“ลุงๆ มาแต่งงานกันไหม”
คำถามนั้นทำเอาชายหนุ่มวัยสามสิบห้าถึงกับตะลึง ดวงตาคมมองเด็กสาววัยใสที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขาในสำนักงานฟาร์ม ‘เพาะรัก’ ฟาร์มผักออร์แกนิกย่านชานกรุงที่เขามาลงทุนเมื่อราวสิบปีก่อน ส่วนหล่อนเป็นหลานสาวคุณนายเครือวัลย์ เจ้าของสวนมะม่วงชื่อดังที่อยู่ติดกับพื้นที่ฟาร์มของเขา
นวินดา เครือฟ้า แต่ใครๆ ก็มักเรียกหล่อนว่าน้ำผึ้ง...
ชื่อหวานหยดย้อยเหมือนพวกกุลสตรีในรั้วในวัง แต่วีรกรรมหลายอย่างของแม่น้ำผึ้งหวานเล่าต่ออีกสามวันแปดวันก็ไม่จบ บางครั้งเขายังแอบคิดว่าหล่อนควรจะชื่อ ‘น้ำผึ้งบูด’ มากกว่า
หลายเดือนก่อน เด็กสาวเพิ่งจบมัธยมปลายหมาดๆ และเขาคิดว่าตอนนี้หล่อนน่าจะกำลังจดจ่ออยู่กับการลุ้นผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่บ้าน และไม่นึกไม่ฝันว่าจู่ๆ จะทำมะม่วงน้ำปลาหวานมาฝากเขาถึงห้องทำงาน แล้วเปิดฉากขอแต่งงานแบบไม่อ้อมค้อม
หากเขาไม่ได้หูเพี้ยน นวินดาคงกำลังเสียใจเรื่องการตายของย่าจนเพี้ยนแน่นอน!
“เพ้อเจ้ออะไร” เขตพนาเปิดฉากถามตรงๆ ก่อนจะเห็นหล่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนไม่ค่อยชอบใจนักที่ถูกตำหนิด้วยถ้อยคำแบบนี้
“ไม่ได้เพ้อ น้ำผึ้งอยากแต่งงานจริงๆ”
ขณะที่เขตพนากำลังงุนงงอยู่นั้น เด็กสาวก็เลื่อนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขาออกแล้วหย่อนก้นลงนั่งเพื่ออธิบายเหตุผล
“ตั้งแต่พี่มดแต่งงานไปเป็นสะใภ้เจ้า น้ำผึ้งได้ยินปู่เล็กกับย่าเล็กพูดอยู่บ่อยๆ ว่าอยากเห็นลุงหมีกับพี่หมึกแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา พี่หมึกน่ะไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แพรวพราวขนาดนั้นคงหาเมียไม่ยาก ไม่เหมือนลุงหมี...วันๆ ถ้าไม่ไปสอนหนังสือก็ขลุกอยู่แต่กับผักในฟาร์ม น้ำผึ้งอุตส่าห์เสียสละมาช่วยแต่งงานเป็นภรรยาแสนดี ลุงยังมาหาว่าเพ้อเจ้ออีก ปีนี้ลุงสามสิบห้าแล้วนา...ถ้าไม่รีบจัดงานแต่งตอนนี้จะรอจัดงานแซยิดก่อนหรือไงลุง”
เด็กบ้า! เขาเพิ่งอายุสามสิบห้าหยกๆ มีอย่างที่ไหนมาแช่งให้เขาจัดงานแซยิดก่อนงานมงคลสมรส ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งละพ่อจะจับตีก้นให้เข็ด
“ไปเล่นไกลๆ ไป” เขตพนาพยักพเยิดไปยังประตูสำนักงาน เสียงห้วนตึงพอๆ กับสีหน้า “อีกอย่าง...ฉันจะแต่งงานเมื่อไรมันก็เป็นเรื่องของฉัน เป็นเด็กเป็นเล็ก แทนที่จะคิดเรื่องแต่งงาน ไปคิดเรื่องเรียนต่อก่อนดีกว่าไหม ถ้าผลสอบออกมาว่าไม่ติด มีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้างหรือยัง”
“โนๆๆ” นวินดารีบยกมือเป็นเครื่องหมายกากบาทไขว้กันตรงกลาง “ไม่ใช่เวลาคุยเรื่องวิชาการ น้ำผึ้งไม่ใช่ลูกศิษย์ลุงหมี ไม่ต้องมาแนะแนวตอนนี้”
เขตพนาอึ้ง นอกจากดูแลพัฒนาฟาร์มผักออร์แกนิกซึ่งต่อยอดมาจากธุรกิจร้านอาหารของครอบครัวแล้ว เขายังมีอีกสถานะหนึ่งคืออาจารย์ประจำคณะเกษตรของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สอนนักศึกษามาตั้งมากมาย ยังไม่เคยเจอเด็กที่ไหนแก่นแก้วกวนประสาทได้เท่าหล่อน!
“ที่สำคัญ...เรื่องเรียนต่อน้ำผึ้งมีแพลนไว้แล้ว เหลือก็แต่เรื่องหัวใจนี่แหละ ลุงตอบรับมาคำเดียว น้ำผึ้งจะไปเก็บเสื้อผ้าย้ายเข้าบ้านลุงเลย สินสอดไม่ต้อง งานแต่งไม่จำเป็น ขอแค่ทะเบียนสมรสใบเดียวพอ” นวินดายิ้มหวาน ผิดกับคนวัยสามสิบห้าที่เริ่มคิดไม่ตกว่าหล่อนกำลังมีแผนอะไรกันแน่
แรกทีเดียวนั้นคิดว่ามาป่วนเขาเล่นๆ เหมือนทุกครั้ง แต่ดูท่าทางครั้งนี้น่าจะเอาจริง
“ออนเซลขนาดนี้...มีจุดประสงค์อะไรก็ว่ามาเลยดีกว่า”
“สมกับจบดอกเตอร์นะเนี่ย” นวินดาชมเปาะ ประกายตาไหววูบนิดๆ ที่ถูกจับได้ไล่ทัน แต่ก็ยังมิวายยิ้มหวานยามแจกแจงเหตุผล “ข้อหนึ่ง...ลุงจะได้มีน้ำผึ้งคอยเป็นไม้กันหมา ไม่ต้องทนฟังปู่เล็กกับย่าเล็กบ่นว่าเมื่อไรจะหาสะใภ้เข้าบ้านเสียที”
“ออกทะเล” น้ำเสียงของเขตพนาราบเรียบ ยอมรับว่าตั้งแต่น้องสาวคนเล็กของเขาออกเรือนไปเมื่อหลายเดือนก่อน บุพการีก็มักพูดกรอกหูเรื่องคู่ครองบ่อยๆ ซึ่งเขาก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงไป เพราะยังไม่มีเรื่องนี้ในหัวสมอง แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่นวินดาต้องมาชวนแต่งงานหรอก
“ข้อสอง...กินเด็กเป็นอมตะ ถ้าลุงแต่งงานกับน้ำผึ้ง รับรองว่าหนุ่มๆ แถวนี้อิจฉาลุงแน่”
“ออกไปถึงมหาสมุทร”
“ข้อสาม...”
“ข้อสุดท้าย” เขตพนายื่นคำขาด ดวงตาคมปลาบบอกเป็นนัยๆ ว่าถ้านวินดายังไม่พายเรือกลับเข้าฝั่งดีๆ เขาจะไม่รับฟังหล่อนอีกต่อไป
ดวงตาคู่งามมีประกายไหววูบ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดใคร่ครวญคำตอบอย่างรอบคอบ
“น้ำผึ้งไม่เหลือใครแล้ว อยากมีคนช่วยดูแลสวนคุณย่า”
เสียงอ่อยๆ นั้นทำเอาเขตพนารู้สึกเหมือนมีก้อนหินขนาดยักษ์ทุ่มลงตรงกลางศีรษะอย่างแรง
ให้ตาย! หล่อนอยากได้เขาเป็นสามี หรืออยากได้ผู้จัดการสวนกันแน่
“นะๆๆๆ” นวินดาอ้อน “คุณย่าทิ้งน้ำผึ้งไปสบายแล้ว ไหนๆ ลุงก็ยังไม่มีแฟน ไม่คิดแต่งงานกับใครในเร็วๆ นี้ เพราะฉะนั้นเห็นแก่เด็กตาดำๆ อย่าใจร้ายใจดำนักเลย สวนคุณย่ากว้างขวางจะตาย น้ำผึ้งรับผิดชอบคนเดียวไม่ไหว แล้วเด็กอย่างน้ำผึ้งจะไปจ้างคนอื่นก็ไม่ไว้ใจ ไม่เหมือนลุงหมีหรอก เห็นกันมาตั้งหลายปี”
เขตพนากลอกตามองเพดาน ไม่อยากเชื่อเลยว่าเหตุผลแค่นี้จะทำให้หล่อนมาขอเขาแต่งงานได้
“เอาเป็นว่าฉันจะหาคนที่ไว้ใจได้ไปช่วยเธอดูแลสวนคุณย่าละกัน”
เป็นความเอื้อเฟื้อที่ทำเอานวินดาเหวอ กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่คิดไม่ฝัน
“น้ำผึ้งมาขอแต่งงานนะลุง ไม่ได้มาขอให้ช่วยหาผู้จัดการสวน”
“แต่ที่เธออธิบายมานั่นมันหน้าที่ผู้จัดการสวน ถ้ายังไม่เก็ตก็กลับบ้านไปนอนกินนมซะจะได้โตไวๆ ฉันไม่มีเวลามาล้อเล่นกับเด็ก” เขตพนาตัดบทด้วยการก้มลงตรวจเอกสารงานบัญชีบนโต๊ะต่อ แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะหล่อนยื่นมือทั้งสองข้างมาวางทับเอกสารของเขา
“น้ำผึ้งไม่ได้ล้อเล่น!”
“งั้นเธอก็ยิ่งต้องรู้เอาไว้ว่าปัจจัยที่ทำให้คนแต่งงานกันจริงๆ มีมากกว่าเหตุผลของเธอหลายข้อ อย่างน้อยก็ต้องรักกัน ไว้ใจกัน อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่อยากได้ไม้กันหมา อยากให้ใครอิจฉา หรือว่าอยากได้คนช่วยดูแลสวน” ชายหนุ่มถือโอกาสอบรมเป็นชุด และเพียงแค่เด็กสาวอ้าปากเตรียมจะโต้แย้ง เขาก็รีบดักคอหล่อนด้วยประโยคไม้ตาย “ที่สำคัญคือเธอยังเด็กเกินกว่าจะคิดเรื่องแต่งงาน หน้าที่ของเธอตอนนี้คือเรียนหนังสือ”
“โห...นี่มัน พ.ศ. อะไรแล้วคะ” นวินดาแย้ง สีหน้าเอือมระอาเขาทั้งๆ ที่เขาต่างหากควรต้องเอือมระอาหล่อน “ลุงจะเอาค่านิยมสมัยลุงหนุ่มๆ มาเป็นบรรทัดฐานได้ไง เด็กสมัยนี้บางคนอายุแค่สิบสี่ก็มีลูกกันอื้อ”
แก่แดด! หากเป็นน้องเป็นนุ่งจริงๆ เขาจับอบรมชุดใหญ่แน่นอน
“ไม่รู้ละ” นวินดาตัดสินใจลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นคำขาดกับเขาอย่างเอาแต่ใจตามประสาเด็กๆ “ถ้าลุงไม่แต่ง งั้นน้ำผึ้งไปแต่งกับคนอื่นก็ได้ น้ำผึ้งไม่ใช่คนตัวเปล่า เพิ่งรับมรดกคุณย่ามาตั้งแยะ คงมีแต่ลุงนั่นแหละที่ปฏิเสธเจ้าสาวเลี่ยมทองอย่างน้ำผึ้งได้ลง”
ร่างเล็กๆ ในชุดเอี๊ยมยีนตัวเก่งหมุนตัวออกไปทางประตูห้อง ทิ้งให้คนอายุมากกว่าได้แต่นั่งนิ่ง และต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการซ่อนรอยยิ้มขบขัน
เด็กหนอ...มารยารุ่นอนุบาลคิดว่าเขารู้ไม่ทันหรือไง
ต่อให้เขาจะไม่ได้สนิทสนมกลมเกลียวอะไรกับหล่อน แต่แม่น้ำผึ้งบูดคงลืมไปแล้วว่าเขาสนิทกับย่าหล่อนแค่ไหน อีกอย่างเขาเห็นหล่อนมาตั้งแต่ยังผูกคอซองวิ่งเล่นกับลูกหมา มีหรือจะไม่รู้ว่าเป็นคนอย่างไร เชื่อขนมกินได้เลยว่าหล่อนก็แค่อยากให้เขายอมตามใจเท่านั้น
เท้าน้อยๆ ที่เคลื่อนไหวช้าลงเมื่อใกล้ถึงประตูสำนักงานทำให้คนผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากกว่ายิ่งมั่นใจในข้อสันนิษฐาน แล้วพอรู้ว่าเขาไม่หลงกลจริงๆ สาวเจ้าเล่ห์ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองค้อน
“น้ำผึ้งพูดจริงนะ”
“ไปเล่นข้างนอก”
นวินดาเม้มปากแน่น แต่ก็ยังดีที่ไม่กระทืบเท้าปึงปังเหมือนพวกเด็กเอาแต่ใจในละคร หล่อนสะบัดหน้าพรืดออกไปจากสำนักงานไม้ไผ่ในฟาร์มเพาะรัก ก่อนจะขี่จักรยานสีชมพูหวานมุ่งหน้าไปทางสวนมะม่วงที่อยู่ห่างกันไม่ถึงห้าสิบเมตร โดยไม่เหลียวกลับมามองเขาอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขตพนาก็มั่นใจว่าหล่อนเป็นเด็กใฝ่ดีเกินกว่าจะทำตัวนอกลู่นอกทาง และไม่มีทางคว้าใครมาทำสามีแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
ที่จริงแล้วเขาคิดว่านวินดายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ หล่อนไม่น่ามีอารมณ์มาแกล้งป่วนเขาแบบนี้ แต่ครั้นคิดว่าหล่อนอยากให้ช่วยดูแลสวนจริงๆ ก็ยังมองความจำเป็นของการแต่งงานไม่ออก
หรือเด็กแสบของเขากำลังมีปัญหาอะไร...
จักรยานสีชมพูหวานแล่นผ่านสวนมะม่วงมาหยุดตรงหน้าเรือนไทยเก่าแก่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา นวินดาก้าวลงจากพาหนะคู่ใจพลางเอาขาตั้งลงจอดให้เรียบร้อย หน้านิ่วคิ้วขมวดที่ถูกปฏิเสธการขอแต่งงานอย่างไร้เยื่อใย หล่อนตรงขึ้นบันไดไปยังท่าน้ำหลังบ้านอย่างวาดหวังว่าสายลมเย็นและบรรยากาศดีๆ ริมน้ำจะช่วยพัดพาอารมณ์หงุดหงิดไปจากใจได้บ้าง
ที่จริงหล่อนก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่าจู่ๆ ไปขอแต่งงานแบบนั้น ไม่ว่าผู้ชายที่ไหนก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา แต่การที่หล่อนอุตส่าห์แกล้งประกาศว่าจะไปแต่งงานกับคนอื่นแล้วเขายังไม่ง้อนี่ละที่น่าน้อยใจ
ตาลุงหมีบ้า! มีน้ำผึ้งหวานๆ หล่นเข้าปากแล้วยังอุตส่าห์คายทิ้งเสียอีก จบถึงดอกเตอร์แท้ๆ ทำไมถึงซื่อบื้อขนาดนี้ ใช่ว่าหล่อนจะหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เสียหน่อย หากแต่งงานกันไปจริงๆ เขามีแต่จะได้กับได้ แต่จะว่าไปหากไม่ใช่เพราะความจำเป็น...หล่อนก็คงไม่บากหน้าฉาบปูนซีเมนต์ไปขอดอกเตอร์หนุ่มแต่งงานแน่นอน
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง
หรือตาลุงหมีบ้าจะเปลี่ยนใจตามมาแล้ว...ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้ม ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใส แต่พอหันกลับไปมองจริงๆ ก็ผิดหวังที่เห็นเป็นร่างจ้ำม่ำของเด็กชายวัยสิบสี่ปีคนหนึ่ง
“เป็นไงบ้างพี่ผึ้ง ลุงหมียอมแต่งงานด้วยไหม” เด็กชายก้าวเร็วๆ ลงมายังศาลาท่าน้ำ ดวงตามีประกายวิบวับด้วยความหวัง กระทั่งสองเท้าหยุดตรงหน้าหล่อน ถึงค่อยเริ่มสังเกตเห็นคำตอบบนใบหน้าอีกฝ่าย “หน้าบูดเป็นตูดลิงแบบนี้แสดงว่ากินแห้วมาแหง”
“ก็เออน่ะสิ” นึกถึงท่าทางเย็นชาเป็นหมีขั้วโลกของดอกเตอร์เขตพนาตอนไล่หล่อนออกจากห้องทำงานแล้ว นวินดาก็อดระบายความอัดอั้นตันใจไม่ได้ “แก่แล้วยังเล่นตัวชะมัด”
“แล้วแบบนี้พี่ผึ้งจะทำไง” บื้อเริ่มเห็นใจอีกฝ่าย เพราะตั้งแต่เริ่มรู้ความ...เด็กกำพร้าอย่างเขาก็มีนวินดาคอยชี้แนะเรื่องต่างๆ และช่วยเหลือเกื้อกูลเหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ ทุกวันนี้เขาจึงสถาปนาตัวเองเป็น ‘ลูกสมุน’ ของหล่อน “ถ้าพี่ผึ้งต้องย้ายไปอยู่กับคุณสุดารัตน์จริงๆ บื้อคงเหงาแย่”
สุดารัตน์...ชื่อนั้นทำเอาประกายตาคู่งามไหววูบ
หญิงสาววัยสามสิบห้าปีคนนี้มีศักดิ์เป็นแม่แท้ๆ ของหล่อน แต่ถ้าไม่นับเรื่องที่เคยให้กำเนิดหล่อนเมื่อราวๆ สิบเจ็ดปีก่อน สุดารัตน์ก็แทบจะไม่เคยทำอะไรที่คนเป็น ‘แม่’ ส่วนใหญ่เขาทำกันเลย
ตั้งแต่ยังเตาะแตะหัดเดิน...นวินดาเห็นแม่เอาแต่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน พอตกค่ำก็ออกไปทำงานร้องเพลงในไนต์คลับ ทั้งที่พ่อไม่ค่อยอยากให้ไปยุ่งกับสถานที่อโคจรมากนัก ทั้งสองจึงมักจะมีปากเสียงกันเสมอ
คนเป็นภรรยาอ้างว่าอยู่บ้านเฉยๆ ก็โดนแม่สามีด่าว่าไม่ทำมาหากิน ถึงได้ต้องออกไปร้องเพลงข้างนอก เพราะถ้าจะให้ไปขุดดินทำสวนหรือติดต่อลูกค้าที่มารับซื้อมะม่วง สุดารัตน์ก็ไม่เคยทำมาก่อน
กระทั่งนวินดาอายุห้าขวบ...แม่ก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าออกจากบ้านไป
ตอนนั้นเด็กหญิงนวินดากอดขาแม่เอาไว้แน่น ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจเพราะอยากมีแม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่แม่ก็เลือกที่จะผลักไสหล่อนให้อยู่กับย่า แล้วขึ้นรถยนต์คันหรูออกไปกับชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานที่หล่อนไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ รู้ก็แต่ว่าเขาขับรถสปอร์ตแบบที่เคยเห็นแค่ในจอโทรทัศน์ พอคนงานวิ่งไปส่งข่าวพ่อในสวน พ่อก็ไม่รอช้าที่จะขับรถกระบะคู่ใจตามแม่ไปทันที ทว่าเหตุการณ์นั้นกลับทำให้หล่อนต้องเสียพ่อไปตลอดกาล
คุณนายเครือวัลย์ เครือฟ้า ย่าแท้ๆ เล่าว่าพ่อประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ เด็กหญิงนวินดาถามหาแม่หลายครั้ง แต่ย่าก็บอกว่าแม่คงไม่กลับมาอีก ซึ่งหล่อนรู้ว่าย่าไม่ได้โกหก เพราะตลอดหลายวันที่จัดงานสวดอภิธรรมศพพ่อ นวินดาไม่เห็นแม่มาเลยสักวันเดียว
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ย่ากลายเป็นทั้งพ่อและแม่ของหล่อน กระทั่งย่าจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อสามสัปดาห์ก่อน แม่แท้ๆ ก็กลับมาที่บ้านสวนอีกครั้ง
สุดารัตน์เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมาก มีคนขับรถประจำตัวเหมือนพวกคุณหญิงไฮโซ ทั้งยังแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ท่าทางดูผู้ดีตั้งแต่ศีรษะจดเท้า หากไม่เห็นกับตาว่าแม่เคยสวมเสื้อยืดตลาดนัด นุ่งผ้าถุงเก่าๆ นอนอยู่บนเรือน หล่อนคงไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเคยเป็นภรรยาชาวสวนมาก่อนจริงๆ
‘ฉันรู้ว่าแกโตที่นี่ จู่ๆ จะต้องทิ้งไปแบบกะทันหันคงยังปรับตัวไม่ทัน เอาเป็นว่าฉันจะให้เวลาแกได้อยู่จัดงานทำบุญร้อยวันย่าของแกก่อนละกัน เสร็จแล้วฉันจะให้คนมารับ หวังว่าแกคงจะไม่ดื้อจนทำให้ฉันต้องยุ่งยาก เพราะถึงยังไง...ฉันก็มีอำนาจปกครองแกในฐานะแม่แท้ๆ อยู่ดี’
ประโยคที่สุดารัตน์ทิ้งท้ายเอาไว้คอยรบกวนจิตใจหล่อนมาตลอดสามสัปดาห์เต็ม!
นวินดาพอจะรู้อยู่บ้างว่าพ่อกับแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ต่อให้แม่จะไม่ได้เลี้ยงดูหล่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่อำนาจในการปกครองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมเป็นของสุดารัตน์แต่เพียงผู้เดียว หากอีกฝ่ายยื่นเรื่องต่อศาล อย่างไรเสียก็ต้องมีสิทธิ์ในการรับหล่อนไปเลี้ยงดู
แต่นวินดาไม่อยากไปอยู่กับแม่...หล่อนเชื่อว่าแม่ไม่ได้รักหรือหวังดีกับหล่อนจริงๆ อย่างที่พยายามเกลี้ยกล่อม และมารับหล่อนด้วยจุดประสงค์อื่นมากกว่า หล่อนยื่นคำขาดว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีทางย้ายออกไปจากสวนคุณย่า ตอนนั้นสุดารัตน์ถึงได้ยกเอาข้อกฎหมายมาอ้างก่อนจะกลับออกไป ซึ่งหากถูกบังคับจริงๆ นวินดาก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือได้แค่ไหน อย่างไรเสียหล่อนก็ยังเป็นเด็ก การงัดข้อกับผู้ใหญ่คงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้าของหล่อน
ด้วยเหตุนี้...นวินดาถึงได้ต้องการหาผู้ปกครองคนใหม่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ‘สามี’ เพราะถ้าหล่อนแต่งงานมีครอบครัวเสียแล้วก็เท่ากับว่าหล่อนบรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส ถึงตอนนั้นสุดารัตน์ก็จะไม่มีสิทธิ์ใช้อำนาจปกครองอีก
“ว่าแต่...” เด็กชายบื้อมีสีหน้าครุ่นคิด “ต่อให้ลุงหมียอมแต่งงานจริงๆ แม่ของพี่ผึ้งจะยอมเหรอ”
“พี่มีวิธีทำให้คุณสุดารัตน์ยอม เหลือก็แต่ลุงหมีนี่แหละ” นวินดาถอนหายใจเล็กๆ เดินไปเดินมาอยู่ในศาลาท่าน้ำอย่างคิดไม่ตก “ทำไงดีนะ”
“เอ...” สมุนน้อยของหล่อนยกมือขึ้นถูคางเบาๆ “งั้นถ้าลุงหมีไม่ยอม พี่ผึ้งลองถามลุงหมึกดีไหม”
คำแนะนำนั้นทำเอาสาวรุ่นพี่ชะงัก ประกายตาไหววูบยามนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของเขตชล ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายแท้ๆ ของเขตพนา และยังคงสถานภาพโสดมาจนอายุสามสิบกว่าเช่นกัน
“ไม่เอา!”
“ทำไมล่ะ” บื้อย้อนถามทันควัน “ลุงหมึกใจดี ไม่ดุเหมือนลุงหมีด้วย บื้อว่าถ้าพี่ผึ้งบอกลุงหมึกตรงๆ เรื่องคุณสุดารัตน์ ลุงหมึกอาจจะยอมช่วยก็ได้”
ยอมรับว่าที่เด็กชายพูดก็มีเหตุผล แต่ไหนแต่ไรเขตชลใจดีกับหล่อนมากกว่า หรือว่าง่ายๆ ก็คือเขาเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับใครๆ ได้ง่าย แต่แค่ลองคิดว่าจะไปขอเขตชลแต่งงานเหมือนอย่างที่เพิ่งขอเขตพนาเมื่อครู่ นวินดากลับกระอักกระอ่วนใจ และมั่นใจว่าคงทำอย่างนั้นไม่ได้แน่นอน
“ที่จริงบื้อก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ทำไมพี่ผึ้งถึงเลือกลุงหมี หรือว่าจริงๆ แล้วพี่ผึ้งแอบชอบ...”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยบื้อ!” นวินดารีบถลึงตาดุ สวนทางกับแก้มใสที่กำลังเริ่มเห่อแดงเล็กน้อย “อย่าพูดอะไรเพ้อเจ้อออกมาเชียว ที่พี่เลือกลุงหมีก็เพราะว่าพี่หมึกมีแฟนอยู่แล้วต่างหาก บื้อไม่เห็นเหรอ...ก่อนหน้านี้พี่หมึกมีข่าวคบอยู่กับดารา แล้วผู้หญิงบ้านๆ อย่างพี่จะเอาอะไรไปสู้กับดาราได้”
ที่จริงนวินดาไม่แน่ใจหรอกว่าเขตชลเป็นแฟนกับดาราจริงหรือเปล่า แต่หล่อนเคยเห็นข่าวซุบซิบตามคอลัมน์ในเฟซบุ๊กบ่อยๆ ว่าทั้งสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าดาราสาวจะให้สัมภาษณ์ว่าเป็น ‘กัลยาณมิตร’ ก็ตาม
“แต่บื้อเคยถามลุงหมึก ลุงหมึกบอกว่าพี่เชรีเป็นแค่เพื่อนนี่นา”
“แหม...ทำอย่างกับไม่เคยอ่านข่าวดารานะไอ้บื้อ” นวินดาปักใจเชื่อไปเกินครึ่งแล้ว “เห็นบอกอย่างนี้กี่คู่ๆ สุดท้ายก็เปิดตัวเป็นแฟนกันทุกที เผลอๆ ประกาศมาอีกทีอาจเป็นข่าวแต่งงานสายฟ้าแลบเลยก็ได้”
“ก็จริงแฮะ” สมุนน้อยเริ่มคล้อยตามคำพูดของลูกพี่สาววัยกระเตาะ “แล้วแบบนี้พี่ผึ้งจะทำไง ลุงหมึกมีแฟนแล้ว ส่วนลุงหมีก็ดันเล่นตัว”
“ที่จริงมันก็พอมีหนทางอยู่ แต่มันไม่ใช่วิธีของนางเอกนี่สิ”
เด็กชายขมวดคิ้ว ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อหาคำตอบให้ตัวเองได้
“หา! พี่ผึ้งจะปล้ำลุงหมีทำผัว?”
“เฮ้ย!” นวินดารีบยื่นมือไปปิดปากอีกฝ่าย กวาดดวงตากลมโตมองไปรอบๆ เพราะอดกลัวไม่ได้ว่าจะมีคนงานผ่านมาได้ยินเข้า “พูดบ้าอะไรของแก เดี๋ยวใครได้ยินเข้าก็เข้าใจผิดกันหมด”
นวินดาเอ็ด ยอมรับว่าหล่อนต้องการแต่งงานเป็นภรรยาของเขตพนา แต่ก็ใช่ว่าหล่อนต้องการปล้ำเขาจริงๆ เสียหน่อย สาวน้อยตั้งใจเอาไว้แล้วด้วยซ้ำว่าหากดอกเตอร์หนุ่มยอมหลวมตัวจดทะเบียนสมรสด้วยจริงๆ ค่อยหาทางบ่ายเบี่ยงเรื่องบนเตียงทีหลัง
“อื้อออ” บื้อประท้วง พยายามแกะมือลูกพี่สาววัยกระเตาะที่ปิดแน่นมาถึงจมูกจนเขาแทบหายใจไม่ออก “พี่ผึ้งจะฆาตกรรมบื้อหรือไง”
“ก็ใครใช้ให้พูดจาซี้ซั้วล่ะ พี่เคยปล้ำใครที่ไหนกัน”
“ก็พี่ผึ้งพูดเองว่าไม่ใช่วิธีของนางเอก บื้อเห็นพวกนางร้ายในละครเวลาอยากได้พระเอกจนตัวสั่นก็ใช้วิธีวางยานอนหลับแล้วจับปล้ำทำผัวทั้งนั้น” เด็กชายโต้ตอบซื่อๆ ยังคงไม่คิดว่าตัวเองพูดผิดด้วยซ้ำ
นวินดาไหวไหล่เล็กน้อย
“นั่นมันวิธีของนางร้ายยุคดึกดำบรรพ์”
“จะบอกว่าตัวเองเป็นนางร้ายยุคสี่จีว่างั้น?”
“ร้ายอะไรเล่า พี่เป็นคนใสๆ” นวินดายิ้มหวาน แต่แววตากลับเจ้าเล่ห์เสียจนเด็กชายที่วิ่งตามก้นหล่อนมาตั้งแต่เล็กๆ อดขนลุกซู่ไม่ได้ สมุนน้อยถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ลงถ้าลูกพี่ของเขาพูดว่า ‘ใสๆ’ ทีไร เหตุการณ์ต่อจากนี้มีแต่จะ ‘ไสยๆ’ สถานเดียว!
ความคิดเห็น |
---|