5

บทที่ 5


 

5

 

นับจากวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร น้ำชา กาแฟอะไรก็แล้วแต่ ขุนพลสั่งให้บุษยานุชเป็นคนนำเข้าไปให้เขา ครั้งหนึ่งที่อัยย์ศยาจำเป็นต้องติดตามเขาออกไปรับประทานอาหารกลางวันกับลูกค้า ชายหนุ่มยังให้บุษยานุชตามไปด้วย ทำให้อัยย์ศยาสะสมความน้อยใจที่รู้ว่าเธอไม่มีสิทธิ์ อีกทั้งบุษยานุชยังเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี และค่อนข้างขี้อาย เธอออกจะห่วงว่าเด็กสาวจะไม่ทันเล่ห์จิ้งจอกอย่างขุนพลมากกว่า

หญิงสาวชำเลืองมองตามสายตาล้ำลึกของเจ้านายหนุ่มที่ทอดมองตามเรือนร่างสมวัยสาว หลังจากพูดคุยธุระกับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว

“มองผมแบบนี้ ไม่พอใจอะไรผมหรือครับคุณไหม”

หญิงสาวเม้มปากอยากจะด่าเขานัก แต่เก็บกักไว้เต็มกำลัง “เปล่าหรอกค่ะ ไหมแค่กำลังเป็นห่วง กลัวคุณอิฐจะเสียผู้ใหญ่ถ้าไม่รักษาท่าทีให้มากกว่านี้” ในที่สุดเขาก็ยั่วให้เธอพูดจนได้

แต่แทนที่ถูกเตือนแล้วจะคิดได้ คนสิ้นคิดกลับหัวเราะเบาๆ ขณะหันไปรับบิลค่าอาหารและหยิบบัตรเครดิตส่งให้พนักงาน

อัยย์ศยาอยากจะพูดใส่หน้าหล่อๆ ที่ปั้นหน้ามึนให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่า เขากำลังทำตัวน่าเกลียดมากที่เปิดเผยธาตุแท้ออกมาให้พนักงานในบริษัทเห็นเช่นนี้

“เสียผู้ใหญ่อะไรกันคุณ ผมอายุสามสิบสามแล้วนะ ถ้าจะจีบใคร ชอบใคร รักใคร มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ”

“เป็นเรื่องดีแน่ค่ะ ถ้าคุณอิฐไม่ได้คิดจะทำลายน้องเค้ก” เธอย้อนทันควัน แต่เขาเบ้ปากอย่างกวนประสาท

“ผมเหรอ นี่คุณมองผมในแง่ร้ายขนาดนี้เลยเหรอ”

“ไหมมั่นใจค่ะว่าไหมมองไม่ผิด คนอย่างคุณอิฐถ้ารักใครคงไม่มองด้วยสายตาแบบนี้”

“คุณจะรู้ดีกว่าผมได้ยังไง” ขุนพลแค่นหัวเราะแล้วประสานสายตากับหญิงสาวที่เต็มไปด้วยแววตารู้ทัน เขายกมุมปากขึ้นน้อยๆ อยากจะบอกอัยย์ศยาว่าเธอไม่มีวันรู้ว่าแววตาที่เขาใช้มองคนที่รักเป็นอย่างไร

“ผมอาจจะจริงจังกับคนนี้ก็ได้ คุณว่าน้องเขาไม่ดีตรงไหน ผิวสวย หุ่นดี ยิ้มหวาน การศึกษาก็โอเค กิริยาท่าทางน่ารัก แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ”

“นั่นหรือคะ คุณสมบัติแม่ของลูกคุณอิฐ...คุณยังมองไม่เห็นคุณค่าในตัวน้องมากไปกว่าเปลือกนอก มันจะเรียกว่ารักได้ยังไง ถ้าคุณสมบัติน้องหายไปอย่างหรือสองอย่าง คุณก็จะไม่รัก”

หญิงสาวจ้องตาคมที่มีร่องรอยเยาะหยันอยู่ในนั้น หัวใจของเธอโคลงเคลงวูบวาบ รู้สึกเหมือนขุนพลจงใจเยาะเย้ยสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไปด้วยสายตา

“คุณรู้ได้ยังไง คนอย่างผม ถ้าจะรักผมก็จะรัก ต่อให้ไม่มีสักอย่างให้น่ารัก ผมก็ยังจะรัก”

หญิงสาวหน้าร้อนผ่าว ผ่อนลมหายใจเบาๆ ไล่ความอึดอัดที่เขาจงใจทำให้มันเกิดขึ้น แล้วใช้เสียงจริงจังกว่าเดิมเตือนเขาด้วยความหวังดี “หยุดนะคะคุณอิฐ ไหมไม่อยากให้คุณถูกตามมาชี้หน้าด่ากลางที่สาธารณะ ถ้าพ่อแม่น้องมาเอาเรื่อง คุณจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“คุณไม่ต้องมาสอนผม” ขุนพลยักคิ้วให้เธอ ยิ้มยั่วเหมือนคนกวนประสาทแล้วเตรียมลุกขึ้นเมื่อเห็นบุษยานุชเดินยิ้มแก้มปลั่งกลับมา เขาหันกลับมามองเลขาฯ ของเขา แล้วพูดทิ้งท้ายเอาไว้ “สอนตัวคุณเองเถอะ ที่ผ่านมาคุณก็เคยผิดพลาด ถ้าผมคบกับน้องเค้กแล้วในอนาคตไปด้วยกันไม่ได้ มันก็แค่เรื่องผิดพลาดของคนสองคน” เขายักไหล่ให้เธอแล้วหันไปยิ้มด้วยมาดอบอุ่นใจดีให้บุษยานุชที่แทบละลายยามสบตาเขา

ขุนพลรู้ว่าอัยย์ศยากำลังจ้องมองก็ยิ่งอยากยั่ว จึงทำทีเป็นแตะแผ่นหลังเด็กสาวอย่างสุภาพเพื่อให้บุษยานุชเดินเคียงข้างเขาออกไป โดยมีอัยย์ศยาเดินตามหลังด้วยหัวใจเต้นรัว

หญิงสาวหมั่นไส้ถึงขั้นแวบหนึ่งคิดอยากจะดึงเสื้อเขาไว้แล้วกระชากออกไปคุยกันให้รู้เรื่องว่าเขากำลังทำตัวน่าเกลียดแค่ไหน แต่สุดท้ายก็สงบใจตัวเองได้ เธอสับสนระหว่างความห่วงใยคนทั้งคู่กับหัวใจตัวเองที่ดูจะทุรนทุรายเมื่อเห็นเขาเดินเคียงข้างผู้หญิงคนอื่น

หลังจากนั้นอัยย์ศยาก็คอยสังเกตบุษยานุชไม่ห่างด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะตกเป็นของเล่นเศรษฐี เมื่อเห็นว่าผ่านไปเป็นเดือนแล้วขุนพลก็ยังไม่เลิกทำแบบนี้ ทุกครั้งที่เขาเรียกบุษยานุชออกไปข้างนอกด้วย อัยย์ศยาจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วคว้ากระเป๋าเดินตามเขาขึ้นรถไป

ลึกๆ แล้วเธอกลัว หากบุษยานุชพลาดท่าคนร้อยเล่ห์แบบนั้น อนาคตที่กำลังสดใสจะเป็นเช่นไร จะเจ็บปวดเสียใจแค่ไหน โดยเฉพาะบุษยานุชทำให้เธอนึกถึงน้องสาวของตัวเอง

กันย์ณิตาก็เคยพลาดเพราะคิดอะไรตื้นๆ แม้จะเป็นเด็กฉลาด แต่ก็ไร้ประสบการณ์ หากเธอฉุดดึงขึ้นมาไม่ทัน ป่านนี้กันย์ณิตาอาจจะหมดอนาคต และพ่อแม่ของเธอก็ต้องเสียใจอย่างที่สุด ครอบครัวของเธอบอบช้ำมามากพอแล้ว อัยย์ศยาไม่อยากเห็นน้ำตาจากความผิดหวังชอกช้ำของใครอีก

ในที่สุดอัยย์ศยาก็กล้าตัดสินใจส่งตัวบุษยานุชกลับไปทำงานแผนกเดิม เด็กสาวทำหน้าหงอย เมื่อรู้ว่าจะไม่ได้มาอยู่หน้าห้องขุนพลอีกต่อไป แต่ก็ยอมรับและล่ำลาพวกเธอแต่โดยดี แต่คนที่ไม่ยอมกลับเป็นผู้ใหญ่ที่หมายรังแกเด็ก ขุนพลมาถึงบริษัทแล้วไม่เห็นหน้าบุษยานุชก็เหลียวหา ทำให้อัยย์ศยาที่นั่งพิมพ์งานอยู่ใจเต้นรัว เตรียมพร้อมรับแรงปะทะด้วยสติ

“เข้าไปพบผมในห้อง” เขาพูดกับอัยย์ศยาเสียงห้วนจนสองสาวที่เหลือแทบจะย่นคอหลบ เหมือนเต่าหดหัวเข้ากระดอง แต่อัยย์ศยากลับยืนขึ้นค้อมศีรษะแล้วเดินตามเขาเข้าไปโดยไม่สะทกสะท้าน

หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาตอนที่ขุนพลยืนกอดอกพิงสะโพกกับโต๊ะทำงาน เตรียมฉะหญิงสาวเต็มที่ แต่อัยย์ศยาข่มใจว่าเธอจะไม่โต้ตอบเขาให้เกินหน้าที่ ทั้งที่ใจกายตอนนี้แสนจะอ่อนล้า

“คุณถือสิทธิ์อะไรสั่งย้ายน้องเค้กไปฝ่ายอื่น ผมยังไม่ได้สั่งคุณเลยนะ” ขุนพลถามเสียงห้วน แววตาที่จ้องอัยย์ศยาเหมือนคนพาล

“ไหมเรียกน้องมาช่วยงานชั่วคราวค่ะ พอถึงเวลาที่ไม่มีงานเร่งด่วนแล้ว ไหมก็ต้องส่งน้องคืนพี่เจตน์” เธอเอาชื่อเจตน์ภพมาอ้างด้วยเสียงที่พยายามบังคับให้เรียบเฉยที่สุด

“ผมเป็นเจ้าของบริษัท หรือคุณไม่เห็นว่าผมชอบการทำงานของน้อง คุณไปเรียกน้องเค้กกลับมา วันนี้เลย”

“ทำแบบนั้นคนอื่นจะได้นินทา มองคุณอิฐในแง่ร้ายน่ะสิคะ แต่ถ้าคุณอิฐอยากได้นักศึกษามาช่วยงาน ไหมจะลองหาคนอื่นดูนะคะ” 

“ผมไม่เอาคนอื่น ผมอยากได้คนไหนก็ต้องคนนั้น!” ขุนพลคลายท่อนแขนออกจากการกอดอก ชี้นิ้วมาตรงหน้าเลขาฯ สาวอย่างโมโห ยิ่งเธอนิ่งเขาก็ยิ่งโมโห “ทำไมไหม คุณกีดกันเด็กคนนั้นกับผมทำไม หรือคุณไม่รู้ว่าผมหมายถึงอะไร”

“เพราะไหมรู้ทันคุณอิฐน่ะสิคะ” อัยย์ศยาเริ่มคลายความอดกลั้นลงทีละน้อย บางทีการพูดกับเขาไปตรงๆ เตือนตรงๆ อาจทำให้ขุนพลคิดได้ขึ้นมาบ้างว่าเธอห่วงบุษยานุชแต่ก็ห่วงชื่อเสียงของเขาด้วย “คุณอิฐอย่าไปทำลายอนาคตเด็กดีๆ ด้วยการสนับสนุนให้น้องหลงใหลในข้าวของเงินทอง ความหรูหราฟุ่มเฟือย ไหมไม่อยากให้คุณอิฐทำบาปกับเด็กที่ยังไม่เดียงสา”

“คุณกล่าวหาผมอยู่นะไหม” เขาเค้นเสียงเครียดใส่ ฉุนจัดเมื่อมองใบหน้าขาวราวกระดาษของเธอจนลืมตัวปรี่เข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้าง จ้องหน้าคนที่สบตาไม่ไหวติง ยิ่งเธอนิ่ง เขายิ่งร้อนเป็นไฟ อยากจะรู้นัก อัยย์ศยาจะยืนเป็นหุ่นยนต์ได้นานแค่ไหน “ผมอาจจะจริงจังกับน้องเขาก็ได้” เขาทำเสียงสูงประชดเธอ

“คุณอิฐมองน้องเค้กเหมือนเธอเป็นสินค้า แต่คุณอิฐกำลังจะพยายามซื้อน้องด้วยความศรัทธา ความหลงใหลที่คุณอิฐพยายามหลอกล่อให้น้องตายใจ แบบนี้ละค่ะเรียกว่าไม่จริงใจ คุณอิฐกำลังหยิบยื่นมลทินให้ชีวิตน้องเค้ก ไหมถึงจำเป็นต้องปกป้องน้อง”

เขาแค่นหัวเราะใส่หน้าเธอ แม้จะเห็นดวงตาคู่หวานแดงก่ำขึ้น แต่เป็นแววตาของคนที่ถือเนื้อถือตัวจนเขาแทบคลั่ง อยากกระชากอัยย์ศยาเข้ามาปล้ำจูบ ซุกไซ้เธอให้ทั่วทั้งเรือนกาย เขาอยากรู้นักเวลาที่อัยย์ศยายอมเป็นเมียน้อยปรนัย เธอมีความคิดดีๆ แบบนี้อยู่ในหัวบ้างหรือเปล่า

“เวลาที่คุณขึ้นเตียงกับผัวชาวบ้านน่ะ คุณเคยคิดถึงมลทินที่จะติดตัวคุณไปจนตายบ้างหรือเปล่า”

“คุณอิฐ”

“ทำไม” เขายักไหล่มองเธออย่างดูแคลน แต่เมื่อเห็นความชอกช้ำในดวงตาของอัยย์ศยาแล้วกลับหวั่นไหว สองมือบีบไหล่เธอแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “ผมพูดความจริง ทีเรื่องของผมคุณยังกล่าวหาผมได้ ทั้งที่คุณยังไม่มีหลักฐาน แต่ทีเรื่องของคุณ คุณทำเป็นลืมว่าคุณเคยทำเรื่องน่าอายแค่ไหน ที่คุณเชิดหน้าใส่ผมอยู่ตอนนี้ ผมยังอดนึกไม่ได้เลยนะไหม ว่าคุณปรนัยทำยังไงคุณถึงยอมขึ้นเตียงกับเขา”

อัยย์ศยาแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ยืนนิ่งปล่อยให้ขุนพลกวาดสายตาโลมเลียมเธอไปทั้งตัวด้วยความร้อนระอุปานอกจะระเบิด แล้วเค้นเสียงสั่นๆ ออกมา หวังตอกย้ำความเข้าใจของขุนพลให้แดดิ้นตายกันไปข้าง

“อย่างน้อยคุณปรนัยก็สุภาพกับไหม ถึงเขาจะแก่คราวพ่อ แต่เขาก็ทำให้ไหมมีความสุขในช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเขา เขาไม่เคยดูถูกไหม ทั้งคำพูดและสายตา ต่อให้เขาทำให้ไหมดูตกต่ำในสังคมแค่ไหน แต่อย่างน้อยตอนที่เขาจะขึ้นเตียงกับไหม เขาก็ทำให้ไหมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิง”

คนที่ตั้งใจจะยั่วแต่แรกกลับโกรธจนหูอื้อตาลาย ที่ผ่านมาเขาฟังแต่คนอื่นพูด แต่พอได้ยินจากปากอัยย์ศยาว่าเธอเคยขึ้นเตียงกับปรนัย เขาก็แทบคลุ้มคลั่ง มือใหญ่บีบต้นแขนเธอแน่นขึ้น ดวงตาวาวโรจน์

“ไหม! คุณต้องไปหาคนมาแทนบุษยานุชเดี๋ยวนี้ก่อนที่ผมจะฆ่าคุณ ออกไปให้พ้นหน้าผม” เขาปล่อยเธอในลักษณะที่แทบจะเรียกว่าผลัก

อัยย์ศยาเจ็บปวดจนไม่มีเวลาสำออย เธอเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ผลักน้ำตากลับลงอกก่อนจะรับคำสั่งเขาเสียงสั่น “ไหมจะพยายามค่ะ”

ขุนพลทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างแรงตามหลังเสียงปิดประตูอย่างแผ่วเบา เขาปวดศีรษะตุบจนต้องทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วยกสองมือขึ้นกุมศีรษะ หายใจแรงราวกับจะขาดใจตายในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ยิ่งนับวันเขายิ่งต่อต้านหัวใจตัวเองไม่ได้ เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวที่ดังขึ้นดึงเขาออกจากห้วงความคิดอันอัดอั้นตันใจ แต่พอรู้ว่าคนที่โทร. มาเป็นใคร ขุนพลก็ตึงเครียดขึ้นมาอีก เขานึกไปถึงคำพูดของเจ้าสัวผู้ร่ำรวยและมากด้วยบุญคุณสำหรับเขา ซึ่งพยายามจะสื่อความนัยว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่ขุนพลจะเกี่ยวดองเป็นหนึ่งในวิทย์เทวินท์ในฐานะลูกเขย

“ผมจะเคลียร์งานทั้งหมดแล้วไปที่บ้านคุณลุงนะครับ” ขุนพลรับปากอย่างสุภาพอ่อนน้อมแล้วถอนใจยาวหลังวางสายจากชายชราที่เขานับถือ

เจ้าสัวดิเรกโทร. มากึ่งชวนกึ่งบังคับให้เขาไปร่วมโต๊ะมื้อเย็นในวันพรุ่งนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อจะให้เขากับเปรมพลอยทำความรู้จักกันให้มากขึ้น และทุกครั้งเจ้าสัวก็จะพูดถึงผลประโยชน์ที่ชายหนุ่มจะได้รับจากสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงความมั่นคงในชีวิตบุตรสาวที่ท่านรัก และเห็นว่าหากปล่อยให้บุตรสาวแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นก็คงไม่แคล้วถูกปอกลอก สร้างปัญหาให้ธุรกิจของวิทย์เทวินท์

ก่อนหน้านี้เปรมพลอยมีข่าวกับดาราหนุ่มชื่อดังคนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เลิกรากันไป สิ่งที่เขารู้คือเปรมพลอยไม่ใช่ผู้หญิงใสๆ เธอเติบโตท่ามกลางสังคมเสรีภาพ จึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะใช้ชีวิตตามความพอใจกับผู้ชายคนไหนก็ได้ ตราบใดที่เธอยังไม่แต่งงาน ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งกดดัน เขาเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวที่สามารถระบายความใคร่กับเพศตรงข้ามได้ แต่ไม่สามารถยอมรับสิ่งที่ขัดต่อขนบประเพณีอันดีงามได้

ขุนพลเติบโตมาในสังคมหลายรูปแบบ เจอจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิตมาหลายครั้ง ในวันที่เขาต่อสู้กับชะตาชีวิตเพียงลำพังสองคนแม่ลูก เขาได้รู้จักความร้อนจนเหงื่อออก ความเหนื่อยล้าจนหลังแทบขาด ความง่วงจนสมองล้า เมื่อนำผู้หญิงสองคนมาเปรียบเทียบกัน เขาก็พบคำตอบ...ทุกเรื่องสามารถให้โอกาสกันใหม่ได้โดยมีพื้นฐานของความรัก

 

หลังมื้ออาหารวันนั้น ขุนพลยังจดจำได้ดีถึงแววตาของเจ้าสัวดิเรกที่จงใจพูดเป็นนัยต่อหน้าทุกคนบนโต๊ะอาหารเรื่องของเขากับเปรมพลอย โดยที่ฝ่ายหญิงดูจะเต็มใจและแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาต่อหน้าทุกคน

ขุนพลคิดเรื่องนี้ทั้งคืน แม้ว่าเขาจะเอาตัวออกหากจากผลประโยชน์และอำนาจในบริษัทใหญ่โตนั่นมาแล้ว แต่เพราะบุญคุณท่วมหัว เขายังถอยออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาคนสำคัญของที่นั่นไม่ได้ การทำให้เจ้าสัวดิเรกรู้สึกว่ากำลังถูกเขาเนรคุณไม่เป็นการดี เขายอมรับในการถูกพูดถึงในฐานะบุรุษที่เจ้าสัวต้องการให้แต่งงานกับลูกสาวสุดที่รักของท่าน เพราะไม่เคยคิดจะหักหน้าผู้ใหญ่ให้เคืองใจ แต่ยิ่งฝ่ายหญิงทำท่าว่ามีใจให้เช่นนี้ เขากลับยิ่งลำบากใจ

ชายหนุ่มปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อมาถึงที่ทำงาน คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อไม่เห็นบุษยานุชอย่างที่ออกคำสั่งไว้ ขุนพลมองอัยย์ศยาที่ยังคงทำตัวเป็นปกติกับทุกคนเหมือนไม่เคยมีเรื่องต่อปากต่อคำกันมาก่อน ทำให้เขาขุ่นเคืองนัก แต่จำต้องเก็บอาการไว้เช่นกัน เขาเรียกนรีสุดามาพบทุกสองวัน แล้วใช้ให้อัยย์ศยาจองร้านอาหารให้ แต่อัยย์ศยากลับวางตัวเฉยได้เสมอต้นเสมอปลาย

เย็นวันหนึ่งชายหนุ่มเห็นอัยย์ศยาจัดเรียงเอกสารอย่างไม่รีบร้อน ในขณะที่ผู้ช่วยทั้งสองเลิกงานและกลับบ้านไปแล้ว เขาจึงแกล้งเธอโดยการเรียกปาลินมาพบ ขัดใจเมื่อปาลินปฏิเสธ บอกว่าเธอเพิ่งบินไปทำศัลยกรรมใบหน้าที่เกาหลี แต่ก็ไม่วายคิดหาทางเอาเงินเข้ากระเป๋าด้วยการเสนอเด็กสาวร้อนเงินให้ชายหนุ่มทั้งที่ไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง

ขุนพลชำเลืองมองไปทางประตูห้อง รู้ว่าอัยย์ศยาจะยังไม่กลับหากเขายังอยู่ กำลังจะตอบรับปาลินแต่กลับมีสายโทร. ซ้อนเข้ามาเสียก่อน

อัยย์ศยากำลังเก็บแฟ้มเอกสารเข้าที่หลังจากตรวจเช็กจนเรียบร้อย หญิงสาวในชุดเดรสตัวสวยแต่งหน้าแต่พองาม พวงแก้มสดใสสมวัย ดูท่าอายุยังไม่เต็มยี่สิบปีก็มายืนยิ้มอยู่เบื้องหน้า

“สวัสดีค่ะ มาพบคุณขุนพลค่ะ” เด็กสาวบอกอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะอัยย์ศยายิ้มเย็นให้เหมือนแม่ชีผู้เยือกเย็น ทำให้คนมองรู้สึกเกร็งจนต้องยิ้มแหยให้อีกครั้ง

อัยย์ศยาค่อยๆ นั่งลงโทรศัพท์ สักพักก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “เชิญค่ะ” เธอนั่งนิ่ง หัวใจเต้นถี่รัว ใบหน้าร้อนสลับเย็นเหมือนคนใกล้จะเป็นลม แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือในอกบีบรัดจนแน่น ขอบตาเต้นระริก แต่ไม่รู้จะหาเหตุผลข้อไหนมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้

หญิงสาวถอนใจออกมาหลายครั้ง จัดการปิดคอมพิวเตอร์ระหว่างสงบอารมณ์ตัวเอง พยายามจะหักห้ามความคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของขุนพล ในเมื่อเขายังโสด เขาก็มีสิทธิ์จะหาความสุขกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ เขาไม่ได้ไปฉุดกระชากลากถูหญิงสาวคนนั้นมากระทำชำเราเสียเมื่อไร

จังหวะที่เธอเหลียวมองไปยังประตูห้องที่ปิดเงียบ จู่ๆ เขาก็โผล่หน้าออกมาแล้วเอ่ยปากใช้งานทันที “คุณไหม จะกลับแล้วเหรอครับ”

“ค่ะ” อัยย์ศยาบังคับเสียงตัวเองได้ดีทั้งที่ในใจนึกปรามาสขุนพล เด็กสาวคนนั้นยังคงยิ้มสดใส ไม่มีทีท่าว่าจะถูกบังคับขืนใจให้มาหาเจ้านายของเธอเลยสักนิด

“คุณโทร. จองโรงแรมให้ผมหน่อยนะ เดี๋ยวผมจะพาน้องเนยไปกินข้าวเย็น แล้วไลน์ไปบอกผมด้วย ขอที่เป็นส่วนตัวหน่อย”

อัยย์ศยากัดริมฝีปากจนเจ็บ มองตามขุนพลโอบไหล่หญิงสาวผู้แสนบอบบางออกไปอย่างสนิทสนม ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอคนนั้นจะกล้าทำอะไรแบบนี้ เงินซื้อได้ทุกอย่างแม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไง สุดท้ายอัยย์ศยาก็ตัดสินใจกระแทกโทรศัพท์ลงบนแป้นตามเดิม ขุนพลจะทำเลวก็ทำไป แต่เธอไม่ขอสนับสนุนให้ผู้หญิงคนนั้นขายตัวเด็ดขาด

 

หญิงสาวออกจากตึกสูงด้วยใจหนักอึ้งพร้อมรับผลที่จะตามมาสำหรับการต่อต้านเจ้านายในครั้งนี้ เธอเรียกแท็กซี่ไปที่ร้านของระรินดา สั่งอาหารง่ายๆ และเครื่องดื่มมานั่งรับประทานอย่างเหงาๆ รอเพื่อนเสร็จงานจากหลังร้านคงได้มีคนพูดคุยด้วย แล้วเสียงโทรศัพท์ที่เธอเฝ้ารอก็ดังขึ้น

“สวัสดีค่ะ”

“ผมให้คุณไลน์แจ้งชื่อที่อยู่โรงแรม ทำไมป่านนี้ยังไม่ได้อีกครับ”

“นี่มันเวลาเลิกงานของไหมแล้วค่ะ” ได้ยินน้ำเสียงที่ทั้งห้วนทั้งวางอำนาจแล้วเธอก็พานกลืนอะไรไม่ลง

“คุณจะลองดีกับผมเหรอไหม ผมสั่งให้คุณจองโรงแรมให้ผม นี่ผมกินข้าวเสร็จแล้วนะ คุณยังไม่ได้โรงแรม แล้วผมจะไปไหนต่อ”

“ไหมเลิกงานแล้วค่ะ ไม่มีเวลาช่วยคุณอิฐทำบาป”

“ไหม! อีกสิบนาทีผมต้องได้เลขที่ห้องกับชื่อโรงแรม”

“คุณอิฐคะ...”

“คุณไม่ต้องมาปีกกล้าขาแข็งกับผมนะไหม ถึงจะเลิกงานแล้วแต่คุณอย่าลืมนะว่าพรุ่งนี้เช้าคุณก็ยังต้องทำงานให้ผม ผมสั่งอะไรคุณก็ทำไป เข้าใจไหม!” ขุนพลตะคอกเสียงดังมาตามสาย จนคนที่ถือโทรศัพท์แนบหูอยู่ข่มอารมณ์ไม่ให้ตอบโต้จนปวดร้าวไปทั้งใจ

“ค่ะ”

อัยย์ศยารับคำอย่างยอมแพ้แล้วกัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ ขณะหยิบแท็บเล็ตออกมาจากกระเป๋าเพื่อค้นหารายชื่อโรงแรม

ทางด้านขุนพลซึ่งยืนอยู่ในร้านกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อดังมองนรันยาเดินเลือกกระเป๋าไปรอบร้าน แต่ใจกลับตวัดไปอยู่ที่เลขาฯ สาว เสียงเตือนข้อความที่ดังขึ้นทำให้ขุนพลกระตุกยิ้มแล้วหยิบมาเปิดอ่าน พอเห็นชื่อโรงแรมหรูวิวสวยพร้อมรายละเอียดการจอง เขาจึงกดส่งสติกเกอร์รูปการ์ตูนไปให้หญิงสาวซึ่งเปิดอ่านแต่ไม่ตอบ

“พี่อิฐคะ”

“ครับ” ขุนพลขานรับหญิงสาวที่หันมาเอียงคอยิ้มกว้างกับเขาอย่างน่ารัก ชายหนุ่มยิ้มตอบแล้วเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ น้องสาวคนสุดท้องของอิศรา เพื่อนรักของเขา

หญิงสาวเดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาเยี่ยมพี่ชายและถือโอกาสเที่ยวกรุงเทพฯ ไปด้วย แต่วันนี้อิศราติดปัญหาที่ไซต์งานก่อสร้างจนปลีกตัวมาไม่ได้ ด้วยความเป็นห่วงน้องสาวจึงให้นรันยามาพบขุนพลที่บริษัท เพื่อให้เขาช่วยดูแลแทนไปก่อน แต่ขุนพลไม่อยากพานรันยาไปพักที่คอนโดส่วนตัว จึงตั้งใจจะให้หญิงสาวพักค้างคืนที่โรงแรมเพราะน่าจะเหมาะสมกว่า แต่จงใจแกล้งพูดกำกวมให้อัยย์ศยาเข้าใจผิด

“จริงๆ พี่อิฐไม่ต้องเดินตามเนยก็ได้นะคะ ไปหาร้านกาแฟนั่งรอดีกว่าค่ะ ผู้ชายเดินชอปปิงกับผู้หญิงน่าเบื่อจะตายไป” นรันยาบอกชายหนุ่มอย่างเกรงใจ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับกระเป๋าแบรนด์เนมที่เธออยากได้มานานแล้ว และตั้งใจว่ามากรุงเทพฯ เมื่อไรจะต้องซื้อมาครอบครอง

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไอ้ตั้มมันจะด่าพี่ เนยเลือกตามสบายเลย พี่ไม่รีบ พี่กินกาแฟรอก็ได้ พี่เข้าใจ ผู้หญิงเวลาจะซื้อกระเป๋า รองเท้าแต่ละทีก็ต้องคิดเยอะหน่อย”

“ก็ใช่สิคะ กระเป๋าใบนึงไม่ใช่พันสองพัน กว่าจะอ้อนคุณแม่ขอให้ท่านช่วยจ่ายให้ตั้งนานแน่ะ” นรันยาทำจมูกย่นแล้วเดินเลี่ยงไปดูกระเป๋าบนชั้นวางที่อยู่ห่างออกไป

ขุนพลถอนใจเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง ก็ไม่พบว่าอัยย์ศยาจะตอบกลับเขามา

ชายหนุ่มเหลือบมองนรันยาที่ดูมีความสุขกับการชอปปิงจนเขาอดคิดไม่ได้ว่า หากอัยย์ศยาขอร้องเขาสักนิดให้เห็นใจเธอ อธิบายถึงความจำเป็นที่ทำให้หญิงสาวตัดสินใจทำในสิ่งผิดจนกลายเป็นตราบาปติดตัว เขาอาจจะมีความสุขมากกว่านี้ ยิ่งนับวันทุกลมหายใจของเขายิ่งคิดถึงแต่อัยย์ศยาจนไม่อยากอดทนอีกต่อไป เขาควรจะสารภาพรักกับเธอและขอเธอแต่งงานก่อนที่ดิเรกจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาตรงๆ

แต่ถ้าแม่ของเขารู้ปูมหลังของผู้หญิงที่เขารักเข้า แม่จะยอมรับได้หรือเปล่า แม่จะผิดหวังในตัวเขาแค่ไหน

“สนใจรุ่นไหนสอบถามได้นะคะ” พนักงานสาวเห็นเขาสนใจกระเป๋าขนาดกำลังพอเหมาะและเป็นรุ่นที่นิยมมากที่สุดสำหรับแบรนด์นี้ ก็เข้ามาแนะนำทันที

สุดท้ายแล้วเขาก็แอบรู้สึกผิดที่แกล้งอัยย์ศยา เพราะคนเย็นชาแบบนั้นคงไม่รู้สึกอะไรหรอก นรันยาซึ่งตัดสินใจเลือกรุ่นกระเป๋าได้แล้วหันมาเห็นขุนพลส่งบัตรเครดิตให้พนักงานขายก็ย่นคิ้วแล้วปรี่เข้ามาถาม

“พี่อิฐ ซื้อกระเป๋ารุ่นนี้เหรอคะ” นรันยาทำตาโตอย่างน่ารักแล้วเอียงคอมองชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มล้อเลียน ก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นหน้าขึ้นสีเลือดของเขา “ขอโทษนะคะ เนยทำให้พี่อิฐผิดนัดแฟนหรือเปล่าคะ ถึงกับต้องเสียเงินค่ากระเป๋าเป็นแสนเพื่อไปง้อแฟนแน่ะ”

“เปล่าครับ พี่ไม่ได้ผิดนัดใคร” ขุนพลรีบแก้ตัวเสียงระรัว ยิ่งถูกน้องสาวเพื่อนจับจ้องอย่างล้อเลียนเขาก็ยิ่งเขิน แต่เก็บอาการไว้ เขามองตามพนักงานที่กำลังจัดการกับกระเป๋าใบที่เขาซื้อไปอย่างแก้เขิน

ใช่ว่าขุนพลไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้อัยย์ศยา เขาเคยซื้อข้าวของทุกสิ่งฝากเธอ เห็นอะไรที่สาวๆ สมัยนี้เขานิยมชมชอบอยากได้กัน เขาก็มักจะซื้อติดไม้ติดมือมาฝากเธอเสมอ เงินทองที่มีอยู่นอกจากเพื่อตัวเองกับแม่แล้ว ก็คงจะมีแต่อัยย์ศยาที่เขากล้าจ่ายให้เธอ เพราะคิดว่ามันจะทำให้อัยย์ศยาเห็นความดีของเขาในสักวัน โดยที่ไม่ต้องคุกเข่าอ้อนวอนขอความรัก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น