6

บทที่ 6 สงครามร้อนซ่อนรัก


 

6

สงครามร้อนซ่อนรัก

เดินทัพนั่งมองเพื่อนสาวคนสนิทบิดไปบิดมาตรงหน้ากระดาษนานสองนาน นึกหมั่นไส้จริตอาการเกินงามจึงคว้าขวดน้ำที่เหลือเพียงนิดมาตีศีรษะเธอไม่เบานัก

“โอ๊ย! เจ็บนะไอ้ดิน มาตีฉันทำไมเนี่ย ผีเข้าตอนกลางวันเหรอไง” วรรณิกโวยเสียงดัง เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์หวานกับพ่อพระเอกหนุ่มสุดหล่อในนิยายเล่มหนาปึ้ก

“ก็หมั่นไส้ เห็นบิดอยู่นั่นแหละ ตัวจะเป็นเลขแปดแล้วมั้ง” เขาเห็นเธอแอบอ่านนิยายเล่มนี้ตั้งแต่อยู่ในห้องพรีเซนต์งานแล้ว จนกระทั่งถึงเวลาพักกลางวัน แม่นี้ก็ยังไม่เลิกอ่าน ติดหนึบเหนียวแน่นยิ่งกว่าหนังสือเรียนเสียอีก นี่ถ้ามีใครใจกล้ามาดึงหนังสือนิยายไปจากมือมันตอนนี้แล้วละก็ รับรองได้เลยว่ามันเอาตายแน่ๆ เขาเคยลองมาแล้ว...เกือบไม่รอด!

            “โอ๊ย ฟินอ้ะ” เธอกำมือขึ้นเขย่าไปมา ทำท่าราวกับเจออะไรถูกใจหนักหนา

            “ฟินอะไรแตงกวา” พาพราวที่เพิ่งตามลงมาถามขึ้นอย่างสนใจเมื่อเห็นอาการ ‘ฟิน’ ของเพื่อนสาว

“แก...ไม่ไหวแล้ว เรื่องนี้นะพระเอกกระชากนางเอกไปกอดหลบกระสุนด้วยกันกลางสงคราม อ๊าย! เท่อ้ะ” พูดพร้อมโชว์หน้าปกนิยายเล่มหนาให้คนถามดู สงครามร้อนซ่อนรัก

หืม...เรื่องอะไรเนี่ย

“พราว...ฉันรักเขา” คนกำลังฟินหันมาตีแขนพาพราวรัวๆ อย่างเบามือ แสดงกิริยา ‘อยากจะได้’ อย่างที่ทำให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

“ประสาท! ให้เดาไหม ฉันว่าตายคู่” ชายเพียงคนเดียวโพล่งออกมาอย่างหมั่นไส้ ชีวิตจริงไม่มีหรอกฉากอะไรแบบนั้นน่ะ ตัวใครตัวมัน

“หยุด! ไอ้ดิน ไอ้ปากเสีย! ขอโทษคุณอนันต์นพของฉันเดี๋ยวนี้” วรรณิกแหวใส่เพื่อนชายเสียงดัง หันสันหนังสือแล้วฟาดนิยายทั้งเล่มใส่ศีรษะชายหนุ่มเต็มแรง เอาคืนค่าที่เขาตีเธอเมื่อกี้ด้วย เธอรู้ดีว่าเขาทนมือทนเท้าแค่ไหน ตีเท่าไรก็ไม่เคยโกรธ “แกมันคนไม่มีจินตนาการ!”

“เออๆ กลับไปอยู่ในโลกจินตนาการแสนหวานของแกต่อเถอะ เดี๋ยวเจอของจริงแล้วจะรู้...โลกความจริงมันโหดร้าย”

“โลกโหดร้ายกับฉันตั้งแต่ส่งแกมาเกิดข้างบ้านฉันแล้ว” เธอตอกกลับเดินทัพอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน

“ผู้หญิงอะไรปากคอเราะรายจริง แกเอาพราวเป็นแบบอย่างบ้างไม่ได้เหรอไง”

“ไม่ได้! พราวก็เป็นพราว ฉันก็เป็นฉัน!” น้ำเสียงประชดประชันขั้นสุด

“พราวอย่าทำตัวแบบยัยนี่นะ ไม่สวยแล้วยังนิสัยแย่อีก” เดินทัพหันมาบอกพาพราวด้วยเสียงสอง...เสียงนุ่มนวลชวนให้วรรณิกอยากจะคายอาหารกลางวันในท้องออกคืนสู่ธรรมชาติเสียเดี๋ยวนี้ ขนลุก!

“อ้าว! ไอ้นี่...วอนซะแล้ว!” หญิงสาวอารมณ์ขึ้นทันใด ทำไมจะต้องเปรียบเทียบเธอกับพาพราวด้วยเล่า คนขัดใจเดาะลิ้น สูดปากระงับอารมณ์ ก่อนจะก้มลงอ่านนิยายต่อหน้าตาเฉย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

พลันนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นหยุดสงครามเล็กๆ เดินทัพกดรับสายทันที “แม่ว่าไง...วันเสาร์เหรอ...อืม...ดินมีนัดคุยนอกรอบกับอาจารย์ที่ปรึกษาพอดีด้วยดิ...เอาไงดี...เดี๋ยวถามไอ้กวาดู” ชายหนุ่มขยับโทรศัพท์ออกห่างริมฝีปาก แล้วเอื้อมมือมาทำท่าจะดึงหนังสือนิยายที่อยู่ในมือวรรณิกออก ทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในจินตนาการต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อโดนขัดจังหวะ เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่โกรธชายหนุ่มอยู่

“วันเสาร์แกว่างไหม ร้านแม่ฉันขาดคน ไปช่วยหน่อยดิ”

“ตลอด” ต้องเป็นเธอทุกทีไป น้ำไม่ไหล ไฟดับ หมาหาย ลืมจ่ายค่าไฟ กางเกงในขาด สารพัดสิ่ง...ชาติที่แล้วเธอคงไปทิ้งขยะหน้าบ้านมันแน่ๆ ชาตินี้เลยต้องมาตามเก็บชดใช้ไม่จบไม่สิ้น “เออ! แต่วันเสาร์ได้แค่ตอนบ่ายนะ ตอนเช้าต้องช่วยแม่คัดเกรดกล้วย”

“ให้พราวไปช่วยแทนไหม พราวว่างพอดี” หญิงสาวอีกคนเสนอตัวหลังจากนั่งฟังมานาน เล่นเอาคนทั้งคู่ต้องหันขวับมามองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“ไหวเหรอพราว” เดินทัพถามด้วยแววลังเล “หนักอยู่นะ”

“ไหวอยู่แล้ว สบายมาก” พาพราวย้ำหนักแน่น เธอรู้หรอกน่าว่าจะต้องเจอกับงานอะไร

ที่เดินทัพถามเพราะร้านของแม่เขานั้นเป็นร้านกาแฟซึ่งขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ปกติมีพนักงานดูแลสามคน แต่วันเสาร์นี้จะเหลือเพียงคนเดียว เนื่องจากอีกสองคนจำเป็นต้องลาไปทำธุระพร้อมกันทั้งคู่ จึงขาดคน แถมยังเป็นวันหยุดซึ่งจะมีลูกค้ามากเป็นพิเศษ

“เอางี้...เดี๋ยวฉันเสร็จแล้วจะรีบตามไปช่วยช่วงบ่าย โอเค ขอค่าแรงเป็นสโคนนุ่มๆ สักสามกล่องใหญ่กับแยมสามกระปุกจะขอบคุณมาก พอดีบ้านฉันญาติเยอะ” วรรณิกสรุปรวบรัดให้เมื่อเห็นแววไม่แน่ใจของชายหนุ่ม เธอลองคำนวณเวลาดูแล้ว หากตนรีบตื่นมาช่วยแม่แต่เช้า คาดว่าน่าจะเสร็จเร็วกว่าที่คิด 

“โลภมาก งั้นตามนี้นะ ไหวแน่นะพราว”

“อื้อ” คุณหนูสาวพยักหน้าเพื่อเรียกความเชื่อมั่น เธอไม่ได้บอบบางอย่างที่หลายคนเข้าใจเสียหน่อย เธอชอบทำงานที่ใช้แรงด้วยซ้ำไป

เดินทัพจึงคุยกับแม่ต่อเมื่อหาคนช่วยงานได้แล้ว แถมเขายังโดนแม่สวดอีกยกใหญ่ที่เผลอเรียก ‘ไอ้กวา’ ให้แม่ได้ยินเมื่อครู่นี้ โทษฐานที่พูดจาไม่เพราะ ใช้สรรพนามแบบไม่ให้เกียรติเพื่อนสาว เหอะ! อย่างมันเอาส่วนไหนมาน่าให้เกียรติไม่ทราบ ให้เกลียดน่าจะเหมาะกว่า

 

กวินภัทรหงุดหงิดอยู่คนเดียวขณะขับรถกลับจากที่ทำงาน เขาพยายามโทร. หาพาพราวอยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่ยอมรับสาย ทั้งที่เมื่อเช้าเขากำชับนักกำชับหนาให้หญิงสาวรอกลับพร้อมกัน ย้ำเสียดิบดีว่าตอนเย็นเขาจะมารับเอง แต่เมื่อช่วงบ่ายเธอกลับส่งข้อความมาบอกว่ามีธุระต้องทำ จะกลับเอง พอพิมพ์ถามไปก็ไม่ตอบ แถมโทร. ไปก็ไม่ยอมรับสายเขาอีกต่างหาก น่าโมโห!

กระทั่งเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้าน เห็นรินรดาเดินหอบแฟ้มหนาอยู่บริเวณริมทาง ชายหนุ่มจึงชะลอรถ เปิดกระจกเรียกหญิงสาว “ริน ขึ้นมาสิ”

“จะดีเหรอคะ” รินรดามีท่าทีอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างคนขับ “เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง มองเสี้ยวหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาซาบซึ้ง แอร์เย็นฉ่ำจนรู้สึกสดชื่นขึ้นในทันที ยิ่งได้สูดดมกลิ่นหอมเย็นสะอาดบางอย่างจากกายเขาก็ยิ่งหวิวไหว มองดูมือชายแกร่งขณะจับเกียร์ด้วยความหลงใหล เขาพับแขนเสื้อขึ้นและปลดกระดุมคอเล็กน้อย ดูไม่เรียบร้อย แต่กลับมีเสน่ห์ชวนมอง ทุกอากัปกิริยาของชายข้างกายทำใจเธอเต้นแรง

“กลับมาจากทำงานเหรอ” ชายหนุ่มชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยเมื่อเห็นเธอเอาแต่นิ่งเงียบและแอบมองกัน

“เปล่าค่ะ รินไปสัมภาษณ์งานมา แต่...” เธออ้ำอึ้งก่อนจะเงียบไป

“ทำไมล่ะ ไม่ผ่านเหรอ” เขาละสายตาจากถนนเพื่อหันมาสบตาเธอชั่วครู่ สีหน้าเธอดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย

“ก็ทำนองนั้นค่ะ รินไปสมัครเลขาฯ แต่เจอเจ้านายไม่ดี จะลวนลามท่าเดียว...โชคดีที่หนีออกมาได้ก่อน” หญิงสาวเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ตาแดงคล้ายจะร้องไห้

“สนใจมาทำที่บริษัทไหม เดี๋ยวให้คนดูตำแหน่งงานให้ ทดลองงานดูสักสามเดือน ถ้าไหวก็ไปต่อ” กวินภัทรเสนอทางเลือกเมื่อเห็นว่าพอช่วยได้

“มันจะดีเหรอคะ รินเกรงใจ” แม้ภายในใจจะยินดีเสียเต็มประดา แต่จำต้องสงวนท่าทีไว้ เธอจึงเอ่ยตอบไปราวกับไม่ค่อยมั่นใจ

“ถ้าเกรงใจก็ตั้งใจทำงานให้ดีแล้วกัน”

“ขอบคุณนะคะคุณวิน” รินรดาอมยิ้มอย่างมีความสุขขณะลอบมองมือชายหนุ่มเป็นระยะ เวลาเขาหมุนพวงมาลัยช่างน่าหลงใหลนัก เธอรักทุกอย่างที่เป็นเขา อดรู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้เธอไม่ได้ กวินภัทรใจดีกับเธอเสมอมา...มีแค่เขาที่มองเห็นเธอ

 

เธอพาตัวเองมาอยู่ท่ามกลางอะไรเนี่ย!

ผู้คนจำนวนมากกระจุกตัวแน่นอยู่เต็มลานหน้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ทุกคนดูมีความมุ่งมั่นและมาพร้อมกับอุดมการณ์อันแรงกล้า ป้ายเชียร์สีสันแปลกตา แท่งไฟ ตุ๊กตา ที่คาดผมแฟนซี เสื้อยืดสกรีนใบหน้าศิลปิน กล้องถ่ายรูปพร้อมเลนส์ตัวยาว บางคนถึงขนาดกับพกเก้าอี้ตัวเล็กมาด้วย อดทึ่งกับความบากบั่นของผู้คนเหล่านี้ไม่ได้ ต้องรักขนาดไหนจึงจะยอมทุ่มเททำสิ่งเหล่านี้ได้

ทุกอย่างตรงหน้าดูละลานตาไปหมดสำหรับคนที่ปกติมักจะหลบซ่อนความวุ่นวายอยู่ในห้องสมุด หอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ หรือที่ไหนสักแห่งที่เงียบสงบ ไม่ใช่เสียงดังอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ เธอไม่ชอบความวุ่นวาย และที่สำคัญเธอไม่ชอบที่ที่มีคนมากมายเช่นตอนนี้

กวีลดาขอให้เธอมาเป็นเพื่อน  โดยน้องอ้างกับแม่ว่าให้เธอพามาดูโรงเรียนกวดวิชา ด้วยความที่ครองขวัญนั้นเชื่อใจพาพราวมาก เพียงหญิงสาวพยักหน้าเออออตามกวีลดา ทุกอย่างก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เป็นไปตามแผนของเด็กหนีเที่ยว โดยไม่เอะใจเลยสักนิดว่าอย่างกวีลดานี่นะอยากจะเรียนกวดวิชา ขนาดเรียนปกติที่โรงเรียนยังขี้เกียจเลย

เธอนัดกับกวีลดาตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง และนี่ก็เลยเวลามาครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่คนเป็นน้องยังไม่มาตามนัด โทร. ไปก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน พาพราวจึงทำได้แค่ชะเง้อคอมองไปยังกลุ่มคนมหาศาลที่ยืนออกันอยู่หน้าเวที พยายามสอดส่ายสายตาเข้าไปในดงผู้คน จะให้ตามเข้าไปหาก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แม่กำชับไว้ว่าห้ามกลับบ้านเกินสองทุ่มครึ่ง และนี่มันสองทุ่มแล้ว ลุงชัยก็มาจอดรอรับอยู่ที่อาคารจอดรถของห้างแล้ว เหลือแค่รอกวีลดาออกมาเท่านั้น

กำหนดเวลาไว้ชัดเจนเสียอีก หญิงสาวจึงร้อนรนเกินปกติ เธอไม่เคยโกหกแม่ ไม่เคยขัดคำสั่ง ฉะนั้นการรักษาคำพูดและเวลาสำหรับเธอจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

พาพราวก้มกดโทรศัพท์มือถือเพื่อส่งข้อความตอบแม่ว่ากำลังจะกลับ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง กองทัพผู้คนที่เธอเห็นว่ายืนกระจุกกันแน่นหน้าเวทีเมื่อตอนแรกก็แตกฮือกระจาย ทุกคนต่างวิ่งกรูเข้ามายังทิศทางที่เธอยืนอยู่ ซึ่งเป็นบริเวณทางเดินเชื่อมเข้าสู่ตัวห้าง  พอหันหลังกลับไปมอง จึงได้รู้ว่าศิลปินกำลังเดินกลับเข้าไปด้านในพร้อมผู้ดูแลความปลอดภัยนับสิบ หันกลับมาทางเวทีอีกครั้งก็...ไม่ทันแล้ว

กองทัพผู้คนวิ่งผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีจังหวะให้เดินหลบออกไปด้านข้างได้เลย เธอจึงทำได้เพียงยืนนิ่งทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด เปิดทางแก่คนอื่นๆ เสียงกรีดร้องดังสนั่นกึกก้องจนต้องยกมือขึ้นอุดหูไว้ แรงเบียดเสียดจากการเคลื่อนไหวทำเธอหวาดเสียวจนไม่กล้ากระดิกกาย

กระทั่งใครสักคนชนเธอเข้าอย่างจังจนล้มลง หญิงสาวพยายามเอามือยันพื้นไว้ เท้าใครเป็นเท้าใครไม่รู้เหยียบย่ำลงบนหลังมือของเธออยู่หลายหน เจ็บจนชา ก่อนจะมีมือใครคนหนึ่งเอื้อมมาฉุดกระชากเธอให้ลุกขึ้นยืน เขาใช้แผ่นหลังบังเธอไว้ในอ้อมกอด ราวกับเป็นโล่กำบังในสงคราม เกิดแรงปะทะยามที่มีคนวิ่งมากระแทกเป็นระยะพอให้รู้สึกได้ แต่ไม่สะเทือนมาถึงคนตัวเล็กมากนัก เขากอดเธอไว้ในอ้อมแขน ยกมือข้างหนึ่งขึ้นประคองศีรษะหญิงสาวไว้ แล้วกดให้แนบชิดกับแผ่นอกล่ำสัน ทั้งยังพยายามปิดหูเธอไว้

แต่เธอยังได้ยิน...ชัดเจนมากด้วย…

...เสียงหัวใจเขา เต้นเร็วแรง เป็นจังหวะน่าฟัง เสียงมันดังก้องกระทบเสี้ยวหน้าของเธอ อาจจะดังพอๆ กับเสียงหัวใจตัวเธอเอง มันกู่ร้องก้องระริกไหวไม่แพ้กัน วูบหนึ่งเธอแอบคิดไปถึงนิยายที่วรรณิกเล่าให้ฟังเมื่อบ่าย

ไม่! ไม่ได้! ห้ามคิดแบบนั้น

“จะยืนซบฉันอีกนานไหม” กวินภัทรเอ่ยบอกคนที่เอาแต่โอบรัดเขาไว้แน่น ตอนนี้ผู้คนวิ่งผ่านทั้งคู่ไปหมดแล้ว

“ขอโทษค่ะ” พาพราวรีบผละออกอย่างไวราวกับเจอของร้อน

“เธอพาน้องสาวฉันมาทำอะไร! กลับบ้านไปฉันเอาตายแน่” เขาบอกเสียงเข้มพร้อมกับทำหน้าเหี้ยมข่มขู่ เกรี้ยวกราด แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือเธอ ขณะมืออีกข้างพยายามกดโทรศัพท์มือถือเพื่อโทร. หากวีลดา

“คือว่า...” คนจนมุมเริ่มอึกอักเมื่อโดนเขาต้อนด้วยแววตาเข้มขุ่นเคือง

“คือว่าอะไร” เขาละโทรศัพท์ออกห่างเล็กน้อย และหันมาแค่นเสียงใส่กัน กระชับมือที่กุมมือเธอไว้ให้แน่นขึ้น

“...” พาพราวเม้มปากแน่นเมื่อไม่รู้จะเอ่ยตอบอย่างไรดี สงครามร้อนซ่อนรัก ไม่มีหรอก มีแต่สงครามร้อนซ่อนยักษ์ กินเธอได้คงกินไปแล้ว แยกเขี้ยวขู่ขนาดนี้

กวินภัทรงุ่นง่านที่น้องสาวตัวดีไม่ยอมรับสายเขาเสียที กลับบ้านไปจะหวดให้หนักสักทีสองที โทษฐานที่...

...ที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองต้องโกรธขนาดนี้

กระทั่งแม่ตัวดีรับสายและยังมีหน้ามาบอกว่าอยู่กับเด่นชัยแล้ว รอพาพราวอยู่ ยังไม่เห็นมาที่รถเสียที เขาจึงฉะน้องสาวเสียชุดใหญ่ ก่อนทิ้งท้ายให้กลับไปเจอกันที่บ้าน เรื่องนี้ต้องถึงหูพ่อกับแม่แน่!

แต่คนที่กลัวไม่ใช่กวีลดาหรอก กลับเป็นหญิงสาวที่อยู่ข้างเขาต่างหาก สีหน้าเธอดูกระวนกระวายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มือก็ชื้นเหงื่อจนเขารู้สึกได้ แต่ช่างปะไร เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอจะเก่งกว่าแต่ก่อนสักแค่ไหนกันเชียว ภายใต้ท่าทางเรียบร้อยที่เธอตบตาทุกคน แต่เขารู้ว่าเธอมันเด็กดื้อเงียบ แถมยังชอบต่อต้านอยู่ลึกๆ เช่นตอนนี้ที่เธอเผลอมองเขาด้วยแววถือดี

...แต่จะว่าไปเขาก็ชอบแบบนี้เสียด้วยสิ 

กวินภัทรขู่บังคับหญิงสาวให้กลับด้วยกัน เธอพยายามต่อรองขอกลับกับน้อง แต่มีหรือเขาจะยอม อ้างเรื่องเสียเวลาและจับจูงเธอไปขึ้นรถด้วยกันหน้าตาเฉย พาพราวจงใจปิดประตูกระแทกเสียงดัง ชายหนุ่มจึงหันมามองพลางเลิกคิ้วขึ้น หรี่ตาประเมินอาการหญิงสาว ซึ่งเธอเอาแต่นิ่งเงียบ ปากอิ่มเชิดขึ้นเล็กน้อย

“กลับบ้านไปเธอโดนดีแน่ แม่ไม่ชอบคนโกหก” เขากล่าวขึ้นลอยๆ

“...” เธอสูดหายใจเข้าลึกและผ่อนออกเต็มแรง ก่อนจะเม้มปากแน่น ไม่ยอมเอ่ยคำใด เหลือบตามองเขาครู่หนึ่ง และหลุบตาลงต่ำมองมือตัวเองอย่างไว

“คิดคำแก้ตัวไว้รึยัง”

“...” เธอไม่ตอบ เอาแต่กุมมือตัวเองไว้แล้วคลึงเบาๆ เริ่มรู้สึกเจ็บร้าวจากรอยแดงเป็นปื้นบริเวณหลังมือ

“คิดดีๆ ล่ะ” ชายหนุ่มขู่กันไม่เลิก ชำเลืองตามองอาการคนตัวเล็กเป็นระยะ คิ้วสวยขมวดมุ่นราวกับกำลังใช้ความคิด

...

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงหัวค่ำ

กวินภัทรหงุดหงิดเมื่อเขากลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าพาพราวยังไม่กลับ แม่บอกว่าเธอพากวีลดาไปสมัครเรียนพิเศษ ซึ่งเขารู้ทันทีว่าโกหก จึงโทร. สืบเรื่องราวเอาจากเด่นชัย แต่คำตอบที่ได้พาเอาหัวเสียไม่น้อย เขาจึงขับรถออกจากบ้านตรงมายังห้างสรรพสินค้าดังกล่าวทันที กว่าจะฝ่าการจราจรมาได้ก็ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง เมื่อจอดรถเรียบร้อย ชายหนุ่มจึงรีบเดินตรงมายังสถานที่จัดงาน ดีที่เขาเห็นเธอยืนเด่นสวนทางกับผู้คนพอดี นับจากจำนวนเท้าที่วิ่งกรูกันเข้ามาแล้ว พนันได้เลยว่าถ้าเขามาไม่ทัน เธอคงตายอยู่ตรงนั้นเป็นแน่

 

ณ ห้องสอบสวน

ประตูห้องถูกปิดอย่างแน่นหนา มีโต๊ะตัวยาวตั้งอยู่กลางห้อง แสงโคมไฟบนเพดานสาดส่องลงมายังผู้ต้องหาสองคนซึ่งนั่งประจันหน้ากับพนักงานสอบสวนและพยานตัวเป้ง คนหนึ่งหวาดกลัวจนต้องกุมมือระงับความสั่นไว้ ส่วนอีกคนไม่ได้มีทีท่าทุกข์ร้อนอันใด

 “ใครจะเป็นคนอธิบายให้พ่อฟังว่าทำไมเราสองคนถึงไปอยู่ที่นั่นได้” กมนทัตถามเสียงเข้ม จ้องหน้าลูกสาวสองคนไปมา

“คือ...” ในฐานะที่เธอเป็นพี่ พาพราวคิดว่าตัวเองควรปกป้องน้อง

“วิปเป็นคนต้นคิดเองค่ะ พี่พราวแค่ถูกขอให้ช่วย” กวีลดาแทรกขึ้นทันใด เธอจะไม่ยอมให้พี่ต้องมาโดนลงโทษด้วย ผิดที่เธอเป็นคนอยากไป เป็นคนคิดแผน แถมยังทำผิดแผนเสียเองจนโดนจับได้ ก็คอนเสิร์ตมันสนุกจนลืมเวลานัดนี่นา เลยออกมาช้ากว่าที่ตกลงกันไว้

“ไม่ใช่นะคะ พราวเป็นคนพาน้องไปเอง” พี่สาวพยายามปกป้อง แม้น้ำเสียงเธอจะสั่นไหวไม่มั่นคงเลยก็ตาม

“ไม่ค่ะ วิปอยากไปเอง”

“แล้วทำไมไม่ขอกันดีๆ” คนเป็นพ่อเอ่ยเสียงอ่อน แค่เพียงเห็นสีหน้าของพาพราวก็ทำเขาใจแกว่ง ดวงตาเศร้าสร้อยแฝงแววสำนึกผิดของเธอพาให้ดุไม่ลง

“ถ้าขอดีๆ พ่อกับแม่ก็คงไม่ให้ไป” ลูกสาวคนเล็กเด็กสุดตอบเสียงกระเง้ากระงอด

“ก็เลยต้องแอบหนีไปงั้นสิ” พี่ชายที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลังโพล่งออกมาอย่างหมั่นไส้

“ฟังนะลูก แม่ไม่ได้โกรธที่ไปดูคอนเสิร์ตแบบนั้น แต่แม่โกรธที่หนูโกหก”

ท่ามกลางบรรยากาศมาคุ แม่คือที่พึ่งสุดท้ายเสมอ ไม่ว่าพ่อกับพี่ชายจะหัวเสียใส่อารมณ์แค่ไหน แต่แม่มักเป็นน้ำเย็นที่คอยไกล่เกลี่ยบรรยากาศให้เบาบางลงได้เสมอ

“แต่มันก็ไม่มีอะไรสักหน่อยนี่คะ” ยัง...กวีลดายังไม่สำนึก

“ไม่มีได้ไง ถ้าพี่ไปช้ากว่านี้พราวคงโดนเหยียบตายกลางห้างไปแล้ว” กวินภัทรขัดขึ้นเสียงดังกว่าระดับปกติ ส่งสายตาดุมองมาที่เด็กหญิงชุดนักเรียนอย่างคาดโทษ

“พราว...ขอโทษนะคะ” หญิงสาวตอบเสียงแผ่วเบาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ขอโทษทำไม!” กวินภัทรดุเธออย่างไม่เข้าใจ เอะอะอะไรก็เอาแต่ขอโทษ เขาอยากจะทำโทษนัก จากที่จ้องกวีลดาเลยเบนสายตามาจ้องพาพราวแทน แถมยังเพิ่มความเข้มขึ้นอีกระดับ นึกว่าจะกล้าแกร่งสักแค่ไหน ที่แท้ก็ลูกแมวหงอยๆ เหมือนเดิม

“...” หญิงสาวขบริมฝีปาก ก้มหน้าหลบสายตาดุเข้มของเขา มือเล็กที่กุมอยู่บนตักยิ่งกุมกันแน่นเข้าไปอีก

“เอาละทั้งคู่ พ่อกับแม่ไม่เคยห้ามถ้าจะทำอะไร ขอแค่มันไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเสียหาย หรือต่อให้พลาดทำลงไปแล้ว ก็ขออย่างเดียว หนูต้องบอกความจริง ห้ามโกหกเด็ดขาด เข้าใจไหม” กมนทัตพยายามพูดให้ลูกเข้าใจ สอนให้รับผิดชอบการกระทำของตัวเอง

“ขะ...เข้าใจค่ะ” พาพราวรีบตอบรับในทันที

“วิป?” คนเป็นพ่อหันมาถามแม่ตัวดีที่ยังนั่งหน้านิ่ง ไม่ค่อยสะทกสะท้านสักเท่าใดนัก

“ค่ะ” ลูกสาวคนเล็กตอบส่งๆ อย่างขอไปที

“ค่ะอะไร”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่า...” เธอลากเสียงท้ายยืดยาวอย่างที่ชอบทำประจำ

“ยัยวิป!” ครองขวัญได้แต่เหนื่อยใจ เจ้าลูกคนนี้นี่! “มา...มาให้แม่กอดที ทั้งคู่เลย” นางเดินเข้ามาหยุดยืนระหว่างลูกสาวทั้งสอง แล้วดึงทั้งคู่เข้ามาโอบไว้เบาๆ “อย่าดื้ออีกนะวิป ต่อไปห้ามโกหกแม่อีกนะพราว เข้าใจไหม” ทั้งคู่พยักหน้ารับอยู่ในอ้อมอกแม่

 

เสียงเคาะประตูหนักๆ หน้าห้องดึงความสนใจของพาพราว จังหวะเคาะรัวเร็วแบบนี้เธอรู้ว่าเป็นเขาแน่นอน มีอยู่คนเดียวนั่นละ เขาเคาะมาสักพักแล้ว และดูท่าคงจะไม่ยอมผละไปง่ายๆ เสียด้วย ปักหลักรอจนกว่าเธอจะยอมเปิดออกไป

“มีอะไรคะ” เธอกระชากประตูเปิดไม่เบานักพลางมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ

“...” ชายหนุ่มไม่ตอบคำใด แต่กลับจ้องมองมายังมือบางที่จับขอบประตูกั้นไว้

“ขอเข้าไปหน่อย”

“ไม่ค่ะ” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง เรื่องอะไรจะยอมเปิดทาง

“งั้นตามมาที่ห้องหนังสือ”

“...” เออ...เอากับเขาสิ จะทำอะไรอีก

 ปกติเธอไม่ใส่ชุดชั้นในเวลานอน กระทั่งเขากลับมาจนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวาน เธอจำต้องโละชุดนอนเดิมพับเก็บไว้หมด แล้วหันมาใส่ชุดนอนขายาวแขนยาวมิดชิด แถมยังต้องทนใส่ชุดชั้นในทั้งที่อึดอัดจะแย่เวลานอน

พาพราวเดินตามกวินภัทรมาอย่างเซ็งๆ

“นั่งสิ” เขาเรียกเธอให้นั่งลงข้างกัน เห็นอาการกระฟัดกระเฟียดของหญิงสาวแล้วนึกขำ ทีอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ละชอบทำเป็นกริ่งเกรง แต่พออยู่กับเขาสองคนหญิงสาวมักไม่ค่อยเก็บอารมณ์ เผลอแสดงอาการให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

เขาลีลาท่ามากอยู่นั่นละ ถ้าเป็นแค่เรื่องไร้สาระ เรียกมาด่า มาแกล้ง มาบอกอะไรที่มันไม่จำเป็นสักนิดแล้วละก็ เธอจะแช่งให้เขาฝันร้ายเลย คอยดูสิ!

“ยื่นมือมา” ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้มขณะจ้องมองไปยังมือบาง

“ไม่ใช่ข้างนี้ อีกข้างหนึ่ง ข้างที่แดงน่ะ”

“คะ?”

            เขาเอื้อมมือมาจับมืออีกข้างของเธอไปดูอย่างนุ่มนวลผิดวิสัย เพียงสัมผัสอุ่นนุ่มที่เขากุมแนบกันไว้ก็ทำใจเธอแกว่ง มือบางจึงสั่นระริกอยู่ในอุ้งมือเขา แก้มแดงเห่ออย่างไม่อาจห้าม

มือหนาลูบคลึงบริเวณรอยแดงที่ถูกเหยียบจากเหตุการณ์เมื่อช่วงหัวค่ำเบาๆ ก่อนเอ่ยถามเสียงทุ้มขณะมองหน้าเธอ “เจ็บไหม”

“มะ...ไม่ค่ะ” เธอตอบเสียงผะแผ่ว อย่ามาทำท่าทางอ่อนโยนแบบนี้ได้ไหม หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ พาพราวรู้สึกว่าตัวเองหน้าเห่อร้อนวูบวาบเพราะสัมผัสนุ่มนวลชวนละลายนั่น

กวินภัทรกดนิ้วลงบนมือเธอแรงขึ้นอีกนิด

“โอ๊ย...เจ็บค่ะ” คนแกล้งไม่เจ็บสะดุ้ง ชักมือกลับทันที ดุเขาผ่านสายตา

ตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบได้ รู้เพียงว่านาทีนี้เขาหลงใหลแววตาท้าทายของเธอเข้าแล้ว “อยู่นิ่งๆ จะทายาให้” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อน ก่อนจะเอื้อมมากุมมือเธอไว้อีก แล้วค่อยๆ ไล้เนื้อครีมลงบนผิวบางอย่างแผ่วเบา

เท่านั้นเองก็สะกดเธอให้หยุดนิ่งราวกับต้องมนตร์ เขาเคยทำแบบนี้กับเธอบ่อยๆ เมื่อครั้งยังเยาว์วัย นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รู้สึกอบอุ่นใจเมื่อมีใครสักคนคอยปกป้องดูแล นานแค่ไหนแล้วที่ต้องดูแลตัวเองยามได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ นานจนลืมความรู้สึกนี้ไปแล้ว

ชายหนุ่มบรรจงป้ายเนื้อครีมลงบนผิวบางอย่างระมัดระวัง เขาค่อยๆ คลึงวนเป็นวงกลมอย่างเบามือ ส่วนมืออีกข้างวางรองประคองมือเธอไว้ เขาดูตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากันในระยะใกล้ ส่งคำถามและความห่วงใยผ่านสายตา พาพราวจึงส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ ไม่หลงเหลือความเจ็บใดๆ แล้ว ราวกับว่าเขาปัดเป่ามันให้พ้นไป เธอหายเจ็บตั้งแต่ตอนที่เขาแสดงท่าทางห่วงใยนั่นแล้ว 

ภาพที่เธอเห็นตรงหน้าจากมุมนี้ จากความใกล้ในระยะนี้ คล้ายมีบางอย่างดึงดูดให้จ้องมอง ไม่อาจละสายตา ผมสีน้ำตาลเข้มของเขาถูกปัดขึ้นไม่เป็นทรง ทิ้งปลายผมประปรายลงมาตามหน้าผากเกลี้ยงเกลา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยยามเมื่อเขาตั้งใจทำอะไร ตาคมเข้มหลุบต่ำจ้องมองยังมือบางของเธอ แพขนตาเขาขยับไปมาเล็กน้อย จมูกคมสันที่ชอบซุกไซ้ไล้แกล้งเธอเล่น ริมฝีปากที่...

            ไม่! แบบนี้ไม่ดีกับหัวใจเธอเลย พาพราวชะงักมือเกร็งต้านสัมผัสเขา ขยับตัวถอยห่างเมื่อได้สติ

“เป็นอะไร” เขาถามด้วยความงุนงงเมื่อจู่ๆ เธอก็สะดุ้งและมีทีท่าแปลกไป

“ปะ...เปล่าค่ะ เสร็จรึยังคะ” เธอละล่ำละลักถาม ก่อนจะรีบลุกขึ้นเตรียมผละออก

“เดี๋ยว!”

“คะ?”

“เอายานี่ไปไว้ทาด้วย ทาบ่อยๆ นะรู้ไหม”

รู้แล้วน่า อย่ามาทำให้รู้สึกแบบนี้ได้ไหม “ขอบคุณค่ะ” พอเอ่ยขอบคุณอย่างขอไปทีจบ หญิงสาวก็รีบเดินแกมวิ่งกลับห้องตัวเองทันที

ปิดประตู...และล็อก

พาพราวยืนพิงบานประตู ยกมือข้างที่กำหลอดยาไว้แน่นวางกดลงตรงตำแหน่งหัวใจ คล้ายมันจะหลุดออกมาเต้นข้างนอกได้อยู่แล้ว พยายามท่องไว้ในใจว่าเขาเป็น ‘พี่ชาย’

ส่วนชายหนุ่มซึ่งถูกปล่อยทิ้งไว้ในห้องหนังสือ เขามองตามหลังเธอด้วยแววตาชนิดหนึ่ง กึ่งขำขันกึ่งพึงใจ เขาจะใช้ความใกล้ชิดปั่นประสาทเธอให้เพ้อถึงเขาวันละสามเวลาให้จงได้ กวินภัทรเดินผิวปากกลับห้องตนเอง แล้วจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างอย่างสบายอารมณ์ แทนที่จะไปล้างมือซึ่งเปื้อนเนื้อครีมออกก่อน เขากลับยกมือขึ้นมาอังไว้ที่ปลายจมูกอยู่อย่างนั้น

หอม...

เป็นกลิ่นยาทาแก้ฟกช้ำที่หอมที่สุดตั้งแต่เคยได้กลิ่นมา แม้หลายครั้งเขาจะไม่ค่อยพิสมัยกลิ่นของมันเท่าใดนัก

แต่ครั้งนี้เขาชอบ...ชอบมากเสียด้วยสิ

 

‘คนเราจะต้องการครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ไปทำไม ในเมื่อตัวเรานั้นเล็กเพียงเท่านี้

บางทีเราก็ต้องการเพียงพื้นที่เล็กๆ ที่ไหนก็ได้ที่เราสามารถทิ้งตัวลงพักได้อย่างสบายใจ

ณ ร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในเมืองใหญ่ ภายในร้านเน้นตกแต่งด้วยโทนสีขาวสบายตา ประดับประดาด้วยสีเขียวจากต้นไม้น้อยใหญ่ วางแทรกแซมไปกับเครื่องเรือนในมุมต่างๆ แสงแดดอ่อนในวันหยุดพักผ่อนทอประกายอาบไล้ลงบนโต๊ะเนื้อไม้สีอ่อน ซึ่งมีแจกันดอกไม้เล็กๆ วางไว้ทักทายสายตาผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมเยียน กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยฟุ้งอบอวลไปทั่วพื้นที่ บรรยากาศชวนให้หยุดพัก ละทิ้งความวุ่นวายทั้งในใจและนอกใจไปชั่วครู่

 

แต่วันนี้ดูเหมือนลูกค้าจะพร้อมใจกันมาทิ้งตัวอย่างหนาตา ทั้งที่ปกติในวันธรรมดาลูกค้าจะน้อยกว่านี้มากนัก ทำให้บรรยากาศร้านซึ่งมักจะเงียบๆ สบายๆ กลับกลายเป็นวุ่นวายขึ้นอีกระดับ

พาพราวออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า โดยขออนุญาตครองขวัญ เธออ้างว่ามีนัดคุยเรื่องงานกับอาจารย์ที่ปรึกษา แม้รู้สึกผิดที่ต้องโกหกแม่ ทั้งๆ ที่เพิ่งโดนดุไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ก็ไม่กล้าบอกไปตามตรงอยู่ดีว่าจะมาทำอะไรแบบนี้

เธอมาถึงในเวลาก่อนร้านเปิดหนึ่งชั่วโมงตามที่ตกลงกันไว้เพื่อเรียนรู้ระบบงานเบื้องต้นจากพี่ขวัญใจ พนักงานที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในวันนี้ หน้าที่หลักของพาพราวไม่มีอะไรยากมาก เพียงรับออร์เดอร์ลูกค้าและเสิร์ฟเท่านั้น หญิงสาวเปลี่ยนใส่ชุดยูนิฟอร์มของร้าน เธอดูน่ารักชวนมองเมื่อสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับมินิสเกิร์ตยีนเข้าชุดกัน คาดทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาวสลับดำแบบครึ่งตัว มีสายมัดเป็นโบอยู่ด้านหลัง สวมถุงเท้าข้อสั้นสีขาวเข้ากับรองเท้าผ้าใบสีเดียวกัน

“น้องพราวคะ อันนี้เสิร์ฟโต๊ะเอห้านะคะ”

ตอนแรกเธอคิดว่างานนี้ไม่ยากเกินรับมือ แต่พอเจอของจริงกลับพบว่ามีอีกหลายหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ พาพราวหัวหมุนอยู่กับการรับออร์เดอร์ เสิร์ฟเครื่องดื่ม เก็บแก้ว เช็ดโต๊ะ จัดเก้าอี้ให้เข้าที่ แม้ช่วงแรกจะยังเก้ๆ กังๆ แต่พอทำไปได้สักพักจึงเริ่มคล่องขึ้น อีกไม่นานวรรณิกคงตามมาช่วยในช่วงบ่าย และเดินทัพคงตามมาสมทบอีกในช่วงเย็น

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบรับอะไรดีคะ” เธอเห็นทางหางตาว่ามีลูกค้าเพิ่งเข้ามาใหม่ จึงเดินเข้าไปรับออร์เดอร์โดยยังไม่ได้ละสายตาจากสมุดจดในมือ หญิงสาวยังคงวุ่นอยู่กับการเปิดหน้ากระดาษให้เรียบร้อย กระทั่ง...

“อเมริกาโนเย็นแก้วหนึ่งครับ”

เสียงคุ้น...คุ้นมาก คุ้นแบบที่ไม่ต้องนึกเลยว่าใคร ก็ได้ยินอยู่ทุกวัน แต่ไม่ใช่โทนเสียงสุภาพแบบนี้หรอกนะ

กวินภัทร!...เขามาได้ยังไงกัน

“เอ่อ...” พอเห็นว่าเป็นเขาไม่ผิดตัวแน่ๆ เธอเพิ่งเข้าใจคำว่า ‘เสียวสันหลัง’ ก็วันนี้ละ พาพราวลอบกลืนน้ำลาย สูดหายใจเพื่อเรียกความเชื่อมั่น ก่อนจะหันไปสบตาเขาราวกระต่ายน้อยตื่นตูม

“ของพี่เอาคาราเมลมัคคิอาโตหวานน้อยนะคะ” หญิงสาวอีกคนสั่งขึ้น ช่วยเรียกสติของพาพราวให้กลับเข้าที่

เธอจึงรีบรับออร์เดอร์และส่งต่อให้พนักงานอีกคนที่เคาน์เตอร์ทันที เห็นชัดเจนว่าเขาส่งสายตาเข้มระดับไหนมาให้กัน คงจะเข้มพอๆ กับอเมริกาโนที่เขาสั่งนั่นละ

พาพราวตั้งสติเรียกความกล้าขณะประคองถาดเครื่องดื่มไปเสิร์ฟเขาและผู้หญิงคนนั้น ถ้าให้เธอเดา...ก็คงจะเป็นคนรัก เป็นแฟน หรือไม่ก็เป็นเพื่อน...เป็นอะไรก็ได้ที่เขาคงปฏิบัติดีด้วย ดีในแบบที่เธอคงไม่มีโอกาสได้รับ มือบางสั่นไหวเล็กน้อยตอนที่วางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะตรงหน้าชายหนุ่ม เธอเผลอสบตาเขาโดยบังเอิญ ก่อนจะรีบหลบสายตาเพ่งมองแก้วกาแฟแทน และเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าใด ยังคงทำทีเป็นไม่รู้จักกัน เธอจึงระงับอาการสั่นไหวของตนเอง พยายามควบคุมทุกอย่างให้เป็นปกติที่สุด แม้ลึกๆ จะรู้สึกโหวงในอกเพราะท่าทางเฉยเมยของชายหนุ่ม

เขาคงไม่อยากให้ผู้หญิงอีกคนรับรู้สถานะของเธอกับเขากระมัง พาพราวอดตกใจความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ พยายามยับยั้งไม่ให้ตนถลำลึกลงไปในอะไรก็ตามที่แสนอันตรายกับหัวใจ ท่องไว้ว่าตนมาที่นี่เพื่ออะไร พวกเขาเป็นลูกค้า และเธอควรทำหน้าที่บริการให้ดีที่สุด

ระหว่างสาละวนอยู่กับลูกค้าโต๊ะอื่นๆ แม้จะยุ่งสักแค่ไหน แต่ตาไม่รักดีก็ยังแอบมองเขาและผู้หญิงคนนั้นอยู่เป็นระยะ เห็นชัดเจนว่าผู้หญิงของเขาสวย...สวยมาก ดูก็รู้ว่าคงหลงใหลในแฟชั่นไม่เบานัก ทุกอย่างที่ประดับอยู่บนเรือนกายล้วนเข้ากันอย่างลงตัว ราวกับว่าเธอเลือกสรรสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอย่างดี เขาคงชอบผู้หญิงแบบนี้สินะ พาพราวเผลอกำแก้วกาแฟเปล่าในมือแน่นจนมันบุบเข้าเกิดเสียงดังกรอบแกรบ

“น้องพราว! เป็นอะไรคะ” ขวัญใจร้องทักเมื่อเห็นหญิงสาวใจลอยและบีบแก้วกาแฟจนผิดรูปผิดรอยคามือ

“เอ่อ...ขอโทษค่ะพี่ขวัญ” เธอรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่ เรียกสติของตนให้กลับเข้าที่ ก่อนจะปัดเรื่องไร้สาระให้พ้นไปจากความคิด แล้วหันมาตั้งใจทำงาน...

...แต่พอลืมตัวก็เผลอหันไปมองใหม่ อดรู้สึกแปลกไม่ได้เมื่อเห็นพวกเขาคุยหยอกล้อหัวร่อต่อกระซิกกัน

กระทั่งผู้หญิงคนนั้นลุกออกไปจากร้านแล้ว แต่กวินภัทรยังอยู่ แถมชายหนุ่มยังลุกเปลี่ยนที่นั่งใหม่ เป็นมุมที่มองเห็นทั้งร้านได้อย่างถนัดตา ถ้าเธอไม่ได้คิดไปเองก็คงตีความได้ว่าเขากำลังนั่งเฝ้าเธออยู่

บ้าที่สุด ทำไมไม่รีบกลับบ้านไป...ไป๊!

ทั้งที่เธออุตส่าห์ปรับตัวจนสนุกกับงานตรงหน้าได้แล้วแท้ๆ แต่เขากลับมาทำให้มันยากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว การต้องทำอะไรสักอย่างโดยรู้ว่ามีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่นั้นไม่ง่ายเลยสักนิด ทั้งอึดอัดและเก้อกระดากพิกล

กวินภัทรเรียกเธออีกครั้งเพื่อสั่งเค้ก ปกติเขาไม่ชอบกินของหวาน แต่เพราะอยากแกล้งและอยาก...ใกล้ จึงเรียกเธอมารับออร์เดอร์ แกล้งดูเมนูอยู่นานสองนานราวกับตัดสินใจเลือกไม่ได้ ลีลาท่ามากไม่สั่งเสียที

แม้ในตอนที่เธอยกจานขนมเค้กสีหวานมาเสิร์ฟเขา ชายตรงหน้าผู้ชอบหาเศษหาเลยก็ยังมิวายแอบลูบไล้มือบางอย่างจาบจ้วง

“ปล่อยนะคะ” เธอกระซิบกระซาบเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน ส่งสายตาอ้อนวอนเขา ปรามเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เขาทำอะไรประเจิดประเจ้อ

“มาทำอะไรที่นี่” เขาถามเธอเสียงเข้ม นึกสงสัยจนอดไม่ไหว อยากรู้เหลือเกินว่าทำไมเธอจึงมาทำอะไรแบบนี้

 

ผ่านไปเกือบสี่ชั่วโมง กวินภัทรยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหน เขานั่งเล่นมือถือไปเรื่อยเปื่อย ไถเลื่อนหน้าจอซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น หลังจากอ่านนิตยสารจบไปสามเล่ม ดื่มกาแฟหมดไปสี่แก้ว ทั้งอเมริกาโน เอสเพรสโซ คาปูชิโน และมอคคาแก้วสุดท้ายซึ่งวางอยู่นี้ ค่อยๆ เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด หวังให้ความหวานช่วยดับอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้นภายใน

กวินภัทรต้องทนมองเธอเดินเสิร์ฟกาแฟหัวหมุนอยู่คนเดียว คอยเก็บแก้ว ทิ้งขยะ เช็ดทำความสะอาดโต๊ะ บ้างก็ต้องเช็ดคราบสกปรกเปรอะเปื้อนที่พื้น หลายครั้งที่หันไปเห็นว่ามีลูกค้าผู้ชายบางคนแอบมองขาอ่อนที่โผล่พ้นกระโปรงสั้นเหนือเข่าเล็กน้อยของเธอ ซึ่งมันร่นขึ้นอีกเวลาเธอก้มๆ เงยๆ ทำไมเธอต้องพาตัวเองมาทำอะไรแบบนี้ด้วย บ้านเขาเลี้ยงไม่ดีหรือไง

โกรธ...โกรธมาก โกรธจนแทบจะระเบิดร้านได้อยู่แล้ว!

...

วรรณิกตามมาช่วยในช่วงบ่ายคล้อย เธอลอบมองลูกค้าหนุ่มสุดหล่ออยู่เป็นระยะ สังเกตเห็นว่าเขาแอบมองเพื่อนเธอ “พราวๆ แกดูลูกค้าโต๊ะนั้นดิ ฉันเห็นเขานั่งมองแกมาตั้งแต่บ่ายแล้ว”

“...” ลูกค้าโต๊ะนั้นของเพื่อนก็คือโต๊ะเดียวกับที่มีกวินภัทรตัวเป้งนั่งทำหน้าเหี้ยมอยู่นั่นละ นั่งนิ่งปักหลักมาตั้งแต่เที่ยงแล้ว

“หล่ออ้ะ เอาเลย” เพื่อนสาวกระแทกไหล่ใส่เธอเบาๆ กระเซ้าเย้าแหย่ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์แสนกล

“บ้า! เอาอะไร” หญิงสาวหน้าแดงจัด ไม่รู้จะบอกเพื่อนสนิทยังไงดีว่าเขาเป็นพี่ชายตน แต่ลองคิดๆ ดูแล้ว...ไม่ดีกว่า ก็เขาทำท่าราวกับคนไม่รู้จักขนาดนั้น คงไม่อยากแสดงความสัมพันธ์กับเธอให้ใครรู้สักเท่าไร

“ก็เดินเกมไง เนี่ยมองตาหวานเชื่อมขนาดนี้นะ เป็นฉันหน่อยไม่ได้ แม่จะละลายไปซบอยู่ตรงอกแน่นๆ น่ากัดนั่นสักที ผู้ชายอะไรน่าขย้ำเป็นบ้า”

หืม?...มองตาหวานเชื่อม เชื่อมบ้าเชื่อมบออะไร มองมาเหมือนจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ กลับบ้านไปเธอตายแน่

พาพราวยังไม่ทันได้ตอบเพื่อนก็มีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือเธอเสียก่อน

“ถ้าในอีกหนึ่งชั่วโมงเธอยังไม่เลิกงาน ฉันพังร้านแน่”

“กลับไปก่อนเลยค่ะ”

“ไม่!”

“...” เธออ่านแล้วแต่ไม่ตอบเขา หญิงสาวเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากระโปรง ชำเลืองมองไปทางเขาก็เห็นว่าชายหนุ่มมองมาอยู่ก่อนแล้ว มือหนากำโทรศัพท์แน่น...แน่นจนเธอที่ยืนอยู่อีกมุมของร้านยังรู้สึกอึดอัดจากแรงบีบนั้น

เขาอยู่รอจนเธอเลิกงาน เปลี่ยนชุดและเดินออกมาขึ้นรถด้วยกันอย่างที่รู้ว่าคงเลี่ยงเขาไม่ได้ และที่สำคัญ...เกินไปครึ่งชั่วโมงจากเวลาที่เขาขู่ไว้ แน่นอนว่าต้องมีการเพิ่มโทษ

เมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว เธอรีบคาดเข็มขัดนิรภัยทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงเช้าวันนั้น กวินภัทรขับรถออกไปจากลานจอดอย่างกระชากกระชั้น ทำเอาหญิงสาวแทบลืมหายใจ มือบางจับสายเข็มขัดนิรภัยบริเวณอกไว้แน่น ชำเลืองตามองไปทางเขา เห็นมือหนากำพวงมาลัยจนขึ้นข้อแกร่ง แม้เลือนรางจากทางหางตาก็ยังรับรู้ได้ว่าเขาทำสีหน้าแบบไหนใส่กัน เพลงคลาสสิกเปิดคลออยู่ไม่ดังไม่เบานัก แต่ไม่ได้ช่วยบรรเทาบรรยากาศมาคุให้เจือจางลงได้เลยสักนิด บีโทเฟนก็บีโทเฟนเถอะ!

คล้ายมวลอากาศภายในรถเหลือน้อยเต็มทนจนเธอรู้สึกอึดอัด หญิงสาวขยับตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ อ้าปากหมายจะเอ่ยบางคำเพื่อลดทอนความเงียบงันไร้บทสนทนา แต่คิดหาคำพูดไม่ได้ จึงทำได้เพียงเม้มเรียวปากอิ่มขมุบขมิบอยู่อย่างนั้น

กวินภัทรไม่แน่ใจว่าทำไมตัวเองจึงหัวเสียได้ถึงเพียงนี้ ภายในเต็มไปด้วยความไม่พอใจ อัดแน่นจนอยากระบายอะไรบางอย่างใส่เธอ และเมื่อควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหวก่อนถึงบ้าน เขาก็จะไม่ทน! นัยน์ตาลุกโชนแสงสอดส่ายหาที่หยุดรถอยู่สักพัก ก่อนจะหักพวงมาลัย ชะลอเข้าจอดริมขอบทางในบริเวณซึ่งปลอดคนพอสมควร

...เพียงพริบตาเดียวเขาก็ปลดสายเข็มขัดนิรภัยอย่างไว ไม่รอเวลาให้เธอได้ตั้งตัว มือหนาคว้าไหล่มนเข้ามาใกล้ ตรึงเธอไว้ด้วยนัยน์ตาเข้มขลับ

หญิงสาวกลอกตามองเขาด้วยแววหวาดหวั่น พรั่นใจถึงอันตรายที่คาดเดาไม่ได้จากชายเบื้องหน้า สบตากันเพียงชั่ววินาที ก่อนชายหนุ่มจะทำลายระยะชิดใกล้ให้สิ้นลง เขาโน้มวงหน้าคมเข้มเข้าหา ใกล้จนเกินใกล้...

...พลันแตะต้องเรียวปากอิ่มสีฉ่ำวาวของเธอไว้...ด้วยริมฝีปากเขา

เพียงสัมผัสแผ่วเบาที่เขาแนบชิดเข้าหา พาให้ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเธอดำเนินไปอย่างไร้ทิศทาง รู้สึกราวตัวตนภายในหลุดลอยปลิวหายไปในอากาศเย็นฉ่ำ ชายหนุ่มไม่ได้ผละห่างดังเช่นคืนนั้น แต่กลับยิ่งกดย้ำเข้าหา เธอผงะถอยไปเล็กน้อย แต่ติดที่ฝ่ามือเขาโอบประคองท้ายทอยไว้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาละจากไหล่มนไปตอนไหน รู้เพียงตอนนี้เธอร้อนผะผ่าวไปหมดทั้งกายสาว มือบางกำแน่นกั้นอยู่ระหว่างอก พาพราวพยายามผลักเขาออก แต่กายชายแกร่งดังหินผา หนาหนักจนไม่อาจสู้แรง

ยิ่งเธอต้าน เขาก็ยิ่งเย้าหยอก ยิ่งเธอออกแรงเพื่อหลีกหนี เขาก็ยิ่งเดินหน้าเข้าหา

สรรพสิ่งรอบกายหายไปจากการรับรู้ชั่วขณะ มีเพียงสัมผัสจากเขาที่เด่นชัด หญิงสาวกลั้นลมหายใจขณะพยายามเม้มริมฝีปากอิ่มไว้ แต่คล้ายการขยับเพียงนิดของเธอจะส่งผลต่อชายเบื้องหน้า กวินภัทรคลึงกลีบปากของเธออย่างแผ่วเบา รุกไล่ให้เธอยินยอมเปิดทางรับรสจูบจากเขา จนหญิงสาวไปไม่เป็น

ชายหนุ่มขบเม้มริมฝีปากของเธอไว้ ครอบครองราวหลงใหลความอุ่นนุ่มอ่อนหวาน แรกเริ่มเดิมทีเพียงอยากสัมผัสเพื่อคลาคลายอารมณ์ขุ่นเคืองในใจ แต่ในวินาทีที่ได้เชยชิดกลับยิ่งเรียกร้องบงการให้ติดตามควานหาบางอย่างที่มากกว่า ค้นลึกลงไปในตัวตนของเธอ

หญิงสาวไม่รู้ว่าควรทุ่มความสนใจไปที่สิ่งใด ทุกอย่างจากเขามากมายจนเกินล้น ทั้งสัมผัสร้อนผ่าวที่ริมฝีปาก ทั้งปลายนิ้วนุ่มที่เกลี่ยไล้กรอบหน้าเธอไว้ ซ้ำร้ายยังฝ่ามือหนาซึ่งเลื่อนโอบประคองแผ่นหลังไว้อีก ไม่นับรวมลมหายใจและมวลอารมณ์บางอย่าง ซึ่งแผ่ซ่านกระจายฟุ้งภายในรถแสนคับแคบ ทุกอย่างกำลังสั่นคลอนตัวตนเธอ

จากความนุ่มนวลละเมียดละไมแปรเปลี่ยนเป็นความกระหายโหยหา เสียงเปียโนพร่าเลือนไปจากการได้ยิน กวินภัทรลวงสะกดเธอไว้ด้วยลิ้นร้อนร้าย เพียงความชุ่มชื้นที่เขาส่งผ่านดูดกลืนเธอไว้ ทำใจหญิงสาวกระตุกเต้นถี่ ตื่นไหวไปทุกอณูประสาทเพราะความรู้สึกเต็มอารมณ์อย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสนี้

จูบจนพอใจ ชายหนุ่มจึงยอมขยับถอยเล็กน้อย เว้นวรรคให้เธอพักหายใจ นัยน์ตาคมเข้มพราวระยับกวาดมองดวงหน้าหญิงสาวในระยะประชิด เขาเห็นม่านตาเธอไหวระริกฉายชัดถึงแววหวาดหวั่น เธอมองเขาราวกับยังจับต้นชนปลายไม่ได้ กลีบปากแสนฉ่ำขึ้นสีระเรื่อเชื้อเชิญให้สัมผัสหา

และไม่รอช้า เขาก้มลงอีกครา ห้อมล้อมเธอไว้ด้วยการขยับไหวอย่างมีชั้นเชิง คราวนี้ดุดันและดูดดื่ม กลืนกินเธอด้วยจังหวะเร่าร้อน ขัดกับมูนไลต์โซนาตาของบีโทเฟนซึ่งกำลังบรรเลงอย่างอ่อนหวานเหลือเกิน

กวินภัทรรุกไล่ไม่หยุดหย่อน คล้ายจูบของเขายังขยับเข้ามาใกล้ได้อีก และใกล้ขึ้นอีกเรื่อยๆ ใกล้จนเธอเริ่มยอมรับกับตนเองว่าคงไม่มีทางหนีเขาพ้น ปล่อยความรู้สึกให้ชายหนุ่มเป็นคนนำพา หลับตาปล่อยให้ความนึกคิดผิดชอบชั่วดีล่องลอยไป

เขาถือครองสิทธิ์ขาดในการขับกล่อมหญิงสาว เร้าอารมณ์ไปกับเสียงเปียโนที่บรรเลงเปลี่ยนมูฟเมนต์ขึ้นอย่างเร่งจังหวะ เร็วพอๆ กับหัวใจเธอที่เต้นแรง...แรงจนสะเทือนไหว สะท้านไปทั้งอก

จูบของเขาส่งผ่านกระแสความหวานซ่านบางอย่างจากริมฝีปากตรงเข้าสู่หัวใจ ชัดเจนในความรู้สึก แต่อธิบายไม่ได้

กระทั่งเสียงบรรเลงโน้ตตัวสุดท้ายจบลง เขาจึงยอมถอดถอนเรียวปากออก ขยับห่างเพียงนิด หอบหายใจถี่ลึก พลางสบตาตรึงเธอไว้ในระยะชิดเพียงลมหายใจ

จูบทดแทนเวลาห้าปีที่ต้องอดทนรอ...

หลังจูบกระชากใจของเขาผ่านพ้นไปแล้ว ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง คนหนึ่งเริ่มยอมรับอย่างมั่นใจในความรู้สึกของตนแล้ว ส่วนอีกคนยังคงสับสนเหมือนกำลังวิ่งวนอยู่ในเขาวงกตที่ไม่มีทางออก

            “อยากได้เงินทำไมไม่บอก” เขาเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มนวลขณะยกมือขึ้นลูบเรือนผมของเธออย่างแผ่วเบา จับช่อผมที่หล่นปรกใบหน้าขึ้นทัดหูให้เรียบร้อย เปิดวงหน้าหวานขึ้นสีจัดเพื่อมองเธอให้ชัดเต็มสายตา

            “ไม่ใช่ค่ะ...” เธอปฏิเสธคล้ายละเมอ ไม่รู้จะเอ่ยคำใดแก้ตัว หน้าร้อนเห่อเก้อเขินจนไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป

            “ไม่ใช่อะไร แล้วไปทำงานแบบนั้นทำไม เงินที่บ้านฉันให้ไม่พอใช้หรือไง” มีความดุเข้มผสมรวมมาในน้ำเสียงอ่อนโยน เขาไล้หลังมือแนบชิดไปกับพวงแก้มสีชมพูระเรื่อของเธอ

            “ไม่ใช่นะคะ...” เธอรับมือไม่ไหว พ่ายแพ้ความนัยบางอย่างที่เขาทิ้งไว้หลังรอยสัมผัสผะแผ่วเหล่านั้น

            “แล้วตกลงมันยังไง จะไม่บอกใช่ไหม” เขาว่าขณะเลื่อนปลายนิ้วมาคลึงริมฝีปากล่างของเธออย่างนุ่มนวล

            “ไม่ค่ะ...” เธอจะเอาสติที่ไหนมาคิดหาคำตอบหากเขายังเย้าหยอกกันเช่นนี้ ริมฝีปากอิ่มระริกไหวใต้ปลายนิ้วร้อนผ่าวของเขา

            ดูทรงแล้ววันนี้เขาคงคุยกับเธอไม่รู้เรื่องเป็นแน่ ถ้าพาพราวไม่เมารสจูบของเขาไปแล้ว ก็คงเพลียจากการทำงานอย่างหนักทั้งวันไม่ได้หยุดพัก จนสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ แต่เขามั่นใจว่าต้องเป็นเพราะอย่างแรกมากกว่า

            “แล้วที่สำคัญ ถ้าแม่รู้ว่าเธอโกหกอีก...” กวินภัทรแกล้งเย้าแหย่ ลวงให้เธอใจหายเล่น ด้วยรู้ว่าคนตัวเล็กใส่ใจความรู้สึกของคนเป็นแม่แค่ไหน

เขาทำสำเร็จ สมองเธอสั่งการในทันใด “อย่านะคะ! ห้ามบอกคุณแม่เด็ดขาด ขอนะคะ” เธออ้อนวอนเขาโดยไว พลันยกมือบางกุมมือเขาไว้เพื่อขอความเห็นใจ

            “ขออะไร ไหนขอร้องฉันดีๆ สิ”

            “นะคะ อย่าบอกแม่นะคะ” นัยน์ตาหวานช้อนมองเขาอย่างเว้าวอน

            “นี่ดีแล้วเหรอ” กวินภัทรยังสนุกกับการได้แกล้งคนที่แก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศตรงหน้า

            “...”

            “พี่วินคะ อย่าบอกแม่นะคะ ไหนพูดซิ” เขาดัดเสียงพูดอย่างน่าหมั่นไส้จริตอาการ

            “...”

            “อืม...แม่จะว่ายังไงน้าถ้ารู้ว่าเธอไม่ได้ไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างที่บอกเมื่อเช้า...”

            “พะ...พี่วินคะ พราวขอร้องอย่าบอกคุณแม่นะ...นะคะ” เธอวิงวอนเขาเสียงหวาน ส่งสายตาขอความเห็นใจจากชายหนุ่ม

            กวินภัทรอดใจไม่ไหว ม่านตาหวานวาววับขับให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มจึงโน้มเธอเข้ามาจูบอีกครา ประกบเรียวปากแนบชิด ขบเม้มเบาๆ อย่างเอาแต่ใจ จริงๆ ก็ไม่เบาสักเท่าไร แต่หากเทียบกับครั้งก่อนหน้าก็ถือว่าจูบนี้เบาไปเลยในความรู้สึก

            “ไม่บอกหรอก ทีหลังห้ามไปทำอีกนะ เข้าใจไหม ลาออกไปเลย” เขาสั่งเสียงอ่อนนุ่มหลังจากถอนจูบ แต่ยังค้างแนบชิดอยู่อย่างนั้นไม่ห่าง จดหน้าผากชนกันคล้ายกำลังซึมซับอะไรบางอย่างจากกายเธอไว้       

“มะ...ไม่แล้วค่ะ” เธอตอบรับเสียงสั่น ปลายจมูกเขาและเธอแนบชิดกัน ใกล้จนพังทลายกำแพงความสัมพันธ์ก่อนหน้าลงเสียสิ้น ช่องว่างที่ดูเหมือนไกลขยับใกล้เข้ามาจนน่าหวั่นใจ

            กวินภัทรเอื้อมมือขึ้นลูบหัวเธอเบาๆ สองสามที แล้วขยับตัวนั่งให้เข้าที่เพื่อขับรถกลับบ้าน ทิ้งร่างบางให้งุ่นง่านจัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อยู่อย่างนั้น ส่วนเขาอมยิ้มพึงใจกับอะไรๆ ที่ฉายชัดขึ้นในความรู้สึกของตน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น