7
เรื่องที่ขอ
พาพราวไม่รู้ว่าตนผ่านเหตุการณ์หวามไหวนั้นมาได้อย่างไร เธอเอาแต่จ้องมองตัวเองในกระจกอยู่เนิ่นนาน ผู้หญิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอมีแววตาวูบไหวไม่มั่นคง ใบหน้าแดงจัดขัดเขิน ริมฝีปากเจือสีระเรื่อ ซ่านอย่างที่ลิปสติกเฉดไหนก็คงทำไม่ได้แบบนี้ มีแค่เขา...
เธอยกมือขึ้นแตะต้องเรียวปากอิ่มของตัวเอง เพียงปลายนิ้วสัมผัสก็นำพาเอาร่องรอยอารมณ์ที่เขาคนนั้นทิ้งไว้พัดเข้ากระหน่ำใจรวนเรของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จูบแรก...
ส่งผลกับความรู้สึกของเธออย่างมหาศาล แม้เขาจะเคยล่วงล้ำไปมากกว่านี้แล้วก็ตาม แต่ครั้งนั้นปราศจากอารมณ์ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง
หญิงสาวจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น ค้นหาสิ่งซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายใน เธอเห็นแววบางอย่างพาดผ่านนัยน์ตาไหวหวั่น...เธอเปลี่ยนไปแล้ว เวลาเพียงไม่ถึงเดือนกวินภัทรปลุกปั่นความรู้สึกกันให้ป่นปี้ไม่มีเหลือ เธอควบคุมความรู้สึกนึกคิดของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว หวาดกลัวว่าความลับที่พยายามปกปิดจะถูกเปิดเผย รู้แน่ชัดว่าเขาต้องการให้เธอรู้สึกอย่างไร แต่ไม่มั่นใจในผลที่เขาต้องการ เบื้องหลังการกระทำทั้งหมดนั้นเขาอยากให้มันลงเอยเช่นไร...
พาพราวตั้งสติอยู่นานสองนานก่อนจะผละไปอาบน้ำ หวังให้สายธารช่วยพัดพาเอาทุกริ้วความกังวลในใจให้จางหายไป ไม่ได้รู้เลยว่ามีใครบางคนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเธอแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอละเมอจนเผลอลืมล็อกประตูห้องนอนและประตูระเบียง แต่เพราะเขาไปหากุญแจสำรองมาไว้ในครอบครองได้แล้วต่างหาก
กวินภัทรรู้สึกว่าบ้านน่าอยู่เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า เขาไม่เคยรู้สึกมีชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อน ชายหนุ่มย่างกรายเข้ามาขณะสอดส่ายสายตาสำรวจไปโดยรอบ อยากรู้อยากเห็นทุกความเป็นไปของเธอ ปริศนาที่เฝ้าถามตัวเองมาเนิ่นนานหลายปีเริ่มคลี่คลาย ต่อไป...เขาจะมองเธอใหม่ในสายตาแบบผู้ชาย
ไม่ใช่...พี่ชาย! พี่ชายที่ไม่ไยดีน้องสาว
ชายหนุ่มเดินสำรวจห้องนอนของเธออย่างไม่เกรงใจ รู้สึกว่าตนเข้าใกล้อะไรบางอย่างที่ชัดเจนกระจ่างแจ้ง เขามองสิ่งต่างๆ อย่างเพลิดเพลิน ทำตัวราวกับกำลังเดินชมงานศิลปะ กระทั่งมีบางอย่างล่อสายตาชาย กวินภัทรก็หันไปมองทางประตูห้องน้ำ ชั่งใจว่าควรทำอย่างที่ใจคิดหรือไม่ คนมีมารยาทย่อมรู้ว่าไม่ควรยุ่งกับของส่วนตัวของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
แต่ขอโทษ...บังเอิญเขาไม่มีเสียด้วยสิ มารยาทน่ะ!
ชายหนุ่มปรี่เข้าไปยังกระเป๋าผ้าสีขาวใบเก่งของเธอ ถือวิสาสะค้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ภายในเต็มไปด้วยข้าวของกระจุกกระจิกแบบผู้หญิง อดแปลกใจที่เธอใช้มันจนเก่าเยิน แม่เขาให้เงินเธอไม่พอใช้หรืออย่างไร จะประหยัดอะไรกันนักกันหนา ซ้ำยังมีบางอย่างขัดอกขัดใจเขานัก
‘กระเป๋าสตางค์’ ซึ่งไม่ใช่ใบที่เขาซื้อให้ นี่คงจะเป็นใบเดิมของเธอ เขาแอบเปิดดูภายในทันที มีรูปเด็กผู้หญิงแก้มป่องยิ้มกว้างอย่างน่ารักแนบไว้ คนเสียมารยาทอมยิ้มทันทีเมื่อนึกย้อนไปถึงความทรงจำในวันวาน อดคิดถึงแววตาร่าเริงทอประกายของน้องสาวคนเดิมคนนั้นไม่ได้ เนิ่นนานแค่ไหนแล้วที่เธอหายไปจากความทรงจำ กวินภัทรหลับตาลงชั่วครู่เมื่อรู้ว่าตนกำลังรู้สึกอย่างไร
ชายหนุ่มค้นดูต่อตรงช่องใส่ธนบัตร พบว่ามีเพียงไม่กี่ใบ อะไรกัน! น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่เธอควรจะมี แต่ถ้าเขาสังเกตดีๆ คงเห็นบัตรเครดิตอีกใบแนบไว้ไม่ไกลกัน ซึ่งเพียงแค่มองจากสีก็รู้ว่าวงเงินจำกัดนั้นอยู่ในระดับที่รูดซื้อกระเป๋าราคาแพงได้หลายใบ
แต่ก็นั่นละ อะไรสักอย่างคงบังตาเขาไว้ กวินภัทรค้นกระเป๋าเธอต่อ เห็นซองสีขาวซึ่งเขียนจ่าหน้าซองไว้ว่าเป็นค่าตอบแทนสำหรับงานวันนี้
ห้าร้อยบาท! ที่เธอทำทั้งวันได้แค่นี้เองหรือ ชายหนุ่มกัดฟันกรอด นึกโกรธคนตัวเล็กในใจ ทำไมเธอจึงชอบทำให้เขารู้สึกแบบนี้นะ
คนไม่พอใจรีบเดินออกไปหยิบกระเป๋าสตางค์ของตนแล้วกลับเข้ามาใหม่ ใส่ธนบัตรสีเทาเพิ่มลงไปในซองอีกห้าใบ
ไม่ๆ เธออาจสังเกตได้ มันออกจะมากเกินไปสักหน่อย ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เขาจึงหยิบคืนมาสี่ใบ จากนั้นจึงเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ ตั้งใจว่าหลังจากนี้จะไปคุยกับแม่เรื่องค่าใช้จ่ายของหญิงสาว ก่อนจะเดินกลับห้องของตัวเองไป และไม่ลืมล็อกประตูให้อย่างระมัดระวัง
เขาจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าหา ก้าวก่ายชีวิตเธอไปทีละส่วนๆ
เตรียมใจไว้ได้เลย!
เสียงน้ำสาดกระเซ็นดังแว่วอยู่ไม่ไกล เรียกความสนใจจากหญิงสาวให้หันไปมองยังต้นกำเนิดเสียง ครองขวัญวานให้เธอยกกาแฟดำมาเสิร์ฟที่ริมสระว่ายน้ำ พาพราวเข้าใจว่าเป็นของกมนทัต แต่นึกแปลกใจว่าใครมาว่ายน้ำในยามเช้าเช่นนี้กัน กระทั่งได้เห็นชัดเต็มสายตา ร่างบางจึงยืนชะงักงันอยู่ที่มุมหนึ่ง ไม่กล้าก้าวขาเข้าไปใกล้
เสียงถ้วยกาแฟเซรามิกกระทบถาดดังไหวระริก มือเธอกำลังสั่นเทาอย่างหนัก!
ชายหนุ่มผู้มีแผ่นหลังขาวจัดและมัดกล้ามแกร่งกำยำกำลังแหวกว่ายสายน้ำอยู่กลางสระสีฟ้าใส ฟองสีขาวแตกกระจายยามเขาจ้วงแขนโหมกระหน่ำเข้าใส่ เกิดระลอกคลื่นไหวสั่นแผ่กระจายไปทั่วผิวน้ำ หญิงสาวพยายามไม่มองไปทางเขา รีบจ้ำอ้าวเดินตรงไปยังชุดเก้าอี้ริมสระ วางถาดลงบนโต๊ะโดยไว แล้วหันหลังกลับเตรียมจะหนีไปจากตรงนี้ทันที
“เดี๋ยว!”
เท้าบางชะงักกึก ไม่กล้าหันหลังไปมอง เสียงน้ำเงียบไปคล้ายชายหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนเธอจะเอ่ยรับเสียงสั่น “คะ?”
“หยิบผ้าขนหนูให้ที” กวินภัทรสั่งคนตัวเล็กที่ยังยืนนิ่งหันหลังให้กัน เธอเกร็งค้างอยู่อย่างนั้น น่าแกล้งซะไม่มี
พาพราวหันไปมองทางเก้าอี้ เห็นผ้าขนหนูสีขาวพาดอยู่ จึงค่อยๆ เดินไปหยิบอย่างละล้าละลัง โดยพยายามไม่มองไปทางสระว่ายน้ำ ซึ่งเห็นเพียงหางตาว่าเขาเกาะบันไดเหล็กรอรับของจากเธออยู่
ปกติเธอไม่ได้รู้สึกอะไรยามมองผู้ชายเปลือยท่อนบน แต่เมื่อครู่เขาทำเธอใจสั่น ต้องเป็นเพราะจูบเมื่อเย็นวานนั่นแน่ๆ หญิงสาวพยายามระงับอาการตื่นไหววูบวาบของตนเองไว้ เอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูด้วยความสั่นเทา รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าจนเกินควบคุม เธอผ่อนลมหายใจหนักๆ ก่อนจะทำใจกล้าหันหลังกลับเพื่อจะยื่นผ้าส่งให้เขา
แต่...
ชายหนุ่มเคลื่อนไหวโดยไว เขาใช้เวลาเพียงไม่ถึงอึดใจในการพาเรือนร่างแกร่งขึ้นจากสระน้ำมาหยุดยืนต่อหน้าเธอ พาพราวแทบลืมหายใจ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ตั้งสติไว้ไม่ให้เป็นลมไปต่อหน้าเขา นัยน์ตาหวานวูบไหวขณะมองกล้ามอกหนั่นแน่นที่พราวระยับฉ่ำน้ำ กล้ามท้องเป็นลอนขยับขึ้นลงตามจังหวะหอบถี่ของชายหนุ่ม เธอไม่กล้ามองต่ำลงไปกว่านั้น ทั้งกายเขามีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว เธอจึงเงยขึ้นมองหน้าเขาด้วยแววตื่นตะลึง อึ้งค้างเพราะสิ่งที่ได้พบเห็นในระยะประชิด
“ทำไม...หวั่นไหวเหรอ ใจเต้นแรงใช่ไหมล่ะ” เขาแกล้งเย้าพร้อมส่งสายตาวิบวับจับใจขณะยกมือขึ้นเสยผมที่เปียกลู่ให้เข้าที่
ดูดีชะมัด ไม่! ห้ามรู้สึกอะไรนะ! เธอพยายามร้องเตือนตนเองทั้งที่ใจเต้นก้องอก หญิงสาวส่งผ้าให้เขาด้วยมือสั่นระริก “ผะ...ผ้าค่ะ”
เขารับผ้าจากมือเธอไปถือไว้ ก่อนจะก้าวรุกคืบเข้ามาใกล้ โน้มใบหน้าลงมาจนหญิงสาวต้องเอียงศีรษะหนี ผงะถอยไปด้านหลังเพื่อรักษาระยะห่าง เธอจ้องหน้าเขาตาไม่กะพริบ สาบานว่าเกิดมาทั้งชีวิตเธอไม่เคยรู้สึกอะไรกับหุ่นชายกำยำ กระทั่งวินาทีนี้ ‘เซ็กซี่’ ควรเป็นคำจำกัดความสำหรับผู้หญิง แต่เวลานี้เธอรู้สึกได้จริงๆ ว่าเขาช่างเซ็กซี่อย่างเหลือร้าย
“ชอบละสิ” กวินภัทรส่งเสียงต่ำพร่าพร้อมเลื่อนใบหน้าหล่อร้ายเข้ามาใกล้...ใกล้จนหยาดน้ำลู่ไหลลงจากปลายผมเปียกชื้นของเขา หยดกระทบลงบนผิวเนียนที่โผล่พ้นคอเสื้อของเธอ ก่อนจะไหลเป็นสายหายเข้าไปภายใน ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งไหวเพราะความเย็นชื้นที่จู่โจมอยู่ภายใน
“ถะ...ถอยไปนะคะ” เธอยกมือเพื่อจะผลักอกเขาออกห่าง แต่พอวางทาบลงบนผิวขาวจัดของชายแกร่ง เกิดกระแสอุ่นร้อนบางอย่างวิ่งพล่านจู่โจมจนต้องชักมือกลับ ไม่กล้าขยับตัวด้วยขัดเขินอย่างหนัก มือเธอเปียกฉ่ำจากหยาดน้ำบนเนื้อตัวเขาเมื่อครู่ หญิงสาวกำมือค้างไว้ในอากาศ ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรดี
“เมื่อคืนนอนหลับไหม” เขาเอ่ยถามคล้ายละเมอ จ้องริมฝีปากของเธอไม่วางตา จูบเมื่อเย็นวานทำเขานอนไม่หลับเกือบค่อนคืน จนต้องตื่นมาว่ายน้ำแต่เช้าเพื่อลดอาการเรียกร้องภายใน
จะให้ตอบว่าอะไรเล่า เมื่อคืนเธอเอาแต่นอนกระสับกระส่ายคิดเรื่องเขาจนดึกดื่น
“เมื่อวานน่ะ...จูบแรกรึเปล่า” นัยน์ตาเขาแพรวพราวราวกับต้องการล้อเลียนกัน ไม่รู้ทำไม แต่เขามั่นใจว่าเธอ...จูบไม่เป็นด้วยซ้ำ
เธอไม่ตอบคำใด นอกจากเม้มริมฝีปากแน่น ม่านตาไหวระริกขณะสบตาคู่คม จ้องลึกราวกำลังค้นคว้าหาจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา มาทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวแบบนี้ทำไมกัน
“พราว พราว!” เสียงครองขวัญร้องเรียกหญิงสาวดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
คนถูกเรียกหน้าตาตื่น ส่วนชายหนุ่มเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะมองอาการเธอเพียงครู่ ก่อนเขาจะแกล้งสะบัดศีรษะใส่จนหยดน้ำกระเซ็นเปียกใบหน้าหวานประปราย เธอจึงต้องหลับตาและหันหน้าหนีในทันใด
“ตายจริง! ตาวิน! แกล้งน้องทำไมเนี่ย เป็นหมาเหรอเรา” ครองขวัญรีบเดินเข้ามาห้ามทันทีเมื่อเห็นพี่ชายตัวโตแกล้งสะบัดน้ำใส่น้องสาวที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลกัน ก่อนจะยกมือบิดท้องของลูกชายอย่างแรง ค่าที่ชอบแกล้งน้องนัก
“แม่อ้ะ” เขาค้อนมารดาพลางยกผ้าขนหนูขึ้นซับใบหน้าให้เธอ “โอ๋ๆ ไหนพี่ดูซิ เปียกหมดเลย พี่เช็ดให้น้า...”
“เดี๋ยวพราวเช็ดเองค่ะ” คนตัวเล็กพยายามบ่ายเบี่ยงเอียงตัวหลบสัมผัสจากเขา
“พราว...พี่กายเขาถามหาเราน่ะ” นางเอ่ยขึ้นขัดจังหวะสองพี่น้อง
“คะ?”
ใครวะ! มือหนาหยุดการเคลื่อนไหวทันที หันมาสนใจใครคนใหม่ที่แม่เอ่ยถึง
“พี่กายลูกน้านิ้งเพื่อนแม่ไง จำได้ไหม พี่เขากลับจากอังกฤษมาได้อาทิตย์กว่าแล้วนะ มีของมาฝากเราด้วย เช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วตามแม่มาที่ห้องรับแขกนะพราว พี่เขารออยู่” นางเอ่ยบอกลูกสาวด้วยนัยน์ตาวาววับสื่อความนัย ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป
อ๋อ...พี่กายคนนั้น เธอเคยเจอเขาครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงวันเกิดแม่เมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่าแม่พยายามจับคู่ให้ตน แต่ฝ่ายชายไม่ได้รุกเธอมากนัก เขาน่ารักเป็นกันเองและยังสุภาพ ไม่ได้มีทีท่าหยาบคายใดๆ ไม่เหมือน...
“ใคร!” เจ้าของเรือนร่างเซ็กซี่ถามเสียงเข้ม จ้องเธอเขม็งไม่วางตา นี่ถ้าเขายกมือขึ้นเท้าสะเอวด้วยคงดูตลกพิลึก
เธอเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี จึงแสร้งตีหน้ามึนแล้วเดินตามแม่เข้าบ้านไปในทันที
กวินภัทรฮึดฮัดอยู่คนเดียวริมสระ อยากจะหงายหลังตูมลงน้ำอีกครา แต่ก็กลัวจะเสียเวลาเข้าไปอีก เขาจึงรีบขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่เกินสิบห้านาทีชายหนุ่มก็เดินตามเข้ามาในห้องรับแขก ซึ่งมีผู้มาใหม่สองคนนั่งกันพร้อมหน้า ไม่คุ้นตาเขาเท่าใดนัก
“สวัสดีครับ” กวินภัทรเอ่ยทักทายกชนิภาตามมารยาท ก่อนหันไปพยักหน้าให้กรชวัล ลูกชายของนาง เขาพอจำเพื่อนสนิทของแม่ได้เลือนราง
“ตาวินใช่ไหมเนี่ย โตเป็นหนุ่มแล้วหล่อเชียว ถ้าน้าเจอข้างนอกคงจำเราไม่ได้แหงๆ สาวๆ คงต่อคิวยาวเป็นขบวนเลยนะเธอ” กชนิภาหันไปทำหน้าเย้าหยอกใส่ครองขวัญ
“หึ อาจจะมีตัวจริงซ่อนไว้แล้วก็ได้” ครองขวัญหรี่ตามองลูกชาย ไปอยู่เมืองนอกตั้งห้าปี ไม่รู้ไปแอบมีใครซ่อนไว้ที่นู่นบ้างหรือเปล่า ถามทีไรเขาก็บ่ายเบี่ยงตลอด
“แม่รู้ได้ไง” กวินภัทรตอบยิ้มๆ ขณะเดินอ้อมมาหย่อนกายนั่งลงข้างพาพราว ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวข้างครองขวัญ “อุตส่าห์แอบไว้มิดชิด”
“ลองไม่บอกแม่สิ ได้เห็นดีแน่! แม่จะตัดออกจากกองมรดกเสียให้เข็ด” นางเอ็ดลูกชายตัวดี ก่อนจะชักชวนเพื่อนสนิทไปดูของสะสมซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่ง ปล่อยให้หนุ่มสาวนั่งคุยกันไปก่อน
พาพราวขยับตัวอย่างอึดอัด เธอถลึงตามองกวินภัทร โซฟาอีกตัวก็ยังว่างอยู่ จะมานั่งเบียดเธอทำไมก็ไม่รู้ ตัวก็ใหญ่
“ตกลงน้องพราวเลือกอันไหนครับ” กรชวัลถามหญิงสาวเสียงนุ่ม
“อันไหนก็ได้ค่ะพี่กาย”
“เลือกสักผืนสิครับ ผืนนี้ดีไหม สีชมพูเหมาะกับน้องพราวออก” กรชวัลยื่นผ้าพันคอสีหวานส่งมาให้หญิงสาว แต่ไปไม่ถึงมือพาพราว พี่ชายหน้าเข้มคว้าไว้เสียก่อน
“สีครีมดีกว่า พราวชอบสีนี้ใช่ไหม พี่จำได้” กวินภัทรขัดขึ้น ก่อนจะหยิบผ้าอีกผืนขึ้นมาคลี่ออก แล้วลองเอามาคลุมไหล่ให้หญิงสาว “สวยจะตาย เอาอันนี้แหละ พี่เลือกให้”
“พี่วินคะ” เธอปรามเขาเสียงรียบ ทำตัวเสียมารยาทแบบนี้ได้ยังไง ก่อนจะหันไปมองกรชวัล ส่งสายตาเพื่อขอโทษแทนในที “พราวชอบผืนนั้นค่ะ เอาสีชมพูดีกว่า” มือบางยื่นไปหยิบผ้าผืนแรกที่กรชวัลเลือกให้ ก่อนหันไปทำหน้าดุใส่คนข้างกาย เธอชอบสีฟ้าต่างหากเล่า!
พี่กาย...น้องพราว...น้องพราว...พี่กาย...
กวินภัทรรู้สึกขัดหูพิกล เขาต้องทนนั่งฟังบทสนทนาระหว่างทั้งคู่อยู่นานสองนาน ก่อนสองแม่ลูกจะลากลับไปในช่วงเที่ยงของวัน หลังรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันจนอิ่มแปล้ และทันทีที่รู้ว่ากรชวัลต้องเดินทางกลับไปเรียนต่อในเดือนหน้า ใจเขาก็ยินดีหนักหนา ดี! รีบกลับอังกฤษไปเลย ไป๊!
พาพราวถือกล่องใส่ผ้าพันคอขึ้นมาเก็บยังห้องนอน ก่อนจะเดินไปยังห้องหนังสือ กะว่าจะเข้าไปหานวนิยายสักเรื่องเพื่อนำไปอ่านให้กัลยาฟัง เธอยืนลังเลอยู่หน้าชั้นหนังสือสักพักใหญ่ ไล่สายตาไปตามสันปกหลากสี มองหาเรื่องที่คิดว่าท่านน่าจะชอบ เมื่อตัดสินใจได้จึงเอื้อมหยิบออกมาจากชั้น เตรียมหันหลังกลับ
“คะ...คุณวิน!” หญิงสาวตกใจจนเกือบช็อก เขาเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนกัน
ชายหนุ่มเดินตามหลังเธอเข้ามาติดๆ เพราะมัวแต่เหม่อลอยเธอจึงไม่ทันรู้ตัว ชายหนุ่มเฝ้ามองหญิงสาวยืนจ้องหนังสืออยู่เนิ่นนาน สนใจกิริยาอาการของเธอในท่วงท่าต่างๆ ทุกการขยับไหวของเธอช่างน่ามอง ต้องตาต้องใจเขานัก และทันทีที่เธอหันกลับมา กวินภัทรรีบก้าวเข้าหา วางมือหนายันกับชั้นหนังสือ ล้อมเธอไว้ในอ้อมแขนแสนแกร่ง
“พี่วิน!” ชายหนุ่มเอ่ยแก้เสียงแข็ง ทีกับนายนั่นละพี่กายคะ พี่กายขา หมั่นไส้นัก!
“คะ?” หญิงสาวนึกฉงน ไม่เข้าใจเนื้อความที่เขาต้องการสื่อ นัยน์ตาหวานเบิกกว้าง จ้องเขาอย่างสับสน รอคอยคำอธิบาย
กวินภัทรกำลังทบทวนความรู้สึกของตนเอง คิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไรกับเธอดี อะไรบางอย่างบงการให้เขาหาทางเดินหน้าความสัมพันธ์ครั้งนี้ต่อ แม้รู้ว่าไม่ถูกไม่ควร แต่เมื่อความรู้สึกได้ก่อเกิดขึ้นมาแล้ว มันย่อมเรียกร้องให้เจ้าของต้องสนองตอบคืน
และเขาฝืนความรู้สึกตัวเองไม่เป็น!
มือบางกำหนังสือเล่มหนาแนบอกไว้แน่นจนไหล่คู้เข้า
กวินภัทรมองอาการนั้นด้วยความรู้สึกชนิดหนึ่ง พิศเพ่งไหล่เล็กของเธอบอบบาง ไม่มั่นคง และน่าปกป้องเป็นที่สุด ก่อนเลื่อนมือลงมาแตะต้องรั้งไหล่มนให้เปิดออก ดันเธอจนแนบไปกับชั้นหนังสือ เพิ่งรู้สึกได้อย่างแท้จริงในนาทีนี้เองว่าเธอ...หวาดกลัวเขาแค่ไหน
“อย่านะคะ อย่าทำแบบนี้” เธอร้องขอเขาเสียงสั่นเครือ หลังผ่านเหตุการณ์เมื่อเย็นวาน หญิงสาวรู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางต้านสัมผัสเขาได้
กวินภัทรไม่ได้ทำสิ่งอื่นใด นอกจากจ้องเธอในระยะใกล้ มองให้ทะลุลงไปในดวงตาคู่ใส ค้นหาคำตอบที่เขาต้องการ “พราว...” เขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงนวลนุ่มน่าฟัง
ม่านตาเธอวูบไหว ฉายแวววาววับและลุกโชนขึ้นในทันใดเพียงได้ฟังคำนั้นจากปากเขา หญิงสาวกลอกตาไปมา มองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ก่อนหยาดน้ำเล็กๆ จะพร่างพรายลงมาเป็นสาย
“ร้องไห้ทำไม” กวินภัทรเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน ราวกับหยดน้ำตาของเธอหล่นกระทบใจเขา คนมองอึดอัดจนหายใจไม่ออก ต้องเอื้อมปลายนิ้วขึ้นลูบไล้ใบหน้าหวาน เกลี่ยรอยน้ำตาให้จางหาย เพียงสัมผัสที่เปียกชุ่มอุ่นชื้นพาเอาชายหนุ่มไปไม่เป็น ใจเขาอ่อนยวบละลายเหลวลงไปกองที่พื้นในทันใด
พาพราวหลับตาลงรับสัมผัสอ่อนโยน เอียงใบหน้าเข้าหามือชายที่โอบประคองแก้มเธอไว้ ถ้าเขากำลังแกล้งให้เธอหวั่นไหวเล่น ก็ถือว่าเขาทำสำเร็จแล้ว เธอพ่ายแพ้ไม่มีชิ้นดี
“ไม่ร้องนะ” นัยน์ตาลุ่มลึกมองแพขนตางอนเปียกชุ่ม เขาไม่ชอบน้ำตาเธอ ไม่อยากเห็นเธอร้องไห้ และเมื่อไม่อาจทนมอง จึงคว้าร่างบางเข้ามากอดไว้แนบอก กดริมฝีปากจดลงบนเรือนผมของคนตัวเล็ก
ความอ่อนโยนจากเขาแผ่กระจายโอบล้อมเธอไว้ หากเขาพูดจาร้ายกาจหรือเย็นชาใส่กันเช่นแต่ก่อน เธออาจรับมือได้ง่ายกว่า ก็แค่ไม่ตอบโต้ นิ่งเงียบไว้ให้เขาหยุดไปเอง
ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่อ่อนโยนนุ่มนวลชวนใจแกว่งเช่นที่เป็นอยู่นี้ หากในตอนสุดท้ายเขาหักมุมด้วยความร้ายกาจ เธอคงรับมันไม่ไหวแน่ มือบางปล่อยหนังสือเล่มหนาหล่นลงสู่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เธอถือมันต่อไปไม่ไหวแล้ว
เสียงหนังสือหล่นกระทบพื้นเรียกสายตาชายหนุ่มให้ก้มลงมอง ชื่อเรื่องที่ปรากฏชัดอยู่บนหน้าปกนิยายทำใจเขากระตุกเต้น มีคำสามคำเด่นหรา ทว่าเขากลับเพ่งไปที่คำคำเดียว ‘รัก’
รัก...อย่างนั้นหรือ
ระหว่างกำลังคิดทบทวนมือบางของคนในอ้อมแขนก็ยกขึ้นกอดตอบเขา...เท่านั้นเอง เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบที่เขาต้องการ กวินภัทรกระชับอ้อมกอดปลุกปลอบคนตัวเล็กในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
หลังเหตุการณ์ในห้องหนังสือ พาพราวรู้สึกว่าตัวเองเข้าหน้ากวินภัทรไม่ติด วันนี้จึงรีบหลบมาที่เรือนริมน้ำแต่เช้าตรู่ เนื่องจากเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ซึ่งเขาไม่ได้ไปทำงาน เธอจึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยยังไม่พร้อม
“คุณพราว! หายหน้าไปนานเลย คุณย่าบ่นคิดถึงจะแย่” จิตตรีร้องทักด้วยแววดีอกดีใจเมื่อเห็นหญิงสาวเดินขึ้นเรือนมา ปกติเธอมักจะมาประจำทุกวันหยุด เมื่อวานผู้เป็นย่าจึงชะเง้อคอรอคอยหลานสาวอยู่ทั้งวัน
“ขอโทษนะคะ อาทิตย์ที่แล้วพราวป่วยเลยไม่ได้มา” หญิงสาวคลานเข่าเข้ามาใกล้ ก่อนจะนั่งลงข้างเก้าอี้ไม้ซึ่งกัลยานั่งโบกพัดอยู่ แล้วจึงดึงพัดมาพัดให้แทน
“ตายจริง ไม่เห็นมีใครบอกย่าเลย เป็นหนักเลยรึเรา” กัลยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ลูบศีรษะหญิงสาวอย่างรักใคร่
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ พราวแค่ปวดหัวนิดหน่อยเอง นี่ป้าจิตทำอะไรเหรอคะ”
“ทำบายศรีให้คุณนิ่มเธอน่ะค่ะ เห็นว่าจะเอาไปงานเลี้ยงอะไรสักอย่างนี่ละ”
“เอ่อ...ป้านิ่มอยู่บ้านเหรอคะ” พาพราวเกร็งตัวเล็กน้อย ด้วยไม่คิดว่าวันนี้บุลลาจะอยู่บ้าน ปกติท่านมักจะออกไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนวัยเดียวกันในวันหยุดเป็นประจำ
“ทำไม! ฉันอยู่บ้านแล้วมันน่าอึดอัดมากหรือไง” บุลลาเดินออกมาขณะส่งเสียงกระแนะกระแหนหญิงสาว
พาพราวก้มหน้า ลู่ไหล่ลงอย่างกริ่งเกรงพลางเอ่ยตอบนางเสียงสั่น “ปะ...เปล่าค่ะ” กลัวตนจะทำอะไรไม่ถูกใจคนเป็นป้าเข้า
“นี่แม่จิต ใกล้จะเสร็จรึยัง ฉันรีบ”
“ปักดอกไม้แซมตรงนี้อีกนิดก็เสร็จแล้วค่ะ”
“ถ้าเสร็จแล้ว เธอ! ยกตามฉันมาที่รถด้วย” บุลลาหันไปสั่งหญิงสาวที่นั่งคอตกอยู่ข้างกัลยา แม่คนนี้ชอบทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ยามเจอกันอยู่ตลอดเวลา ขัดหูขัดตานักเชียว
หญิงสาวยกพานบายศรีขนาดใหญ่เดินตามบุลลาลงเรือนไป นางดูเร่งรีบเกินพอดี ร่างอวบอิ่มรีบจ้ำลงบันไดขณะเอ่ยปากเร่งเธอยิกๆ ทันใดนั้นก็เกิดอุบัติเหตุที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น บุลลาลื่นไถลตกบันไดที่มีความสูงเพียงห้าขั้น
“โอ๊ย!” ร่างอวบอิ่มของหญิงวัยทองนั่งกองอยู่ที่พื้นในท่าไม่งามนัก
“คุณป้า!” พาพราวรีบก้าวตามลงไปดูอาการ วางพานบายศรีหนาหนักลงบนพื้นใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง “เป็นอะไรมากไหมคะ” เธอถามด้วยความเป็นห่วง พยายามจะช่วยพยุงนางให้ลุกนั่งในท่วงท่าปกติ
“เจ็บสิ ถามได้” คนเจ็บหงุดหงิดใจ ทำไมจะต้องมาตกบันไดเอาวันนี้ด้วยก็ไม่รู้ คนกำลังรีบ
“ร้องโวยวายอะไรรึแม่นิ่ม” กัลยาซึ่งจิตตรีประคองอยู่เดินออกมาดูตามเสียงร้องโอดโอยของสาวทึนทึกประจำบ้าน
“คุณป้าตกบันไดค่ะคุณย่า”
“เดินอีท่าไหนถึงตกได้ล่ะแม่คุณ ก็ลงอยู่ทุกวัน”
“ก็แม่นี่น่ะสิคะ ถือของไม่ระวังจนมาชนกันเข้า”
คนถูกโยนความผิดใส่ซึ่งหน้าจึงทำได้เพียงกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้จะเอ่ยคำใด เธอถือพานบายศรีขนาดใหญ่บังมิดจนมองทางด้านหน้าไม่เห็น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปชนอีกคนเข้าตอนไหน
“เอ่อ...พราวขอโทษนะคะ พราวไม่ได้ตั้งใจ”
“ยังไม่รีบเรียกรถพยาบาลให้ฉันอีก เคล็ดไปหมดแล้วเนี่ย!” บุลลาสวนขึ้นเสียงเข้ม ส่งสายที่เต็มไปด้วยแววตำหนิ
หลังจากเดินตามหาพาพราวทั่วบ้านแล้วไม่พบ คาดว่าน่าจะมาที่เรือนริมน้ำ กวินภัทรจึงตามมาและทราบเรื่องอุบัติเหตุจากจิตตรี ชายหนุ่มจึงรีบปรี่มาที่โรงพยาบาลทันที อีกสักพักพ่อและแม่คงตามมาหลังเสร็จธุระ
“คุณป้าเป็นยังไงบ้างครับ” เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย แต่ไม่พบพาพราว มีเพียงบุลลานอนอยู่บนเตียง
“กระดูกข้อเท้าร้าว หมอบอกต้องใส่เฝือกพักฟื้นไปอีกหลายวันเลย” หญิงสูงวัยพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก เธอมีนัดต้องไปร่วมงานเลี้ยงสมาคมเสียด้วยสิ แต่นี่กระไร นอกจากไปไม่ได้แล้วยังต้องมานอนแบ็บอยู่แบบนี้อีก
“แล้วทำไมถึงตกบันไดได้ครับ”
“ก็แม่นั่นน่ะสิ เดินถือของไม่ระวังมาชนป้าเข้า เกลียดนักเชียว”
หืม...เขาไม่ชอบสรรพนามที่ป้าใช้เรียกหญิงสาวเอาเสียเลย ระคายหูพิกล “แล้วนี่พราวออกไปไหนแล้วครับ”
“เห็นว่าจะออกไปเอาของที่บ้านมานอนเฝ้า ป้าไม่เอานะวิน วินมานอนเป็นเพื่อนป้านะ”
เข้าล็อก!
“ครับ งั้นป้าอยู่คนเดียวก่อนนะ อีกเดี๋ยวพ่อคงมา เดี๋ยววินไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านก่อน ถ้ามีอะไรกดปุ่มเรียกพยาบาลได้เลยนะครับ”
ด้วยห้องที่บุลลานอนพักรักษาตัวเป็นห้องพิเศษระดับวีไอพี จึงมีพยาบาลเดินเข้าออกเพื่อคอยเช็กอาการคนไข้อยู่เกือบตลอด เขาจึงไม่ห่วงท่านมากนัก
นั่นพาพราว น้องสาวของกวินภัทร เขาจำได้
“พราว” ชายหนุ่มเดินเข้าไปทักหญิงสาว ซึ่งเธอกำลังยืนรอเรียกรถแท็กซี่อยู่หน้าโรงพยาบาล
เธอหันไปมองคนเรียกอย่างงุนงง คุ้นหน้า ทว่ายังนึกไม่ออกในทันที หญิงสาวนิ่งคิดไปครู่ก่อนจะโพล่งชื่อเขาออกมา “พี่คุณ!”
“ใช่ จำได้ใช่ไหม” มีแววดีใจในน้ำเสียงของชายหนุ่ม
“ค่ะ” เธอพยักหน้าตอบเขา
“พราวมาทำอะไร แล้ววินมาด้วยไหม พี่ได้ข่าวว่ามันเพิ่งกลับจากนอก” ตรัยคุณเอ่ยถามด้วยความร้อนรน
“คุณป้าเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ พี่วินไม่ได้มา พราวมาคนเดียว” หญิงสาวมองเห็นแววกังวลบางอย่างในดวงตาเขา
“เหรอ พราวพอจะมีเวลาว่างไหม”
“คะ?”
“พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย...เกี่ยวกับวิน” เขาเบาเสียงลงและพูดด้วยท่าทางแปลกพิกล จนเธอนึกสงสัย
“เอ่อ...ไว้วันหลังได้ไหมคะ วันนี้พราวรีบ” เธอสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ
“วันหลังก็ได้ พี่ขอเบอร์พราวไว้หน่อยสิ”
เธอยอมให้โดยง่าย เพียงเพราะแค่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกวินภัทร แน่ละ...เธออยากรู้เรื่องเขานี่นา
ทั้งสองคนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา โดยไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำล้วนอยู่ในสายตาของคนที่ถูกพูดถึงในบทสนทนา และคนที่แอบมองอยู่นั้นกำลังกำมือแน่นเพื่อข่มอารมณ์ เขาอยากจะเข้าไปกระชากตรัยคุณแล้วต่อยสักหมัดให้สาแก่ใจ เอาให้สมกับสิ่งที่เพื่อนทำไว้กับตนเมื่อในอดีต
ยังไม่พอ! ขอเพิ่มอีกหมัดที่บังอาจมาทำตัวไม่น่าไว้ใจกับคนตัวเล็กตรงหน้านี่อีก เขาจะไม่ยอมให้มันทำได้อีกเป็นครั้งที่สอง
เมื่อเห็นว่าตรัยคุณเดินพ้นไปแล้ว กวินภัทรจึงเดินเข้าไปคว้ามือพาพราวไว้แน่น การกระทำอุกอาจกะทันหันทำเอาหญิงสาวสะดุ้งตกใจ นึกว่าเป็นตรัยคุณย้อนกลับมา
“คุณวิน!” เธออึ้งงันในทันใด เขามาได้อย่างไร ก่อนคนที่เพิ่งนึกอะไรได้จะรีบเสมองไปทางอื่น ไม่กล้าจ้องเขาซึ่งหน้า
“คุยอะไรกับมัน” ชายหนุ่มถามด้วยเสียงเข้มจัด จ้องหน้าเธอไม่วางตา
มัน? กวินภัทรคงหมายถึงตรัยคุณ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเขา เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไรแล้ว แต่ดูจากอาการของชายตรงหน้า เดาได้ว่าคงไม่ค่อยดีสักเท่าไร “เอ่อ...”
พอเห็นหญิงสาวอึกอักไม่ตอบอะไรเสียที เขาจึงจูงมือเธอไปขึ้นรถด้วยกัน พาพราวยอมตามไปแต่โดยดี นาทีนี้เธอไม่กล้าสู้หน้าเขานัก ไม่กล้าขัดขืนต่อต้าน ชายหนุ่มมีอิทธิพลกับความรู้สึกเธอมากเกินไป
กวินภัทรเปิดประตูและรุนหลังเธอให้เข้าไปนั่ง ก่อนจะเดินอ้อมมายังที่นั่งฝั่งคนขับ เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เขากดล็อกประตูอัตโนมัติทันที สตาร์ตเครื่องยนต์ เตรียมความพร้อม แต่กลับไม่ยอมขับออกไป ชายหนุ่มหันหน้ามามองคนตัวเล็กที่เอาแต่หลบสายตา ไม่กล้ามองหน้ากัน
เขาจึงคว้าตัวเธอเข้าชิดใกล้ จ้องลึกลงไปในดวงตาหวานใส เธอมองสบตาเขาด้วยแววไม่เข้าใจ ชายหนุ่มจึงตอบรับความสับสนนั้นด้วยการขยับเข้าหา กดเรียวปากอุ่นร้อนแนบชิดลงบนริมฝีปากอิ่มสีหวาน แรงดูดเบาๆ จากเขาทำเธอสะท้าน ส่วนแนบชิดเริ่มชุ่มฉ่ำจากการรุกล้ำของชายเบื้องหน้า ไม่รุนแรงกระแทกกระทั้น ทว่ากลับดูกระหายหิว เรียกร้องบงการ ดูดกลืนกันไว้ด้วยอะไรบางอย่าง ซึ่งไม่ได้มีความหวานซ่านดังเช่นครั้งก่อน
เขาทำเธอกลัว...
กวินภัทรจูบเธอด้วยความต้องการในส่วนเร้นลึก ซึ่งบังคับผลักดันให้หาทางผูกมัดเธอไว้ เหตุการณ์เมื่อครู่สั่นคลอนบาดแผลภายในใจเขา กระทั่งหยาดน้ำเย็นชื้นพร่างลงมาสัมผัสปลายจมูกคมสัน นั่นเองที่ทำให้เขารู้ตัว คล้ายหยดน้ำตาเธอหล่นกระทบลงมาดับไฟกองใหญ่ในใจเขาให้มอดลง ชายหนุ่มหลับตาลงตั้งสติ ก่อนขยับออกเพียงนิดเพื่อมองดวงหน้าหวาน คนที่นานครั้งจึงจะมีน้ำตาให้เห็น แต่ภายในสัปดาห์เดียว เขาทำเธอร้องไห้ไปไม่รู้กี่ครั้งกี่ครากันแล้ว
“พี่...ขอโทษ” กระซิบบอกเสียงแผ่วค่อย โอบประคองใบหน้าเธออย่างทะนุถนอม ปลอบโยนหญิงสาวด้วยสายตาสำนึกผิดเต็มล้น
พาพราวหลับตาไม่กล้ามอง พยายามเม้มริมฝีปากสั่นระริกไว้เพื่อกลั้นสะอื้น
กวินภัทรมองเธอด้วยสายตาร้าวราน เขาไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้ แต่ก็เป็นเขาเองที่ทำให้เธอเสียใจทุกครั้งไป ยิ่งได้ชิดใกล้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอเปราะบางราวแก้วใบร้าว ซึ่งพร้อมจะแตกสลายได้ตลอดเวลา เมื่อครู่เขาแค่กลัว กลัวว่าจะต้องเสียเธอให้เพื่อนคนนั้นซ้ำอีก ชายหนุ่มจึงรั้งเธอเข้าสู่อ้อมแขน โอบกอดเธอไว้ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มี
“พี่ขอโทษนะ” เขากระซิบบอกอยู่เหนือศีรษะคนตัวเล็ก จูบประทับเรือนผมหอมนุ่มอย่างอ่อนโยนขณะกระชับอ้อมกอดอย่างหวงแหน
“พี่...คุณวินเป็นอะไรคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“ทีหลังห้ามไปเจอมันอีกเด็ดขาดนะรู้ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนจะคลายอ้อมกอดออกเพื่อมองดวงหน้าหวานเปื้อนน้ำตาให้ชัด จ้องสะกดเธอไว้ให้เชื่อฟังคำสั่งกัน “เข้าใจไหม” ก่อนทิ้งท้ายด้วยการลูบศีรษะเธอเบาๆ
หญิงสาวทำเพียงพยักหน้ารับ แต่ในใจกลับกู่ร้องก้องดังไปด้วยคำถามนับสิบ เธออยากรู้ว่าตรัยคุณต้องการจะพูดคุยเรื่องอะไร...เรื่องที่เกี่ยวกับกวินภัทร
เขาลูบเรือนผมเธออย่างอ่อนโยน แล้วดึงทิชชูมาซับรอยน้ำตาให้อย่างเบามือ
“ไม่เอา ไม่ร้องนะ” จับผมทัดหูให้หญิงสาว ก่อนจะแกล้งบีบจมูกแดงของเธอเบาๆ อย่างมันเขี้ยว
“อื้อ” เธอเกือบจะร้องไห้อีกคราเมื่อหวนนึกไปถึงความทรงจำในวัยเด็ก เขามักทำแบบนี้ยามปลอบเธอเสมอ
“ร้องไห้ขี้มูกโป่งเป็นเด็กๆ ไปได้” ชายหนุ่มแกล้งเย้า ก่อนช่วยคาดเข็มขัดนิรภัยให้คนตัวเล็กและตนเอง แล้วจึงออกรถทันที ระหว่างทางยังมิวายดึงมือเธอมากุมอยู่หลายหน ทำเอาเธอสับสนว้าวุ่นใจ ทำไมเขาจึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ถึงเพียงนี้
กวินภัทรบอกให้รู้ว่าเขาจะไปนอนเฝ้าบุลลาเป็นเพื่อนเธอเอง ด้วยไม่ไว้ใจ เกรงว่าป้าจะพูดจาไม่ดีกับพาพราวอีก พอถึงบ้านต่างคนต่างก็แยกย้ายไปจัดกระเป๋าของตัวเอง กวินภัทรจัดเสร็จก่อนจึงเดินมาเคาะประตูห้องของหญิงสาว เขาใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ อย่าเรียกว่าจัดเลย ใช้คำว่ายัดดูจะเหมาะกว่า
พาพราวเปิดประตูเพื่อบอกเขาว่าเธอยังไม่เรียบร้อย ให้เขาลงไปรอข้างล่างก่อน แต่คนได้เปรียบใช้ความเหนือกว่าด้านร่างกายดึงดันจะเข้ามารอเธอในห้องให้ได้ หญิงสาวจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา ปล่อยให้เขาเดินตามเข้ามาด้วยไม่อาจห้ามปราม
คนบุกรุกล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง สูดเอากลิ่นหอมจางๆ จากหมอนนุ่มเข้าจนช่ำปอด นอนมองเธอเดินเข้าเดินออกเพื่อหยิบข้าวของอย่างเพลินตา “ทำไมไม่ใช้กระเป๋าที่พี่ซื้อให้”
พี่? อะไรกัน เธอเพิ่งรู้ว่าการที่ยอมให้เขาจูบจะเปลี่ยนสรรพนามที่เขาเรียกแทนตัวเองไปได้ถึงขนาดนี้ เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ “ก็มันเป็นสีขาว พราวกลัวเปื้อนค่ะ”
“เปื้อนก็ไม่เป็นไร ทำความสะอาดได้”
“ไม่เอาค่ะ อันเก่ายังใช้ได้อยู่เลย” เธอจะกล้าบอกได้อย่างไรว่ามันมีคุณค่าทางจิตใจ จึงอยากเก็บรักษาไว้ให้ดีที่สุด คงไม่กล้านำออกมาใช้แน่
“คอยดูเถอะ พี่จะเอาไปซ่อนให้หมดเลย”
คนฟังระบายลมหายใจ ก่อนจะหันหน้าไปมองเขาด้วยแววคลางแคลง ยิ่งเห็นชายหนุ่มคลี่ยิ้มให้กัน เธอก็ยิ่งหวาดระแวง หวั่นวิตกความเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน “เลิกพูดแบบนั้นได้ไหมคะ” แล้วจึงหันกลับมาจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อ
กวินภัทรลุกขึ้น เดินมากอดเธอไว้จากทางด้านหลัง กระซิบถามเสียงหวานค่อย “แบบไหน”
สัมผัส น้ำเสียง ลมหายใจ...
มือบางหยุดการขยับไหว นิ่งค้างในอ้อมกอดเขา สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ ตั้งรับความนุ่มนวลชวนละลายที่เขาส่งผ่านถึงกัน ตระหนักชัดว่าตนยอมให้เขากอดแต่โดยดี มันต้องเป็นผลพวงมาจากจูบหลายจูบพวกนั้นแน่ๆ ต้องใช่แน่! ตอนนี้เธอจึงไม่พยายามต่อต้านขัดขืนดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
...เป็นแบบนี้ไม่ดีกับเธอเลย
“แบบไหนเหรอ” เขากระซิบเสียงนุ่มชิดใบหูคนตัวเล็ก แล้วเกยคางวางบนไหล่บาง มองดูเธอจัดหนังสือเรียนลงกระเป๋าด้วยความสนอกสนใจ สังเกตเห็นมือไม้เธอสั่นระริก
“คุณวิน เลิก...เลิกเรียกแทนตัวเองว่าพี่ได้ไหมคะ”
“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ”
“มันแปลกๆ พราวไม่ชิน แล้วทำไมคุณวินถึง...”
“พี่...พี่...พี่...” เขาเอ่ยเย้าอยู่ไม่ห่าง กระซิบข้างหูอยู่ไม่ไกล พาเอาใจเธอวูบวาบ โอนเอนไม่มั่นคง จำต้องย่นคอหนีไอร้อนผ่าวจากเขา ซ้ำร้ายยังฆ่าเธอให้ตายด้วยรอยประทับหวานนุ่มที่ต้นคอระหง หากเธอเป็นก้อนน้ำแข็งคงจะละลายและระเหยไปในอากาศแล้วกระมัง
“ยังแปลกอยู่ไหม” กวินภัทรออดอ้อนเสียงหวานเกินพอดี
“พะ...พอแล้วค่ะ” เธอสู้ความรู้สึกตัวเองไม่ไหว ครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับจะจับไข้
“ต่อไปห้ามเรียกคุณแล้วนะ มีแต่ ‘พี่’ กับ ‘พราว’ เข้าใจไหม” คนเอาแต่ใจสั่งเสียงหวานไม่เลิก แนบใบหน้าคลอเคลียแก้มนุ่มนิ่มของเธออย่างหลงใหล
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ กวินภัทรล้วงหยิบก้างขวางคอชิ้นใหญ่จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมอง เขากดรับสายทั้งที่ยังกอดเธอไว้ในอ้อมแขน “ครับแม่”
เพียงรู้ว่าใครโทร. เข้ามา พาพราวก็สะดุ้งเกร็งในทันใด ยืนนิ่งไม่กล้าขยับกาย เกรงจะส่งเสียงใดๆ หลุดเข้าไปจนปลายสายได้ยิน
“วินไม่ต้องมาแล้วนะลูก เดี๋ยวแม่นอนเฝ้าป้านิ่มเอง แม่ให้อารีเตรียมของมานอนเป็นเพื่อนแล้ว พรุ่งนี้วินต้องไปทำงาน จะได้ไม่ลำบาก แล้วนี่ทำอะไรอยู่ ออกจากบ้านมารึยัง”
“ยังครับ นวดหน้าอยู่...โอ๊ย!”
หญิงสาวหยิกแขนเขาทันที ส่งสายตาเป็นเชิงห้ามปราม กลัวเขาจะตอบอะไรแปลกๆ จนแม่สงสัยเอาได้
“หืม?...นวดหน้าด้วยเหรอเรา” ครองขวัญนึกไปถึงการสครับหน้า ไม่ได้รู้เลยว่า ‘นวดหน้า’ ที่ลูกชายเอ่ยถึงนั้นเป็นอย่างไร
“ก็ต้องมีบ้าง...ครับแม่...ครับ...สวัสดีครับ” หลังกดวางสาย กวินภัทรจึงหันมานวดหน้าต่อ นวดหน้าเขาด้วยหน้าแสนนุ่มของเธอ ถูไถไซ้ขยับอย่างหยอกเย้า
“อื้อ...พอค่ะ” เธอรู้สึกว่าอันตรายเกินต้านทานแล้ว การหยุดเขายากพอๆ กับการหยุดยั้งความรู้สึกของตัวเอง
“คืนนี้มานอนด้วยนะ แม่ไม่อยู่ ทางสะดวก พี่คิดถึงพราวก่อนนอนทุกคืนเลยรู้ไหม”
เธอไม่คิดฝันว่ามันจะดำเนินมาจนถึงจุดนี้ คำว่า ‘คิดถึง’ ของเขาช่างร้ายแรงต่อใจเธอเหลือคณนา ไม่รู้ว่าเขาแค่แกล้งหยอดให้เธอหวั่นไหวเล่น หรือเขา...รู้สึกกับเธอแบบนั้นจริงๆ หรืออีกไม่นานเขาก็อาจเฉลยว่าแค่แกล้งหลอกกันเล่น แล้วปิดท้ายด้วยคำพูดร้ายกาจ
เธอไม่รู้ ไม่รู้อะไรแล้ว ไม่รู้กระทั่งว่าตนควรรับมือกับผู้ชายคนนี้อย่างไร
“นะครับ”
“ไม่นะคะ”
“ใจร้ายจัง งั้นตอบพี่มาก่อน คุยอะไรกับไอ้คุณ”
“พี่เขาแค่มาทักทายเฉยๆ ค่ะ” เธออ้อมแอ้มตอบเสียงเบา
“แล้วไป...ต่อจากนี้ห้ามสนิทกับผู้ชายคนไหนเด็ดขาด ไอ้เพื่อนผู้ชายคนนั้นด้วย เข้าใจไหมครับ” เมื่อวานก็เรียกพี่กายคะพี่กายขาต่อหน้าเขา วันนี้ยังมีไอ้เพื่อนชั่วคนนั้นมาวอแวเธออีก ใจเขาปั่นป่วนว้าวุ่นไปหมดยามเห็นเธออยู่ใกล้ผู้ชายคนอื่น...หวง!
สรุปแล้วค่ำคืนนั้นต่างคนต่างนอนในห้องของตนเอง ในขณะที่เธอพยายามคิดทบทวน ไล่เรียงเหตุการณ์ความเป็นมา นึกสงสัยว่าทำไมเขาจึงเปลี่ยนไปราวกับโลกพลิกเช่นนี้ แถมยังคิดไม่ตกว่าควรจัดการกับความรู้สึกที่เริ่มไม่รักดีของตัวเองอย่างไร เธอไม่ได้ฝืนห้ามความรู้สึกของตนเองด้วยรู้ว่าห้ามไม่ได้ สิ่งที่เขากระทำกับเธอนั้นชัดเจนว่าต้องการให้หวั่นไหวและรู้สึกอย่างไรในแง่มุมของชายหญิง แต่เธอไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ แกล้งเล่น...ลุ่มหลง...รัก หรือว่าอะไร
ฉาบฉวยหรือลึกซึ้งจริงจัง...
...เธอไม่รู้อะไรเลย
กวินภัทรเป็นเหมือนแม่เหล็ก มีด้านหนึ่งซึ่งน่าดึงดูดให้เข้าหา ทว่าก็ซ่อนอีกด้านที่ผลักเธอให้ออกห่างได้ในทันทีเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเขากำลังหันด้านไหนให้เธอ
ส่วนอีกคนที่อยู่ห่างกันเพียงผนังกั้น ชายหนุ่มเองก็คิดหนักไม่ต่างกัน เขาพยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้เธอยอมรับความรู้สึกที่เขามีให้ ก้าวผ่านความเลวร้ายทั้งหมดทั้งมวลที่เคยมีมา
อันดับแรกเขาต้องทำให้เธอไว้ใจและเลิกหวาดกลัวเสียก่อน
ความสัมพันธ์ครานี้ควรดำเนินไปในทิศทางไหนดี ยังมีเขาอีกหลายลูกให้ต้องฝ่าฟัน และลูกแรกคือ...เธอ สูงชันและท้าทาย เห็นทีคงต้องงัดไพ่ไม้ตายออกมาใช้ก่อนเวลาอันควร ไพ่เบอร์ใหญ่เสียด้วยสิ
กวินภัทรผุดลุกนั่ง เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักข้างหัวเตียง หยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาดูด้วยความทะนุถนอม ไล้ปลายนิ้วสัมผัสเบาๆ ก่อนจะนอนลงและทอดมองราวกับว่ามันเป็นกุญแจสำคัญ
เมื่อคืนกว่าจะข่มตาให้หลับลงก็ล่วงเลยไปเป็นวันใหม่เสียแล้ว เช้าวันนี้พาพราวจึงตื่นสายกว่าปกติ แถมยังเป็นเช้าวันทำงานอันที่แสนเร่งรีบเสียด้วย
“เอ่อ...แป๊บนึงนะคะ พราวลืมของ” หญิงสาวรีบก้าวลงจากรถขณะนึกขึ้นได้กะทันหันว่าลืมหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งยืมมาจากหอสมุดของมหาวิทยาลัย และครบกำหนดคืนวันนี้แล้ว เธอไม่อยากเสียค่าปรับโดยใช่เหตุ แม้เป็นเงินเพียงน้อยนิด ทว่าเธอก็ระลึกเสมอว่าต้องประหยัดที่สุด ด้วยรู้สถานะตนเองดี
กวินภัทรมองคนตัวเล็กเปิดประตูรถและรีบวิ่งเข้าบ้านไปด้วยแววขบขัน ทำไมเธอจึงดูน่ารักขึ้นทุกวันในสายตาเขา
เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ดังแหวกอากาศเงียบงันภายในรถ เรียกความสนใจจากชายหนุ่มให้ก้มลงมอง ปกติเขาค่อนข้างมีมารยาท แต่กับเธอเป็นกรณีพิเศษ...มารยาทไม่ต้อง!
มือหนาถือวิสาสะคว้ากระเป๋าผ้าของเธอเปิดออก หยิบโทรศัพท์มือถือเธอขึ้นมอง ดีที่เจ้าของไม่ได้ตั้งรหัสล็อกเครื่องไว้ จึงแอบอ่านได้สบาย เพื่อนสาวเธอส่งข้อความมาแจ้งว่าเช้านี้อาจารย์เลื่อนคลาสไปเป็นช่วงบ่ายแทน ชายหนุ่มยิ้มกว้างทันที เสร็จโจร!
แค่แอบอ่านข้อความนั่นไม่ร้ายกาจเท่าการค้นดูข้อมูลส่วนตัว เขาไล่ดูภาพถ่ายของหญิงสาว ส่วนใหญ่เธอชอบถ่ายภาพท้องฟ้า ดอกไม้ ใบหญ้า กาแฟ แมว...ไม่ยักเห็นมีภาพตัวเองสักเท่าไร นิ้วแกร่งไล่เลื่อนไปเรื่อย กระทั่งเห็นบันทึกการโทร. เข้าโทร. ออกของหญิงสาว
เดี๋ยวนะ! เธอบันทึกหมายเลขโทรศัพท์เขาว่า ‘K. Win’ (คุณวิน) อย่างนั้นหรือ ไม่ได้หรอก เขาไม่ยอม กวินภัทรจัดการเปลี่ยนข้อมูลใหม่เป็น ‘P. Win’ (พี่วิน) แต่บันทึกไม่ได้ ระบบแจ้งเตือนว่ามีชื่อนี้บันทึกไว้แล้ว คิ้วหนาเลิกขึ้นขณะทำหน้าฉงน ก่อนจะเพิ่มอีโมติคอนรูปหัวใจต่อท้ายชื่อแล้วบันทึกใหม่ ตะมุตะมิซะไม่มี
พาพราวเปิดประตูรถเข้ามานั่งพลางหอบหายใจถี่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกว่าปกติ เธอรีบวิ่งสุดชีวิตเนื่องจากสายมากแล้ว อีกไม่เกินชั่วโมงจะถึงเวลาเข้าเรียน และดูท่าการจราจรวันนี้คงติดขัดมากเสียด้วย ที่สำคัญเธอกลัวทำเขาสาย เดี๋ยวจะมาหาเรื่องดุกันเอาได้
“พี่วินที่เมมไว้นี่มันใคร ไม่ใช่เบอร์พี่แน่ๆ” ชายหนุ่มถามเสียงเข้มพร้อมหันหน้าจอไปทางเธอ จ้องเขม็งขณะรอคอยคำตอบ
หญิงสาวหันมามองจึงเห็นว่าโทรศัพท์มือถือของตนเองอยู่ในมือเขา เมื่อครู่เธอไม่ได้สังเกต “นี่แอบดูโทรศัพท์กันเหรอคะ เอามานะ” เจ้าของพยายามจะคว้าแย่งโทรศัพท์คืนมา แต่เขาเบี่ยงมือหลบ ไม่ยอมคืนให้หากยังไม่ได้คำตอบ “ตอบก่อน เบอร์ใคร” เขาเห็นเธอลอบยิ้มนิดๆ คล้ายมีเรื่องขบขัน
“ลองโทร. ไปดูสิคะ”
กวินภัทรจัดการโทร. ออกไปยังหมายเลขนั้นทันที พร้อมเปิดสปีกเกอร์โฟนไว้ รอเพียงไม่เกินอึดใจอีกฝ่ายก็รับสายทันที เขาหรี่ตามองเธอขณะตั้งใจฟังเสียงปลายสาย
“ครับน้องพราว วันนี้ให้ไปรับตรงไหนดี”
เสียงผู้ชาย? น้องพราว? ให้ไปรับ? วันนี้เหรอ...แสดงว่าต้องมีวันก่อนๆ งั้นสิ ม่านตาเข้มขลับกระตุกวาบทันที กวินภัทรจ้องคนตัวเล็กด้วยสายตาดุดัน คาดโทษ
“ขอโทษค่ะ พอดีพราวกดผิด วันนี้มีคนไปส่งแล้ว” หญิงสาวกรอกเสียงหวานบอกอีกฝ่าย รอจนกระทั่งเขาตอบรับ เธอจึงกดวางสายโดยที่ชายตรงหน้ายังถือโทรศัพท์ค้างไว้อยู่อย่างนั้น
สีหน้าเขาจริงจัง แต่ไม่ยักน่ากลัวแฮะ ถ้าเป็นเมื่อสัปดาห์ก่อนเธออาจจะลนลานจนทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เธอจึงขบขันเสียมากกว่า หญิงสาวเม้มริมฝีปาก ปั้นหน้าฝืนไม่ให้เผลอหัวเราะออกมา ก่อนจะทำใจกล้าเอื้อมมือขึ้นคลึงหว่างคิ้วขมวดมุ่นของเขาให้คลายลง
“พี่วินหน้าปากซอยค่ะ” เธอเฉลยในที่สุด มองคนตรงหน้าด้วยแววตาล้อเลียน
เขารู้สึกราวกับโดนไม้หน้าสามฟาดใส่แรงๆ อ้าปากหวอขณะพยายามประมวลผล
เมื่อเข้าใจกระจ่าง มีหรือคนโดนแกล้งจะยอม เมื่อครู่ใจเขาคิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ กวินภัทรจึงลงโทษคนตรงหน้าด้วยการจี้เอวบางเหมือนที่ชอบแกล้งเธอเล่นตอนเด็กๆ “แกล้งพี่เหรอ”
“ไม่เอานะ” พาพราวพยายามเบี่ยงตัวหนี หัวเราะคิกคัก
ทั้งคู่ลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่ได้ขับรถออกไปพ้นจากรั้วบ้าน จึงไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง
การจราจรติดขัดจนเกือบจะเรียกได้ว่าวิกฤติ พาพราวมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ชายหนุ่มดูใจเย็นกว่าปกติ เปิดทางให้รถคันข้างๆ เบียด แทรก แซงได้ตามสบาย เธอกำลังจะสาย...แต่ไม่กล้าหันไปเร่งเขา จึงทำได้เพียงนั่งกระสับกระส่ายอยู่คนเดียวอย่างนั้น ขณะที่กวินภัทรแอบยิ้มขำ
กระทั่งถึงมหาวิทยาลัยของเธอ “จอดนะคะ คุณวินขับเลย” พาพราวร้องทักเมื่อเขาขับผ่านประตูทางเข้าไป ไม่มีทีท่าว่าจะชะลอจอด
“วันนี้อาจารย์เลื่อนไปเรียนตอนบ่ายนี่ ตอนเช้าก็ว่างสิ”
“คะ?”
“เพื่อนที่ชื่อแตงกวาส่งข้อความมาบอก พี่เปิดอ่านให้แล้ว”
หมดคำพูด เธอควรด่าเขาว่าอะไรดี หญิงสาวรีบล้วงเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาเปิดดูข้อความทันที
“ไปทำงานกับพี่ก่อนนะ เดี๋ยวตอนเที่ยงออกมาส่ง”
“ไม่เอาค่ะ”
“ไม่เอาไม่ได้”
ก็ขับจนจะถึงบริษัทอยู่แล้วนี่ ไม่ต้องถามเธอก็ได้มั้ง
ห้องทำงานของชายหนุ่มต่างไปจากที่จินตนาการอยู่มาก พาพราวไม่เคยตามกมนทัตมาที่บริษัท จึงไม่รู้ว่าบรรยากาศในที่ทำงานเป็นอย่างไร คิดว่าคงเหมือนในละคร ผู้บริหารต้องมีห้องทำงานกว้างขวาง ประดับด้วยโซฟาหรูกลางห้อง มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่และเก้าอี้สีดำมีพนักพิงน่าเกรงขาม ภายในห้องกรุกระจกใสมองเห็นวิวแม่น้ำกลางเมืองใหญ่ เหมาะแก่การยืนล้วงกระเป๋าสนทนาธุรกิจพร้อมมองลงไปเบื้องล่างอย่างมีนัย
ภาพจำของเธอเป็นแบบนั้น...
...ต่างจากความเป็นจริงไปลิบลับ บริษัทของครอบครัวบุริมนาถไม่ได้เช่าที่อยู่บนอาคารสูงใหญ่ แต่เป็นกลุ่มอาคารสูงประมาณห้าชั้น แบ่งเป็นหลายอาคารย่อยและมีทางเดินเชื่อมถึงกันหมด ตกแต่งสไตล์ลอฟต์โชว์ปูนเปลือย บริเวณโดยรอบจัดเป็นสวนป่า มีลำธารจำลองขนาดย่อมไหลเอื่อยอ่อน ส่งเสียงคลอให้บรรยากาศผ่อนคลายสบายตา ริมทางเดินมีภาพวาดประดับประดาเป็นระยะ ห้องประชุมกรุกระจกสี่ด้านรอบทิศ อาคารสองชั้นทางซ้ายมือถูกตกแต่งให้เป็นร้านกาแฟบรรยากาศดี มีทั้งโซนอินดอร์และเอาต์ดอร์ซึ่งเป็นลานหญ้ากว้างใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ปกคลุมไปทั้งอาคาร พนักงานก็ไม่ได้แต่งตัวเคร่งครัดเป็นทางการ ทุกคนดูสบายๆ ในชุดที่แตกต่างมีสไตล์ของตนเอง แต่ยังคงความสุภาพกึ่งทางการไว้
บริษัทของกมนทัตเป็นบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในที่มีสไตล์เฉพาะตัว เน้นจับกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง ซึ่งมีตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง กวินภัทรรู้หน้าที่ของตนอยู่แล้วว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องรับช่วงต่อจากบิดา อีกทั้งการเห็นท่านทำงานด้านนี้มาตั้งแต่เด็กจึงซึมซับและสนใจงานสายนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นเขาจึงไม่ติดขัดอะไร ออกจะเต็มใจเสียด้วยซ้ำในการเดินตามแพลนที่ท่านวางไว้ให้
ชายหนุ่มจบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ โดยใช้เวลาทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ร่วมสามปี เพื่อใช้เป็นคุณสมบัติในการสมัครเรียนตามเงื่อนไขของมหาวิทยาลัยที่นั่น กระทั่งจบการศึกษาปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา จึงเดินทางกลับมาสานต่อธุรกิจครอบครัว โดยรวมแล้วเขาใช้เวลาเกือบห้าปี แม้ใจจริง อยากจะกลับมาให้เร็วกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้
กวินภัทรจูงมือหญิงสาวพามายังห้องทำงานส่วนตัวของเขา ซึ่งขัดกับบรรยากาศภายนอกอย่างสิ้นเชิง ห้องกว้างขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป ตกแต่งในสไตล์มินิมอล เน้นใช้โทนสีขาวสบายตา เฟอร์นิเจอร์เรียบง่าย แต่มีดีไซน์เฉพาะตัว
เธอชอบจัง เดี๋ยว! ห้ามนะ ห้ามชอบเด็ดขาด
“นั่งรอพี่ตรงนี้นะ” เขาพาเธอมานั่งยังส่วนที่เป็นโซฟาสีเทาอ่อน มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเรือนยอดไม้ขนาดใหญ่แผ่ให้ความร่มรื่นแก่สรรพสิ่งด้านล่าง “เอาอะไรไหมพราว เดี๋ยวเลขาฯ พี่จะลงไปร้านกาแฟข้างล่าง”
เธอส่ายหน้า ไม่ต้องการอะไรเพิ่มแล้ว เขาจึงเดินออกไปบอกเลขานุการหน้าห้อง ซึ่งไม่ใช่สาวสวยเซ็กซี่แบบที่จินตนาการไว้ แต่กลับเป็นชายวัยกลางคนท่าทางคล่องแคล่วและเชี่ยวชำนาญพอตัว
“ทำไมห้องคุณวินดูขัดกับบรรยากาศข้างนอกจังเลยคะ” เธอเอ่ยถามด้วยความข้องใจ
เขาอยากเหมาซื้อคำว่า ‘คุณวิน’ จากเธอจัง ขายเท่าไหร่ จะทุ่มซื้อไม่อั้นเลย แล้วต่อไปอย่าพูดให้ได้ยินอีกนะ
“ก็พี่ชอบแบบนี้ บางทีเวลาเจอลูกค้าบรีฟงานมาหนักๆ เดินออกจากห้องประชุมมาเครียดๆ แล้วเปิดเข้ามาเจอห้องขาวๆ สว่างๆ แบบนี้มันรีแลกซ์ดีนะ” กวินภัทรอธิบาย อดเอ็นดูไม่ได้เมื่อเห็นคนตัวเล็กตั้งอกตั้งใจฟังเป็นพิเศษ วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าจึงดูอ่อนวัยกว่าทุกวัน แก้มใสเจือเลือดฝาดชวนมอง คิ้วได้รูปสีอ่อนกว่าที่เคย ผมเผ้าเจ้าตัวยุ่งนิดๆ
น่ารัก...ทั้งหมดที่เป็นเธอมันช่างน่ารักน่ามอง
“เรียนจบแล้วมาช่วยพี่ทำงานสิ พ่อจะได้พัก”
“ทำตำแหน่งอะไรคะ ไม่ได้จบสถาปัตย์หรือบริหารมาสักหน่อย” เธอเอ่ยเสียงจริงจังเป็นการเป็นงาน
“เป็นผู้ช่วยผู้บริหารไง มาทำกับพี่สิ ห้องออกกว้าง”
“ไม่เอา พราวอยากทำร้านกาแฟมากกว่า”
“อ๋อ...วันนั้นก็เลยลองไปทำงานร้านกาแฟดูงั้นสิ”
‘วันนั้น’ ของเขาทำเธอหน้าแดงจัด วันที่เขา...จูบเธอ ความทรงจำหวามไหวไหลบ่าเข้ามาในความนึกคิด หญิงสาวจึงเม้มปากแน่น ไม่รู้จะเอ่ยอะไร สะเทิ้นอายจนต้องเสมองออกไปนอกหน้าต่างแทน
กวินภัทรมองอาการเธอด้วยแววพึงใจ เขาชอบเวลาเธอขัดเขิน แก้มแดงเปล่งปลั่งน่าครอบครองเป็นที่สุด
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองจังหวะ ก่อนที่คุณเลขาฯ จะเดินเข้ามาพร้อมถาดขนมและกาแฟสองแก้ว กวินภัทรรีบเดินออกไปรับเองทันที ด้วยเกรงใจผู้อาวุโสกว่า หลังกล่าวขอบคุณ ชายหนุ่มปิดประตูและ...ล็อกทันที!
“ล็อกทำไมคะ” เธอพูดพร้อมทำหน้าตาหวาดหวั่น กลัวว่าเขาจะทำอะไรไม่เหมาะสมในที่ทำงาน
“นี่แน่ะ คิดลึกเกินไปแล้ว ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย แค่ล็อกเพื่อความอุ่นใจเฉยๆ” เขาเขกหน้าผากนวลของเธออย่างเบามือ
อุ่นใจบ้าบออะไรกัน เอาแต่ใจก็เท่านั้น
“อันนี้มอคคาเย็นของพราว” เขายกแก้วกาแฟสีน้ำตาลเข้มมาวางตรงหน้าหญิงสาว
“ไม่เอาค่ะ พราวไม่ดื่มกาแฟ” เธอดันกลับอย่างสุภาพ
“หืม?...แล้วอยากจะทำร้านกาแฟเนี่ยนะ”
“ก็...แค่ชอบกลิ่นกาแฟ ชอบบรรยากาศร้านกาแฟ”
แบบนี้ก็ได้เหรอ เขาเพิ่งรู้
“แล้วนี่คุณวินไม่ทำงานเหรอคะ” เธอถามเมื่อไม่เห็นชายหนุ่มเริ่มงานเสียที เอาแต่เดินวนเวียนป้วนเปี้ยนรอบตัวเธออยู่นั่นละ
“ยัง เช้าวันจันทร์แบบนี้ยังไม่มีอะไรให้เคลียร์หรอก รอช่วงกลางวันนั่นละงานถึงจะถูกส่งมา” เขาโกหก! จริงๆ มีเอกสารสองโครงการให้ต้องตรวจทานก่อนเซ็นอนุมัติ แต่ไม่ใช่งานเร่งด่วน ฉะนั้นกลับมาทำช่วงบ่ายก็ยังทัน ขออู้งานนั่งเต๊าะเด็กนักศึกษาก่อนไม่ได้หรือไง อุตส่าห์โหมงานหนักมาตั้งหลายสัปดาห์แล้วนี่นา พ่อคงไม่ว่าหรอก
กวินภัทรเอนกายพิงพนักโซฟา ก่อนจะดึงตัวเธอให้เอนตามลงไปซบที่อกแกร่ง ชายหนุ่มถอนหายใจดังเฮือกราวกับมีเรื่องหนักอก
คนถูกกอดไม่กล้าขัดขืน เธอแหงนมองเสี้ยวหน้าเขาในระยะใกล้ ไล่สายตามองเครื่องหน้าหล่อเหลาอย่างสนใจ เห็นแววเหนื่อยล้าบางอย่างฉาบซ่อนอยู่บนดวงหน้าคมเข้ม หญิงสาวจึงวางมือแนบลงตรงกลางอกเขา ลูบเบาๆ คล้ายกำลังปลอบให้คนตัวโตผ่อนคลายลง เขาเพียงลืมตาขึ้นมองการสัมผัสนั้น แล้วหลับตาลงอีกครั้งคล้ายกำลังชั่งใจในอะไรบางอย่าง
พาพราวมีคำถามนับร้อยวิ่งวนอยู่ภายใน เธอไม่ได้กลัวที่จะถาม แต่กลัวคำตอบที่จะได้รับมากกว่า กล้ายอมรับอย่างหน้าไม่อายว่าเธอเองก็ชอบที่เขาเป็นแบบนี้ แม้หวาดหวั่น กลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ขอคิดเข้าข้างตัวเอง ฉกฉวยเอาความอ่อนโยนที่ได้รับในตอนนี้ให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นต่อให้กังขาอย่างไร แต่เธอจะไม่พยายามคิดหาคำตอบ ขอกอบโกยเอาความสุขเล็กๆ นี้ไว้เพียงลำพัง
เธออยากได้รับความสนใจจากพี่ชายคนนี้มาตั้งนาน ต่อให้รูปแบบจะเปลี่ยนไป แต่ตราบใดที่มันยังไม่ได้ซับซ้อนถลำลึกจนเกินขีดจำกัด เธอก็ยินดีจะรับมันไว้
“อยากกินเค้ก ป้อนพี่หน่อยสิ” เขาพูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่ในท่วงท่านั้น
หญิงสาวลุกนั่งตัวตรง “ลุกขึ้นมานั่งดีๆ ก่อนสิคะ” ตักเค้กชิ้นเล็กเตรียมรอป้อนเขา
ชายหนุ่มขยับลุกตามขึ้นมา รับเค้กรสหวานจากเธอขณะมองคนป้อนตาหยาดเยิ้ม “อร่อย...” เขาทำเสียงออดอ้อนสื่อความนัย
รู้ว่าอร่อย แต่อย่ามาอ่อยแบบนี้ได้ไหม
ชายหนุ่มแย่งช้อนจากมือเธอไปตักมาป้อนกันบ้าง คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือ เธอไม่อยากกิน แต่เขายังไม่ยอมแพ้ คะยั้นคะยอเอาจนได้ พอเธออ้าปากรอรับ เขาก็รีบดึงมือกลับโดยไวแล้วเอาไปงับเองเสียอย่างนั้น
นิสัย!
“พี่ล้อเล่น” แล้วจึงตักมารอป้อนเธอใหม่ จ่อช้อนจนเกือบชิดริมฝีปากสีหวาน พอเธออ้าปากจะรับก็เข้าอีหรอบเดิม แย่งไปเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉยเลย
กวนตีนดีจัง!
เธอตวัดตามองเขา เม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยบอกเสียงเรียบ “ไม่อยากกินแล้ว ขอกลับตอนนี้เลยได้ไหมคะ”
“ไม่เอา! ไม่ให้กลับ” กวินภัทรขยับมากอดเธอไว้ แนบเสี้ยวหน้าถูไถไปกับพวงแก้มนุ่มของหญิงสาว ทำตัวราวลูกแมวกำลังออดอ้อนเจ้าของ “งอนพี่เหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“อยู่ด้วยกันก่อนนะ พี่ยกให้ทั้งจานเลยก็ได้”
“พราวไม่อยากกินแล้วค่ะ”
“โกรธพี่เหรอครับ” เอ่ยถามเสียงหวานนุ่ม พลางกดปลายจมูกลงบนแก้มสีชมพูระเรื่อ ค้างนิ่งไม่ยอมผละออก
“อื้อ...อย่าทำแบบนี้” เธอจะตายลงเสียตรงนี้ให้ได้ พี่ชายแสนดีที่เธออยากได้ไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย
“งั้นทำอะไรดีน้า...”
“พอค่ะ อย่าทำรุ่มร่ามแบบนี้ในที่ทำงาน” เธอคิดว่าตัวเองเตือนเขาเสียงเข้มจัด ทว่าไม่ใช่เลย นอกจากจะแผ่วค่อยแล้วยังสั่นเครือเจือแววไม่มั่นคงอีกด้วย มือบางพยายามดันกายชายออกห่าง...
...ทั้งที่ใจนั้นก็อยากให้เขากอดต่อจะแย่
กวินภัทรยอมผละออกแต่โดยดี ลุกขึ้นเดินไปหยิบบางอย่างจากชั้นเก็บของใกล้โต๊ะทำงาน แล้วกลับมานั่งลงข้างกัน “หันหลังให้พี่ที”
“คะ?” ทั้งที่ยังสงสัย แต่ร่างกายเธอกลับปฏิบัติตามคำสั่งเขาทันที อะไรกัน สมองเธอยังไม่สั่งการด้วยซ้ำไป
เขารวบกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มของเธอไปรวมไว้ที่ด้านหลังอย่างเบามือ ค่อยๆ หวีผมที่ยาวประบ่าอย่างช้าๆ “ต่อไปห้ามตัดผมนะ พี่ชอบผมยาวๆ ของพราว”
ไม่มีเสียงตอบรับจากคนตัวเล็ก เขาคงไม่รู้ว่าคนที่โดนเล่นผมอยู่ตอนนี้กำลังลับตาเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสอ่อนโยนชายหนุ่มทำทุกอย่างราวกับย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ไม่มีเสียงสนทนา มีเพียงสายลมหวีดหวิวพัดเข้ากระทบโมบายสวยริมหน้าต่าง ดังเคล้าไปกับเสียงนกร้องจากต้นไม้ใหญ่
มือใหญ่แบ่งกลุ่มผมของเธอออกเป็นช่อๆ ก่อนจับไขว้สลับกันไปมาอย่างคล่องมือ ครั้งยังเด็กเขาถักเปียให้เธอเป็นประจำระหว่างนั่งรถไปโรงเรียนด้วยกัน แม้มีเอื้องใจคอยทำหน้าที่นั้นให้อยู่แล้ว แต่เด็กหญิงมักร้องขอให้เขาทำให้เสมอ แรกเริ่มเธอจึงได้เปียยุ่งไปโรงเรียนเกือบทุกวัน กระทั่งเขาเก่งกาจจนถักได้โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงสามนาที แถมยังสวยเนี้ยบแบบที่เอื้องใจยังออกปากชม
แต่...หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยถักเปียให้ใครอีกเลย
และเด็กหญิงก็คง...ถักมันด้วยตัวเอง
“ขอยางรัดผมหน่อย”
เธอส่งยางรัดผมสีดำที่ใส่ข้อมือไว้ให้เขา
“เสร็จแล้ว” เขาจับเปียผมเธอรวบไปวางด้านข้าง แล้วก้มลงประทับจูบประทับที่ท้ายทอยของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา กอดเธอไว้จากทางด้านหลัง ก่อนจะวางคางเกยไหล่เล็กไว้
เธอเอียงหน้าซบแนบไปกับศีรษะเขา หลับตาเพื่อซึมซับความรู้สึกอ่อนโยนที่ได้รับอยู่ในตอนนี้ ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเธอเคยต้องการสิ่งเหล่านี้ ตอนที่เด็กหญิงคนนั้นไม่เหลือใครไว้ให้พักพิง ฉะนั้นเวลานี้เธอจึงขอซบอิงเขาอย่างคนเห็นแก่ตัว แม้จะกลัวแค่ไหนก็ตาม
...กลัวว่าสิ่งที่สัมผัสอยู่ในตอนนี้จะเป็นแค่เพียงฝันดี ที่สุดท้ายก็ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่า ‘พี่ชาย...เกลียดน้องสาวคนนี้ไปแล้ว’
ความคิดเห็น |
---|