยหน้าสีกล่องในมือเขา

กวินภัทรยิ้มขำเมื่อเห็นม่านตาเธอกระตุกวาบ ตื่นไหวจนมือบางเผลอกำมือเขาไว้แน่น ส่งสัญญาณบอกกันว่าชิ้นนี้...ไม่เอาเด็ดขาด!

อารมณ์อึดอัดเมื่อครู่ละลายไปพร้อมกับการจ่ายเงิน ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่ม ยิ่งเห็นเธอเก้อเขิน เขาก็ยิ่งเอ็นดู กระทั่งขึ้นรถเรียบร้อย ชายหนุ่มกลับยังไม่ออกรถ เขามองเธอนั่งก้มหน้าทั้งที่มีถุงขนมใบใหญ่วางอยู่บนตัก

“พราวอยากกินอันไหน” กวินภัทรดึงถุงขนมมาไว้กับตัว หยิบซองขนมขึ้นให้เธอเลือก แต่คนตัวเล็กไม่กล้ามองหน้าเขา ทำเพียงเหลือบตามองขนมหลากชนิดในมือชายหนุ่ม “หรืออยากได้กล่องสีชมพูเมื่อกี้” เขาแกล้งเย้าเสียงเบา

“ไม่นะคะ” มือบางจับเขาไว้ทันทีเมื่อเห็นกวินภัทรทำท่าจะลงไปซื้อกล่องที่ว่า

“ไม่เหรอ ไม่ต้องใช้เนอะ” เขายังแกล้งไม่เลิก มันเขี้ยวเธอจนอยากจะแกล้งเล่นซ้ำๆ ให้หนำใจ

“บ้า...ไม่เอานะคะ” หญิงสาวตอบเสียงอุบอิบ ก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา

ชายหนุ่มดึงเธอให้ขยับเข้าใกล้ แล้วเอี้ยวตัวหอมแก้มอมชมพูมีเลือดฝาดอย่างเต็มรัก “ยังไม่เอาหรอก”

แล้วเขาก็หอมย้ำลงอีกครา พาเอาหญิงสาวหน้าแดงจัดเพราะขัดเขินอย่างหนัก “เอาอันนี้แล้วกันเนอะ ของโปรดพราว” คนขี้แกล้งหยิบกล่องขนมขึ้นแกะแล้วส่งให้เธอพร้อมขู่เล็กน้อย “กินนะครับ ถ้าไม่กินแสดงว่าอยากกิน...” ท้ายเสียงมาพร้อมแววตาเจ้าเล่ห์ร้าย

สิ้นคำนั้นเธอจึงรีบกินทันที

คนขี้แกล้งจึงยิ้มแป้นขณะออกรถ “ป้อนพี่ด้วยสิ” แล้วอ้าปากรอ

พาพราวยื่นขนมส่งให้ ก่อนต้องรีบชักมือกลับโดยไว ก็เขาเล่นงับนิ้วมือของเธอไปด้วย ดึงกลับแทบไม่ทัน “พี่วิน!”

“อร่อย...”

 

กวินภัทรพาคนตัวเล็กมานั่งรถเล่นเลียบชายทะเล ตลอดการเดินทางเธอเอาแต่นิ่งเงียบ ต้องขอบคุณกล่องรสสตรอว์เบอร์รีนั่นที่ทำให้รู้ว่าเธอ...กำลังเขิน ไม่ใช่โกรธอย่างที่นึกกลัว ชายหนุ่มกดกระจกลงจนสุด กลิ่นชื้นเค็มและลมเย็นจางๆ พัดวนเข้ามา เสียงคลื่นสาดซัดดังซ้ำเป็นจังหวะสม่ำเสมอ นัยน์ตาคู่คมมองคนตัวเล็กวางคางเกยขอบประตูรถด้วยแววพึงใจ เขาขับช้าๆ เพื่อให้เธอได้ดื่มด่ำกับสรรพสิ่งรอบกายเต็มที่ ผมสีน้ำตาลเข้มต้องแดดอุ่นยามเย็นเรืองรองทอประกาย เสี้ยวหน้าหวานตัดกับแสงสีนวลชวนมอง ปลายผมพลิ้วสะบัดล้อไปกับสายลมอ่อน

ใจเขาแทบกระตุกเมื่อเธอหันมามองกัน ราวกับเป็นวินาทีมหัศจรรย์ มีบางอย่างทำให้รู้สึกพิเศษ เธอหันกลับไปแล้ว ทว่าเขายังคงจดจ้องกันไว้ ยิ้มกับอะไรที่บรรยายไม่ได้ รู้เพียงตนหุบยิ้มไม่ลง

หญิงสาวหลับตานิ่ง สูดหายใจเข้าลึก ปล่อยให้ลมโชยอ่อนพัดเข้าปะทะผิวหน้า ตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศดีในตอนนี้หรือเป็นเพราะท่าทีของเขาที่ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ ยอมให้เขาเป็นแบบนี้ดีกว่าหมางเมินใส่กัน

กวินภัทรจอดรถและจูงมือเธอลงไปเดินเล่นริมชายหาดเงียบสงบ มองดูพระอาทิตย์ทอแสงส่องสะท้อนผืนน้ำเป็นประกายวาววับ ธรรมชาติกำลังดำเนินไปตามทิศทางของมัน เขาและเธอก็กำลังเดินไปเรื่อยๆ บนผืนทรายนุ่ม

“พราว” ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าลง

“คะ” เธอตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากท้องทะเล แล้วค่อยๆ หันมามองหน้าคนพูด 

“หายโกรธพี่ยัง” มีความรู้สึกผิดปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าคมเข้ม มีความออดอ้อนผสมเต็มอยู่ในคำเอื้อนเอ่ย

หญิงสาวระบายยิ้มอ่อนโยน ช้อนตามองดวงหน้าของคนข้างกาย พี่ชายใจร้ายของเธอหายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคนช่างออดอ้อน “พราวไม่ได้โกรธ”

“จริงเหรอ”

“จริงๆ นะคะ”

“น่ารัก นึกว่ายังขี้งอนเหมือนตอนเด็กๆ” คนตัวโตยกมือบางที่กุมไว้ขึ้นจูบเบาๆ แล้วจึงก้าวเดินต่อ “ทำไมพราวถึงรู้เรื่อง...เรื่องสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าว่าเป็นที่นั่น” เขาพูดอย่างระมัดระวังที่สุด กลัวว่าจะไปกระทบใจเธอเข้า ผิดกับเมื่อก่อนที่มักเอามาขู่เป็นว่าเล่น คิดแล้วก็อยากกลับไปตบปากตัวเองในอดีต

“พราว...แอบเข้าไปค้นในห้องทำงานพ่อค่ะ”

“อ๋อ...” เขาเข้าใจแล้ว มิน่าจึงเห็นเธอแอบย่องเข้าไปในห้องทำงานพ่อบ่อยๆ ทำตัวมีพิรุธจนน่าสงสัย

ชายหนุ่มชวนเธอนั่งลงบนเนื้อทรายสีนวลละเอียด ทิ้งระยะห่างไม่เกินศอก เขานั่งกอดเข่ามองเสี้ยวหน้าคนตัวเล็ก ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกผิด มีสิ่งละอันพันละน้อยมากมายที่ตอกย้ำความร้ายของตัวเองในวันวาน รู้สึกผิดย้อนหลังจนอยากชดเชยให้เธอมากๆ “ทำไมพราวถึงไปที่นั่นอีก”

“เพราะมันทำให้พราวรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน จริงๆ นะคะ พอเห็นเด็กๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้รับโอกาส ถึงพราว...จะโชคร้ายไปบ้าง” เธอถอนหายใจเบาๆ “แต่ก็ยังมีความโชคดีปนอยู่ด้วย พราวเลยอยากเป็นโชคดีให้กับเด็กๆ บ้าง”

“ตอบเหมือนนางงามจัง มงลงหัวแน่ๆ” ชายหนุ่มว่าพลางขยี้ศีรษะนางงามของเขาเล่นเบาๆ

เธอไม่ปัดป้อง เพียงนั่งกอดเข่า วางแก้มแนบและมองสบตาเขาอยู่อย่างนั้น

“แล้วพี่ล่ะ พี่เป็นโชคดีหรือโชคร้ายของพราว” มือแข็งแรงลูบเรือนผมนุ่มของเธออย่างอ่อนโยนระหว่างรอคอยคำตอบ

คนถูกถามนิ่งเงียบ มองเขาคล้ายกำลังค้นหาคำตอบในความรู้สึกของตนเอง “อืม...เป็นทั้งคู่เลยค่ะ”

“แต่พราวเป็นโชคดีของพี่นะ”

“โชคดีที่มีคนให้แกล้งใช่ไหมคะ”

“ขอแกล้งไปตลอดเลยได้ไหมล่ะ”

เธอเงียบไป ก่อนหันหน้าไปมองยังผืนน้ำกว้าง หลังประโยคนั้นทิ้งความหมายบางอย่างให้ครุ่นคิด อดวูบโหวงไม่ได้เมื่อมองเห็นความเป็นไปของความสัมพันธ์ครั้งนี้ หลังจากนี้เขาและเธอจะยืนอยู่ตรงไหน

กวินภัทรกระเถิบตัวเข้าใกล้ ดึงกายสาวให้พิงเอนกันไว้ กอดเข่านั่งมองออกไปยังที่ไกลลิบนั่นด้วยกัน

ถ้าเปรียบเธอเป็นผืนน้ำ เขาก็คงเป็นเหมือนผืนฟ้าที่ไม่อาจเอื้อม ต่อให้มองเห็นกันตลอดเวลา ทว่าความจริงก็เป็นเพียงคู่ขนาน ที่เส้นขอบฟ้าไกลลิบนั่น ฟ้ากับน้ำไม่เคยบรรจบกันจริงๆ มันก็แค่สิ่งลวงตา สุดท้ายระยะห่างก็ยังกว้างไกลเท่าเดิม

“พี่เหนื่อยจัง ขับรถกลับไม่ไหว นอนนี่นะ”

นั่นปะไร ผืนฟ้าของเธอเริ่มรวนเรแล้วสิ “ไม่เอานะคะ พักอีกนิดแล้วค่อยขับกลับก็ได้”

“ขับไม่ไหวจริงๆ นะ” เขาต่อรองเสียงอ่อน และเพียงได้สบนัยน์ตาหวานของเธอ “ไหวก็ได้”

เธอคลี่ยิ้มให้แก่อาการว่านอนสอนง่ายของเขา ราวกับตนถือไพ่ที่ควบคุมบงการเขาได้ และเกินกว่าจะทันรู้ตัว พาพราวก็เอี้ยวหน้าหอมแก้มเขาไปเสียแล้ว เธอก้มหน้างุดทันทีเมื่อสำนึกได้ชัดแจ้งว่าตนทำอะไรลงไป

ไม่รู้ว่าใครหน้าแดงกว่ากัน “พราว...ไม่กลับแล้วได้ไหม” คนโดนขโมยหอมว่าพลางยกมือขึ้นลูบแก้มตนเองไว้อย่างเอียงอาย

 

บรรยากาศระหว่างขับรถกลับบ้านแตกต่างจากขามาลิบลับ ต่างคนต่างแอบมองกัน พอสบตากันเข้าก็รีบเสหนีกลบเกลื่อน สลับกันขัดเขินตลอดทาง

พอกลับถึงบ้าน เธอก็หนีเขาไปนอนที่เรือนริมน้ำเช่นเคย ปล่อยเขาเคว้งคว้างอยู่กลางตึกใหญ่ ชายหนุ่มจึงแอบไขกุญแจเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาว เมื่อโดนสั่งห้ามไม่ให้ไปหา กวินภัทรจึงบรรเทาความคิดถึงด้วยการแอบมานอนในห้องเธอ แค่ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเป็นเธอก็พอใจแล้ว

แต่วันนี้เขานอนไม่หลับ นึกคึกอะไรไม่อาจทราบได้ จึงไล่ค้นข้าวของของหญิงสาวออกมาดูเล่น สำรวจราวกำลังอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของเก่า แล้วเขาก็เจอขุมทรัพย์ล้ำค่า

กระดาษแผ่นพับดีไซน์สวยในมือทำให้เขาต้องหยุดทุกอย่างลง พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เนื้อความในนั้น ซึ่งเป็นใบประกาศเชิญชวนเข้าชมนิทรรศการแสดงภาพวาดที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง เขาคงไม่สนใจหากเจ้าของผลงานไม่ใช่คนพิเศษ

‘forlorn’ โดย พาพราว บุริมนาถ

แค่ชื่อก็ทำเขาแทบทรุดลงกับพื้น ฟอร์ลอร์นที่แปลว่า เหงา โดดเดี่ยว ถูกทอดทิ้งน่ะหรือ ชายหนุ่มพ่นลมหายใจหนักๆ ก่อนความรู้สึกบางอย่างจะแน่นคับอกจนอึดอัด กวาดสายตาอ่านซ้ำไปซ้ำมาขณะก้าวไปขึ้นเตียง พลันปลายเท้าก็บังเอิญแตะเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง เรียกความสนใจให้ก้มมอง

มือหนาเลิกผ้าคลุมเตียงขึ้นเล็กน้อย ก่อนกล่องใส่ของหลายใบจะปรากฏแก่สายตา กล่องอะไร เหตุใดจึงต้องซ่อนเสียมิดชิดขนาดนี้ ความสงสัยมีมากกว่ามารยาทเสมอ ชายหนุ่มจึงดึงกล่องเหล่านั้นออกมากลางห้อง ไร้ฝุ่นจับอย่างที่ควรจะเป็น ราวกับว่าเธอดูแลมันอย่างดี กวินภัทรตัดสินใจเปิดออกดูทันที สิ่งที่อยู่ภายในทำเขาแทบช็อก มือหนาสั่นเทาอย่างหนักตอนที่เอื้อมหยิบของในกล่องขึ้นมอง

พาพราวเก็บรักษาทุกสิ่งไว้เป็นอย่างดี สมุดการบ้านที่เขาเคยเลียนแบบลายมือทำให้เธอ รูปภาพครอบครัวที่ช่วยกันระบายสีตอนเด็กๆ ริบบิ้นผูกผมที่เขาคุ้นตา การ์ดวันเกิดที่เขาทำให้เธอตอนอายุครบหกขวบ ขวดโหลใส่ใบไม้แห้งที่พากันไปเด็ดเล่นในสวนของย่า ตุ๊กตากระดาษที่เธอบังคับให้เขาเล่นเป็นเพื่อน กล่องสีไม้ที่เคยแบ่งกันใช้ตอนเด็กๆ กระปุกออมสินที่เขาจับสลากของขวัญได้ในงานปีใหม่ที่โรงเรียน แต่เธอร้องจะเอาจนเขาต้องยอมยกให้ เกมกดใส่ถ่านที่เขาซื้อให้เธอเป็นของขวัญตอนเด็กหญิงสอบผ่านวิชาคณิตศาสตร์ แม้แต่ยางลบก้อนเล็กที่เคยหั่นครึ่งแบ่งกันใช้ตอนเด็กเธอก็ยังเก็บไว้

และอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาใช้เวลารื้อดูทั้งคืนก็ไม่หมด หลายสิ่งที่เขาหลงลืมไปแล้ว ความทรงจำวัยเด็กตีวนเข้ากระทบใจเขาซ้ำๆ เพิ่งตระหนักได้ว่าเด็กชายคนนั้นรักน้องสาวของเขาเพียงใด

ราวสิ่งของชิ้นเล็กนั่นบรรจุเรื่องราวของตัวเองไว้เต็มแน่น ชายหนุ่มนั่งยิ้มคนเดียวขณะไล่รื้อกล่องความทรงจำ แล้วก็เผลอน้ำตาไหลไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงความเลวร้ายที่ตนเคยกระทำ เขาทอดทิ้งเด็กหญิงหน้าตาน่าสงสารคนนั้นไปได้อย่างไรกัน

คล้ายโดนหมัดฮุกเข้ากระทบใจ กระเทือนไปถึงส่วนลึกของความรู้สึก เขากำลังแพ้น็อกซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้แก่เธอ

 

พาพราวนำแกงกะทิสายบัวซึ่งกัลยาตื่นมาทำตั้งแต่เช้าตรู่ไปให้คนบนเรือนใหญ่ ระหว่างเดินกลับเรือนริมน้ำ หญิงสาวกำลังเหม่อลอย ทันใดนั้นมือหนาของใครบางคนก็ฉุดเธอให้ก้าวตามเข้าไปในอุโมงค์ต้นไม้

“พี่วิน!” เธอตกใจจนเกือบจะกรีดร้อง ดีที่หันมาเห็นว่าเป็นเขาเสียก่อน จึงยอมเดินตามชายหนุ่มลึกเข้าไปในศาลาแปดเหลี่ยม

กวินภัทรไม่เอ่ยคำใด นอกจากรวบเธอไปกอดไว้แน่นราวโหยหาหนักหนา หญิงสาวงุนงงจนเกินกว่าจะเข้าใจ ทว่าก็ยืนนิ่งให้เขากอด

“เป็นอะไรคะ” เธอดันเขาออกเล็กน้อย เห็นหน้าตาของชายหนุ่มหมองคล้ำราวกับคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ถุงใต้ตาบวมตุ่ย พาพราวยกมือขึ้นลูบแก้มเขาเบาๆ มองด้วยแววห่วงหา

ไร้สุ้มเสียง มีเพียงแววตาชนิดหนึ่งยามเขาจ้องเธอไว้

“บอกพราวสิคะ พราวจะได้รู้” ท่าทางไม่ปกติของเขาทำเธอร้อนใจ เริ่มพะวงไปต่างๆ นานา

“พี่...พี่ขอโทษนะ”

“คะ?” ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมให้เธอเข้าใจเลยสักนิด นอกจากอ้อมกอดอบอุ่นจากเขาในตอนนี้ เธอไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ทว่าก็ยอมยกมือขึ้นกอดตอบ ลูบแผ่นหลังแกร่งเพื่อปลอบโยน กระทั่งนึกได้ว่าอยู่ที่ใด “ปล่อยก่อนค่ะ เดี๋ยวใครเห็น”

เขายอมผละออกแต่โดยดีจนเธออดแปลกใจไม่ได้ “ทำไมวันนี้เชื่องจังคะ”

“ว่าพี่เป็นหมาเหรอ”

เธอคลี่ยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าเขา “เป็นหมีแพนด้ามากกว่า นี่อดนอนมาเหรอคะ”

กวินภัทรเดินตามหญิงสาวไปเรื่อย เธอไล่ให้กลับไปนอนก็ไม่ไป พาพราวจึงเอาหมอนและผ้าห่มมาปูให้เขานอนที่เตียงหวายตรงชานเรือน ซึ่งเป็นที่ประจำสำหรับนอนกลางวันของกัลยา ขู่บังคับให้เขาหลับลง ท่าทางจะน็อกกลางอากาศอยู่แล้วยังมาทำดื้อ เดี๋ยวเถอะ!

“แม่พราว มาหยิบของให้ที” เสียงบุลลาฉุดดึงสติของเธอกลับมาสู่ความเป็นจริง หลังจากเผลอเหม่อมองคนนอนหลับอยู่นานสองนาน

“ค่า ไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” พาพราวรีบก้าวไปตามเสียงเรียก ไม่ได้รู้ว่ามีใครบางคนแอบซุ่มดูการกระทำของเธออยู่ที่มุมหนึ่งอย่างเงียบๆ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น