3

พยาบาลจอมปลอม

พยาบาลจอมปลอม

 

เวลาสิบเอ็ดนาฬิกาห้าสิบนาที ปราณกันต์เดินเข้ามาในวอร์ด ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ต้องขึ้นตรวจบนวอร์ดแต่เขามาเพราะอยากดูอาการของเจ้าตัวเล็กนุ่มนิ่มที่ชื่อแก้วกัลยา เจ้าของใบหน้าที่ไม่ได้เข้าข้างตนเองแต่เหมือนเขาราวกับแกะ มันเหมือนมากจริงๆ เหมือนจนเขาสลัดความคิดว่าใช่ออกไปไม่ได้เลย

“ขอชาร์ตคนไข้ห้องหกห้าหนึ่งสองหน่อยครับ” 

ปราณกันต์เดินมาเท้าแขนบนเคาน์เตอร์ประจำวอร์ด

“อาจารย์กันมาได้ยังไงคะนี่ ไม่ไปกินข้าวกลางวันเหรอคะ” 

หัวหน้าวอร์ดคนไข้ในเด็กรีบลุกขึ้นตอบรับการมาของแพทย์หนุ่ม

“จะไปอยู่ครับพี่หลินแต่แวะเข้ามาดูอาการคนไข้ที่เพิ่งรับเข้ามาหน่อย ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้างครับ”

“หมายถึงน้องเจ้ายาน่ะเหรอคะ อาการดีขึ้นมานิดนึงแล้วค่ะ ไข้ลดลงไปบ้างแล้ว” 

“เจ้ายา...”

“อาจารย์หมายถึงห้องหกห้าหนึ่งสองหรือเปล่าคะ” เห็นนายแพทย์หนุ่มทวนซ้ำหลินถึงต้องถามย้ำให้แน่ใจ

“ครับ เด็กหญิงแก้วกัลยา กิตติศักดิ์กุล”

“น้องมีชื่อเล่นว่าเจ้ายาค่ะ คุณแม่น้องบอกว่าคุณตาชอบเรียกเจ้านำหน้าเลยทำให้ทุกคนติดปากกันไปหมด แต่ก็แปลกนะคะอาจารย์...หน้าตากลับไม่เหมือนคุณแม่สักเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงสวยหยาดฟ้ามาดิน”

“นี่พี่หลินกำลังจะบอกว่าแก้วกัลยาไม่สวยเพราะได้พ่อมาเหรอครับ” เสียงปราณกันต์เข้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

“ต๊าย ทำไมอาจารย์พูดแบบนั้นล่ะคะ เกิดคุณแม่น้องเจ้ายามาได้ยินพี่ก็ซวยแย่ น้องเจ้ายาน่ารักมากๆ โตมาต้องสวยมากแน่ๆ แต่พี่หลินแค่หมายถึงว่าถ้าได้แม่จะสวยกว่านี้อีก” 

หลินรีบแก้ตัวยกใหญ่ ทั้งที่คิดแบบนั้นจริงๆ เพราะมารดาเด็กน้อยจัดว่าเป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างมาก ผิวหรือก็ขาวเนียนละเอียด แต่เด็กหญิงกลับมีผิวไม่ขาวเท่ามารดา จะว่าไปน่าจะขาวพอๆ กับอาจารย์ปราณกันต์ตรงหน้ามากกว่า

“อืม...จะว่าไปน้องเจ้ายานี่เหมือนอาจารย์ยิ่งกว่าคุณแม่เสียอีกนะคะ ขอโทษค่ะ พี่หลินลามปามแล้ว”

“พี่หลินก็คิดเหมือนกันใช่ไหมครับว่าเจ้ายาเหมือนผม”

แทนที่จะรู้สึกว่าถูกลามปามอย่างที่หัวหน้าวอร์ดกล่าวโทษตนเอง นายแพทย์หนุ่มกลับสนใจแต่ประโยคก่อนหน้า

‘น้องเจ้ายาเหมือนอาจารย์’

“ค่ะ อาจารย์ก็คิดเช่นเดียวกันเหรอคะ”

“ผมขอชาร์ตเจ้ายาหน่อยครับ” 

ปราณกันต์ไม่ตอบคำถามต่อข้อสงสัยที่เขามั่นใจในคำตอบมากขึ้นจากหัวหน้าวอร์ดตรงหน้า กระดิกนิ้วเร่งเร้าขอแฟ้มคนไข้แทน

“ขอโทษด้วยค่ะอาจารย์ ตอนนี้น้องเจ้ายาเป็นคนไข้ของอาจารย์เกล้าและมารดาน้องก็ขอไว้ว่าห้ามคนที่ไม่ใช่อาจารย์เกล้ากับพยาบาลเข้าเยี่ยม” 

หลินหยิบแฟ้มมาส่งให้แพทย์หนุ่มพร้อมรอยยิ้มเก้อๆ ก็อาจารย์อุตส่าห์มาทั้งที่ไม่ใช่เวลาตรวจ เธอผู้เป็นหัวหน้าวอร์ดย่อมรู้สึกว่าเป็นความผิดตนที่ไม่ได้รายงานเรื่องการเปลี่ยนแปลงแพทย์เจ้าของไข้ก่อน ทำให้อาจารย์แพทย์เสียเวลา

“เกล้าเศียรมารับเคสได้ยังไง” 

ปราณกันต์ไม่ติดใจเรื่องที่ถูกงดเยี่ยม แต่แปลกใจมากที่เกล้าเศียรมาวุ่นวายกับเรื่องนี้ได้ หรือว่า... 

“แก้วกินรีเป็นคนขอให้เกล้าเศียรมารับเคสใช่ไหม”

“ค่ะอาจารย์ ญาติเป็นคนร้องขอค่ะ”

“ผมขอชุดปลอดเชื้อหน่อย”

“อาจารย์จะเปลี่ยนชุดทำไมเหรอคะ”

“ทำหน้าที่พยาบาล” 

เมื่อครู่หลินบอกเขาเองว่าเฉพาะเกล้าเศียรกับพยาบาลเท่านั้นที่เข้าไปในห้องได้ ถ้าเขาเข้าไปทำหน้าที่พยาบาลไม่ใช่แพทย์ เขาก็ย่อมเข้าห้องนั้นได้เหมือนกัน

“ดูอาจารย์เป็นห่วงน้องเจ้ายามากเลยนะคะ” 

ก่อนหน้านี้พยาบาลหลายๆ คนมักตั้งฉายาให้แพทย์หนุ่มว่า ‘หมอหน้านิ่ง’ ตรวจเด็กก็จริงแต่ไม่บ่อยเลยที่จะได้เห็นรอยยิ้มคุณหมอ ไม่มีใครรู้ว่าก่อนจะหน้านิ่งแบบนี้ ปราณกันต์เคยเป็นคนยิ้มง่ายและใจดีกับเด็กๆ มากแค่ไหน

“พี่หลินบอกเองไม่ใช่เหรอครับว่าเจ้ายาหน้าเหมือนผม” 

ปราณกันต์รับชุดปลอดเชื้อสีม่วงจากมือหัวหน้าวอร์ดแล้วเดินเข้าไปเปลี่ยนที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่นานก็ออกมาคว้าแฟ้มประวัติห้อง ๖๕๑๒ เดินตรงไปยังห้องนั้นทันที 

หัวหน้าวอร์ดเด็กเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออกแต่ก็บอกแพทย์หนุ่มไม่ทันแล้ว

“อาจารย์เกล้ายังอยู่ในห้องอยู่เลย”

 

หนึ่งปีก่อนตอนแก้วกินรีหันหลังและเดินจากไปที่สำนักงานเขต เธอเข้มแข็งมาก แผ่นหลังบอบบางตั้งตรง ดวงตาที่เคยงดงามแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความหนักแน่นที่ยืนยันว่าไม่ยินยอมรับสภาพภรรยาหลวง สภาพที่เขาสร้างมันขึ้นมาจากความพลั้งเผลอและจำต้องเลือกผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่ภรรยาเพราะฝ่ายนั้นตั้งครรภ์ 

แตกต่างจากวันนี้ที่แผ่นหลังนั้นดูบอบบาง ดวงตาคู่นั้นอ่อนโยนดุจสายลมยามบ่ายเมื่อก้มลงมองใบหน้าเล็กๆ ของลูก เสียงพูดแผ่วเบายามเอ่ยปลอบทารกน้อยในอ้อมแขนเป็นท่วงทำนองน่าฟัง น้ำเสียงนั้นนุ่มนวล ละมุน และรู้สึกได้ถึงความรักอันลึกซึ้งไร้ซึ่งเงื่อนไขทั้งสิ้นทั้งปวง น้ำเสียงที่ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยได้รับมัน...

เขาควรจะเข้าไปคุยด้วยท่าทีแบบไหนถึงจะคุยกับแก้วกินรีเรื่องแก้วกัลยาได้เรื่อง ตอนเช้าก็พอจะรู้แล้วว่ามันไม่ง่าย แก้วกินรีเปลี่ยนไปแล้ว แม้ตัวตนเดิมจะเป็นคนที่ตัดสิ่งใดไม่หลงเหลือเยื่อใย ไม่ยินยอมรับความอยุติธรรมนั้นยังอยู่ แต่เธอตอนนี้ก็ไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่ภรรยาของเขาอีกแล้ว ภายในใจที่เคยมีเขาบรรจุไว้จนเต็ม ตอนนี้ได้กลายเป็นกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าเพื่อกันเขาออกไป ชีวิตเธอค้นพบความสุขที่ไม่ต้องมีเขา ผิดกับเขาที่ไร้ความสุข และพบเพียงความว่างเปล่าเมื่อสูญเสียเธอ

“หมอเกล้า” 

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เสียงที่ตอนแรกได้ยินเพียงแว่วๆ ก็ยิ่งชัดเจนและเสียงนั้นเป็นของแก้วกินรีกับเกล้าเศียร

ปราณกันต์หยุดลงตรงหน้าห้องเมื่อเห็นจากช่องประตูที่เปิดแง้มไว้ แก้วกินรีอุ้มแก้วกัลยาไว้ในอ้อมแขนโดยมีเกล้าเศียรตรวจอาการอย่างใกล้ชิด เขาคงไม่หยุดนิ่งและคงเดินเข้าไปเลยถ้าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องอาการป่วย 

“ขอละลาบละล้วงสักเรื่องได้ไหม”

“ถ้าหมอจะถามถึงพ่อของเจ้ายา ไม่มีค่ะ เจ้ายาไม่เคยมีพ่อและจะไม่มีวันมี เขาเป็นลูกของฉันคนเดียว”

“คุณยังไม่ได้แต่งงานใหม่?”

“เจ็บครั้งเดียวพอแล้วไหมคะหมอเกล้า” 

“ครั้งใหม่อาจจะไม่เจ็บอีกก็ได้ อย่ามองโลกในแง่ร้ายแบบนั้นสิ บางทีอาจจะมีคนที่รอคุณอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ได้นะ”

“ถ้าเป็นหมอเกล้าเมื่อไหร่จะพิจารณา” 

“ผม...”

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

มือหนายกขึ้นเคาะประตูตั้งแต่เมื่อไรปราณกันต์ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลงน้ำหนักไปมากปานใด รู้แต่เพียงว่าใจเขาร้อนรุ่มรุนแรงจนสั่นไปทั้งตัวในเวลาเพียงพริบตา

“หมอกัน” เสียงเคาะประตูที่ดังเหมือนจะพังประตูทำให้เกล้าเศียรหันไปมองทันที

แก้วกินรีก็เช่นกัน แต่เธอเลือกที่จะไม่พูดอะไรนอกจากส่งสายตาตำหนิ แล้วกระชับลูกน้อยในอ้อมแขนแน่นขึ้น ไม่รู้ว่ากลัวจะมีคนมาแย่งหรือเพื่อปลอบขวัญจากเสียงที่ดังผิดปกติก่อนหน้า 

ปราณกันต์ตอบกลับสายตานั้นด้วยสายตาดุเดือดไม่แพ้กันและเอ่ยกับเกล้าเศียรเสียงห้วน

“พี่หลินให้นายไปหา ไม่ต้องถามว่าเรื่องอะไร ฉันไม่รู้” 

“งั้นเดี๋ยวผมกลับมานะ จะได้หยิบชาร์ตเจ้ายามาด้วย”

“ค่ะ” 

หนุ่มสาวตรงหน้าโต้ตอบกันโดยไม่เห็นว่าปราณกันต์ตวัดแฟ้มคนไข้ไปไว้ด้านหลังอย่างเร็วและเบี่ยงตัวไปทางขวาเพื่อเปิดทางให้เกล้าเศียรออกจากห้อง

“แล้วนาย...”

“ไปสิ” เขาจะอยู่หรือไปไม่เกี่ยวอะไรกับเกล้าเศียร ปราณกันต์พยักพเยิดไล่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายถามคำถามด้วยซ้ำ

เกล้าเศียรมองอย่างไม่ไว้วางใจแต่ก็ยอมตัดใจก้าวผ่านหน้าปราณกันต์ออกจากห้องไป เดินต่อไปได้อีกสามก้าว ปราณกันต์ก็ผลุบเข้าห้องพร้อมทั้งดันประตูปิดและกดล็อก 

“หมอจะเข้ามาทำไม พยาบาลไม่ได้แจ้งเหรอคะว่านอกจากหมอเกล้าเศียรกับพยาบาล คนอื่นงดเยี่ยม” แก้วกินรีเห็นการกระทำนั้นแล้วรู้สึกทั้งไม่พอใจและไม่ไว้วางใจ

“แจ้ง แต่ผมไม่ได้มาในฐานะหมอ” 

ปราณกันต์ไหวไหล่และจงใจผายมือไปบนกายตนเองให้แก้วกินรีเห็นด้วยสายตาตัวเองว่าเขาเข้ามาในฐานะอะไร เขาไม่ได้ละเมิดสิทธิผู้ป่วยของเธอแต่อย่างใด

“คนไข้วัดไข้ กินยา เช็ดตัว และก็กำลังจะหลับแล้ว ไม่มีงานอะไรต้องรบกวนพยาบาล”

“ผมไม่ได้มาวัดไข้ ป้อนยา เช็ดตัว ผมมาจับชีพจร” 

ปราณกันต์พอคาดเดาสถานการณ์ที่จะต้องเจอไว้อยู่แล้ว เหตุผลการของการเข้ามาจึงถูกเตรียมไว้เกือบยี่สิบข้อและไม่ได้เตรียมแบบส่งๆ เขามีหลักฐานยืนยันจากชาร์ตที่ช่องอัตราชีพจรว่างเปล่า แก้วกินรียกตัวอย่างมาแค่สามข้อเท่านั้น ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับที่เขาเตรียมมา

“แปดสิบถึงเก้าสิบครั้งต่อนาที ดิฉันจับทุกครึ่งชั่วโมง ครั้งล่าสุดก็ก่อนจะเช็ดตัวให้คนไข้ คุณพยาบาลเขียนลงไปในชาร์ตได้เลยค่ะ”

แก้วกินรีถอยหลังไปเมื่อพยาบาลจอมปลอมทำท่าจะพุ่งเข้ามาหา ปราณกันต์โดนดักอย่างรู้ทันก็หยุดแล้วยกทฤษฎีมาตอบโต้อดีตพยาบาล

“ชีพจรเด็กเล็กจะเต้นเร็วกว่าผู้ใหญ่ อัตราแปดสิบถึงเก้าสิบกว่าถือว่าค่อนไปทางต่ำ ผมขอจับอีกครั้งเพื่อความไม่ประมาท” 

“คนไข้หลับแล้ว พยาบาลที่ดีไม่ควรรบกวนผู้ป่วยที่ควรได้รับการพักผ่อนให้เพียงพอนะคะ” 

เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี แก้วกินรีจึงหันไปวางลูกน้อยที่หลับสนิทลงบนเตียงและหย่อนขาลงมายืนตัวตรงเพื่อปกป้องไม่ให้พยาบาลจอมปลอมสามารถเข้าไปถึงตัวลูกได้

“พยาบาลที่ดีก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยหากพบเห็นความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย” 

“คนไข้ปกติค่ะ”

“คุณเป็นพยาบาลวิชาชีพหรือเปล่า การวินิจฉัยคนไข้ต้องทำโดยพยาบาลวิชาชีพหรือแพทย์เท่านั้น”

“คุณเองก็ไม่ใช่”

“ผมมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม”

“แต่คุณไม่ใช่พยาบาลวิชาชีพ” แก้วกินรีก้าวไปเบื้องหน้าจนต้องแหงนหน้าขึ้นส่งสายตาเอาเรื่องกับพยาบาลจอมปลอม ข้อนี้เธอได้เปรียบเต็มประตู “ห้องนี้นอกจากหมอเกล้าเศียรกับพยาบาล...คนอื่นงดเยี่ยม!”

“ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้แก้วกินรี”

“เพราะเราไม่ต้องการการรักษาจากคุณ”

“ทำไม”

“นั่นควรเป็นสิ่งที่หมออย่างคุณจะต้องนำกลับไปวิเคราะห์หาสาเหตุและแก้ไขเอาเอง มีไม่กี่สาเหตุหรอกค่ะที่คนไข้จะเลือกหมอ”

“คุณไม่ไว้ใจผม”

“ฉันไม่คิดว่าตัวเองต้องตอบ”

“งั้นถ้าเป็นคำถามนี้จะตอบได้ไหม” 

ปราณกันต์ตวัดแขนรวบเอวบางของคนที่ยืนเชิดหน้าใกล้แค่เอื้อม กระตุกด้วยแรงเพียงนิดหน้าท้องแบนราบก็เข้ามาแนบกับหน้าท้องแข็งแกร่ง ใบหน้างดงามปะทะแผงอกกว้างในชุดสีม่วง 

“แก้วกัลยาเป็นลูกสาวของผมใช่ไหม คุณท้องเจ้ายาตอนเรายังไม่หย่ากันใช่หรือเปล่า”

ในอดีตความใกล้ชิดขนาดนี้มักจะทำให้แก้วกินรีประหม่าจนตัวสั่น หัวสมองหมุนวนจนนึกคำพูดยาวๆ ไม่ออก แต่ตอนนี้...

“นี่คือเรื่องส่วนตัว คุณเป็นใครไม่ทราบฉันถึงต้องตอบ”

“อย่ามาเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกันหน่อยเลยกินรี คุณก็รู้ว่าการจะพิสูจน์สำหรับหมออย่างผมมันง่ายนิดเดียว”

“แล้วถ้าพิสูจน์ได้หรือต่อให้ฉันตอบว่าใช่ หมออย่างคุณจะทำอะไรได้เหรอคะ คุณหมดสิทธิ์ตั้งแต่วันที่คุณเลือกผู้หญิงคนนั้นแล้ว ฉันจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักนิด ประเด็นมันคือ...เราไม่ต้องการคุณ”

แก้วกินรีพยายามบิดตัวออกจากการพันธนาการของเขาโดยไม่เอ่ยปากร้องขอ

“ทำไมคุณถึงได้เป็นคนใจแข็งขนาดนี้ ลูกทั้งคนนะ คุณจะไม่ให้เขาได้รู้เลยรึไงว่าพ่อเขาคือใคร”

“ถามจริงๆ นะ อยากให้เขารู้จริงๆ น่ะเหรอว่าคนสารเลวที่นอกใจภรรยาตนเองจนทำผู้หญิงคนอื่นท้องคือพ่อของเขา” 

ถ้าเป็นเธอคงไม่กล้าแม้แต่เอ่ยถามด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นเกิดจากตนเองหรือเปล่า มันน่าอับอายจนอยากจะหาปี๊บมาคลุมหัว

“อย่างน้อยคุณก็ควรบอกผม ผมมีสิทธิ์จะรู้ว่ามีเขา”

“ไม่ค่ะ คุณไม่มีสิทธิ์” 

แก้วกินรีตอบแบบชัดเจนทั้งน้ำเสียงและสายตา เธอไม่ให้สิทธิ์เขาแม้แต่ขี้เล็บของลูก สำหรับเธอปราณกันต์ยิ่งกว่าคนที่ตายไปแล้ว ลูกสาวของเธอจะรู้เพียงแค่ว่าไม่มีพ่อบนโลกใบนี้ พ่อไม่ได้ตาย ไม่ได้ทิ้ง ไม่ได้หายไป แต่ไม่เคยมีตัวตนมาตั้งแต่ต้น

ใช่...ที่เขาเลว ใช่...ที่เขาทอดทิ้งเธอ แต่ไม่ใช่สำหรับลูก เขาไม่คิดว่าตนเองจะไร้สิทธิ์กระทั่งจะรู้ว่ามีเด็กคนหนึ่งเกิดมาจากสายเลือดของตนเอง และยังเป็นเด็กที่เกิดมาจากความตั้งใจ พร้อมด้วยความรัก ความทุ่มเท และการเฝ้ารอทั้งชีวิต

เรื่องอื่นเขาอาจไม่กล้าสาบาน แต่เรื่องลูก ผู้หญิงที่เขาอยากมีลูกด้วยคือแก้วกินรีเพียงคนเดียวเท่านั้น

“ไม่ คุณต่างหากที่ไม่มีสิทธิ์ปิดปังความจริง อย่างน้อยเลือดครึ่งหนึ่งในตัวเขาก็คือเลือดของผม หรือคุณจะตอบว่าสามารถปฏิสนธิแก้วกัลยาขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว แต่นั่นต้องหมายถึงมีหลักฐานยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรโดยแพทย์ ไม่ใช่คำพูดลอยๆ ที่หาความเชื่อถือไม่ได้”

“ฉันไม่เคยพูดอยู่แล้วว่าปฏิสนธิแก้วกัลยาขึ้นมาเองคนเดียว ฉันแค่บอกว่าลูกสาวของฉันไม่มีพ่อ”

“แล้วไอ้ที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้เป็นหมารึไง”

“นั่นก็แล้วแต่คุณจะพิจารณาตนเอง ฉันไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย” อย่าให้เธอพูดเลย เขาจะร้องไห้เป็นลูกเล็กเด็กแดงเปล่าๆ แก้วกินรีเชิดหน้าขึ้น “อย่าให้ฉันต้องกรีดร้องให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต ออกไปจากห้องซะ ทำเหมือนหนึ่งปีที่ผ่านมา เราตายจากกันไปแล้วคุณหมอปราณกันต์”

“ผมไม่เคยคิดว่าคุณตายไปแล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่ต้องคิด”

“งั้นถ้าคุณคิดจะกลับเข้ามาในชีวิตของฉัน ก็จงรู้เอาไว้ว่าฉันจะไม่ใจดีกับคุณแน่” 

“ผมก็ไม่คิดจะเข้าไปแบบดีๆ เหมือนกัน” 

ในเมื่อเธอยื่นไม้ออกมาเขาก็ไม่คิดจะยื่นมือเปล่าออกไปรับให้เจ็บตัว คนอย่างนายแพทย์ปราณกันต์ หากเจอใครยื่นไม้มาเขาจะตอบโต้กลับด้วยค้อน ยื่นมีดมาเขาจะตอบโต้กลับด้วยเสียม ศีลต้องเหนือกว่า ไม่มีคำว่าเสมอ ดูสิว่าสุดท้ายใครจะล้มก่อนกัน

“นี่คุณ...” 

แก้วกินรีอุทานเสียงหลงเมื่อร่างบางถูกดันเข้าไปจนชิดตู้ ก่อนที่ปราณกันต์จะประกบปิดเรียวปากส่งคืนถ้อยคำผรุสวาทลงคอไป แพทย์หนุ่มไม่เพียงคิดจะกลับไปแต่เขาจะกลับไปแบบจะจะเห็นๆ เป็นๆ ทันทีทันใดไม่เหลือโอกาสให้ต่อกร

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น