“คุณแม่จะพาน้องเจ้ายาไปไหนคะ”
อีกห้านาทีจะสิบแปดนาฬิกา พยาบาลที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ประจำวอร์ดรีบส่งเสียงถามเมื่อเห็นคนไข้ซึ่งได้รับการฝากฝังจากทั้งสองอาจารย์หมอคนดังประจำโรงพยาบาลกำลังจะถูกอุ้มออกไปจากวอร์ด
“เจ้ายางอแงสงสัยจะแปลกที่แปลกทาง แม่ว่าจะพาน้องไปเดินเล่นหน่อยน่ะค่ะ”
แก้วกินรีเอ่ยตามที่เตรียมไว้อย่างไม่ติดขัด ยังดีที่ไม่ได้ตั้งใจมาแอดมิตจึงไม่ได้มีข้าวของมากมายมาด้วย แม้จะเสียดายของใช้จำเป็นที่พกมาด้วยอยู่บ้างแต่ก็ต้องตัดใจทิ้งไป เพราะอย่างที่รู้ๆ กันของใช้เด็กอ่อนแต่ละอย่างถูกที่ไหน แต่มันก็น่าจะคุ้มค่าแหละ ถ้าสามารถช่วยให้รอดพ้นจากหมอบ้าอย่างปราณกันต์ไปได้ หรือไม่หลังจากนี้ค่อยไปเซิร์ชหาเบอร์โทร. หมอเกล้าเศียรจากในอินเทอร์เน็ตแล้วขอให้เขานำมาให้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเธอได้ติดต่อฝ่ายการเงินของโรงพยาบาลเพื่อขอชำระส่วนของวันนี้ล่วงหน้าทั้งหมดไปแล้ว
โรงพยาบาลเอกชนส่วนมากสามารถทำได้ เพราะค่ารักษาในแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่ในวันออกจากโรงพยาบาลทีเดียว เพราะหากเธอขอออกจากโรงพยาบาลวันนี้รับรองว่าแพทย์เจ้าของไข้อย่างปราณกันต์ไม่อนุมัติแน่นอน ถึงจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนแต่ก็ไม่ใช่ว่าคนไข้จะมีสิทธิ์ทำตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง ต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ด้วย
แก้วกินรีดันกระเป๋าผ้าใบเล็กที่เธอเอาขวดนมบรรจุน้ำและของสำคัญใส่มาด้วยแอบไว้ด้านหลัง ยิ้มหวานเท่าที่จะทำได้ให้พยาบาล
“แม่จะไปแค่แถวๆ นี้แหละค่ะ เห็นตรงกลางชั้นมีสวนหย่อมด้วย แม่พาน้องเข้าไปได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ แต่คุณแม่อย่าไปนานนะคะ หรือจะให้ดิฉันไปเป็นเพื่อนไหมคะ” พยาบาลนำเสนอตนเองอย่างใจดี
แก้วกินรีส่ายหน้าทันที บ้าน่ะสิ ขืนให้ไปด้วยแผนที่เตรียมหนีก็เสียหายหมด
“อย่าให้ต้องรบกวนคุณพยาบาลเลยค่ะ แม่ไปเองได้”
“งั้นก็รีบไปรีบกลับนะคะ ตรงสวนหย่อมลมแรง น้องต้องลมนานๆ จะอาการแย่ลงได้”
“ค่ะ แม่จะรีบกลับค่ะ” รีบกลับไปให้ถึงห้องพักให้ไวที่สุดและไปจากกรุงเทพฯ ให้ไวที่สุดเช่นกัน
ตอนนี้อาการแก้วกัลยาทุเลาลงบ้างแล้ว และเธอรอจนรับประทานยามื้อเย็นเรียบร้อยจึงออกมา ก่อนที่เธอจะหาโรงพยาบาลใหม่ได้ ลูกสาวของเธอจะยังไม่เป็นอะไร
แก้วกินรีรู้สึกว่าเธอคิดผิดมากจริงๆ ที่ตัดสินใจมาหาหมอที่นี่ ที่คิดไว้ว่าอาจเจอเขาก็ไม่ได้คาดไว้สักนิดว่าปราณกันต์จะแสดงออกเช่นนี้ เขามีลูกมีภรรยาใหม่แล้ว เธอคิดว่าอย่างมากสุดเขาก็คงแค่สงสัยแต่คงไม่พยายามสืบหาความจริงหรือต้องการลูกกับเธอ แต่นี่มันตรงข้ามกับสิ่งที่เธอคิดทั้งหมดเลย
ปราณกันต์เป็นบ้าไปแล้ว!
เหนื่อยกับแก้วกัลยาป่วยไม่พอ ยังต้องมาเหนื่อยหอบลูกหนีหมอบ้าอย่างปราณกันต์อีก
แก้วกินรีเผลอขบกรามเป็นการลงโทษในความผิดพลาด ที่ผ่านมาเธอติดตามข่าวคราวของเขาบ้างเพราะตั้งใจว่าที่ใดมีเขาที่นั่นเธอจะได้ไม่เหยียบเข้าไป แต่เพราะตัดขาดจากทุกคนที่โรงพยาบาลเก่าเลย เธอเลยไม่รู้ข้อมูลส่วนตัวใดๆ ของปราณกันต์ ยิ่งเขาเป็นคนไม่ชอบออกสื่อ ไม่เล่นเฟซบุ๊ก ไม่เล่นไอจี ไม่เล่นทวิตเตอร์ ข่าวเรื่องครอบครัวเขาเลยพลอยหายเข้ากลีบเมฆไปด้วย มีเพียงข่าวเรื่องการงานของเขาเท่านั้นที่เธอพอจะรู้ว่าหนึ่งปีมานี้ปราณกันต์ย้ายจากที่ไหนไปที่ไหนและตอนนี้เขาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลใด
“เดี๋ยวพยาบาลช่วยเปิดประตูให้นะคะ”
พยาบาลอ้อมเคาน์เตอร์ไปอำนวยความสะดวกให้ แก้วกินรีจึงค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ
“ขอบคุณมากค่ะ”
แก้วกินรีค่อยๆ ก้าวออกจากวอร์ดช้าๆ ทำทีเหมือนพาลูกเดินเล่นจริงๆ จนเมื่อหันไปและเห็นว่าพยาบาลไม่มองตามแล้ว เธอเลยทิ้งเสาน้ำเกลือที่ดึงเข็มออกจากมือแก้วกัลยาก่อนออกจากห้องนานแล้วสาวเท้าอย่างไวไปหาลิฟต์และกดลิฟต์ลงชั้นใต้ดินซึ่งเป็นลานจอดรถทันที
“เจ้ายาของหม่ามี้เก่งมากเลยค่ะ อดทนอีกนิดนะคะ หม่ามี้จะพาหนูกลับบ้านแล้ว”
แก้วกินรีประทับจุมพิตลงบนแก้มนุ่มนิ่มของเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขน ผู้เป็นทั้งแก้วตาดวงใจและชีวิต แม้แกจะเกิดมาผิดที่ผิดเวลาแต่ก็ถือเป็นของขวัญที่เธอรอคอยด้วยความตั้งใจมาตลอดสี่ปี ลูกคือสิ่งล้ำค่าที่ชีวิตนี้เธอจะไม่ยอมให้พรากจาก
แก้วกัลยาเป็นเด็กดี เลี้ยงง่าย แกคงรู้ว่าเกิดมาในเวลาที่ไม่ได้สุขสบายเท่าตอนที่ทุกคนรอแกด้วยความหวังอีกแล้ว เสียแต่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยบ่อย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าลูกสาวเหมือนอยากจะมาโรงพยาบาลอยู่ตลอดเวลา ห้าเดือนมานี้พวกเธอจึงเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เมื่อสองอาทิตย์ก่อนก็เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล ครั้งนี้จึงไม่คิดว่าแค่มาส่งของแค่ไม่กี่วันจะพานให้เจ็บป่วยเอาด้วย
แต่ถึงรู้เธอก็ต้องมาอยู่ดี เพราะมีทุเรียนที่ตัดแล้วตามออร์เดอร์ลูกค้ารออยู่ ไม่อาจปล่อยให้เสียหายได้ สองวันก่อนคนงานส่งของประสบอุบัติเหตุกะทันหัน บิดามีโรคประจำตัวไม่สามารถขับรถเองได้มาพักใหญ่แล้ว หน้าที่ส่งของจึงต้องเป็นเธอ และเพราะความดื้อดึงจะให้แก้วกัลยากินนมแม่และตัวติดกันตลอดเวลามาตั้งแต่คลอด จึงจำต้องพามาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในรถของเธอติดคาร์ซีตไว้อยู่แล้ว ไม่ใช่ปัญหาเวลาพาแก้วกัลยาไปไหนมาไหนด้วย อีกฝ่ายหรือก็เหมือนจะอยากมานักหนา ตั้งแต่เคลื่อนรถออกจากบ้านหลังที่เธอซื้อพร้อมสวนทุเรียนเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังจากขายเรือนหอซึ่งได้มาตอนหย่า เจ้าตัวเล็กก็ยกมือยกไม้ออกอาการตื่นเต้นมาตลอดทาง คิดว่ารอดแล้วแท้ๆ ดันมาป่วยเอาได้อีก
แก้วกินรีก้มลงฟัดแก้มเจ้าตัวเล็กอีกทีอย่างมันเขี้ยวก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออกเมื่อถึงชั้นใต้ดิน เธอเดินหารถที่จอดไว้ ใช้เวลาไปพอสมควรเหมือนกันเพราะเธอเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก พอเจอก็เล่นเอาเหงื่อเย็นซึมตามแผ่นหลัง แก้วกินรีผ่อนลมหายใจยาวๆ เมื่อกดรีโมตและได้ยินเสียง
“ได้กลับบ้านแล้ว”
แก้วกินรีพุ่งไปหารถกระบะตอนครึ่งที่ใช้เป็นรถขนส่งประจำสวน แต่ใจที่ลิงโลดพลันดิ่งวูบเมื่อเห็นว่าล้อรถทั้งสี่ข้างแบนแต๊ดแต๋
“มีอะไรให้ช่วยไหม”
“ค่ะ...”
ขณะยืนอึ้งก็ได้ยินเสียงผู้หวังดีที่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างทันท่วงที เธอจึงหันขวับอย่างยินดี ทว่า...
“มะ...หมอกัน”
ปราณกันต์เลิกคิ้วเข้มข้างหนึ่งขึ้น เขายืนพิงกระโปรงหน้าของรถเก๋งคันที่จอดฝั่งตรงกันข้ามกับรถกระบะของแก้วกินรี สองมือยันอยู่ข้างสะโพก เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นมาจนถึงข้อศอก กระดุมเสื้อปลดลงมาสองเม็ด บนศีรษะปรากฏร่องรอยการเย็บแผล
“อาการหนักเลยนะ ล้ออะไหล่ก็มีแค่ล้อเดียว แบบนี้ต้องเรียกอู่มาลากไปเท่านั้น จะไปไหนล่ะ ผมไปส่ง”
“มันเป็นฝีมือคุณใช่ไหม”
ไม่ต้องคิดให้มากความหรอก ยางแบนแต๊ดแต๋พร้อมกันทั้งสี่เส้นได้ไม่มีทางเกิดโดยธรรมชาติแน่ เป็นฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอนที่สุด และมนุษย์คนนั้นก็คือคนที่ทำมาเป็นหวังดีตีหน้าซื่ออยู่นี่
“จะปรักปรำใครก็ต้องมีหลักฐานนะ ผมก็แค่ผ่านมาเห็นพอดี” เห็นคนทำจะจะก็เท่านั้น แต่เขาไม่ได้ทำจริงๆ นะสาบานได้ จ้างคนอื่นทำไม่นับว่าทำเองนี่
ตอแหล!
แก้วกินรีโมโหจนอยากกระโจนเข้าไปข่วนหน้าแหวกอกเขาให้เป็นชิ้นๆ แต่ที่ทำได้คือสูดหายใจลึกๆ และปฏิเสธความหวังดีจอมปลอมนั้นตรงๆ แบบไม่เกรงใจ
“งั้นก็ควรจะไปได้แล้วค่ะ ดิฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
แก้วกินรีหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมา ถึงไม่มีเบอร์อู่ละแวกนี้ แต่รถของเธอก็เป็นยี่ห้อยอดนิยม ถ้าโทร. เข้าศูนย์บริการใหญ่ต้องได้รับความช่วยเหลือแน่
“แล้วคุณจะไปไหน” ปราณกันต์ยกสะโพกออกจากกระโปรงรถเก๋งแล้วเดินตรงเข้ามาหา
“นั่นไม่ใช่เรื่องของคุณ” แก้วกินรีหันหลังหนีไปกดหาเบอร์โทร. ต่อ
“แต่แก้วกัลยาเป็นคนไข้ของผมและผมยังไม่อนุมัติให้ออกจากโรงพยาบาล”
ปราณกันต์ก้าวตามติดไปคว้าโทรศัพท์จากมือเล็กไปดื้อๆ แถมยังยัดใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองหน้าตาเฉย
“เอาโทรศัพท์ฉันคืนมานะ!”
“จุ๊ๆ อย่าเสียงดังขนาดนั้นสิ ลูกหลับอยู่นะ”
ปราณกันต์ก้มลงมองใบหน้าลูกให้ผู้เป็นมารดาได้เห็นว่าการกระทำของตนเองกำลังส่งผลร้ายต่อลูก แต่แก้มแดงๆ ของแก้วกัลยาน่าก้มลงหอมสักทีจริงๆ เลย
“อย่านะ!”
แก้วกินรีรีบหันหลังหนี ไม่ยินยอมให้ริมฝีปากของคนสารเลวสัมผัสพวงแก้มของลูกสาว เขาไม่มีสิทธิ์แตะต้อง แม้แต่หายใจรดใกล้ๆ ก็ไม่ได้
ปราณกันต์ยืดตัวขึ้นมายืนหลังตรงอย่างเสียดาย อีกนิดเดียวเขาก็จะได้หอมแก้มนุ่มๆ ของลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองแล้วแท้ๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ แบบเด็กทารกผสานกลิ่นน้ำนมมารดาช่างหอมยั่วยวนนัก
“มากับผม” เมื่อพลาดจากลูกเขาก็คว้าข้อมือเล็กของผู้เป็นมารดาแล้วดึงให้ก้าวตามไปที่รถตนเอง
“ปล่อยนะปราณกันต์ ปล่อยฉันนะ ปล่อย ว้าย...”
ปราณกันต์หยุดทันทีทันใด ร่างเล็กหยุดไม่ทันจึงถลาเข้ามาและเขาไม่ปฏิเสธที่จะกอดรัดไว้ทั้งสองมือ พร้อมทั้งดุเสียงเข้มชิดใบหูนุ่มนิ่ม
“บอกแล้วไงว่าลูกหลับอยู่ ต้องทำไงถึงจะเข้าใจ หืม”
“ปราณกันต์!” แก้วกินรีตวาดลั่น คำพูดเขาไม่เข้าหูไม่เท่าไร แต่พูดก็พูดไปสิทำไมต้องกัดหูเธอด้วย
“เมื่อก่อนเป็นเด็กดีจะตาย ทำไมตอนนี้ดื้อจังเลย”
“ออกไป!”
“แง...! แงๆ” ใบหน้าเล็กบิดเบี้ยวและเปิดปากกรีดร้องทันทีเมื่อถูกรบกวนการนอนจนต้องตื่น
“เห็นไหม ลูกตกใจตื่นแล้ว”
ปราณกันต์ย่นคิ้วตำหนิคนดื้อที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ก่อนจะแย่งเจ้าตัวเล็กเข้าสู่อ้อมกอดตนเองเสียเลย จึงยิ่งทำให้คนดื้อสติหลุดอาละวาดใหญ่โต
“ปราณกันต์! เอาลูกฉันคืนมานะ เอาคืนมา!”
“อยากได้คืนก็ตามมาสิ”
คนหน้าด้านพาเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนเดินหนีไปทางรถตนเอง ไม่ลืมฉวยโอกาสนี้ก้มลงหอมแก้มนุ่มที่ยั่วยวนจนใจสั่น เขาฝังจมูกสัมผัสแก้มนุ่มสูดดมกลิ่นหอมนั้นฟอดใหญ่ หัวใจที่ห่อเหี่ยวมาหนึ่งปีเต็มๆ ค่อยๆ เบิกบาน เลือดที่เคยเย็นชืดค่อยๆ อุ่นวาบไปทั่วกาย
ลูก...ลูกสาวของเขา ลูกที่เขารอคอยมาตลอดสี่ปี
ปราณกันต์เงยหน้าขึ้นสูดจมูกเมื่อรู้สึกว่าในดวงตาร้อนผ่าว หัวตาร้อนรุ่มเหมือนบางสิ่งกำลังก่อตัวอย่างรุนแรงและจะทลายออกมาแสดงความอัดอั้นตื้นตัน
“ขึ้นไปนั่งฝั่งโน้น ไม่งั้นผมไม่รอ”
ปราณกันต์ปิดประตูฝั่งคนขับและกดล็อกทันทีเพื่อป้องกันแก้วกินรีดึงประตูเข้ามาไปยื้อแย่งลูกสาวในอก เขาเลื่อนกระจกลงแค่นิดหน่อยเพื่อสื่อสารกับเธอ
“เอาลูกฉันคืนมา ปะ...ปราณกันต์!”
แก้วกินรีวิ่งไปคว้าที่จับประตูแล้วขึ้นไปนั่งแทบไม่ทัน ปราณกันต์ไอ้หมอบ้า ไอ้หมอทุเรศ ไอ้หมอสารเลว มันจะออกรถทันทีที่เธอเปิดปากเลย
“นั่งนิ่งๆ เรามีเรื่องต้องคุยกัน คุยจบผมจะปล่อยคุณไปเอง ไม่ต้องคิดจะทำอะไรบ้าๆ เกิดผมบ้าตามขับรถพุ่งชนเสาไฟขึ้นมามันจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่น่าดูชม”
“เอาลูกฉันคืนมา” แก้วกินรีโมโหจนจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว
“สัญญาได้ไหมล่ะว่าจะไม่หนี ไม่ดื้อ” ปราณกันต์หันมาถามจริงจัง
“ฉัน...”
“ถ้าไม่ก็ไปกันทั้งแบบนี้ คุณก็น่าจะรู้ว่าการอุ้มเด็กตอนขับรถมันอันตรายแค่ไหน ลูกสาวของเราทั้งตัวเล็กทั้งนุ่มนิ่ม อันตราย อันตรายมาก”
มันคือการขู่แบบไม่เหลือทางถอยให้เธอแม้แต่น้อย แก้วกินรีกัดมุมปากจนเจ็บจี๊ด
“ทำไมไม่คุยที่นี่ คุณจะพาเราไปไหน”
“ไปถึงก็รู้เอง” เขาใช้คำตอบเดียวตอบทั้งสองคำถาม “ว่ายังไง จะอุ้มลูกดีๆ หรือให้ผมอุ้มแกเอง”
“เอาลูกฉันคืนมา” ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ปราณกันต์ยกยิ้มน้อยๆ ยินยอมส่งลูกสาวตัวน้อยกลับสู่อ้อมอกมารดา ชั่วอึดใจที่ความอบอุ่นหายวับไป ก่อเกิดความโหวงเหวงวูบหนึ่งในอกดั่งหัวใจถูกดึงออกไปด้วย
“คาดเข็มขัดด้วย”
“ฉันทำเองได้”
แก้วกินรีรีบคว้าเข็มขัดนิรภัยพาดบนตัว ไม่ยินยอมรับความช่วยเหลือจากปราณกันต์ สองมือกอดกระชับลูกสาวบนตักให้แนบเข้าหาอกราวกับสิ่งของล้ำค่าที่ทำหายไปแล้วเพิ่งได้คืน
“อย่ากอดลูกแน่นขนาดนั้น ผมไม่แย่งลูกระหว่างขับรถหรอกน่ะ”
ปราณกันต์ถอนสายตากลับมามองถนน รู้สึกขมปร่าในลำคอ จึงรีบเลื่อนสองมือที่ถูกปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยกลับมาวางบนพวงมาลัยและเคลื่อนรถออกไปจนพ้นเขตของโรงพยาบาลเข้าสู่ถนนใหญ่
ความคิดเห็น |
---|