1

บทที่ 1 คุ้นๆ เหมือนคนเคยรัก



1

คุ้นๆ เหมือนคนเคยรัก

 

“คุณวรุณครับ! คุณวรุณ!” สหรัถทรุดตามลงไปประคองผู้เป็นนาย ด้วยความตกใจและเป็นห่วงที่จู่ๆ วรุณรักษ์ก็ล้มพับลงไปกองอยู่แทบพื้น เสียงห้าวนั้นร้องเรียกผู้เป็นนาย ต้องการคำตอบจากชายหนุ่มที่นอนขดตัวอยู่แทบพื้นด้วยความหวัง ไม่อยากให้เจ้านายของตนเป็นอะไรไป

“วรุณ!” เสียงหวีดร้องนั้นเป็นของพิมพ์ดารา มารดาของวรุณรักษ์ที่วิ่งออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลังได้ยินชื่อของบุตรชายเพียงคนเดียวของตน “วรุณเป็นอะไรลูก”

“วรุณ...วรุณลูก...” อาชวิณก้าวเข้ามาดูอาการบุตรชายของตนตามหลังภรรยา ประคองศีรษะของบุตรชายมาวางบนตักแกร่ง เพียงเห็นหยาดน้ำตาของลูกชายหัวใจของคนเป็นพ่อก็อัดแน่นไปด้วยความเป็นห่วง “วรุณ...เจ็บตรงไหนลูก”

วรุณรักษ์กำหมัดแน่นแล้วทุบไปที่อกของตัวเองแรงๆ ตาของเขาพร่าเลือนเพราะหยาดน้ำตา แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมละสายตาไปจากรูปของหญิงสาวที่แขวนอยู่บนผนัง

คิดถึงเหลือเกิน...คิดถึง...

“คุณวิณพาลูกไปโรงพยาบาลเถอะ” เสียงห้าวของผู้ชายอีกคนแทรกเข้ามา เตือนสติเพื่อนของตนที่ประคองศีรษะของบุตรชายวางบนตัก

‘อัศวิน’ ก้มมองร่างสูงของชายหนุ่มรุ่นลูกด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าอาการของวรุณรักษ์นั้นคงไม่ใช่การเสแสร้งเพราะไม่อยากจะพบกับ ‘ช้องนาง’ ผู้เป็นบุตรสาวของเขา เด็กคนนั้นดูเหมือนกำลังเจ็บปวดอยู่จริงๆ จนเขารู้สึกสงสาร

“รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเป็นอะไรไป” ครอบครัวของวรุณรักษ์เหมือนจะทำอะไรไม่ถูก ขณะที่ ‘เทวี’ ภรรยาของอัศวินร้องแนะ มือบอบบางของเธอแตะอยู่บนท่อนแขนของสามี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาแล้วถอนหายใจแรงๆ อย่างปลงตก เห็นทีลูกสาวของพวกเขาจะไม่มีโชคเรื่องคู่จริงๆ ดูสิ ขนาดผู้ชายมาหาถึงบ้านยังมีเรื่องให้ต้องคลาดกัน

เมื่อเทวีพูดจบ ทั้งอาชวิณและพิมพ์ดาราก็ช่วยกันพาบุตรชายของเขาออกไปจากบ้านของเพื่อน โดยมีสหรัถเป็นคนช่วยอาชวิณประคองวรุณรักษ์ให้ลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยความยากลำบาก เพราะความสูงของวรุณรักษ์เอง แต่ไม่นานพวกเขาก็พาชายหนุ่มไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านนอกได้

วรุณรักษ์ออกแรงยื้อด้วยความพยายามอันไร้ประโยชน์ ไม่ต้องการที่จะออกไปจากบ้านหลังนี้ อย่างน้อยเขาก็อยากแน่ใจเรื่องของผู้หญิงในรูปวาดนั้นเสียก่อน แต่เขากลับขืนแรงของพ่อตัวเองและสหรัถไม่ไหว ชายหนุ่มทำได้เพียงหลับตานิ่งอย่างปลงตก เม้มปากแน่นด้วยความอดสูในโชคชะตาของตนเองที่สุดท้ายแม้ว่าเขาจะตามหาเธอจนเจอ แต่เขากลับไม่มีวาสนาที่จะได้พบ

ช้องนาง...ช้องนางของเขา...

 

“เห็นทีลูกเราคงจะไม่มีเนื้อคู่อย่างที่หมอดูเขาทักจริงๆ นะคะคุณ” เทวีเป็นผู้ทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงท้อแท้ มือที่ประคองท่อนแขนแกร่งของสามีบีบแน่นด้วยความเศร้า ที่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเช่นไรพวกเขาก็ไม่สามารถฝืนโชคชะตาของช้องนางได้

“คุณก็เป็นไปอีกคนหรือนี่ เรื่องไร้สาระทั้งนั้น จะไปเชื่ออะไรพวกหมอดู” อัศวินชักสีหน้าใส่ภรรยา คำนี้เขาได้ยินบุตรสาวคร่ำครวญมาเป็นสิบปีและไม่อยากได้ยินจากภรรยาของตนอีก แค่คนงมงายในบ้านหลังนี้เป็นช้องนางคนเดียวเขาก็เหนื่อยจะเตือนแล้ว ขออย่าให้เทวีเป็นไปตามบุตรสาวอีกคนเลย ไม่อย่างนั้นเขาไม่พ้นต้องหันหน้าเข้าหาวัดอย่างจริงจัง

“ใครมาหรือคะคุณพ่อ เสียงดังเชียว”

เสียงหวานนั้นดังมาจากเชิงบันไดชั้นสอง ซึ่งมีร่างบอบบางของหญิงสาวคนเดียวกับในรูปวาดแขวนผนังยืนอยู่ พร้อมจ้องลงมาที่พ่อแม่ของเธอด้วยสายตามีคำถาม

“เพื่อนพ่อน่ะลูก” อัศวินเป็นคนออกหน้า ไม่ถือว่าเป็นการผิดศีลเพราะอาชวิณนั้นเป็นเพื่อนของเขาจริงๆ “อาวิณไงลูก...ท่านแวะมาทักทาย ท่านเพิ่งซื้อบ้านหลังข้างๆ เรา”

“คุณอาวิณ...สามีคุณอาพิมพ์หรือคะ ทำไมไม่เรียกหนูล่ะคะ เลยไม่ทันลงมาไหว้ท่านเลย”

ช้องนางขมวดคิ้ว เธอพอจะรู้จักอาชวิณและพิมพ์ดาราอยู่บ้าง ด้วยเพื่อนๆ ของคุณพ่อและคุณแม่ของเธอก็ไม่ได้มีมากมายจนจำได้ไม่หมด อันที่จริงอัศวินและเทวีมีเพื่อนที่ไปมาหาสู่กันแทบจะนับคนได้เลยทีเดียว และอาชวิณกับพิมพ์ดาราก็เป็นเพื่อนไม่กี่รายที่ว่า

“เอาไว้ค่อยแวะไปเยี่ยมตอนขึ้นบ้านใหม่ก็ได้ลูก ท่านแวะมาชวนเราไปงานขึ้นบ้านใหม่” เทวีเองก็ไม่ได้โกหกบุตรสาวเช่นเดียวกัน รอยยิ้มงดงามของเธอค่อยๆ ขยายกว้าง เผยให้เห็นความสวยที่ส่งต่อไปให้บุตรสาวเพียงคนเดียวอย่างช้องนาง ที่ได้รับส่วนผสมจากบิดามารดามาอย่างพอเหมาะพอเจาะจนสวยหยดไปทุกส่วน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ไม่มีใครหาข้อด้อยจากดวงหน้าหวานของหญิงสาวได้

“แล้วนี่แต่งตัวสวยจะออกไปไหนจ๊ะ” “อ้อ หนูว่าจะแวะเข้าไปดูร้านสักหน่อยค่ะ” ช้องนางบอกพลางก้าวลงจากชั้นสองมาหยุดตรงหน้าบิดาและมารดาของตน แล้วทำปากยื่นก่อนโอ่ “พอดีว่ามีจะคนเอาของเก่ามาขายให้หนู เลยกะจะแวะเข้าไปเช็กของเองสักหน่อย”

“อ้อ อย่างนั้นหรือจ๊ะ”

“แล้วนี่จะกลับบ้านมาทานข้าวเย็นไหมลูก” อัศวินเอ่ยถามบุตรสาวหลังเห็นว่าภรรยาของตนกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ ทำให้บุตรสาวจับได้เรื่องที่แอบนัดแนะลูกชายของเพื่อนมาดูตัว

“ไม่ค่ะ” ช้องนางสั่นศีรษะ เธอได้นัดกับเพื่อนสนิทอย่าง ‘เกศรา’ เอาไว้หลังจากเสร็จธุระที่ร้าน พลันดวงตากลมโตประหนึ่งกวางที่เป็นที่กล่าวขวัญของหญิงสาวก็เหลือบไปเห็นรูปวาดเหมือนจริงของตัวเองที่แขวนอยู่บนผนังห้องเข้าเสียก่อน ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเมื่อรู้สึกขัดใจกับรูปนี้ขึ้นมาตงิดๆ ทั้งที่มันก็แขวนอยู่ตรงนี้มาหลายปี ไม่รู้ทำไมถึงได้มารู้สึกไม่ชอบเอาตอนนี้

“รูปนี้...คุณพ่อไม่คิดจะเปลี่ยนเอารูปอื่นมาแขวนหรือคะ”

“ทำไมล่ะลูก” คนถามนั้นไม่ใช่อัศวิน แต่เป็นเทวี ผู้ว่าจ้างศิลปินชื่อดังมาวาดรูปนี้เองถึงกับตาโต ด้วยบุตรสาวไม่เคยมีปัญหาเรื่องการที่เธอแขวนรูปนี้เอาไว้กลางห้องรับแขกมาก่อนกระทั่งวันนี้

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพียงแค่...รู้สึกแปลกๆ ที่เวลาใครมาบ้านเราแล้วต้องเห็นหน้าหนูเป็นอย่างแรก” ช้องนางไหวไหล่ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ตนจึงมีปัญหาเรื่องรูปนี้ขึ้นมา

“ใครๆ ก็บอกว่ารูปนี้สวย” เทวีพึมพำเสียงเบา เธอรักรูปนี้มาก มากกว่าที่คนในรูปรักมันเสียอีก ทีแรกเทวีตั้งใจจะแขวนมันเอาไว้ในห้องนอนของเธอ ทว่าสามีกลับทัดทานเอาไว้เสียก่อน อัศวินบอกว่าคงจะแปลกพิลึกหากมีรูปบุตรสาวแขวนเอาไว้ในห้อง ก่อนจะเจรจาให้ปลดรูปแต่งงานของพวกเขาลงแล้วแขวนรูปที่ว่าเอาไว้ในห้องรับแขกแทน เทวีจึงยอมตกลง

“หนูอยากเอาลงหรือลูก”

“เปล่าหรอกค่ะ แค่สงสัยเฉยๆ” ช้องนางเห็นประกายความเศร้าในดวงตามารดา หญิงสาวจึงรีบเอ่ยเอาใจตามด้วยการก้าวเข้าไปหอมพวงแก้มงามของเทวีทั้งซ้ายขวา ส่วนอัศวินนั้นเธอหอมเพียงข้างซ้ายเพราะว่าพ่อไม่น่ารักเท่าแม่ “หนูไปก่อนนะคะ เดี๋ยวรถติดแล้วจะสาย”

“ขับรถระวังๆ นะลูก” คนที่ได้รับหอมเพียงครั้งเดียวจากบุตรสาวนั้นเอ่ยตามแผ่นหลังบอบบางของช้องนาง รู้ว่าช้องนางนั้นขับรถเร็วจนพ่ออย่างเขารู้สึกกังวลทุกครั้งที่รู้ว่าบุตรสาวอยู่หลังพวงมาลัยรถ จะหาคนขับรถให้ ช้องนางก็ไม่เอา บอกว่าไม่ชอบ มีพักหลังที่เจ้าตัวทำงานหนักขึ้นจึงยอมให้คนรถขับรถให้บ้าง แต่หากสบโอกาสเมื่อไรช้องนางก็จะหาเรื่องขับรถเองตลอดอย่างเช่นวันนี้เป็นต้น

“ค่า คุณพ่อ” ช้องนางขานรับคำพูดของบิดาก่อนจะแวะหยิบรองเท้าจากตู้เก็บรองเท้าหน้าประตู เลือกรองเท้าได้แล้วหญิงสาวก็เดินออกมาที่โรงจอดรถ และเห็น ‘ลาภ’ คนสวนที่ทำงานอยู่ที่นี่มานาน กำลังหอบม้วนสายยางที่ใช้รดน้ำต้นไม้ออกมาจากโรงเก็บของด้วยความเซ็ง เพราะเมฆฝนที่ลอยครึ้มกลางท้องฟ้าจู่ๆ ก็หายไป จนเขาต้องละงานที่ทำอยู่มารดน้ำต้นไม้ตามแผนเดิม

“ลุงลาภคะ” ช้องนางป้องปากเรียกคนสวนของตน และเจ้าของชื่อก็ผงกหัวขึ้นมองเจ้านายสาวที่เขาเห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

“อ้าว คุณช้องมีอะไรหรือครับ”

“เมื่อกี้นี้ใครมาหรือคะ หนูได้ยินเสียงโหวกเหวก มีใครเป็นอะไรหรือคะ” ช้องนางมั่นใจว่านอกจากอาชวิณกับภรรยาของเขาแล้วต้องมีแขกคนอื่นอีกแน่ๆ จึงกระซิบถามอีกฝ่ายด้วยเกรงว่าพ่อแม่ของตนจะอยู่แถวนั้นและบังเอิญมาได้ยินเข้า

“อ้อ ลูกชายคุณอาชวิณเป็นลมน่ะครับ” ลาภรายงานเจ้านายสาวที่ไม่ได้ลงมาพบกับอาชวิณและพิมพ์ดารา

“อาวิณมีลูกชายด้วยหรือคะ” ช้องนางขมวดคิ้ว บางอย่างบอกเธอว่าเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่จู่ๆ ลูกชายของอาชวิณจะมาเป็นลมในบ้านของเธอ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง แล้วไหนจะท่าทางแปลกๆ ของพ่อกับแม่เธออีก หรือว่าพวกท่านคิดจะจับเธอคลุมถุงชนกับลูกชายของอาชวิณคนนี้

แต่หมอนั่นเป็นลมเป็นแล้งไปก็ดีแล้ว คนไม่ใช่คู่กันก็อย่างนี้แหละ ทำอย่างไรก็ไม่ได้เป็นคู่กัน...

“ก็เห็นคุณวิณเรียกอย่างนั้นนะครับ” ลาภพึมพำ บุตรชายของอาชวิณคนนี้แม้เขาเห็นหน้าไม่ถนัด ทว่าก็บอกได้ว่าพ่อหนุ่มคนนั้นหล่อมากทีเดียว “ผิวงี้ขาวอย่างกับทานผงซักฟอกมาเลยครับคุณช้อง ท่าจะหล่อไม่หยอก”

“ก็คงไม่ได้หล่ออะไรมากหรอกค่ะ” ช้องนางยิ้มเยาะ มั่นใจว่าหากบุตรชายของอาชวิณคนนั้นหล่อจริง เธอก็ต้องเคยเห็นหน้าค่าตา เพราะบรรดาหนุ่มๆ ในวงสังคมนั้นไม่มีคนไหนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของช้องนาง เพื่อคัดเลือกผู้เข้ารอบที่น่าจะเป็นเนื้อคู่ของเธอ และเธอก็ไม่เคยได้ยินหรือเห็นหน้าบุตรชายของอาชวิณคนนี้เลยสักครั้ง

ก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าหมอนี่ต้องไม่หล่อ และไม่ผ่านมาตรฐานของเธออย่างแรง จึงไม่มีใครพูดชื่อเขาให้เธอได้ยินเลยสักครั้ง แม้แต่พ่อของเธอ

“แล้วเขาเป็นอะไรคะ ถึงได้เป็นลมเป็นแล้งกลางบ้านเรา”

“ก็...ไม่ทราบนะครับคุณช้อง เห็นเข้าบ้านไปเดี๋ยวเดียวเขาก็หามกันออกมา ท่าจะไม่สบายหนัก” ลาภขมวดคิ้ว เขาก็อยู่ด้านนอกเพื่อเก็บของเมื่อเห็นว่ามีเมฆทะมึนลอยเข้ามา กลัวว่าฝนจะตก จึงไม่ยักรู้ว่าบุตรชายของอาชวิณเป็นอะไรไป

“อ้อ งั้นเหรอคะ” ช้องนางพยักหน้าเบาๆ อย่างขอไปที เธอไม่ได้สนใจเรื่องบุตรชายของอาชวิณเท่าไร ก่อนร่างบอบบางจะก้าวตรงไปที่รถของเธอ ระหว่างนั้นลาภก็จัดการต่อสายยางเข้ากับก๊อกน้ำเตรียมรดน้ำต้นไม้ แล้วจู่ๆ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

“อ้อ คุณช้องครับ” เสียงห้าวนั้นหยุดเท้าของช้องนางที่จะก้าวขึ้นรถไว้ได้ทัน หญิงสาวจึงยืนอยู่ระหว่างบานประตูกับตัวรถ

“เห็นเขาเรียกลูกชายคุณอาชวิณว่า...วรุณๆ อะไรสักอย่าง แกน่าจะชื่อวรุณนะครับ”

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นเบื้องหลังของช้องนาง เกิดอัสนีทอดตัวลงมาเป็นสายพร้อมกับประกายที่ทำให้ท้องฟ้าที่ดำทะมึนนั้นสว่างขึ้นในเสี้ยววินาที ก่อนฝนเม็ดหนึ่งจะตกมากระทบที่แก้มนวลของหญิงสาว และตามมาด้วยฝนห่าใหญ่ที่เทรดลงมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท้องฟ้ายังสว่างจ้าไร้วี่แววของเมฆฝน

หยาดพิรุณที่กระหน่ำเทราวกับฟ้ารั่วนั้นเป็นเครื่องมือช่วยซ่อนหยาดน้ำตาของช้องนางจากใครก็ตามที่อยู่บริเวณนั้น น้ำตาที่หลั่งรินโดยที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้สาเหตุว่าเธอร้องไห้ออกมาด้วยเหตุใด

ช้องนางรู้เพียงอย่างเดียวคือ เธอเศร้าเหลือเกิน...เศร้าจนยั้งตัวอยู่บนเท้าตัวเองไม่ไหว

ร่างบอบบางของช้องนางไถลลงตามตัวรถอย่างคนที่ไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับเสียงกรีดร้องแสนทรมานที่บาดลึกไปถึงขั้วหัวใจใครก็ตามที่ได้ยิน

“กรี๊ดดด!”

เกลียดเหลือเกิน...วรุณรักษ์...เกลียดเขาเหลือเกิน...

 

อัศวินวิ่งออกมาจากบ้านหลังจากได้ยินเสียงร้องแสนทรมานที่จะเป็นเสียงใครไม่ได้ นอกจากช้องนาง บุตรสาวที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขา เพียงก้าวพ้นประตูบ้านออกมา หัวใจของอัศวินก็ร่วงไปอยู่แทบเท้าเมื่อเห็นสภาพบุตรสาว

ร่างระหงนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กลางสายฝน ปากก็กรีดร้องไม่หยุดราวกับต้องการระบายความคับแค้นในหัวใจออกมา หวังให้ความเจ็บปวดในหัวใจของเธอทุเลาลง ทว่ามันกลับส่งผลตรงข้าม เสียงร้องนั้นโหยหวนบาดใจคนฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเทวีที่ยืนเอามือปิดปาก มองสามีเข้าไปประคองช้องนางขึ้นมาด้วยความตกใจและหวาดกลัว

“ช้องนาง! ช้องนางเป็นอะไรลูก” อัศวินประคองบุตรสาวขึ้นมากอดแนบอก โดยรอบนั้นมีคนในบ้านวิ่งหน้าตาตั้งออกมาหวังว่าพวกเขาจะสามารถช่วยเจ้านายได้ไม่มากก็น้อย ทว่าไม่มีใครช่วยอะไรช้องนางได้ แม้กระทั่งอัศวินเองก็ยังทำได้เพียงกระชับร่างบุตรสาวขึ้นมาแนบอก ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปเพราะช้องนางไม่ยอมพูด เพียงร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มขาดใจอยู่ในอ้อมอกของพ่อ

ลิ้นของช้องนางแข็งทื่อ เจ็บในอกจนเธอไม่สามารถเปล่งคำพูดใดๆ ออกมาได้ ช้องนางรู้อย่างเดียวคือเธอเจ็บ...เจ็บมาก เจ็บเหมือนใครเอามีดมาเฉือนหัวใจเธอให้ขาดเป็นชิ้นๆ ในอก เจ็บเหมือนจะตายลงไปเสียเดี๋ยวนั้น

“ช้องนางลูก เป็นอะไร บอกพ่อสิลูก”

“มะ...ไม่เอา...” เสียงหวานหลุดออกมาได้เบาแสนเบา ก่อนจะถูกกลบด้วยหยาดฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย เรี่ยวแรงในร่างกายของเธอก็เหมือนจะหายไปดื้อๆ ตอนนี้เพียงการหายใจก็ยังลำบากสำหรับช้องนาง ไม่ต้องพูดถึงการพยายามเค้นคำพูดออกมาเลย

“ใจเย็นๆ ลูก ใจเย็น” อัศวินปลอบบุตรสาวพลางช้อนร่างเล็กของช้องนางขึ้นมาจากพื้น พาเธอไปยังรถคันใหญ่ของครอบครัวที่คนรถสตาร์ตรอท่าอยู่แล้ว โดยมีเทวีที่เพิ่งได้สติวิ่งฝ่าฝนมาตามหลังติดๆ ก่อนจะชิงวิ่งตัดหน้าสามีไปนั่งด้านในของรถแล้วรับร่างของบุตรสาวมาจากอัศวิน

“ช้องลูก ใจเย็นๆ นะจ๊ะ” เทวีปลอบบุตรสาวทั้งที่เสียงของตัวเองก็ยังสั่นเครือ มือบอบบางค่อยๆ ลูบใบหน้าของบุตรสาว ปาดน้ำตาออกจากแก้มนวลด้วยหัวใจหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าช้องนางของเธอเป็นอะไร แต่การเห็นลูกในสภาพนี้แม่ที่ไหนจะทำใจได้

“ชู่...แม่อยู่นี่ลูก ไม่ต้องกลัว”

ช้องนางอยากจะบอกแม่ว่าเธอไม่ได้กลัว ไม่ได้กลัวสักนิดเดียว ทว่าเธอกลับทำได้เพียงร้องไห้สะอึกสะอื้น และอ้าปากเพื่อหายใจเมื่อหายใจทางจมูกได้ไม่สะดวก จากอาการร้องไห้อย่างหนักที่ทำให้พ่อและแม่ของเธอต่างรู้สึกใจหาย และกังวลในคราเดียวกัน

ทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้...ทำไมหัวใจของเธอถึงเจ็บเหมือนใจจะขาดได้ขนาดนี้...ทำไม...

 

สภาพของช้องนางสร้างความกังวลให้พ่อและแม่ของเธออย่างมาก เพราะปกติช้องนางไม่ใช่คนขี้โรค อันที่จริงต้องบอกว่าหญิงสาวแข็งแรงมาก ตั้งแต่เล็กจนโตก็มาโรงพยาบาลนับครั้งได้

ทว่าการที่ช้องนางร้องไห้จวนขาดใจเช่นนี้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของช้องนาง อัศวินและเทวีไม่เคยเห็นบุตรสาวเสียใจปานนี้ พวกเขาจึงทั้งกังวลและแปลกใจระคนกัน

สองสามีภรรยาลอบมองหน้ากันหลังจากส่งช้องนางเข้าห้องฉุกเฉิน ก่อนผู้เป็นสามีจะเอื้อมมือไปกุมมือเล็กของคู่ชีวิตของเขาไว้แน่น เพียงสบตากันอัศวินก็รู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้เทวีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ เขาจึงยื่นมืออีกข้างไปกระชับมือเล็กของภรรยาเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม ตบเบาๆ ที่หลังมือเล็กอย่างให้กำลังใจกันและกัน ก่อนจะคลี่ยิ้มส่งให้ผู้หญิงที่เขารักหมดหัวใจ เมื่อเทวีช้อนดวงตาสั่นระริกขึ้นมองเขา

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ลูกถึงมือหมอแล้ว”

“ช้องนางเป็นอะไรกันแน่คะ” เทวีกระซิบถามสามีของเธอเสียงแผ่ว ก่อนพ้อด้วยความเป็นห่วงตามประสาคนเป็นแม่ “ลูกไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย จู่ๆ ก็ร้องห่มห้องไห้...อย่างกับมีใคร...เป็นอะไรไป”

“อย่าเพิ่งคิดหาโรคให้ลูกเลยคุณ” อัศวินว่าเสียงเข้ม พยายามดึงจิตใจของภรรยาไม่ให้ฟุ้งซ่าน หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันมาอัศวินรู้ว่าความงมงายในตัวของบุตรสาวนั้น ส่วนหนึ่งก็ได้รับมาจากเทวีผู้เป็นมารดานี่แหละ แต่เมื่อแก่ตัวลง เข้าวัดเข้าวามากขึ้น ความงมงายของเทวีจึงค่อยผ่อนลง จากที่เคยหนักจนแทบจะเข้าขั้นบ้าก็ถูกแรงศรัทธาอันแข็งแกร่งของช้องนางทำคะแนนแซงหน้าไป

“แต่ลูกเราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะคะ” เทวียังแย้ง “หรือว่าของจะเข้าตัวลูกเราคะคุณ”

“ให้หมอคนเขาหาโรคให้ก่อนเถอะ เรื่องไปหาหมอผีน่ะเอาไว้ทีหลัง” เสียงที่เข้มอยู่แล้วเข้มขึ้นไปอีกขั้น เมื่อโรคงมงายในตัวของภรรยากลับมากำเริบ

“โถ่ คุณคะ...ก็แค่พูดเท่านั้น ช้องนางไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนนะคะ ไม่ได้จะไปหาคนเจ้าเข้าทรงที่ไหนเสียหน่อย” คนโดนสามีรู้เท่าทันทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยเรื่องหมอผีนั้นหน้างอ ความกังวลก่อนหน้าเริ่มจะทุเลาลงเมื่อเห็นท่าทางมั่นคงของสามี สีหน้าของอัศวินยังคงราบเรียบ ไม่แสดงออกถึงความกังวล เทวีที่ยึดเขาเป็นที่พึ่งจึงเริ่มตั้งหลักได้บ้าง

“ให้มันจริงอย่างที่ว่าก็แล้วกัน” อัศวินปรายตามองภรรยาของตนก่อนจะถอนหายใจอย่างหนัก ด้วยความกังวลห่วงถึงผู้เป็นบุตรสาวเป็นกำลัง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นช้องนางจึงได้มีอาการประหลาดเช่นนี้ หัวอกคนเป็นพ่ออย่างอัศวินจึงได้แต่ภาวนาขอให้ทีมแพทย์วินิจฉัยโรคของช้องนางและหาวิธีรักษาได้ อย่าให้เขาและภรรยาต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย

 

กลิ่นหอมของดอกกุหลาบทวีความหอมหวนเพิ่มขึ้นในเวลากลางคืน อาจจะเป็นเพราะอุณหภูมิในห้องที่ลดต่ำลง หรือเพราะไร้ความหอมจากสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่อย่างน้ำหอม ที่สาวๆ นิยมพรมใส่ร่างกายก่อนออกจากบ้านก็ไม่ทราบ ทำให้ความหอมของดอกไม้ที่ว่านั้นมีกลิ่นโดดเด่นขึ้นมา

ห้องพักฟื้นที่วรุณรักษ์นอนพักรักษาตัวเป็นห้องพักสำหรับคนไข้พิเศษที่มีสตางค์เท่านั้น เพราะค่าใช้จ่ายแต่ละคืนนั้นสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถเข้ามาใช้บริการ

เปลือกตาหนาของวรุณรักษ์ขยับไหว ลูกตาภายใต้นั้นไม่อยู่นิ่ง แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ลืมตาตื่นขึ้นมา คล้ายกับว่าเขายังอยู่ในความฝันที่เจ้าตัวยากจะหนีออกมาให้พ้น

วรุณรักษ์ได้ยินเสียงห้าวของคนที่หัวใจสลายนั่นอีกแล้ว คราวนี้เขาได้ยินมันชัด ชัดจนเหมือนกับว่ามันหลุดออกมาจากริมฝีปากของเขาเองทุกถ้อยทุกคำ

ไม่...เขาไม่อยากเป็นคนคนนั้น...ไม่นะ...

‘หากอ้ายอี...คนใด...มันรักน้องได้ไม่เกินพี่...ก็อย่าให้มันผู้ใด...ได้เข้าใกล้ตัว...ใกล้ใจน้องเลย...’

สิ้นความคิดนั้นร่างสูงของวรุณรักษ์ก็ผวาขึ้นจากเตียงนอน มองซ้ายมองขวาก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด เมื่อหันมองรอบตัวก็รู้ว่าตอนนี้ตนไม่ได้นอนอยู่บนเตียงภายในห้องนอนของตัวเอง แต่เป็นเตียงของโรงพยาบาลที่พ่อและแม่ของเขาพามาส่งเมื่อกลางวัน ก่อนจะหลับไปหลังได้รับคำยืนยันจากอาหมอว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแต่ร้องไห้หนักจนอ่อนเพลียก็เท่านั้น

พอมาถึงตรงนี้วรุณรักษ์ก็พ่นลมหายใจออกทางปากแรงๆ ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงตามเดิม ดวงตาจ้องเพดานที่ว่างเปล่าด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง นึกถึงดวงหน้าของหญิงสาวในรูปวาดที่เขาพบก่อนจะร้องไห้เป็นเด็กๆ แล้ว ริมฝีปากของวรุณรักษ์ก็เม้มเข้าหากันแน่นจนเป็นเส้นตรง

เขารู้ได้โดยทันทีที่สบตากับผู้หญิงในรูป...เขารู้ว่าคนนี้แหละ ใช่คนนี้แน่ๆ ที่เขารอมาตลอด

ช้องนางของเขา

เพียงคิดถึงหญิงสาว หยาดน้ำตาก็รื้นขึ้นมาคลอหน่วยอีกครั้งก่อนจะหลั่งรินลงเป็นทาง หยดเป็นวงบนปลอกหมอน ความคิดถึงที่ไร้ที่มาที่ไปทำให้หัวใจของวรุณรักษ์ปวดหนึบ ไม่เคยรู้ว่าการคิดถึงใครสักคนมันต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้

แต่เขาไม่โกรธเลย...ไม่เคยโกรธหรือเกลียดความเจ็บปวดที่ว่านี้เลย ยินดีที่จะโอบกอดมันไว้ด้วยซ้ำหากนั่นหมายถึงการที่เขายังจดจำช้องนางได้อยู่

แต่ว่ามันต้องเจ็บปวดขนาดนี้เลยหรือ...วรุณรักษ์ไม่เข้าใจ

จากที่นอนหงายร่างของวรุณรักษ์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นนอนตะแคง ก่อนจะขดงอ ยกเข่าขึ้นมาแนบอกเหมือนเด็กทารก เมื่ออาการสะอื้นของเขาหนักขึ้น หากมองด้วยตาเปล่าอาจจะดูเหมือนภาพวรุณรักษ์นอนอยู่ในห้องเพียงลำพัง ทว่าความจริงแล้วยังมีอีกภาพที่ซ้อนทับอยู่

ร่างสูงของบุรุษอีกผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างเตียงหลังใหญ่เหมือนเช่นทุกครั้งที่วรุณรักษ์หลับใหล นิ้วมือที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อเอื้อมมาแตะกลางหน้าผากกว้างของชายหนุ่ม ที่ครั้งหนึ่งเคยมีตำแหน่งสูงส่งยิ่งกว่าเขา...ยิ่งกว่าใครๆ ...

“วรุณรักษ์เอ๋ย...ช่างน่าเวทนา...ไยน่าเวทนาเพียงนี้...”

 

ในห้องพักข้างๆ ห้องวรุณรักษ์นั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ทั้งที่ส่งกลิ่นหอมและไม่ส่งกลิ่นหอม ซึ่งล้วนเป็นของเยี่ยมที่เพื่อนๆ และคนรู้จักของช้องนางส่งมาที่โรงพยาบาล หลังรู้ข่าวว่าหญิงสาวล้มป่วยอย่างกะทันหัน และเพราะนิสัยเป็นกันเองของเจ้าตัวที่ทำให้มีคนรักมากเป็นพิเศษ ดอกไม้และของเยี่ยมที่ส่งมาจึงเยอะมากเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน

ความน่ารักของช้องนางนั้นเป็นที่รู้กันไปทั่ววงสังคม แต่จะบอกว่าเพราะการวางตัวของหญิงสาวหรือก็ไม่น่าใช่เท่าไร ในเมื่อหลายครั้งต่อหลายครั้งพวกผู้ใหญ่ต่างแสดงออกว่าเอ็นดูหญิงสาวเกินสมควร จนอัศวินผู้เป็นบิดายังเคยออกปากว่าช้องนางนั้นมี ณ หน้าทองมาจากท้องแม่ ไม่ต้องไปเที่ยวตระเวนไหว้พระขอพระที่ไหนผู้ใหญ่ก็เมตตาเอ็นดู อีกทั้งกิจการค้าขายที่ผู้เป็นยายส่งต่อมาให้หลานสาว โดยไม่รอให้คุณเทวีได้รับช่วงต่อนั้นก็ไปได้สวย

จนตอนนี้ทั้งอัศวินและเทวีจึงเป็นคนที่ให้ช้องนางดูแล ซึ่งบุตรสาวเพียงคนเดียวของบ้านก็ดูจะไม่มีปัญหา เพราะช้องนางโอนเงินเข้าบัญชีให้เขาและภรรยาตรงเวลาทุกเดือนไม่มีผัดผ่อน จนทั้งคู่เริ่มเกรงใจ กลัวว่าการรับเงินส่วนนี้มาจะทำให้บุตรสาวลำบาก พออัศวินเอ่ยถามด้วยความกังวลช้องนางก็เพียงหัวเราะเบาๆ ก่อนยิ้มแฉ่งพร้อมเอ่ยคำพูดที่ช้องนางคนเดียวเท่านั้นที่จะพูดได้ด้วยน้ำเสียงสดใส

‘ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ หนูรวย’

กลิ่นหอมของดอกไม้ตีกันจนอัศวินเริ่มรู้สึกเอียน มันหอมจนหวานชวนคลื่นเหียน เหมือนใครยกสวนดอกไม้หลายๆ สวนมาอัดรวมกันที่ห้องนี้ห้องเดียวอย่างไรอย่างนั้น แต่พอมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของช้องนางที่ร้องไห้จนหมดแรงก่อนจะหลับไปแล้วอัศวินก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจ คิดว่าหากบุตรสาวตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นว่ามีคนเป็นห่วงเยอะขนาดไหน คงจะทำให้ช้องนางรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

ผลการตรวจของหมอที่ออกมานั้นต่างสรุปว่า สาเหตุที่ช้องนางร้องไห้หนักจนเป็นลมล้มพับไปมาจากความเครียดสะสม ซึ่งขนาดอัศวินเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไรนัก ด้วยรู้จักนิสัยของบุตรสาวตัวเองดีว่าช้องนางไม่ใช่คนที่ชอบเครียดหรือเก็บอะไรมาคิดเล็กคิดน้อย เว้นแต่เรื่องเนื้อคู่เท่านั้นที่ลูกสาวของเขายังไม่ปล่อยวาง

เหตุผลที่ตระเวนไหว้พระและเทพเจ้าทั่วโลกก็มีอยู่แค่เรื่องเดียวนี่ละ ไม่รู้เมื่อไหร่จะยอมรับความจริงแล้วเลิกงมงายเสียที ไอ้เนื้อคู่นี่ไม่ต้องมีก็ไม่เป็นไร ตัดสินใจเลือกใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิตและค่อยๆ ประคับประคองกันไป สำหรับอัศวินแล้วง่ายกว่าการขอเนื้อ

คู่จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นไหนๆ แต่ก็คงจะพูดอะไรมากไม่ค่อยได้ เพราะที่เทวียอมตกลงแต่งงานกับเขาก็เพราะพระเกจิท่านหนึ่งบอกว่าเขาเป็นเนื้อคู่ของเธอ ไม่อย่างนั้นหรือ...อย่าหวังเลยว่าคนธรรมดาๆ อย่างเขาจะได้เป็นลูกเขยผู้ดีเก่าอย่างครอบครัวของเทวีเลย ทั้งยังได้รับความเมตตาจากคุณพ่อคุณแม่ของภรรยา จนอัศวินรู้สึกวางตัวไม่ถูกเพราะพวกท่านรักและเอ็นดูเขาเหมือนลูกชายจริงๆ ตั้งแต่วันแรกที่เทวีพาเขาไปทานข้าวเพื่อทำความรู้จักกัน

“คุณแม่บอกว่าจะมาตอนไหนคะคุณพ่อ...” เสียงหวานของคนไข้ที่คล้ายกลับว่าจะกลับมาเป็นปกติแล้วนั้นเอ่ยถามบิดา อัศวินผงกหัวขึ้นมองบุตรสาวของตนก่อนคลี่ยิ้มเอ็นดูระหว่างลุกขึ้น แล้วเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนข้างเตียง

“จะสายแล้วนะคะ ยังไม่กลับมาอีกหรือ ไม่ห่วงหนูบ้างหรือยังไง ลูกป่วยทั้งคนนะคะ”

“อะไรกันฟื้นมาก็ร้องหาแม่แล้ว ตกลงว่าเราอายุสามสิบห้าหรือห้าขวบกันแน่ หืม...” แม้จะเอ่ยถามเช่นนั้นแต่แววตาของอัศวินกลับมีเพียงความอ่อนโยนและเอื้อเอ็นดูยามมองบุตรสาว “พ่อนอนเฝ้าทั้งคืนยังจะหาว่าไม่มีใครห่วงอีก”

“แหม...คุณพ่อละก็อย่าเพิ่งน้อยใจหนูสิคะ หนูยังไม่ได้พูดว่าคุณพ่อไม่ห่วงหนูเลยนะ” มือเล็กของคนไม่มีใครห่วงเอื้อมมาเกาะท่อนแขนของบิดาแล้วประจบเสียงหวานหยด

“พ่อกับแม่ก็คนเดียวกัน หนูว่าแม่ก็เท่ากับว่าพ่อด้วยนะรู้ไหม ประเดี๋ยวพ่อจะฟ้องแม่” อัศวินยิ้มเย้าบุตรสาวที่หน้าง้ำลงทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา

“เบื่อคนมีความรัก” ช้องนางย่นจมูก แสร้งทำท่ารังเกียจความหวานของพ่อที่แม้ว่าจะแต่งงานอยู่กินกันมานาน ทั้งคู่ก็ยังแสดงความรักแก่กันอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนช้องนางที่เห็นความหวานของสามีภรรยาคู่นี้มาจนชินเริ่มอิจฉาเหมือนสมัยตนเป็นวัยรุ่น จนตอนนี้ในวัยสามสิบห้ากะรัตคงต้องใช้คำว่า โหยหาและอยากได้ความรักแบบที่พ่อแม่แม่มีให้แก่กัน แม้ว่าสิ่งที่หวังเริ่มจะริบหรี่เพราะตัวเลขสามสิบห้าที่ว่า แต่ช้องนางก็ยังไม่คิดที่จะถอดใจยอมแพ้

เธอเชื่อว่าเพียงมีศรัทราแล้วไซร้ สิ่งที่ปรารถนาก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เนื้อคู่ก็เนื้อคู่เถอะ เธอลงทุนลงแรงไปขนาดนี้แล้วไม่เจอก็ให้มันรู้กันไปสิ!

“อิจฉาก็หาแฟนสักคนสิ” อัศวินแนะ แต่คนโดนแนะกลับกลอกตาหนักใส่ประชดบิดาเสียอย่างนั้น จนผู้เป็นพ่อได้แต่นิ่วหน้ามองกิริยากวนประสาทของบุตรสาวด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถามในที่สุด “ทำอย่างนั้นหมายความว่ายังไงน่ะเรา”

“โถ่ คุณพ่อขา ถ้าแฟนมันหาง่ายขนาดนั้นหนูคงไม่อยู่เป็นนกแก้วในกรงทองฝังเพชรให้คุณพ่อเลี้ยงมาจนปูนนี้หรอกค่ะ จะรีบรักรีบแต่ง มีหลานให้พ่อเลี้ยงตั้งแต่ยี่สิบห้าด้วยซ้ำ” ช้องนางบ่นอุบตามประสาคนไร้แฟนมาสามสิบห้าปีเต็ม

“ให้หาแฟนสักคน ไม่ใช่รอเนื้อคู่ไร้สาระของเรานะ” อัศวินเหล่มอง ก่อนถอนหายใจเสียงดังเมื่อช้องนางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่เขา พร้อมกับทำหูทวนลมจึงย้ำอย่างอดไม่ได้ “พ่อพูดจริงๆ นะลูก ลองให้โอกาสคนดีๆ สักคนไหม”

“ถ้าไม่ใช่เนื้อคู่ก็ต้องเลิกกันอยู่ดีนะคะคุณพ่อ” คนที่มีความเชื่อเกินพิกัดจีบปากจีบคอว่า กระพือขนตาใส่บิดาแล้วเอ่ยเสียงหวานเจี๊ยบ “แต่ถ้ารอหน่อย เจอคนที่ใช่ก็แต่งงานแล้วได้อยู่กันไปยาวๆ เลย”

“แล้วถ้าไม่เจอล่ะ”

“เอ๊ะ มันต้องเจอสิคะคุณพ่อ” คนที่ไปเจอหมอดูมาแทบจะทุกสำนักในประเทศไทยนั้นชักสีหน้าใส่บิดา ท่านกล้าดีอย่างไรมาพูดคำต้องห้าม หาว่าเธอจะไม่เจอเนื้อคู่ “ยังไงก็ต้องเจอ ต่อให้เขาจะหนีหนูไปอีกสักอีกภพกี่ชาติ หนูก็จะตามเขามารับผิดชอบ โทษฐานที่ทำให้หนูโสดมาตั้งสามสิบห้าปี! ยังไงหนูก็ต้องเจอเขาค่ะ!”

ด้านคนฟังที่รอเจอเนื้อคู่ของบุตรสาวมาหลายปีได้แต่ทอดสายตาอ่อนอกอ่อนใจมองช้องนาง ก่อนจะถอนหายใจเสียงดังด้วยความระอา อยากให้ช้องนางปลง อยากให้ช้องนางปล่อยวางเรื่องเนื้อคู่เจ้าปัญหานี้เสียที ลูกสาวของเขาคนนี้อัศวินมั่นใจว่าดีพร้อมทุกอย่าง เว้นแต่เรื่องงมงายเรื่องเดียวนี่แหละ ที่ใครๆ ก็พูดกันปากต่อปากจนผู้หลักผู้ใหญ่ของหนุ่มๆ ในวงสังคมออกอาการขยาด ไม่อยากดองกับตระกูลเทวารักษ์ของเขา

เหลือแต่บ้านพรหมวากร ที่ยังไม่ทันได้เห็นหน้าค่าตากัน ฝ่ายชายก็ชิงเป็นลมกลางบ้านของเขาเสียก่อนเลยคลาดกัน น่ากลัวว่าจะไม่ได้เป็นคู่กันอย่างที่บุตรสาวของเขาว่าจริงๆ

“พ่อว่าของแบบนี้มันจะมาก็มาเองแหละลูก”

“คุณพ่อขา...” ช้องนางลากเสียงยาว แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายกับคำพูดนี้เต็มกลืน นี่ท่านไม่รู้หรือว่าที่เธอโดนทิ้งให้โหนคานทองอยู่อย่างโดดเดี่ยวจนกระทั่งตอนนี้ ก็เพราะไอ้คำพูดที่ท่านว่ามาเมื่อกี้นี่แหละ

“หนูไม่เชื่อคำนั้นแล้วค่ะ หนูร้อ...รอ แล้วก็รอ จนป่านนี้ยังไม่มีผู้ชายคนไหนหลุดมาถึงมือเลยค่ะ มีแต่ยายเกดที่ได้”

พูดชื่อเพื่อนสนิทแสนสวยและเซ็กซี่ซึ่งกำลังมีหนุ่มตาน้ำข้าวมาติดพัน และทิ้งให้เธอกินข้าวคนเดียวมาหลายมื้อแล้ว ช้องนางก็ค้อนลมค้อนแล้งไปตามประสา ทั้งโกรธทั้งแค้นเพื่อนสนิท ทั้งๆ ที่บอกว่าจะครองตัวโสดเป็นเพื่อนเธอไปจนตาย แต่ผ่านมาเพียงไม่กี่ปีก็ทำท่าจะผิดคำพูดเสียแล้ว ไม่ยุติธรรมเลย!

“ก็เห็นเขาไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่นี่ กับพ่อลูกติดคนนั้นน่ะ” อัศวินออกความเห็น เขาเห็นเกศรามาตั้งแต่หญิงสาวยังสวมชุดนักเรียนติดโบ จนป่านนี้กลายเป็นผู้บริหารไฟแรงแถมเสน่ห์แรงกว่าความสามารถเป็นไหนๆ จึงไม่แปลกที่จะมีหนุ่มๆ มาล้อมหน้าล้อมหลังเพื่อขายขนมจีบ ผิดกับช้องนางที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ไม่มีหนุ่มไหนเฉียดเข้าใกล้

“หน้าตาก็งั้นๆ แหละค่ะคุณพ่อ ถ้ารวยกว่ายายเกดมากกว่านี้สักหน่อยก็จะดีมาก แถมยังมีลูกติดอีกด้วยนะคะ” ผู้ที่ไม่ค่อยชอบหน้า ‘หนุ่ม’ ของเพื่อนสนิทนั้นชักสีหน้า เพราะริษยาความหวานเกินเบอร์ แสดงออกแบบไม่แคร์สื่อของคู่นี้อย่างแรง“ก็หนูเกดเขาทำงานเก่ง อีกอย่างสมัยนี้เขาไม่ถือกันหรอกหากผู้ชายจะรวยไม่เท่า ถึงจะมีลูกติดเขาก็คงไม่ติกันแล้ว” พ่อของช้องนางขมวดคิ้วใส่คนที่แสดงสีหน้าดูหมิ่นฐานะคนรักของเพื่อนสนิท ซึ่งก็ไม่น่าจะด้อยกว่าฝ่ายหญิงเท่าไร แต่เขาจะแย้งอะไรช้องนางได้ เพราะในห้องนี้มีช้องนางคนเดียวที่เคยเจอคนรักของเกศรา

“เพื่อนหนูโสดๆ สดๆ อยู่นะคะคุณพ่อ” ช้องนางค้อนลมค้อนแล้งไปตามประสาอีกครา เรื่องคุณสมบัติของคนรักเพื่อนสนิทนั้น หากจะมีสิ่งใดที่ช้องนางเห็นว่าไม่เหมาะสมกับเกศราก็น่าจะเป็นข้อที่ชายหนุ่มนั้นมีลูกติดนี่แหละ แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่มีปัญหากับเรื่องนี้ เพราะเกศราไม่เคยแม้แต่จะปริปากบ่น แถมรักลูกของฝ่ายชายออกหน้าออกตา ขยันอาสาเป็นพี่เลี้ยงจนไม่มีเวลาไปตระเวนไหว้พระกับเธอเหมือนเมื่อก่อน มันน่าน้อยใจไหมละ!

“เจ้าตัวเขาไม่เห็นเดือดร้อน พ่อเห็นมีแต่เรานี่แหละที่ตาขวาง ไม่ชอบแฟนหนูเกด” อัศวินออกความเห็นแล้วถอนหายใจ ดูเอาเถิด อยากเจอเนื้อคู่แต่ขยันติคนโน้นคนนี้ไม่หยุด แล้วผู้ชายแบบไหนที่จะผ่านมาตรฐานอันสูงลิ่วของช้องนางจนเข้าประตูวิวาห์ได้

“คุณพ่อละก็...”

“แล้วนี่อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมลูก เดี๋ยวพ่อจะบอกแม่เขาให้” อัศวินแทรกถามโดยไม่รอให้ช้องนางได้ลากเสียงยาวไปกว่านั้น รู้ว่าบุตรสาวคงไม่มีอะไรจะแก้ตัวให้ความช่างติซึ่งเป็นอีกนิสัยที่เลื่องชื่อของเจ้าตัว

“หนูต้องนอนโรงพยาบาลหลายคืนเลยหรือคะ” ช้องนางถามเสียงแผ่ว เบื่อที่จะนั่งๆ นอนๆ อยู่นี่ เพียงคืนเดียวเธอก็อึดอัดจะแย่แล้ว “หมอเขาไม่ได้จะให้หนูกลับบ้านพรุ่งนี้หรือคะ แต่หนูไม่ได้เป็นอะไรแล้วนะคะ”

“หมอเขาขอให้อยู่ก่อนก็อยู่เถอะลูก รีบกลับบ้านไปแล้วเกิดล้มเจ็บลงมาอีก มันจะยิ่งแย่รู้ไหม” คราวนี้น้ำเสียงทุ้มลึกของอัศวินเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงและประนีประนอม

“แต่หนูไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ นะคะ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ดวงตากลมของช้องนางกลับไหววูบด้วยความรู้สึกประหลาดที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ จู่ๆ อาการเจ็บปวดของเธอก็หายพร้อมกับหยาดน้ำตา ทั้งที่ตอนแรกแม้เธอจะพยายามหยุดร้องไห้เพียงไรก็ทำไม่ได้ แต่อยู่ๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็หยุดไหลลงเสียดื้อๆ พร้อมกับรู้สึกชาหนึบใต้ทรวงอก ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกดทับความเจ็บปวดมหาศาลที่ว่าเอาไว้

“อยู่โรงพยาบาลสักสองสามวันเถอะ ให้หมอเขาตรวจให้แน่ใจก่อนว่าหนูไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แล้วพ่อจะไม่ขัด” อัศวินสรุป โดยไม่ให้โอกาสบุตรสาวได้ต่อรอง

“ก็ได้ค่ะ” ช้องนางพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเอนกายลงไปนอนพร้อมคิดในใจเงียบๆ ว่า หลังจากออกโรงพยาบาลแล้วเธอคงต้องตระเวนทำบุญล้างซวยชุดใหญ่ จะได้ไม่ต้องพบต้องเจอกับตัวซวยที่ชื่อวรุณรักษ์อีก

ต้องทำบุญหนักๆ เขาจะได้หายออกไปจากชีวิตของเธอตลอดกาล!

 

เพราะอาการป่วยอย่างกะทันหันของช้องนาง ตารางนัดหมายลูกค้าของหญิงสาวจึงต้องถูกเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด หรืออย่างน้อยก็ต้องอีกสองสามวันกว่าหมอจะอนุญาตให้เธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ จึงจะจัดตารางการนัดหมายใหม่อีกครั้งได้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการคุยโทรศัพท์ของช้องนางในวันนี้

คนป่วยที่ดูเหมือนไม่ใช่คนป่วยนั้นกำลังสั่งคนของเธอให้เตรียมจัดข้าวของสำหรับทำบุญล้างซวยชุดใหญ่ เอาชนิดที่เทวีผู้มาผลัดเวรกับสามีเหลือบตาขึ้นมองขณะที่นั่งปอกผลไม้อยู่ ก่อนจะอดใจไม่ไหวเมื่อได้ยินแผนการตระเวนไหว้พระของช้องนาง

“เก้าวัดก็พอไหมลูก”

“ไม่พอค่ะคุณแม่” ช้องนางตัดสายแล้วจึงยกมือ เชิงปรามมารดาไม่ให้เอ่ยขัดเธอ เรื่องอะไรเธอก็ยอมลงให้แม่ได้ แต่เรื่องนี้ยอมไม่ได้จริงๆ เธอจะต้องทำให้ผู้ชายคนนั้นกระเด็นออกไปจากชีวิตเธอให้ได้ อย่างไรเธอก็จะไม่ยอมพบหน้าคนอย่างเขาไปชั่วชีวิต!

เกลียดเขา...เกลียดชายที่ชื่อวรุณรักษ์ ทั้งที่ยังไม่เคยแม้แต่เจอหน้า!

ช้องนางไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เธอชิงชังชายที่เธอไม่เคยเจอหน้าได้ถึงเพียงนี้ แต่เธอก็ไม่คิดที่จะฝืนความรู้สึกของตัวเองเธอเกลียดเขามาก เพียงได้ยินชื่อของเขาใจเธอก็จะขาดเสียให้ได้แล้ว อย่าให้เธอต้องทนเจอหน้าเขาเลย เธอต้องใจขาดตายไปจริงๆ แน่

“แต่แม่ว่า...”

“เรื่องนี้มันต้องมีสาเหตุค่ะ หนูเชื่อ หนูมั่นใจ” มั่นใจว่าที่เธอต้องเข้าโรงพยาบาลคราวนี้เป็นเพราะชายที่ชื่อวรุณรักษ์คนนั้น! “แค่เก้าวัดเอาไม่อยู่หรอกค่ะ ต้องสิบเอ็ดวัด ไหว้สามวันติดกันไปเล้ย!”

ว่าแล้วช้องนางก็สบตากับมารดาของตนด้วยสายตามุ่งมั่นจนเทวีต้องส่ายหน้าเบาๆ อย่างจนใจ ก่อนจะคิดกับตัวเองอย่างปลงๆ

‘เอาเถอะ อย่างน้อยก็ไปทำบุญไหว้พระ ไม่ได้ไปดูดวงไร้สาระ’

“ไปเที่ยวตระเวนแบบนั้นจะไม่ป่วยเอาอีกหรือลูก” ร่างสูงของผู้ชายเพียงคนเดียวในบ้านเทวารักษ์ลอยมาก่อนตัว จากนั้นไม่กี่อึดใจร่างสูงของเขาก็เดินพ้นประตูห้องพักของช้องนางมา ในบรรดาสองสาวที่อยู่ในห้องนั้น คนที่ดูจะยินดีกับการมาของอัศวินเห็นจะเป็นเทวี ผู้เป็นภรรยาของเขาที่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสวยแทบจะครบทุกซี่

ด้านคนมาใหม่เองก็ดูจะดีใจที่เห็นภรรยามากกว่าเช่นกัน เพราะอัศวินก้าวไปหอมแก้มภรรยาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็วางอาหารคนป่วยลงบนโต๊ะกลมตรงหน้า ข้างจานผลไม้ที่ปอกเปลือกเสร็จแล้วด้วยฝีมือเทวี

“ทำไมมาเร็วล่ะคะคุณ”

“ที่ร้านไม่มีอะไรมาก แค่แวะไปดูเฉยๆ” ร้านที่ว่าก็คือร้านขายเพชรของช้องนาง อันที่จริงแทบจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปดู ด้วยผู้จัดการร้านแต่ละสาขานั้นต่างเป็นคนของคุณเยาวภา คุณยายของช้องนาง แต่พอเห็นบุตรสาวล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน คนที่อยู่ในฐานะพ่ออย่างอัศวินจึงต้องลงไปช่วยกวดขัน แต่เพราะหน้าตาที่เข้มจัดอย่างชายไทยแท้ ลูกน้องของช้องนางจึงเกรงเขามากเป็นพิเศษ

“แวะซื้อขนมมาให้ลูกด้วย”

“ขนมโค...ลูกไม่ได้ชอบนี่คะ” แม้ปากจะเอ่ยท้วง แต่ประกายในแววตาของเทวีกลับเปี่ยมไปด้วยความขัดเขิน ก็ขนมโคกะทินั้นเป็นของโปรดของเธอ

“อ้าว...ผมจำผิดหรือนี่” คนที่ไม่ได้จำผิดจริงนั้นยิ้มกริ่มเย้าภรรยา ขณะที่หมาหัวเน่าอย่างช้องนางได้แต่ดีดดิ้นอยู่บนเตียงเพราะความริษยา พ่อกับแม่ก็หวานกันให้เธออิจฉาทุกวี่ทุกวันอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้เธอเร่งมือรีบตามหาเนื้อคู่ได้อย่างไร!

“แล้วนั่นลูกเป็นอะไรช้อง ดิ้นเสียขนาดนั้นเดียวก็เข็มน้ำเกลือทิ่มเอาหรอกลูก”

“อิจฉาๆ” บุตรสาวที่ลืมตัวว่าเธอถือศีลห้าอย่างเคร่งครัดนั้นมองพ่อกับแม่ของเธอตาขวาง “ทำไมพ่อแม่ถึงได้รักกันขนาดนี้ ไม่เห็นใจคนโสดอย่างหนูบ้างหรือยังไงคะ”

“ลูกจ๋า...อย่าอิจฉาเราสองคนเลย หนูไม่สบายอยู่นะจ๊ะ” เทวีทอดสายตามองดวงหน้างามที่ถอดแบบมาจากเธอ แล้วเรียกช้องนางด้วยน้ำเสียงเอ็นดูปนสงสาร เรื่องความโสดของช้องนางนั้นเธอรู้และเป็นกังวลมาตลอด จนพักหลังชักนึกปลงว่าบุตรสาวคงไม่มีใครมาเป็นเพื่อนคู่คิดแล้ว เหลือแต่เจ้าตัวนั่นแหละที่ยังมีความหวังอยู่

“คุณแม่มีคุณพ่อ คุณแม่ก็พูดได้สิคะ”

“แต่หนูก็มีทั้งพ่อทั้งแม่นะจ๊ะ” เทวีเอาใจคนป่วย ยิ้มหวานขณะลุกขึ้นถือจานผลไม้มาส่งให้ช้องนาง ก่อนจะอุทานเบาๆ เมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ้อ...ลูกชายคุณอาชวิณก็อยู่โรงพยาบาลนี้ใช่ไหมคะคุณ หรือว่ากลับบ้านไปแล้ว”

“ยังอยู่...”

มืองามที่กำลังเอื้อมหยิบสาลี่จากมารดาชะงักค้างกลางอากาศ พลันดวงหน้าหวานของช้องนางก็ตึงสนิท ไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่พ่อแม่ของหญิงสาวกลับไม่ทันสังเกต

“ผมว่าก่อนเรากลับบ้านจะชวนคุณแวะไปเยี่ยมเขาอยู่...” อัศวินยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เอาสิคะ” เทวีเห็นดีเห็นงามด้วย อย่างไรเสียพ่อหนุ่มคนนั้นก็เป็นลูกชายของเพื่อนสามี อยู่โรงพยาบาลเดียวกันแท้ๆ หากไม่แวะไปเยี่ยมคงจะน่าเกลียดแย่ คิดพลางส่งสาลี่เข้าปากช้องนางก่อนจะหันมาคุยกับบุตรสาวต่อ “ลูกชายของอาพิมพ์อย่างไรล่ะช้องนาง ที่เขาเป็นลมในบ้านเราวันนั้นน่ะ”

“อ้อ...” ช้องนางพยักหน้ารับรู้เบาๆ อ้าปากรับสาลี่จากมือมารดามาแล้วเคี้ยวจับๆ เบือนหน้าหนีไม่สนใจเรื่องของชายที่วรุณรักษ์อีก แม้ว่าพ่อกับแม่ของเธอจะยังพูดเรื่องของเขาต่อไปไม่หยุดก็ตาม

“จบมาจากเวลส์ น่าจะอายุมากกว่าหนูไม่กี่ปี” เทวีเกริ่น เริ่มเดินหมากเกมจับคู่ช้องนางกับลูกชายของเพื่อนอีกครั้ง ขณะที่ผู้เป็นสามีนั่งหน้าขรึม ส่วนคนที่อยากมีแฟนมาตลอดนั้นมีสีหน้าว่างเปล่า

ไม่ได้สนใจเรื่องของผู้ชายที่ชื่อวรุณรักษ์อะไรนี่เลยสักนิด ไม่เห็นจะอยากรู้

“เกือบห้าปี” เสียงเข้มของอัศวินแทรกขึ้น แสดงออกนิดๆ ตามประสาผู้เป็นพ่อที่หวงบุตรสาว วรุณรักษ์เป็นลูกชายของเพื่อนเขาก็จริงอยู่ แต่เนื้อแท้ของชายหนุ่มจะเป็นคนดีอย่างอาชวิณผู้เป็นบิดาไหมนั้นใครเล่าจะกล้ารับรอง

“แก่จัง” พอสบช่อง ช้องนางก็ไม่ลังเลที่จะย่นจมูก เอ่ยปากติบุตรชายของเพื่อนพ่อ

“แก่อะไรกันลูก...” เทวีเป็นฝ่ายนิ่วหน้าบ้าง วรุณรักษ์กับช้องนางอายุห่างกันเพียงสี่ปีเท่านั้น ถ้าเทียบกับเธอและอัศวินผู้เป็นสามีที่มีช่องห่างระหว่างวัยถึงเก้าปีก็นับว่าน้อยกว่ามาก “วรุณรักษ์น่ะยังไม่แก่เลยสักนิด นี่หากเขาไม่เป็นลมไปก่อนหนูคงได้เจอ แล้วก็คงไม่พูดให้ร้ายพี่เขาอย่างนี้”

“พี่เหรอคะ...”

‘อี๋...’ คำหลังนั้นช้องนางยั้งปากตัวเองไว้ได้ทัน เธอจึงเพียงเอ่ยในใจ แต่กระนั้นสีหน้าเธอก็คงแสดงความรู้สึกออกไปไม่น้อย ไม่อย่างนั้นมารดาคงไม่ถลึงตาดุใส่เธออย่างนี้หรอก ช้องนางจึงต้องรีบแก้ตัวด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มอย่างมีพิรุธ

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณแม่ คือหนูแค่คิดว่ายังไม่เจอกัน ไม่เห็นจะต้องรีบนับญาติกันก็ได้”

หรือต่อให้เจอกันแล้วก็ใช่ว่าเธอจะอยากนับญาติกับคนพรรค์นั้นเสียหน่อย เชอะ รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะ

“วรุณเขาเป็นคนดีนะจ๊ะ”

เพียงเท่านั้นพ่อลูกเทวารักษ์ก็พร้อมใจกันกลอกตามองเพดานห้อง ไม่ต้องบอกแล้วกระมังว่าขวัญใจคนใหม่ของคุณเทวีเป็นใคร ก็จะเป็นใครได้อีกเล่านอกจากชายที่ชื่อวรุณรักษ์คนนั้นน่ะ

“ตอนนี้เขาดูแลโรงงานอยู่คนเดียวเลยนะ คุณพิมพ์เขาก็เล่าว่าทำตัวคนเดียวมาตั้งแต่เรียนจบ เขาย้ายไปเรียนอังกฤษตั้งแต่จบ ม.ปลาย หนูเลยไม่ทันได้เจอ” ผู้เป็นแม่เว้นวรรคไปพอเพื่อสบตากับช้องนางก่อนจะโฆษณาสรรพคุณของวรุณรักษ์ต่อ ทำตัวสมกับเป็นแม่สื่อคุณภาพอย่างไร้ที่ติ “พอพี่เขากลับมาหนูก็ไปเรียน ป.โท ที่อังกฤษ คลาดกันนิดเดียว”

“หรือคะ...” ช้องนางรับคำด้วยกลัวมารดาที่เอ่ยเล่าเรื่องวรุณรักษ์เป็นวรรคเป็นเวรนั้นเสียน้ำใจ ก่อนแสร้งยิ้มกว้าง อัศวินที่เห็นว่าท่าจะไม่ดีจึงเอ่ยแทรกขึ้นมาหวังคลี่คลายสถานการณ์ มองออกว่าบุตรของเขาคงไม่ชอบใจเรื่องลูกชายของอาชวิณคนนี้เท่าไรนัก

“มาทานขนมเถอะคุณ...” อัศวินเรียกภรรยา ตบเบาะข้างตัวเบาๆ เพื่อเรียกความสนใจของภรรยา “ให้ลูกพัก จะได้หายเร็วๆ”

เทวีมีความลังเลในแววตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินไปหาสามีอย่างจำนน บอกตัวเองว่าต่อให้เธอพล่ามเรื่องวรุณรักษ์ต่อไป อย่างไรเสียช้องนางคงจะไม่เปิดใจให้ชายหนุ่มง่ายๆ หรอก ดูจากสีหน้าบึ้งตึงของบุตรสาวตอนนี้เทวีก็รู้คำตอบ แต่กระนั้นใช่ว่าจะยอมแพ้เลยเสียทีเดียว

“แต่แม่รับรองเลยนะลูกว่าวรุณรักษ์ลูกอาพิมพ์คนนี้เขาเป็นคนดี”

ช้องนางหลับตาลงอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ ครู่หนึ่งหญิงสาวจึงหันมาฉีกยิ้มเย็นๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าบอกชัดถึงความหงุดหงิดที่ได้ยินชื่อ ‘วรุณรักษ์’ หลายครั้งต่อหลายครั้ง ได้ยินบ่อยจนเธอเริ่มจะหมดความอดทน

“คุณแม่อย่าพูดชื่อนี้ให้หนูได้ยินอีกได้ไหมคะ ได้ยินทีไรอยากกลั้นใจตายทุกที”

“ช้องนาง!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น