บทนำ
สายฝนเทลงมาจนผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจของมันรู้สึกแสบผิวและต้องหาที่หลบหยาดฝนเม็ดโต เป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับคนเมืองกรุง เว้นแต่ร่างสูงที่ยืนมองภาพความวุ่นวายเบื้องล่างด้วยนัยน์ตาโศกอาจจะเพราะความรู้สึกผิดหรือเพราะสายตาของเขาเป็นแบบนั้นอยู่แล้วก็ไม่มีใครบอกชัดได้ สิ่งเดียวที่คนที่ทำงานใกล้ชิดกับเขาคนนั้นบอกได้ก็คือ...
ไม่มีวันไหนที่ ‘วรุณรักษ์’ ปรากฏตัวแล้วฝนไม่ตก ไม่มีเลยสักวันที่ชายหนุ่มเข้ามาดูงานที่บริษัทแล้วท้องฟ้าจะสดใส
เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่แรกๆ ก็ฟังดูเป็นเรื่องพิเศษ แต่นานเข้ากลับกลายเป็นเรื่องน่าขนลุกที่คนในบริษัทของชายหนุ่มเล่าลือกันไปต่างๆ นานา แต่ถึงอย่างนั้นวรุณรักษ์ก็ยังเข้ามาที่บริษัทตามหน้าที่
เรื่องที่คนอื่นพูดถึงเขานั้นไม่ใช่เรื่องที่วรุณรักษ์ใส่ใจ เขาไม่เคยสนใจว่าใครจะพูดถึงเขาอย่างไร หรือจะมองเขาแบบไหน ในชีวิตของชายหนุ่มมีเพียงอย่างเดียวที่สำคัญต่อเขาคือ เสียงที่แทรกเข้ามาในความฝัน ก่อนเขาจะลืมตาตื่นในทุกๆ เช้า
‘หากอ้ายอี...คนใด...มันรักน้องได้ไม่เกินพี่...ก็อย่าให้มันผู้ใด...ได้เข้าใกล้ตัว...ใกล้ใจน้องเลย...’
เสียงห้าวที่เขาได้ยินนั้นสั่นเครือ แต่กลับมุ่งร้ายจนสัมผัสได้ มันบอกชัดว่าความเจ็บปวดที่คนพูดกำลังเผชิญอยู่สาหัสมาก เพราะเสียงที่สั่นเครือจนแทบจะเปล่งคำพูดออกมาได้ไม่ชัดนั้นยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของวรุณรักษ์ และมันคงจะไม่มีทางจางหายไปจากหัวเขาได้ในเมื่อเขาได้ยินมันทุกเช้า
นอกจากหยาดฝน ก็มีเสียงจากความฝันนี่แหละที่อยู่กับวรุณรักษ์ตลอดระยะเวลาสามสิบเก้าปี
มันทิ้งเขาไว้กับคำถามว่าใครเป็นเจ้าของคำสาปแช่งชวนขนลุกนั่นกัน และชายผู้นั้นสาปแช่งใครด้วยความมุ่งร้ายอย่างรุนแรงจนเขาสัมผัสมันได้ วรุณรักษ์อยากรู้ว่าใครหนอคือผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น...และคนคนนั้นทำอะไรให้จึงต้องถูกสาปแช่งด้วยถ้อยคำรุนแรงแบบนี้
“คุณวรุณครับ...”
“ว่ายังไง”
วรุณรักษ์ขานโดยไม่ละสายตาจากปากกาในมือไปมองว่าใครเป็นเจ้าของน้ำเสียงเกรงใจเบื้องหลัง ด้วยมั่นใจนิดๆ ว่าคนคนนั้นคงไม่พ้นเป็นมือขวาของเขา ‘สหรัถ’ ผู้ซึ่งเขาวางใจให้จัดการทุกอย่างช่วงที่เขาไม่ได้เข้ามาที่บริษัท ก่อนจะกระตุ้นเมื่อสหรัถยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที หลังจากที่เรียกเขาได้อึดใจหนึ่ง “ไหนบอกว่าเอกสารหมดแล้วไง”
“คุณท่านโทร. มาครับ บอกให้คุณวรุณเข้าไปที่บ้านใหญ่ก่อนกลับ”
มือขวาของวรุณรักษ์ก้มหน้างุด เมื่อผู้เป็นนายค่อยๆ ปรายตามองเขา สหรัถไม่เคยกล้าสู้สายตาวรุณรักษ์เลยสักครั้ง แม้ว่าจะร่วมงานกับชายหนุ่มมานานหลายปี แต่บางอย่างในตัวของวรุณรักษ์ที่เรียกว่าบารมีนั้นทำให้เขาไม่ใคร่สบายเนื้อสบายตัวเท่าไรยามที่อยู่ใกล้ผู้เป็นนาย และปกติสหรัถก็ไม่ต้องลำบากใจนัก ด้วยวรุณรักษ์แทบจะไม่เข้าออฟฟิศ มีเพียงตอนแวะไปดูโรงงานบ้างเป็นบางครั้ง หรือตอนที่เขาเอาเอกสารด่วนเข้าไปให้วรุณรักษ์เซ็น จึงจะมีโอกาสได้พบหน้าผู้เป็นนาย
“เรื่องอะไรอีกล่ะคราวนี้” วรุณรักษ์ถอนหายใจอย่างแรง ก่อนเบือนหน้ากลับไปมองฝนห่าใหญ่ตรงหน้าพร้อมหมุนปากกาในมือไปด้วย ชายหนุ่มชอบเวลาฝนตกมากเป็นพิเศษโดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะชินกับมันแล้วก็ได้ ทุกครั้งที่เขาเยี่ยมหน้าออกมาจากบ้านย่อมไม่พ้นฝนตก เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ที่วรุณรักษ์จำความได้
“ผมว่าคุณท่านคงมีธุระด่วนน่ะครับ” สหรัถออกความเห็น
ปกติแล้วบิดามารดาของวรุณรักษ์ไม่ค่อยมาวุ่นวายกับชายหนุ่ม ตั้งแต่วรุณรักษ์เรียนจบและเริ่มลงทุนเปิดบริษัทก่อนประสบความสำเร็จอย่างสูงจนน่าตกใจในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเทียบกับการลงทุนของ ‘อาชวิณ’ ผู้เป็นบิดา อาชวิณก็พลอยเกรงใจบุตรชาย ไม่กล้าออกคำสั่งกับวรุณรักษ์อีกต่อไปในตอนที่ชายหนุ่มบอกว่าจะย้ายออกมาอยู่ข้างนอกทันทีที่เรียนจบ แม้เขาจะค้านในใจ ภรรยาของอาชวิณอย่าง ‘พิมพ์ดารา’ ก็ออกปากขอร้องให้สามีปรามบุตรชายเรื่องนี้ แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องยอมแพ้และเคารพการตัดสินใจของวรุณรักษ์
เป็นเช่นนั้นมาตลอดจนกระทั่งวันนี้ วันที่วัยของวรุณรักษ์ล่วงเลยมาจนจะเหยียบเลขสี่ ทั้งคู่จึงร้อนใจเพราะอยากอุ้มหลาน ทว่าบุตรชายก็ยังไม่มีวี่แววจะพาสาวที่ไหนมาให้เห็นหน้าค่าตา
อาชวิณและพิมพ์ดาราต่างหวั่นใจว่า การที่บุตรชายไม่พาสาวๆ มาให้พวกเขาเห็นเลยสักครั้งเป็นเพราะว่าวรุณรักษ์ชอบพอกับผู้ชายด้วยกันมากกว่า คนหัวโบราณอย่างทั้งคู่จึงยิ่งออกอาการร้อนรน เป็นเดือดเป็นร้อนจนต้องพยายามงัดวรุณรักษ์ออกมาจากบ้าน แล้วหาโอกาสพาบุตรชายไปพบปะกับลูกสาวของเพื่อนๆ ในวงสังคมบ้างเผื่อว่าเขาจะถูกตาต้องใจใครสักคนเข้า โดยเฉพาะพิมพ์ดาราที่ขยันสอดส่องหาสาวๆ ที่เหมาะสมกับบุตรชายมาให้วรุณรักษ์ดูตัวไม่หยุดหย่อน แต่ทุกครั้งก็ลงท้ายด้วยการโดนบุตรชายเพียงคนเดียวเคือง โทษฐานที่จุ้นจ้านหาคู่ให้เขาโดยไม่ปรึกษาเขาก่อนสักคำ ทว่าทั้งคู่ก็ยังไม่ย่อท้อ ด้วยยังมีความหวังที่จะได้อุ้มหลานอยู่
“เข้าข้างกันจริงนะ ตกลงว่าแกทำงานให้ใครกันแน่รัถ” วรุณรักษ์มองหน้าเลขาฯ ของตนทางหางตาแวบหนึ่ง แล้วเบือนหน้ากลับไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม ก่อนเสียงห้าวจะพึมพำถ้อยคำที่ทำให้สหรัถถึงกับต้องเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจออกมา
“ฝนตกอีกแล้ว...”
“ก็...ตกทุกวันนะครับ”
“นั่นสิ...เมื่อไหร่จะเลิกตกก็ไม่รู้” วรุณรักษ์แทบจะไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์เลย ทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ฝนก็จะเทลงมา เขาชอบฝนก็จริง แต่ชายหนุ่มอดรู้สึกน้อยใจโชคชะตาของตัวเองไม่ได้ ขนาดดวงตะวันเขายังไม่มีสิทธิ์ได้เห็นเลย
“ตกลงว่าคุณวรุณจะให้ผมเรียนคุณท่านว่ายังไงครับ” สหรัถทวงคำตอบ ด้วยรู้ว่าฝ่ายนั้นก็ยังรอคำตอบจากวรุณรักษ์อยู่อย่างร้อนใจแน่
“บอกท่านว่าฉันจะเข้าไปหาเอง” วรุณรักษ์ตัดสินใจ คิดเสียว่าแวะไปให้พ่อแม่เห็นหน้าในรอบสามเดือนก็แล้วกัน หากท่านดื้อดึงที่จะจับคู่ให้เขากับลูกสาวของเพื่อนๆ อยู่อีก ครั้งนี้คงต้องพูดกันให้เข้าใจว่าเขายังไม่คิดเรื่องแต่งงาน และยังไม่ได้สนใจลูกสาวของเพื่อนท่านคนไหนทั้งนั้น
“ดีเลยครับ” สหรัถยิ้มออก ยินดีกับบิดามารดาของวรุณรักษ์ ที่ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมตกปากรับคำที่จะเข้าไปพบ “ผมจะเตรียมรถให้...”
“เสร็จงานงวดนี้ฉันไม่เข้าบริษัทอีกแล้วนะ” วรุณรักษ์งึมงำ ทำให้เลขาฯ ของเขาหุบยิ้มโดยพลัน เหลือเพียงสีหน้าเซียวๆ อย่างไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเจ้านาย กระทั่งชายหนุ่มอธิบายต่อด้วยเสียงราบเรียบ “มีอะไรก็แวะเข้าไปหาฉันในบ้าน”
“แล้วที่โรงงานล่ะครับ”
“ฉันจะแวะเข้าไป ถ้าจำเป็น” โรงงานผลิตน้ำดื่มของวรุณรักษ์อยู่ชานเมือง ชายหนุ่มจึงไม่มีปัญหาในการแวะเข้าไป แต่ออฟฟิศที่อยู่กลางกรุงนั้นต้องขอบายจริงๆ เพราะว่ารถติดเหลือทน “หรือว่ามีอะไรจำเป็นให้ฉันต้องเข้ามาบ่อยๆ หรือเปล่า”
“ไม่มีครับ” สหรัถส่ายหน้ารัวพลางบอก นึกว่าเป็นโชคดีของตนที่สมัยนี้ติดต่อกันทางไกลได้ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปไกล ไม่อย่างนั้นการจำศีลของวรุณรักษ์คงสร้างปัญหาให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว “เพียงแต่สงสัยเท่านั้นเลยถามเผื่อเอาไว้”
“งั้นก็ตามนั้นแหละ...”
“อย่างนั้นผมไปเตรียมรถเลยนะครับ?” สหรัถเอ่ยเชิงขออนุญาต รอกระทั่งผู้เป็นนายพยักหน้ารับน้อยๆ อย่างเสียไม่ได้ ชายหนุ่มจึงกล้าขยับตัวก้าวออกไปสั่งให้คนขับรถของวรุณรักษ์เตรียมรถออกมาไว้รอท่าเจ้านายหนุ่ม
เพียงพ้นหลังเลขาฯ ใบหน้าคมคร้ามของวรุณรักษ์ก็กลับกลายมาเป็นเรียบสนิทอีกครั้ง ดวงตาคมก็มองเหม่อออกไปยังที่ไกลแสนไกล ที่ซึ่งตัววรุณรักษ์เองก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด สิ่งเดียวที่เขารู้สึกตอนนี้คือเขาโศกเศร้าเพราะความคิดถึง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศตอนฝนตกหรือเป็นเพราะความรู้สึกที่แท้จริงของเขาที่เศร้าตลอดมา
วรุณรักษ์รู้จักเพียงความเศร้าและความคิดถึงที่มากมายจนหัวใจของเขาปวดร้าว ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปชายหนุ่มก็บอกตัวเองให้รู้สึกชินกับมันไม่ได้ ในอกโหวงเหวงเหมือนหัวใจของเขาขาดเสี้ยวหนึ่งไป ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจเติมเต็มความรู้สึกว่างเปล่าที่ว่านั่นได้
“คุณวรุณครับ รถพร้อมแล้วครับ”
“อ้อ กำลังจะออกไป” วรุณรักษ์เอี้ยวหน้ากลับไปมองร่างสูงของมือขวาของตนที่เปิดประตูห้องทำงานรอท่าเขาอยู่แล้ว “แน่ใจนะว่างานเสร็จหมดแล้ว”
“เรียบร้อยแล้วครับ” สหรัถยิ้มก่อนรายงาน กระทั่งวรุณรักษ์เดินมาหยุดตรงหน้าของตนจึงฉีกยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม หวังว่าจะลดโทษให้ตัวเองได้บ้าง เท่านั้นดวงตาของวรุณรักษ์ก็หรี่แคบลงอย่างจับผิด สังเกตได้ทันทีว่ามือขวาของตนหมกเม็ดบางอย่างจากเขา
“มีอะไร”
เสียงเข้มนั้นเข้มจัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ จนสหรัถเหงื่อตก ไม่คิดว่าวรุณรักษ์จะไหวตัวได้เร็วถึงเพียงนี้ แต่ที่เขาทำไปก็เพราะรักและหวังดีต่อเจ้านายหนุ่มของตนทั้งนั้นนะ...สหรัถปลอบใจตัวเอง
“คือว่า...คุณท่านให้คุณวรุณไปหาท่านที่บ้านใหม่ครับ” เลขาฯ หนุ่มตอบเสียงเบา ไม่พูดหมดเสียทีเดียวก่อนจะยอมจำนนเมื่อเห็นแววตาคมกริบของเจ้านาย จึงต้องสารภาพด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มอย่างกลัวความผิด “เพื่อนของท่านจะมาทานข้าวด้วย”
“บ้านหลังใหม่?” คิ้วเข้มของวรุณรักษ์กระตุกถี่ๆ อย่างที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องดี “พวกท่านซื้อบ้านหลังใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“เอ่อ...ก็ประมาณสองอาทิตย์ก่อนครับ เห็นว่าอยู่ใกล้เพื่อนสนิทของคุณผู้ชายที่ชื่ออัศวิน” เลขาฯ ผู้รู้ความเป็นไปในบ้านของวรุณรักษ์ยิ่งกว่าเจ้าตัวนั้นรายงาน รอยยิ้มบนหน้าที่ว่าแห้งแล้วแห้งลงไปอีกเมื่อเห็นแววตาคุกรุ่นของวรุณรักษ์
“อัศวิน...” วรุณรักษ์ทวนชื่อของเพื่อนบิดา มั่นใจว่าเขาไม่เคยพบชายที่ชื่ออัศวินที่ว่านี้มาก่อน จึงไม่แน่ใจนักว่าเขาเป็นเพื่อนกับบิดาของตนจริงหรือเพิ่งมาสนิทสนมกัน “คุณอัศวินคนนี้เขามีลูกสาวใช่ไหม”
“คุณวรุณรู้ด้วยหรือครับ!” หนอนบ่อนไส้ที่โดนจับได้คาหนังคาเขาตาโต อุทานเสียงหลงด้วยความรู้สึกผิด
คนถามได้แต่กลอกตา เบื่อที่สุดท้ายแล้วตนก็ไม่พ้นโดนพ่อแม่จับคลุมถุงชนทั้งที่เขาอายุจะสี่สิบวันนี้มะรืนนี้อยู่แล้ว!
“ก็ถ้าตามตัวกันให้วุ่นอย่างนี้ก็มีอยู่เรื่องเดียวไม่ใช่หรือไง” วรุณรักษ์ว่าเสียงเบื่อ ขณะที่คนฟังทำได้แต่ยิ้มเจื่อน เดินตามหลังผู้เป็นนายต้อยๆ
“พวกท่านทำก็เพราะหวังดีกับคุณวรุณทั้งนั้นนะครับ” ประโยคนี้รวมถึงตัวผู้พูดเองด้วย ฝ่ายวรุณรักษ์ฟังแล้วก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจด้วยความปลง
“หวังดีประสงค์ร้ายล่ะสิไม่ว่า” เขาพูดก่อนจะเสียบปากกาลงช่องกระเป๋าเล็กๆ บนอกเสื้อตัวนอก โดยไม่ทันสังเกตว่าปากกาด้ามนั้นไหลลงมาตามความลื่นของปกเสื้อ แล้วหายวับไปก่อนที่มันจะกระแทกพื้น
พ่อแม่ของวรุณรักษ์เลือกซื้อบ้านในหมู่บ้านที่เป็นหนึ่งในโครงการของบริษัทชื่อดัง ซึ่งครั้งหนึ่งวรุณรักษ์ก็เคยเกือบจะตัดสินใจซื้อ แต่แล้วชายหนุ่มก็เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายพ่อและแม่ของเขากลับมาซื้อบ้านในโครงการนี้เอาไว้เสียเอง
โลกกลมเสียมิมี...
“ตกลงว่าพ่อแม่จะจับคู่ให้ฉันกับลูกสาวเพื่อนเขาใช่ไหม” เสียงห้าวเอ่ยทำลายความเงียบหลังจากที่รถคันใหญ่ของเขาเคลื่อนพ้นประตูหมู่บ้านมา
“คุณวรุณครับ ผมรับรองเลยครับว่าคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น” สหรัถทำหน้าที่กองเชียร์ดีเด่นทั้งๆ ที่ตนเองก็ยังไม่เคยเจอหญิงสาวปริศนารายนี้เลยสักครั้ง รู้เพียงว่ารายนี้ไม่เหมือนผู้หญิงคนก่อนๆ ที่วรุณรักษ์โดนหลอกให้ไปดูตัว “ทำงานเก่ง แถมยังสวยมาก ตางี้โตอย่างกับกวาง”
“ขนาดนั้นเลย?” วรุณรักษ์เห็นประกายในดวงตาคมของมือขวา เกือบจะหลุดปากยกลูกสาวเพื่อนพ่อรายนี้ให้แก่สหรัถแล้ว ทว่าบางสิ่งบางอย่างก็หยุดเขาไว้เสียก่อน “รอดู อยากรู้ว่าสมราคาคุยจริงไหม”
“คุณวรุณต้องเปิดใจนะครับ ต้องให้โอกาส”
“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไร” ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ เหลียวมองออกไปนอกหน้าต่างรถก่อนคิ้วหนาจะขมวดเข้าหากันด้วยความฉงนใจเกินบรรยาย เมื่อนอกหน้าต่างนั้นไม่ได้มีหยาดฝนเหมือนทุกครั้ง แต่เป็นแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ที่บ่งบอกถึงไอแดดอันร้อนระอุ ชายหนุ่มกะพริบตาอีกครั้งเผื่อว่าดวงตาของเขาจะฝ้าฟางไป เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งชายหนุ่มก็มั่นใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด
ฝนหยุดตกแล้วจริงๆ
แต่แล้วระหว่างที่วรุณรักษ์แปลกใจอยู่นั้นรถคันใหญ่ของเขาก็หยุดนิ่ง ก่อนสหรัถจะขยับตัวเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไปรอท่า เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่หมู่เมฆเปิดโล่งพร้อมไอแดดร้อนระอุ ก่อนประกาศด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างแปลกใจระคนยินดี
“ฝนหยุดตกแล้วครับคุณวรุณ”
“รู้แล้ว” วรุณรักษ์แม้จะแปลกใจแต่ก็ยังเก็บอาการได้ รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาแปลกใจกับเรื่องที่ฝนหยุดตก เพราะตอนนี้มีเรื่องคอขาดบาดตายที่รอเขาอยู่ นั่นก็คือ การคลุมถุงชนของพ่อแม่ และผู้หญิงที่พวกท่านคิดว่าคู่ควรจะมาเป็นภรรยาของเขา
“จะเข้าไปได้หรือยัง”
“เชิญครับๆ” สหรัถตีตัวเองในใจก่อนจะรีบพาผู้เป็นนายเข้าไปในบ้าน...ของคนอื่น
เพียงทั้งคู่ก้าวเท้าพ้นธรณีประตูไป วรุณรักษ์ก็รู้ตัวได้ทันทีว่าเขาโดนลูกน้องของตนหลอก ตาคมกริบตวัดมองหน้าของสหรัถทันควัน เมื่อทั้งเครื่องเรือน ของใช้กระจุกกระจิก และกรอบรูปที่แขวนอยู่บนผนังในบ้านหลังนี้ไม่น่าจะเป็นของที่อยู่ในบ้านที่พ่อกับแม่เขาเพิ่งตัดสินใจซื้อได้ มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของคนอื่น ซึ่งในกรณีนี้น่าจะเป็นบ้านของเพื่อนพ่อและแม่ของเขานั่นแหละ มันใหญ่โตและตกแต่งอย่างสมฐานะ
ทว่านั่นไม่สำคัญเลยสักนิดเดียว เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับวรุณรักษ์ในเวลานี้ก็คือรูปวาดขนาดเท่าคนจริงตรงหน้าของเขาต่างหาก
เพียงเงยหน้ามองรูปที่แขวนอยู่ในห้องรับแขกนั้นเต็มตา ร่างสูงของวรุณรักษ์ก็ทรุดลงไปกองแทบพื้น ความเศร้าบุกฝ่ากำแพงหัวใจเข้ามาและหวดใส่อย่างรุนแรงจนเขาทั้งเสียใจ รู้สึกผิด และหวาดกลัวผสมปนเปกัน กระทั่งมันทำให้ร่างสูงของชายหนุ่มขดงอด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลนองหน้า ชายหนุ่มร้องไห้อย่างน่าเวทนาเป็นครั้งแรกในชีวิต
เขารู้จักผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่สวมชุดไทยในรูปวาดนั้น...เขารู้จักเธอ
‘หากอ้ายอี...คนใด...มันรักน้องได้ไม่เกินพี่...ก็อย่าให้มันผู้ใด...ได้เข้าใกล้ตัว...ใกล้ใจน้องเลย...’
เธอคือคนโชคร้ายคนนั้น เธอคือคนโดนเสียงมุ่งร้ายด้วยความแค้นในฝันของเขาสาปแช่ง
ช้องนาง...เขารู้จักเธอ...
ความคิดเห็น |
---|