6

บทที่ 6


6

 

ขุนพลจดจ้องถุงกระดาษแบรนด์ดังที่เก็บไว้กับตัวนานหลายวันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนใจยืดยาวแล้วตัดสินใจคว้ามันติดมือลงจากรถไปด้วย เขาไม่ได้ต่อว่าเลขาฯ สาวที่บังอาจขัดคำสั่ง แต่กลับทำเฉยและปล่อยให้อัยย์ศยาเข้าใจผิดเรื่องนรันยา ทว่าผ่านไปหลายวัน อัยย์ศยาก็ไม่มีทีท่าจะง้องอนหรือเอ่ยปากสำนึกผิดเลยสักคำ

คิดแล้วก็น่าโมโหนัก เธอทำเหมือนเขาไม่มีค่าเลยสักนิด อัยย์ศยาต่อต้านเขาหนักขึ้นทุกวัน เธอยังไม่ยอมหาคนมาแทนบุษยานุชตามที่เขาสั่งอีกด้วย

ชายหนุ่มก้าวออกจากลิฟต์ก่อนจะหยุดที่หน้าโต๊ะเลขาฯ สาวแล้วหย่อนถุงในมือลงตรงหน้าคนที่กำลังสาละวนกับการเริ่มต้นงานวันใหม่ ใบหน้าสวยเงยขึ้นมาสบตา ขุนพลพยักพเยิดไปยังถุงใบใหญ่ที่เขาเพิ่งวางให้เธอ

“ค่าล่วงเวลาที่ผมใช้คุณจองห้องให้เมื่อวันก่อน” ชายหนุ่มจงใจแค่นยิ้มใส่ดวงตาคู่สวยที่ไหววูบเล็กน้อย

เธอไม่อยากได้ค่าตอบแทนมูลค่าสูงลิบนี้หรอก ถ้าเขาจะถือว่าเธอมีส่วนร่วมในการก่อกรรมทำเข็ญกับหญิงสาวเหล่านั้น แต่อัยย์ศยาเลือกที่จะนิ่งแล้วยิ้มเล็กน้อยด้วยท่าทีของผู้รับที่มีมารยาท

                “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวหยิบถุงของฝากจากเจ้านายหนุ่มวางลงใต้โต๊ะอย่างเบามือแล้วหันกลับมายิ้มกว้างให้เขา เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่เป็นงานเป็นการตอนที่เธอหันไปเห็นใครบางคนเดินแกมวิ่งใกล้เข้ามา “คุณอิฐคะ ไหมหาคนช่วยงานคนใหม่ตามที่คุณอิฐสั่งได้แล้วนะคะ นี่พิมพ์พราวค่ะ เป็นนักศึกษาฝึกงาน ไหมเห็นน้องคล่องแคล่ว ขยัน แล้วก็ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เลยขอตัวมาช่วยงานตามที่คุณอิฐต้องการค่ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างแล้วผายมือไปทางคนที่เพิ่งมาถึง

                “สวัสดีค่ะ พราวขอฝากตัวด้วยนะคะ พราวสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานกับพวกพี่ๆ แล้วก็คุณอิฐอย่างเต็มที่เลยค่ะ”หญิงสาวมาใหม่ยืดอกไหว้ขุนพล ก่อนจะปั้นยิ้มอย่างคนที่มั่นใจในตัวเองมากพอสมควร

ชายหนุ่มรับไหว้แล้วมองพิมพ์พราวนิ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมายังหญิงสาวผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของเขา แม้จะต้องใช้เวลาในการคัดสรรคนนานเกือบสิบวันก็ตาม เขาเริ่มจะซาบซึ้งในความตั้งใจของอัยย์ศยาจนลมร้อนวิ่งผ่านหูเลยทีเดียว

ขุนพลมองไม่ผิดหรอก ภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบและรอยยิ้มเป็นงานเป็นการของเลขาฯ สาวนั้น เธอได้ซ่อนความรู้สึกสะใจที่เอาชนะเขาได้ในเกมนี้ ชายหนุ่มมองเมินใบหน้าอัยย์ศยาไปที่อารดา กมลพร และนักศึกษาฝึกงานคนใหม่ เมื่อตวัดสายตากลับมามองอัยย์ศยาอีกครั้ง เขาเห็นเธอเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ ขณะที่เขาแทบจะเข่นเขี้ยวใส่หน้าเธอตอนที่อัยย์ศยาแนะนำประวัติและความสามารถของพิมพ์พราว ก่อนจะเน้นย้ำหน้าที่กับหญิงสาวคนนั้น

พิมพ์พราวรับคำอย่างแข็งขัน ท่าทางดูกระตือรือร้นตั้งใจทำงาน ขุนพลเหลือบมองอัยย์ศยาอย่างไม่พอใจนับครั้งไม่ถ้วน แต่อัยย์ศยาหาได้ใส่ใจ เธอยังคงปั้นยิ้ม วางมาดหัวหน้างานผู้แสนมีเมตตาต่อไป

ขณะที่เขาขุ่นข้องใจนัก เพราะพิมพ์พราวพูดจาฉะฉาน ท่าทางแก่นกะโหลก ทันโลก ไม่อ่อนหวานน่ารักเหมือนบุษยานุช รูปร่างผอมบางผิวค่อนข้างคล้ำ สิ่งที่ควรจะโดดเด่นเกินทุกส่วนในร่างกายไม่ใช่หน้าอกหน้าใจอวบอิ่มอย่างบุษยานุช แต่กลับเป็นฟันซี่ขาวๆ ที่ยื่นออกมาโดยมีเหล็กจัดฟันรั้งอยู่

เขากระตุกมุมปากใส่หน้าอัยย์ศยาที่ยิ้มรับเล็กน้อยประหนึ่งยินดีรับคำขอบคุณ แล้วหันหลังเดินเข้าห้องไปด้วยความหงุดหงิด ต่อให้อยากยั่วอัยย์ศยาแค่ไหนก็คงต้องพับเก็บความคิดเอาไว้ก่อน ขืนทำมีหวังได้ถูกนินทาไปทั้งบริษัท ท่าทางฉลาดอย่างพิมพ์พราวคงไม่หลงกลเขาง่ายๆ ดีไม่ดีเอาเรื่องของเขามาป่าวประกาศให้อัยย์ศยาหัวเราะเยาะเข้าไปอีก

 

กันย์ณิตาที่เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านเท้าคางมองตามร่างเพรียวบางสมส่วนในชุดเดรสพอดีตัวซึ่งกำลังสาละวนจัดของใช้จำเป็นใส่กระเป๋าใบย่อมไปโรงพยาบาล

“ตกลงพี่ไหมเป็นเลขาฯ หรือเป็นเมียคุณอิฐกันแน่” กันย์ณิตาเปรยขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ เธอรู้สึกว่าขุนพลจะใช้งานพี่สาวของเธอหนักเกินไปแล้วจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว ครั้งก่อนตัวเองไม่สบายก็โทร. ตามอัยย์ศยา ครั้งนี้แม่เขาไม่สบายก็ยังต้องให้อัยย์ศยาไปเฝ้าที่โรงพยาบาล

“ยัยเอิง อย่าลามปามแบบนี้นะเรา” คนเป็นพี่หันมาปราม พลางวางหนังสือเล่มหนึ่งลงในกระเป๋าแล้วรูดซิป ก่อนจะนั่งลงบิดต้นแขนกันย์ณิตาอย่างไม่จริงจัง “งานดีๆ สมัยนี้มันไม่ได้หาง่ายๆ นะ อีกอย่างคุณอิฐเขาก็จ่ายเงินเดือนพี่มากกว่าพนักงานทั่วไป เราเองก็เถอะนะ จำไว้เลยนะเอิงว่าอย่าหยิ่ง อย่าเลือกงาน อย่าไปคิดว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ นี่ไม่ใช่เรื่อง เจ้านายเขาจ่ายเงินจ้างเรา บางทีเขาอาจไม่ได้ต้องการแค่เอกสารที่เราพิมพ์ เขาอาจจะอยากได้น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ประหนึ่งญาติจากเราด้วยก็ได้”

“โห พี่ไหมขา มันไม่ใช่ทุกคนนะคะพี่” น้องสาวยังไม่วายแย้ง “เท่าที่เอิงเห็นนะ คุณอิฐของพี่เขาทำยังกับพี่เป็นภรรยาเขาแน่ะ ทั้งควงออกงาน จะไปไหนทีใส่ชุดธรรมดาก็ไม่ได้ ต้องให้เงินมาจัดการตัวเอง ให้โบนัสตั้งเยอะ แล้วยังบอกว่านาฬิกาสวิสเรือนที่ข้อมือพี่ไหมเป็นรางวัลค่าเหนื่อยพิเศษ จะว่าไป นั่นกระเป๋าใบใหม่หรือ รุ่นสุดฮิตเลยนะ ราคาตั้งเกือบสองแสนเชียวนะ” คนเป็นน้องพุ่งกายไปหยิบกระเป๋าใบใหม่ของพี่สาวมาพิจารณา

อัยย์ศยาเหลือบมองตาม ใจเต้นหวิวเมื่อนึกถึงที่มาของสินจ้างรางวัลราคาแพงลิบแล้วไม่อยากใช้มันเลยสักนิด ถ้าเขาจะไม่กระแนะกระแหนเธอเรื่องไม่ยอมสะพายกระเป๋าใบนี้ แถมยังบอกว่าเขารู้สึกอับอายที่เลขาฯ ของเขาใช้แต่ของราคาถูก นั่นทำให้คนเป็นเลขาฯ ถึงกับหลุบตามองกระเป๋าใบเก่าที่เธอสะพายอยู่ ซึ่งมีราคาค่างวดถึงห้าหมื่นบาท

เมื่ออัยย์ศยาเอาแต่เงียบ คนที่พินิจกระเป๋าใบหรูอย่างตื่นเต้นจึงเปรยขึ้น “ไม่ใช่ว่าเขาแอบรักพี่ไหมอยู่เหรอ” กันย์ณิตาถามเสียงสูง เหลือบตามองพี่สาวสลับกระเป๋าในมือแล้วยิ้มล้อเลียน ดวงตาวาววับ

“จะบ้าเหรอ อย่าเที่ยวพูดอะไรแบบนี้นะเอิง เขาจะเข้าใจผิดว่าพี่หลงตัวเอง” อัยย์ศยาแก้ตัว หน้าร้อนผ่าวจนต้องเสไปเร่งมือ ยัดข้าวของใส่กระเป๋าอย่างร้อนตัว เพราะคนที่แอบรักคงไม่ใช่ขุนพลหรอก แต่เป็นเธอ

หญิงสาวปิดกระเป๋าแล้วหันไปจิ้มหน้าผากจอมสงสัยอย่างไม่จริงจัง แต่กันย์ณิตายังไม่หยุดพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด

“เอิงพูดจริงนะพี่ไหม เจ้านายบ้าที่ไหนจะทำกับลูกน้องแบบนี้”

“ที่เขาทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาพิศวาสอะไรพี่หรอก เขาแค่ตอบแทนที่พี่ตอบโจทย์ความต้องการของเขาได้คุ้มค่าต่างหาก” อัยย์ศยาแก้ตัวไปเรื่อยแล้วทำท่าจะลุกหนีน้องสาวไปดื้อๆ แต่คนที่กลิ้งเกลือกบนเตียงเธอกลับคว้าข้อมือไว้แล้วหลิ่วตาใส่

“แต่เอิงรู้มาว่า คุณอิฐเขาเคยแอบรักพี่ไหมมาก่อนไม่ใช่เหรอ หูย...ข่าวพี่ดาด้าไม่มีพลาด”

อัยย์ศยาหัวเราะเหมือนตลกน้องสาว แต่ที่จริงเธอหัวเราะเยาะชะตาตัวเองต่างหาก

“เรื่องสมัยพระเจ้าเหานี่นะ นี่ยัยเอิง คุณอิฐน่ะ ทุกวันนี้เขาเป็นคนที่อยู่ไกลพวกเรามากไปแล้วจ้ะ รอบตัวเขามีนางแบบ พริตตีเงินล้าน หรือแม้แต่เด็กสาวหน้าแฉล้มแช่มช้อยมาให้เลือกไม่เว้นแต่ละวัน เขาคงจะคิดอะไรกับพี่สาวเธอหรอกนะ” อัยย์ศยายิ้มหัวกลบเกลื่อนความประหม่า แล้วถือกระเป๋าเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้คนบนเตียงแบะปากอย่างไม่ค่อยเชื่อคำพี่สาว พลางบ่นกระปอดกระแปดเบาๆ คนเดียว

“อยู่ไกลกับผีน่ะสิ เห็นตัวติดกันอย่างกับเงา”

 

แสงไฟที่ลอดผ่านช่องประตูที่เปิดแง้มทำให้อัยย์ศยาหันไปมอง แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงห้ามไม่ให้ขุนพลส่งเสียงรบกวนลัดดาซึ่งเพิ่งหลับไป เธอสวมรองเท้าแตะแล้วเดินตามเขาออกไปคุยด้านนอก สีหน้าชายหนุ่มดูไม่สบอารมณ์เท่าที่ควร

“แม่เป็นไงบ้าง กินข้าวได้เยอะหรือเปล่า”

“ทานได้นิดเดียวค่ะ บ่นว่าฝืดคอ ไหมก็เลยโทร. ไปสั่งให้พี่จอยช่วยทำน้ำขิงมาให้คุณท่านพรุ่งนี้เช้า คุณหมอบอกว่าให้อยู่ดูอาการไปก่อนสักสองสามวัน เพราะร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่มาก”

ขุนพลพยักหน้ารับรู้ ตั้งใจว่าอีกสักครู่จะเข้าไปดูมารดา เมื่อไม่รู้จะถามไถ่อะไรกันจนเกิดความเงียบ อัยย์ศยาจึงขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วถามเขาอย่างไม่แน่ใจ

นับวันเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าการอยู่กับเขาตามลำพังสร้างความอึดอัดทรมานใจมากขึ้นทุกที หลบเลี่ยงได้เสียบ้างก็คงจะดีไม่น้อย ยิ่งตอนนี้สีหน้าขุนพลดูเครียดๆ นึกถึงถ้อยคำล้อเลียนจากน้องสาวแล้วก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเฉยๆ จะวางตัวให้เป็นปกติก็ยากเย็นเหลือเกิน

“คุณอิฐจะอยู่เฝ้าคุณท่านหรือเปล่าคะ”

“อือ” เขาขานรับในลำคอสั้นๆ ก่อนจะเผลอตวัดสายตาขุ่นเคืองมองหญิงสาวที่พูดประโยคต่อมา

“ถ้าอย่างนั้น ไหมจะได้ขอตัวกลับบ้าน คุณอิฐอยากได้ของใช้ส่วนตัวอะไรหรือเปล่าคะ ไหมจะลงไปซื้อที่ข้างล่างมาให้”

“ทำไม กลัวไอ้ทิวเมธมันจะไม่พอใจหรือไงที่รู้ว่าคุณมาเฝ้าไข้แม่ผม ไม่ต้องกลัวหรอกนะไหม ที่นี่มันโรงพยาบาลผมคงไม่ไร้การศึกษาขนาดจะมีอะไรกับเลขาฯ ตัวเองในห้องพักคนไข้หรอก”

“คุณอิฐกำลังพูดถึงเรื่องอะไรคะ” อัยย์ศยาขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคือง

“ไม่ต้องกลัวจะชวดตำแหน่งสะใภ้คนเล็กของคุณลุงดิเรกหรอกไหม ถ้าลงมันได้ยินเรื่องที่เธอเป็นเมียน้อยไอ้ปรนัยมาก่อนแล้วมันยังเอาเธอลง ถึงขั้นตามไปตอแยกันถึงพัทยาละก็ มันคงจะติดกับเธอแล้วละ”

“คุณอิฐคะ ไหมขอตัวกลับนะคะ” อัยย์ศยาสุดที่จะฟังคนปากเสีย กล่าวจบก็หันหลังเดินมุ่งหน้าไปห้องพักของลัดดา แต่ขุนพลตามมากระชากแขนจนหญิงสาวตกใจ “คุณอิฐ!”

“ทนฟังไม่ได้เหรอ”

“คุณอิฐดื่มเหล้ามาจากงานเลี้ยงหรือเปล่าคะ” อัยย์ศยาเริ่มออกอาการไม่พอใจ เธอถามเสียงสั่นทั้งที่ไม่ได้กลิ่นเหล้าจากลมหายใจของเขาสักนิด ทางเดินโรงพยาบาลยามค่ำคืนเงียบเชียบ ไม่ว่าพวกเธอจะพูดเสียงเบาแค่ไหน ทุกคำกลับได้ยินชัดเจน

“ไอ้ทิวเมธมันยอมเป็นผู้ชายหน้าโง่ ถึงขนาดกล้าพูดต่อหน้าทุกคนในงานรวมถึงผมด้วยว่ามันสนใจคุณ ผมควรจะดีใจกับคุณใช่ไหม อีกหน่อยไม่ว่าผมกับแม่จะเป็นจะตายยังไง ว่าที่สะใภ้มหาเศรษฐีอย่างคุณก็คงไม่ลดตัวลงมาดูแล”

“ถ้าคุณทิวเมธกล้าพูดให้เกียรติไหมขนาดนั้น ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสพบเขาอีก ไหมจะไม่ปฏิเสธเขาอีกค่ะ” หญิงสาวเชิดหน้าตอบด้วยหัวใจบีบคั้น แววตารวดร้าว ขุนพลบีบแขนเธอจนแทบจะหักคามือ ทั้งที่เธอเอ่ยปากปฏิเสธมิตรภาพดีๆ ที่ทิวเมธพยายามจะสานสัมพันธ์ด้วยไปแล้วแท้ๆ

“คนอย่างคุณเหรอจะปฏิเสธโอกาสทองแบบนั้น อย่าพูดเอาใจผมหน่อยเลยไหม ผมรู้จักคุณดี” ขุนพลยังไม่เชื่อว่าอัยย์ศยาจะปฏิเสธทิวเมธ แม้ใจจะชื้นขึ้นมาเป็นกองที่รู้ว่าอัยย์ศยาปฏิเสธทิวเมธไป

“ค่ะ”

“ขอให้ไอ้ทิวเมธมันไม่มีเมียซ่อนไว้ก็แล้วกัน เพราะผมจะทนมองหน้าคุณไม่ได้อีกแน่ถ้าคุณถูกคนอื่นด่าประจานเรื่องนิสัยผิดศีลธรรมซ้ำๆ อีก”

“ค่ะ”

“แล้วตราบใดที่คุณยังมีป้ายพนักงานบริษัทแขวนคออยู่ ก็กรุณาอย่าทำเรื่องเสื่อมเสียมาถึงผม หรือชื่อเสียงบริษัท”

“ค่ะ”

“ไหม!” ขุนพลเค้นเสียง จ้องคนที่เชิดหน้าจนคอแทบหัก ไม่ว่าเขาจะด่าทอต่อว่าอะไร เธอก็พูดเพียงคำว่าค่ะคำเดียว

“คุณห้ามกลับบ้าน ไปอยู่เฝ้าแม่ผม แล้วผมก็จะอยู่ด้วย”

“ค่ะ”

ชายหนุ่มเหลืออด เขาปล่อยมือจากแขนเธออย่างกระแทกกระทั้น มองอัยย์ศยาหันหลังเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยอย่างเงียบกริบ ชายหนุ่มใช้เวลาสงบสติอารมณ์บนเก้าอี้ริมทางเดินอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินตามเข้ามา เขาจึงไม่รู้ว่าเลขาฯ ที่แสนกวนประสาทในความรู้สึกของเขาใช้เวลาสิบนาทีนั้นร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องน้ำ

อัยย์ศยาเจ็บปวดกับตราบาปที่เธอจำต้องรับแทนน้องสาว อนาคตของกันย์ณิตาเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเธอ อุดมล้มเหลวทางธุรกิจจนครอบครัวต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่หลายปี แม่ของเธอทำทุกอย่างเพื่อลูกหลานที่รัก พ่อที่ถึงแม้จะชอบบ่นว่ากันย์ณิตาอยู่บ้าง แต่ท่านก็รักและพยายามจะทำทุกอย่างให้พวกเธอกลับมาอยู่ดีมีสุข แต่ไม่รู้ทำไม น้ำเสียงดูแคลนและแววตาเหยียดหยันรังเกียจที่ส่งผ่านสายตาของขุนพลในวันนี้ถึงทำลายกำแพงอันเข้มแข็งของเธอจนป่นปี้ได้เพียงนี้

ทำไมขุนพลถึงได้ใจร้ายกับเธอขึ้นทุกวัน

 

เช้าวันรุ่งขึ้นจอยนำน้ำขิงเข้มข้นกับอาหารที่ปรุงอย่างดีมาให้ลัดดา ขุนพลนำคอมพิวเตอร์มาเปิดบนโต๊ะในห้องพักเพื่อทำงานไปด้วยและอยู่ดูแลแม่ไปด้วย พวกเขาเหลือกันแค่สองคนแม่ลูก ต่อสู้ทุกอย่างมาด้วยกันมากมาย ชายหนุ่มรักและห่วงใยแม่เกินกว่าจะมีกะจิตกะใจไปทำงาน แค่เมื่อวานพอรู้ว่าแม่ป่วยตอนที่เขากำลังติดงานเลี้ยงลูกค้าคนสำคัญ เขาก็ว้าวุ่นใจจะแย่

อัยย์ศยาไหว้วานให้จอยไปหาซื้อของใช้ส่วนตัวมาให้ขุนพลเพราะเขาไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย พอป้อนข้าวป้อนยาลัดดาผ่านไปไม่นาน ขุนพลก็เอ่ยปากให้เธออยู่ที่นี่กับเขา อัยย์ศยาอาศัยจังหวะทีเผลอค้อนใส่คนวางอำนาจไปวงใหญ่

เปรมพลอย ลูกสาวคนเล็กของดิเรกมาเยี่ยมลัดดาพร้อมกระเช้าของเยี่ยมราคาแพง อัยย์ศยาแทบเซตอนถูกฝ่ายนั้นจงใจกระแทกตะกร้าขนาดใหญ่ใส่มือ ก่อนจะเดินเข้าไปไหว้ลัดดาอย่างแช่มช้อย

“สวัสดีค่ะคุณแม่ขา พอรู้ว่าคุณแม่ป่วยพลอยก็ใจคอไม่ดี พลอยซื้อของบำรุงมาเยี่ยมคุณแม่เยอะแยะเลยนะคะ ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างคะ” หญิงสาวพูดเสียงอ่อนหวานอย่างสนิทสนม พอเห็นคนป่วยทำหน้างุนงงสงสัยเธอจึงหันไปสบตากับขุนพลราวกับเธอกับเขานั้นแค่มองตาก็รู้ใจ

“คุณเปรมพลอย ลูกสาวคนเล็กของลุงดิเรกครับแม่” ขุนพลจำต้องเดินมานั่งขอบเตียง จับมือแม่ขึ้นมาบีบนวดอย่างเอาใจและแก้หน้าให้เปรมพลอย

ลูกสาวเจ้าสัวยิ้มหวานให้สองแม่ลูก แม้จะนึกเคืองใจที่ขุนพลไม่ยอมแนะนำว่าเธอเป็นคู่หมายของเขา แต่หญิงสาวจำต้องเก็บไว้เสียก่อน ลัดดาไม่รู้เรื่องธุรกิจการงานของลูกชาย เพราะขุนพลไม่เคยให้แม่ตัวเองต้องเหน็ดเหนื่อยหรือรับรู้ปัญหาของเขา

“ขอบคุณมากนะลูก ฉันไม่เป็นไรมากหรอก เจ็บป่วยบ้างตามประสาคนแก่น่ะ อากาศเปลี่ยนก็เลยถูกหวัดเล่นงาน” ลัดดาพยายามพูดคุยยิ้มแย้ม คนเป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อนจิตใจเริ่มว้าวุ่น มองหาหญิงสาวที่ตนถือว่าเป็นสะใภ้แสนรักทั่วห้อง จนเห็นว่าอัยย์ศยานั่งเล่นแท็บเล็ตด้วยท่าทางเฉยเมย

“คุณแม่ต้องพักผ่อนเยอะๆ นะคะ ตอนนี้พลอยกำลังทำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ด้านสุขภาพ เอาเป็นว่าถ้าคุณแม่หายป่วยเมื่อไร พลอยจะแวะไปเยี่ยมคุณแม่ที่บ้านนะคะ”

“อย่ารบกวนเลยลูก ฉันไม่ได้เหงาอะไรหรอก ตาอิฐก็เทียวไปเทียวมา ที่บ้านก็มีหลาน ถ้าอยากได้อะไรพิเศษ หนูไหมก็จัดหาให้ทุกสิ่ง ไม่ต้องลำบากนะลูกนะ” ลัดดาปฏิเสธอย่างนิ่มนวล

เปรมพลอยแสร้งมองหน้าขุนพลอย่างตัดพ้อแล้วกวาดเลยไปถึงคนที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไป ก่อนจะก้มลงกระซิบอ่อนหวานกับมารดาของผู้ชายที่เธอกำลังหมายปอง ยิ่งเห็นว่าพ่อชื่นชมขุนพล เปรมพลอยก็ยิ่งมั่นใจว่าหากเธอได้แต่งงานกับขุนพล ชีวิตจะย่ำไปบนเส้นทางที่สวยหรู เพราะชื่อเสียงและความเก่งกาจของเขา ที่สำคัญเขาหล่อเหลาถูกใจเธอ เปรมพลอยใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี มีความรักความใคร่กับผู้ชายมาหลายคน และเธอก็ฉลาดพอที่จะเลือกหยุดอยู่กับผู้ชายที่บิดาพึงพอใจ

หญิงสาวเห็นสายตาที่ลัดดากวาดมองหาอัยย์ศยาอย่างห่วงใยแล้วเกิดความริษยาขึ้นอีกเท่าตัว เห็นทีนังไหมอะไรนี่คงไม่ใช่เลขาฯ กระจอกๆ เสียแล้ว เปรมพลอยมั่นใจว่าขุนพลคงไม่เคยบอกลัดดาเรื่องราวฉาวโฉ่ของเลขาฯ ตัวเอง หากเธอจะฟ้องก็ดูจะเป็นตัวอิจฉาเกินไป 

“ถ้างั้นพลอยขอให้คุณแม่หายป่วยไวๆ นะคะ ถ้ามีโอกาสพลอยจะมากราบคุณแม่อีกค่ะ พลอยขอตัวกลับก่อนนะคะทุกคน” หญิงสาวบอกลาแล้วไหว้ลัดดาอย่างชดช้อยเช่นตอนมา “ตายแล้ว คุณไหม พี่เมธได้โทร. หาบ้างหรือเปล่าคะ เห็นบ่นหาแต่คุณไหมไม่หยุดปากเลย ไปทำยังไงให้พี่ชายพลอยเอาแต่พร่ำเพ้อแบบนั้นคะ” เปรมพลอยจงใจหย่อนระเบิดลูกใหญ่ทิ้งไว้แล้วเดินเฉิดฉายออกไปจากห้อง

ลัดดาตวัดตามองลูกชายเหมือนจะต่อว่าที่ขุนพลไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองจนนึกกลัวแทน หากว่าอัยย์ศยาทนในสิ่งที่ขุนพลแสดงออกผิดๆ กับเธอไม่ไหว แล้วมีลูกชายของเจ้าสัวที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของประเทศมาติดพัน มีหรือที่อัยย์ศยาจะไม่ใจอ่อน

ผิดกับขุนพลที่ไม่ได้รู้ตัวว่าถูกแม่มองตำหนิ เขาจดจ้องแต่เสี้ยวหน้าอ่อนหวานไร้เครื่องสำอางที่ก้มเช็กอีเมลไม่เงยหน้ามองใครอย่างเดือดดาล เฝ้าแต่โทษว่าอัยย์ศยาทำตัวให้ตกต่ำเองจนเขาไม่รู้จะช่วยเธอแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร ครั้นจะผลักไสเธอไปจากชีวิต เขาก็เจ็บเกินไป จะเก็บเธอไว้ก็ทรมานไม่ต่างกัน

เขาคงไม่รู้หรอกว่า คนก้มหน้ามองตัวหนังสือบนหน้าจอผ่านม่านน้ำตาก็กำลังคิดไม่ต่างกัน อัยย์ศยาไม่อยากทนให้ขุนพลข่มเหง เหยียดหยามหัวใจเธอ แต่หากจะทิ้งเขาไป เธอก็ทำไม่ลงเช่นกัน

 

ขุนพลเหลือบตามองมือเรียวของเด็กสาวผิวคล้ำที่เลื่อนแก้วกาแฟควันฉุยมาให้ พอสบตาเจ้านายหนุ่มพิมพ์พราวก็ยิ้มกว้างอย่างมั่นใจในตัวเอง ตั้งแต่เขาก่อตั้งบริษัทสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ พิมพ์พราวจัดเป็นพนักงานหญิงที่ขี้เหร่ที่สุดเท่าที่เคยเห็น แถมยังรู้มากอีกด้วย นึกแล้วก็โมโหคนที่คัดเลือกให้พิมพ์พราวมาทำงานหน้าห้องเขา ถึงอย่างไรเขาก็ปฏิเสธไม่ออกเพราะว่าเด็กตัวดำคนนี้ทำงานเก่ง รู้งานไวยิ่งกว่าบุษยานุชห้าสิบเท่า อย่างนี้สินะที่เขาเรียกว่า อย่าตัดสินคนที่ภายนอก

“บ่ายนี้คุณอิฐมีนัดกับคุณธนาเลิศที่ห้องประชุมเล็ก” พิมพ์พราวซึ่งถูกอัยย์ศยาสอนงานมาอย่างดี บอกตารางงานของเขาอย่างคล่องแคล่ว ไม่เหนียมอายต่อเจ้านายระดับสูง ซึ่งพนักงานในบริษัทที่อยู่มานานบางคนยังทำไม่ได้แบบพิมพ์พราว “ส่วนตอนเย็นมีนัดทานข้าวกับคุณแม่ค่ะ”

“ครับ” เขาก้มหน้ารับคำ

“พี่ไหมฝากเรียนถามว่า ช่วงเย็นคุณอิฐจะให้จองร้านอาหาร หรือว่าจะให้พี่ไหมจัดเตรียมอะไรไว้ให้หรือเปล่าคะ”

เขาแทบไม่ปริปากพูดกับอัยย์ศยามาตลอดสองสัปดาห์นับตั้งแต่วันนั้นที่หน้าห้องพักในโรงพยาบาล เขาชังน้ำหน้าอัยย์ศยาจนไม่อยากจะมอง อัยย์ศยาเองก็ชักจะปีกกล้าขาแข็งกับเขาขึ้นทุกที ใช่สิ เธอกำลังจะเป็นสะใภ้มหาเศรษฐีจึงเริ่มต่อต้านเขา ตลอดสองสัปดาห์เธอใช้คนเข้ามาส่งสารแทนตลอด

“บอกคุณไหมว่าให้ไปกับผมด้วย”

พิมพ์พราวยิ้มแป้นค้อมศีรษะรับคำแล้วกลับออกไป ครู่เดียวก็กลับเข้ามาใหม่ด้วยใบหน้าแป้นแล้น ขณะที่ขุนพลชักเริ่มรำคาญ

“มีอะไรอีก”

“พี่ไหมฝากมาเรียนคุณอิฐค่ะว่าพี่ไหมไปไม่ได้ เย็นนี้พี่ไหมติดธุระสำคัญค่ะ”

ขุนพลควันแทบออกหู อัยย์ศยากล้าขัดคำสั่งเขาต่อหน้าคนอื่น ชายหนุ่มเกือบกระแทกปากกาในมือลงแต่ยั้งไว้ทัน เพราะคิดได้ว่าไม่ควรเสียมารยาทต่อหน้านักศึกษาฝึกงาน เขาจึงเก๊กหน้า เก๊กเสียงให้เข้มขึ้น แล้วยิ้มเหมือนผู้ใหญ่ใจดี ทั้งที่ในอกกำลังเดือดปุดๆ

“ไปบอกหัวหน้าคุณ ว่าถ้ามีอะไรสำคัญกว่าผมก็ให้ลาออกไป”

พิมพ์พราวยกมือเกาศีรษะเบาๆ และกลับเข้ามาอีกครั้ง

ขุนพลแทบหมดความอดทน มองอีกฝ่ายเขม็ง “หัวหน้าคุณอยากจะมีปัญหากับผมมากใช่ไหม คุณพิมพ์พราว”

“เอ่อ”

“คุณเดินเข้าเดินออกห้องผมแบบนี้ ผมจะมีสมาธิทำงานได้ยังไง”

“เอ่อ...”

“คราวนี้หัวหน้าคุณมีปัญหาอะไรกับคำสั่งผมอีก หรือว่าเธอฝากบอกว่าเธอจะลาออก ผมจะได้เตรียมหาคนทำงานใหม่”

“พี่ไหมบอกว่า พี่ไหมจะออกไปซื้อผลไม้กับเป็ดย่างเจ้าอร่อยไปให้คุณแม่คุณอิฐทำแกงเผ็ดค่ะ แล้วจะกลับมาให้ทันห้าโมงเย็นค่ะ” พิมพ์พราวบอกเร็วปรื๋อ เธอเห็นโหนกแก้มของเจ้านายหนุ่มแดงเรื่อ ใบหูก็แดงจัดจนหญิงสาวยิ้มเก้อๆ

ขุนพลโบกมือเป็นเชิงบอกให้นักศึกษาฝึกงานออกไป เขาวางปากกาลงแล้วพ่นลมออกปาก ชายหนุ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อยที่อัยย์ศยายังคงใส่ใจเรื่องอาหารการกินของเขากับแม่เหมือนเดิม เขายกมือขึ้นถูใบหน้าที่ร้อนผ่าวเพราะอารมณ์หลากหลาย พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเปรมพลอยที่ขยันโทร. หาเขาทั้งก่อนนอนและตอนเช้า แม้ว่าบางทีเขาเพียงพูดคุยแค่สองสามประโยค

ชายหนุ่มวางโทรศัพท์เครื่องบางลงบนโต๊ะแล้วปล่อยให้เงียบเสียงลงไปเอง สักพักก็มีเสียงเตือนข้อความดังขึ้น เขาเห็นจากพรีวิวบนหน้าจอแต่ไม่ได้เปิดอ่าน

“ไหม” ขุนพลพึมพำชื่อที่อยากจะเรียกด้วยความอ่อนโยนเช่นนี้แต่ไม่เคยได้ทำ ชายหนุ่มลูบหน้าตัวเองแรงๆ อีกครั้งด้วยความรู้สึกกดดันเหลือเกิน เจ้าสัวดิเรกอยากให้เขาแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของท่าน โดยที่เปรมพลอยก็เห็นดีเห็นงามด้วย ในขณะที่เขาไม่รู้เลยว่าจะเลิกรักอัยย์ศยาแล้วไปแต่งงานกับคนที่ผู้ใหญ่เห็นดีได้อย่างไร

ในที่สุดชายหนุ่มก็รู้ตัวว่าตึงเครียดเกินไป ถ้าหัวใจมันบอกว่ารักอัยย์ศยา เขาก็ควรจะมองข้ามเรื่องไม่ดีของเธอแล้วทำเพื่อตัวเองบ้าง อย่างน้อยวันนี้เขาก็ตั้งใจจะเลิกพูดจาไม่ดีกับเธอ หลายวันที่มึนตึงใส่กัน เขาทรมานเป็นบ้า


7

 

อัยย์ศยากลับมาทันห้าโมงเย็นพอดี เธอหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ส่วนตัวของเจ้านาย เกือบจะคิดว่าตัวเองโทร. ผิดเมื่อขุนพลรับสายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“เอ่อ คุณอิฐคะ จะให้ไหมไปพบคุณอิฐที่หน้าบริษัทหรือลานจอดรถดีคะ ตอนนี้ไหมอยู่หน้าบริษัทแล้วค่ะ”

“เดี๋ยวผมวนรถไปรับครับ”

เพียงอึดใจเดียว รถคันหรูรูปทรงปราดเปรียวก็เลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้า อัยย์ศยาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งด้วยความเคยชินแม้จะประหม่าอยู่บ้าง เพราะโกรธเคืองกับขุนพลมาก็หลายวัน หญิงสาวเอี้ยวตัวไปวางถุงผลไม้กับเป็ดย่างที่เบาะด้านหลังแล้วหันกลับมานั่งอย่างเกร็งๆ ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนากับเขาว่าอะไรดี จึงถูมือที่หิ้วของหนักมาตลอดทางเพื่อไล่ความเมื่อย รอยแดงตรงโคนนิ้วด้านในทำให้คนที่เหลือบตามองใจอ่อนยวบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

ขุนพลไม่อาจหลอกตัวเองได้ อัยย์ศยาคือส่วนหนึ่งในชีวิตเขาไปแล้ว เขารู้สึกมั่นใจเมื่อมีเธออยู่เคียงข้าง

หลังมื้ออาหารเย็น ขุนพลยังไม่ได้พูดดีๆ กับอัยย์ศยาอย่างที่ตั้งใจไว้ ชายหนุ่มอิดออดไม่ยอมกลับบ้านจนมืดค่ำ ขณะที่อัยย์ศยาช่วยจอยล้างถ้วยจานเสร็จแล้วจึงออกไปเดินเล่นรอบบ้าน ส่วนตัวเขานอนเอกเขนกดูข่าวอยู่ในบ้าน ตาจ้องโทรทัศน์ แต่ในหัวกำลังคิดวิธีง้ออัยย์ศยาแบบไม่ให้เสียฟอร์ม กระทั่งรู้สึกว่าโซฟายุบยวบ ชายหนุ่มจึงหยัดกายขึ้นแล้วถือโอกาสนอนหนุนตักแม่

“เอาลูกสาวเขามา รีบพาลูกเขากลับไปส่งได้แล้วอิฐ จะสองทุ่มแล้วลูก” คนเป็นแม่ลูบผมของลูกชายอย่างแสนรัก มองใบหน้าหล่อเหลาของบุตรชายที่ขมวดคิ้วมุ่นทั้งที่ยังหลับตา

“อิฐยังอิ่มอยู่เลยครับ รออีกแป๊บ อีกอย่าง ไหมทำงานกับอิฐ ไม่ได้พามาแบบคนรักซะหน่อย” เขาแก้ตัวไปข้างๆ คูๆ

“ระวังนะอิฐ วางมาดมากเกินไป คนอื่นจะคว้าไปซะก่อน” ลัดดาทำเสียงหมั่นไส้ในลำคอ

พอถูกแม่เตือน คนที่หลับตาหนีความรู้สึกตัวเองก็ใจเต้นรัว แต่ไม่วายปากแข็งแสร้งหัวเราะออกมา “ใครครับ ใครจะคาบไปก็ช่างเถอะครับแม่ เธอเป็นแค่เลขาฯ ครับแม่”

“ถ้าอย่างนั้นแม่จะเตือนอิฐนะลูก ถ้าลูกไม่รักหนูไหม ลูกก็กำลังทำผิด เพราะทุกอย่างที่แม่เห็นลูกทำกับไหม ลูกกำลังทำให้ไหมรู้สึกว่าเธอสำคัญกับลูก...มากๆ ด้วย ถ้าอิฐคิดเห็นแก่ตัวแบบนั้น แม่จะเตือนอิฐนะ ว่าอย่าทำแบบที่อิฐกำลังทำอยู่เด็ดขาด”

“อิฐทำอะไรครับแม่ ก็แค่ไหว้วานไหมในฐานะเจ้านาย” เขาบอกเสียงเบา ได้ยินเสียงแม่หัวเราะ แต่ยังลูบศีรษะเขาอย่างปลอบโยน

“อิฐไม่เคยเห็นจะพาใครมาหาแม่เลย อิฐพาไหมมาคอยดูแลแม่ ให้แม่รักไหมเหมือนลูกสาว อิฐให้ไหมจัดการทุกอย่างในชีวิตอิฐ นี่ยังไม่มากพออีกเหรอที่ผู้หญิงจะเข้าใจผิด”

“ไหมเหรอครับจะเข้าใจผิด เธอพูดเองซ้ำๆ ว่าที่ยอมทำทุกอย่างเพราะอิฐจ่ายเงินให้เธอ”

“เพราะลูกไม่ชัดเจน”

ถึงตรงนี้ขุนพลผุดลุกขึ้นนั่งมองหน้าแม่อย่างไม่เหลือความมั่นใจสักนิด

ดูเหมือนลัดดาจะเดาใจลูกได้ ผู้เป็นแม่ยิ้มเย็น ประคองสองแก้มสากด้วยสองมือที่มากด้วยริ้วรอย “อิฐหลอกแม่ไม่ได้หรอกลูก แม่เลี้ยงอิฐมากับมือ”

“อิฐรักแม่นะครับ ถ้าอิฐจะเลือกใครมาแต่งงาน มาเป็นลูกอีกคนของแม่ อิฐต้องใช้เวลาไม่ใช่เหรอครับ ปัจจุบันเขาอาจจะดีกับเรา แต่อดีตล่ะครับ อิฐต้องดูให้มั่นใจ” เขาแย้งเสียงพร่า

“ลูกจะสร้างครอบครัวกับคนที่คู่ควร แต่ไม่ได้รักได้หรือเปล่าล่ะ ถ้าได้ ตอนนี้เท่าที่แม่เห็น หนูเปรมพลอยก็คู่ควรกับอิฐดีนะลูก” พอเห็นลูกชายเงียบทำท่าขยับปากแต่ไม่พูด ลัดดาก็กระชับมือที่ประคองใบหน้าหล่อเหลาแล้วพูดอย่างเอ็นดู “ลูกสองคนสร้างกำแพงขึ้นมาขวางกั้นกันเอง อิฐเป็นผู้ชาย ควรจะใจกว้างเป็นฝ่ายทำลายกำแพงนั่นทิ้ง”

“ไม่ได้หรอกครับแม่ อิฐไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง” ที่แม่ชอบอัยย์ศยา นั่นเพราะแม่ไม่รู้ว่าอัยย์ศยาทำเรื่องเลวทรามอะไรไว้บ้าง

“แม่จะผิดหวัง ถ้าลูกเป็นคนลืมตัว เมื่อก่อนเราเคยจน ตอนนี้เรารวย ลูกเลยคิดว่าลูกคู่ควรกับคนรวยอย่างนั้นเหรออิฐ”

ไม่ใช่! ขุนพลกำลังเถียงแม่ในใจ

“อดีตล่ะครับแม่ แม่ไม่ได้เป็นอิฐแม่ไม่รู้หรอกว่า ทำไมอิฐถึงทำแบบนั้นไม่ได้ พอกับที่อิฐขาดไหมไม่ได้เหมือนกัน”

“ลูกจะอยู่กับอดีต หรือจะอยู่กับปัจจุบัน”

“แม่ครับ” เขาเรียกแม่อย่างสับสน แต่แววตาของแม่มีแต่ความเชื่อมั่นในตัวอัยย์ศยา

ลัดดาลุกจากไปทิ้งให้ขุนพลครุ่นคิดแล้วมองไปทางหน้าบ้าน ลมเย็นพัดโชยมาจากประตูทางทิศใต้ที่เปิดอ้าไว้ มองเห็นร่างบอบบางในชุดเสื้อเชิ้ตกระโปรงคลุมเข่ากำลังนั่งอยู่บนชิงช้าไม้บนสนามหญ้าเขียวขจี ดวงตาเหม่อลอยทอดมองออกไปทางทะเลสาบ ระลอกน้ำต้องแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนฟ้า สายลมพัดเส้นผมดำขลับที่เจ้าตัวมัดรวบไว้หลวมๆ หัวใจขุนพลเต้นถี่ บางอย่างกำลังต่อสู้กัน เขานึกถึงภาพอัยย์ศยาในช่วงเวลาต่างๆ แล้วพบว่าเขาจดจำทุกสิ่งที่เป็นเธอได้ดีเหลือเกิน

“ผู้ชายแก่เหรอ”

ขุนพลพึมพำอย่างข้องใจ เมื่อนึกถึงถ้อยคำของหญิงสาวที่ถกเถียงกับเขาในห้องทำงาน เหตุใดอัยย์ศยาถึงบอกว่าปรนัยเป็นผู้ชายแก่ ทั้งที่นักธุรกิจคนนั้นอยู่ในวัยเพียงสามสิบปลายเท่านั้น เหตุที่ปานธีราหึงหวงสามีจนขาดสติก็เพราะเธอมีสามีหนุ่มกว่าหลายปีนั่นเอง

จู่ๆ สายลมวูบหนึ่งทำให้ขุนพลรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับอัยย์ศยา เธอเย่อหยิ่งข้อนั้นเขารู้ดี หากครอบครัวเธอไม่บังเอิญล้มละลายไปเสียก่อน ป่านนี้อัยย์ศยาก็คงเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ ชายหนุ่มใจคอสั่นไหวแปลกๆ ตอนที่ก้าวอย่างเชื่องช้าเข้าใกล้ร่างบอบบางที่นั่งอยู่บนชิงช้าไม้ริมทะเลสาบ

แม้ชีวิตจะพลิกผัน แต่ดูเหมือนอัยย์ศยาจะเข้มแข็งมากคนหนึ่ง ดูจากการที่เธอปรับตัวได้ ตลอดสามปีที่อยู่กับเขา ไม่ว่างานอะไร เธอทำสำเร็จตามที่เขาสั่งทุกอย่าง หาข้อตำหนิแทบไม่มี และดูจากการที่เธออดทนกับหลายอย่างที่ผ่านเข้ามากระทบชีวิต เป็นไปได้หรือที่อัยย์ศยาจะเคยมีพฤติกรรมเลวร้ายอย่างที่ถูกแพรนันท์ด่าทอ

จู่ๆ ขุนพลก็คิดว่า อัยย์ศยามีบางอย่างปิดบังเขา

“คุณอิฐ” หญิงสาวหันมาเห็น ทำท่าจะลุก แต่เจ้านายหนุ่มกลับทรุดนั่งลงเคียงข้างบนชิงช้าไม้ที่สีสันเริ่มซีดไปตามกาลเวลาที่ผ่านแดดผ่านฝนมากว่าสามปี เขานั่งชิดเป็นพิเศษจนหญิงสาวใจสั่น ต้องเบือนหน้ากลับไปฝากแววตาไว้กับระลอกน้ำดังเดิม

“คุณชอบไหม”

“คะ?” อัยย์ศยาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินเสียงนุ่มทุ้มแบบนี้ออกจากปากขุนพล กลิ่นกายของเขายังคงมีอิทธิพลต่อจังหวะหัวใจของเธอไม่เปลี่ยน

“ผมเห็นคุณเอาแต่นั่งดูน้ำ ถึงได้ถามว่าชอบที่นี่หรือเปล่า” 

“ค่ะ”

“ผมก็ชอบ มันเป็นบ้านในฝันของผมเลยนะ” เขามองสายน้ำเบื้องหน้า แล้วหันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งอยู่เคียงข้าง สายลมอ่อนพัดกลิ่นหอมจากเรือนกายบอบบางทำให้ใจเขาแกว่งไกว เผลอทอดดวงตาอ่อนโยนอยู่กับพวงแก้มอิ่มที่ไร้เครื่องสำอางแต่ก็ยังสวยในสายตาเขาเสมอ ยิ่งมองขุนพลก็ยิ่งใจสั่นไหว “คุณมีบ้านในฝันหรือเปล่า”

อัยย์ศยาหัวเราะเบาๆ สายลมที่พัดผ่านไปวูบใหญ่ทำให้เธอเผลอห่อไหล่แล้วใช้สองมือลูบแขนตัวเอง รับรู้ว่ากำลังถูกเจ้านายหนุ่มจดจ้องอยู่ หัวใจโอนเอนเหมือนกิ่งไม้ต้องลมเต้นไม่เป็นระส่ำ เธอตอบเขาโดยไม่หันกลับไปสบตา เพราะอยากให้ขุนพลมองเธอต่อไปเท่าที่เขาจะพอใจ

“มีสิคะ บ้านในฝันของไหมเป็นแบบไหนก็ได้ ขอแค่มีคนที่ไหมรักอยู่ที่นั่น ตื่นเช้ามากินข้าวด้วยกัน แยกย้ายกันไปทำงาน ช่วยเหลือพึ่งพากัน ตกเย็นก็กลับมาล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้ากัน จะหลังเล็ก หลังใหญ่ อยู่บนตึกสูง หรือบนผืนดินก็ได้ ไหมจะปลูกต้นไม้เยอะๆ ปลูกผักสวนครัว ปลูกดอกกุหลาบที่ไหมชอบ ถ้ามันออกดอกก็จะตัดมาใส่แจกันประดับบ้าน ทั้งบ้านจะได้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกุหลาบทุกวัน”

“คุณชอบดอกกุหลาบสีอะไร” เขาไม่เคยรู้เลยว่าอัยย์ศยาชอบหรือไม่ชอบอะไร ตรงข้ามกับเธอที่รู้ทุกอย่างว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรบ้าง

“ชอบทุกสีค่ะ”

“ทำไมหลายใจล่ะครับ” ขุนพลหัวเราะกลั้วประโยคอ่อนทุ้มของเขา สายตาเลื่อนจากพวงแก้มมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากบางสวยที่กำลังแย้มยิ้มน้อยๆ

“ไหมชอบ เพราะกุหลาบมันมีกลิ่นหอมค่ะ จะสีอะไรก็ได้”

ขุนพลมองเจ้าของเสียงอ่อนหวานจนเพลินตา เขาอยากใช้วงแขนโอบกอดเธอให้คลายหนาวจนเผลอขยับเข้าแนบชิด เพียงแค่เขาเผลอใช้ปลายนิ้วแตะตรงมุมปากที่กำลังยิ้มค้างราวกับว่าตรงหน้าเธอมีสวนกุหลาบหลากสีเบ่งบานส่งกลิ่นระรวย หญิงสาวก็นิ่งค้าง ก่อนจะค่อยๆ หันมาสบตาเขาเหมือนคนละเมอ

ดวงตาของเธอกลมใสและดูจริงใจ เขาคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นความหวั่นไหวจากคนที่รีบเบือนหน้าหลบเพราะแพ้ประกายตาคม ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเชยปลายคางมน เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นถี่ ริมฝีปากอิ่มอยู่ตรงหน้าใกล้ชิดจนอยากก้มลงลิ้มชิมสักครั้งด้วยใจปรารถนาที่รุมเร้าอยู่ทุกขณะ จนเกิดคำถามที่ว่า...เขาจะทนไปเพื่ออะไร

ใบหน้าหล่อลดลงต่ำอย่างลืมตน ตกอยู่ในห้วงเสน่หา ปลายนิ้วที่ไล้สัมผัสแก้มอิ่มยิ่งทำให้ใจเขาเต้นระรัว ผิวแก้มของอัยย์ศยานุ่มเนียนจนไม่อยากหยุดเพียงเท่านี้ ดวงหน้าสวยแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย แต่ภวังค์อันแสนวาบหวามใจนั้นก็มีอันถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์

อัยย์ศยาผละห่างจากเจ้านายหนุ่ม หายใจหอบ เธอรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงพลางลนลานรื้อค้นโทรศัพท์มากดรับสาย อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ริมฝีปากของเขาคงจะแตะสัมผัสเรียวปากของเธอ ผิวแก้มที่ถูกลูบไล้ยังร้อนเห่อไม่จางหาย ภาพริมฝีปากของขุนพลยามละเลียดชิมมาการองที่ระรินดาเคยสาธยายไว้ละเอียดยิบผุดขึ้นมาให้ร้อนรุ่มทั้งกายใจ หากไม่มีเสียงโทรศัพท์ขัดจังหวะมันจะเกิดอะไรขึ้น

มือไม้ที่ควานหาโทรศัพท์ไม่มีเรี่ยวแรงจากความขัดเขินที่ท่วมท้น หัวใจยังเต้นตึกตักเหมือนคนที่วิ่งระยะทางไกลเหลือเกิน ทว่าทันทีที่เสียงของใครบางคนดังลอดผ่านโทรศัพท์ รอยยิ้มละมุนบนใบหน้าหล่อเหลาก็เลือนหายไปราวกับมีม่านสีดำหล่นคลุมหมู่ดาว

เขาเบือนหน้าไปอีกทาง แหงนเงยมองฟ้าอยู่ชั่วอึดใจ เสียงของทิวเมธแว่วกระทบโสตประสาทในความเงียบยามราตรี หัวใจที่พองคับอกกลับปวดหนึบเหมือนถูกบีบด้วยมือมาร อีกนิดเดียวเท่านั้น เขาจะได้แตะเคล้าริมฝีปากของอัยย์ศยา

ร่างสูงลุกขึ้น ก่อนจะสั่งเลขาฯ สาวเสียงนิ่ง “กลับกันได้แล้ว ผมจะไปรอที่รถ ถ้ามัวแต่คุยนาน คุณก็หาแท็กซี่กลับเองก็แล้วกัน” เขากระชากเสียงใส่อัยย์ศยาแล้วก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในตัวบ้าน

อัยย์ศยาส่ายหน้า เธออุตส่าห์ปฏิเสธที่จะให้เบอร์เขาไป เพราะดูท่าขุนพลจะไม่ค่อยชอบหน้าลูกชายของเจ้าสัวดิเรกคนนี้สักเท่าไรนัก

“ผมแวะไปร้านน้องดาด้ามาน่ะครับ เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทคุณไหมก็เลยขอเบอร์คุณมา คงไม่โกรธนะครับ”

“ค่ะ แต่ตอนนี้ไหมต้องรีบไปทำงานก่อนนะคะ ต้องขอโทษด้วยที่เสียมารยาท” อัยย์ศยารีบตัดบทแล้วรีบเดินจนเท้าแทบจะพันกันเพื่อจะได้มีโอกาสไหว้ลาลัดดา เพราะเห็นขุนพลกำลังสวมรองเท้าอยู่หน้าประตูบ้าน โชคดีที่ลัดดาเห็นเธอเสียก่อนจึงเดินออกมาส่งลูกชาย หญิงสาวจึงถือโอกาสรีบไหว้ลาแม่เขาทันที

“ทำไมรีบยังกับพายุแบบนั้นล่ะ เมื่อกี้ยังเห็นอ้อยอิ่งอยู่เลย” ลัดดาสงสัยจนคิ้วขมวด มองหน้าอัยย์ศยาเป็นเชิงถาม

เธอได้แต่ยิ้มน้อยๆ แทนคำตอบ “ไหมกลับก่อนนะคะคุณท่าน” หญิงสาวพูดเสียงอ่อนหวาน ก่อนจะไหว้แม่เขาแล้วเดินนำออกไป

 

ภายในห้องโดยสารที่เย็นฉ่ำ แต่หัวใจของคนสองคนกลับร้อนรุ่มราวกับอยู่กลางทะเลทราย ขุนพลเปิดเพลงคลอมาตลอดทางที่ขับรถมาส่งหญิงสาว ในขณะที่ทิวเมธยังไม่วายส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งทำให้เขายิ่งโมโหจนแทบจะทุบรถได้

ชายหนุ่มเร่งเพลงจนดังแสบแก้วหู หวังจะได้ยินอัยย์ศยาขอร้องให้เขาเบาเพลงลง แต่ไม่เลย หญิงสาวนั่งนิ่ง นานๆ ครั้งเธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเส้นทาง คงอยากถึงบ้านใจจะขาด จะได้รีบโทร. กลับไปหาไอ้ทิวเมธนั่น พอรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนในหมู่บ้านของเลขาฯ สาว เขาก็แกล้งเหยียบคันเร่งแล้วเบรกเอี๊ยดที่หน้าบ้าน จนอัยย์ศยาซึ่งไม่ทันตั้งตัวหัวคะมำใส่คอนโซลรถ

“โอ๊ะ!” หญิงสาวเงยหน้า คลำหน้าผากป้อยๆ หน้าตาเหยเก แล้วเผลอตวัดสายตาขุ่นเคืองใส่เจ้านาย “ถ้าคุณอิฐจะขับรถแบบนี้ ทีหลังกรุณาอย่าบังคับให้ไหมนั่งมาด้วยนะคะ” เธอต่อว่าเขาเสียงเรียบ มือข้างหนึ่งปลดเข็มขัดนิรภัย หญิงสาวถอนใจ ตามอารมณ์เขาไม่ทันจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาวาววับที่จ้องมองมา ทั้งที่เธอเองก็โกรธเขาเหมือนกัน “ขอบคุณสำหรับมื้อเย็นและขอบคุณที่มาส่งค่ะ”

                ทว่าอัยย์ศยาเปิดประตูรถไม่ออก หญิงสาวนั่งนิ่งผ่อนลมหายใจยาวเหยียด อยากจะกรีดร้องใส่หน้าขุนพลแล้วตะโกนว่าเธอขอลาออกจากหน้าที่ทั้งหมดตั้งแต่วินาทีนี้ แต่กลับต้องกลืนความคิดนั้นลงคอ

                คนแบบนี้ พ้นจากเธอไป มีหวังเขาคงไม่เหลือใครเป็นแน่

                “คุณอิฐลืมปลดล็อกค่ะ” เธอพยายามใจเย็น

                “เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าคุณจะเริ่มไม่เกรงใจผมแล้วนะไหม ทั้งต่อปากต่อคำทั้งชักสีหน้าใส่”

                ตอนไหน อัยย์ศยาถามตัวเอง เธอทำแบบนั้นตอนไหน

                “ไหมทำทุกอย่างเพราะหวังดีกับคุณอิฐค่ะ ถ้าคุณอิฐขุ่นเคืองใจ ไหมก็ขอโทษด้วย สี่ทุ่มแล้วนะคะ พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า คุณอิฐรีบกลับเถอะค่ะ”

                “คุณกำลังไล่ผมนะไหม คุณลืมหรือเปล่าตอนที่ชีวิตคุณตกต่ำ ถูกไล่ออกจากงาน แล้วก็ตอนที่ยังไม่มีผู้ชายชื่อทิวเมธเข้ามา ใครเป็นคนยื่นมือช่วยเหลือคุณ ให้โอกาสคุณ”

                “คุณอิฐคะ” อัยย์ศยาเสียงแข็งในรอบสามปีเลยก็ว่าได้ หน้าเริ่มร้อน ควันเริ่มออกหู แต่นั่นยิ่งทำให้สีหน้าขุนพลดูเครียด เขาจ้องเธอเขม็ง เธอจ้องตอบเขาอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน

                อัยย์ศยาปวดลำคอจนกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ตั้งแต่กลับมาเจอกันจะในฐานะอะไรก็ตาม ตลอดเวลานั้นเธอหวังดีต่อเขาเสมอมา แม้ว่าขุนพลจะพยายามจัดเธอไว้แปลกแยกจากเพื่อนเก่าคนอื่นๆ ดูจากสรรพนามที่เขาใช้แทนตัวเองว่าพี่กับระรินดา แต่เขากลับจงใจเว้นระยะห่างกับเธอ 

                “คุณกล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้กับผมเหรอ”

                “ไหมไม่อยากใช้หรอกค่ะ แต่คุณอิฐกำลังพาล ไหมไม่รู้เหตุผลของคุณ แต่ไหมคิดว่าคนระดับคุณน่าจะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ดีกว่านี้ คุณเป็นเจ้านายไหมนะคะ ไม่ใช่พ่อหรือสามีจะได้มาแดกดันไหม กับอีแค่มีผู้ชายมาจีบ แล้วไหมก็ไม่รู้ด้วยว่าคุณอิฐต้องการจะหาเรื่องอะไรไหม ไหมจะทำหน้าที่ของไหมต่อไปจนกว่าคุณจะไล่ออก เปิดประตูค่ะ” เธอขึ้นเสียงดังกว่าเก่าใส่ขุนพลที่ยังงุนงง พอได้ยินเสียงปลดล็อก อัยย์ศยาก็เปิดประตูรถลงไปทันที

                ขุนพลจ้องรั้วบ้านที่เลื่อนปิดลงด้วยหัวใจเต้นถี่ ทุบกำปั้นหนักๆ ระบายอารมณ์ลงบนพวงมาลัยรถ แต่ไหนแต่ไรมา อัยย์ศยาไม่เคยทำหน้ายุ่งยากใจและด่าเขาเป็นชุดแบบนี้ จนกระทั่งทิวเมธเข้ามา มันจะเป็นแบบที่แม่บอกใช่ไหม แล้วเขาต้องทำอย่างไรอัยย์ศยาถึงจะไม่ทิ้งเขา ไม่เดินหนีเขาไปไหนอีก

                ชายหนุ่มเปิดประตูลงไปยืนอยู่หน้ารั้วอย่างชั่งใจ เขาจะทำตัวเป็นผู้ชายใจร้อนเดินเข้าไปพูดจากับอัยย์ศยาให้รู้เรื่องไปเลยดีหรือไม่ แต่ยังไม่ทันตัดสินใจ เสียงแตรรถก็ดังขึ้นราวกับบีบไล่สุนัข

                รถญี่ปุ่นคันหนึ่งสาดไฟหน้ารถใส่หน้าเขา ก่อนที่คนในรถจะลดกระจกลงแล้วยื่นหน้าออกมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แย่ยิ่งกว่าลูกสาวหลายเท่า “มาจอดรถขวางหน้าบ้านชาวบ้านทำไม มารยาทน่ะรู้จักหรือเปล่า ถึงจะเป็นเจ้านายยายไหม ก็ใช่ว่าจะทำอะไรตามใจได้ทุกอย่าง ถอยออกไป ผมจะเข้าบ้าน”

                ขุนพลข่มอารมณ์ที่ถูกด่าจนหน้าชาเพื่อจะไหว้อุดมแต่ไม่ทัน เพราะฝ่ายนั้นด่าจบก็รีบเอากระจกขึ้นทำเหมือนไม่อยากจะเสวนากับเขา ชายหนุ่มหัวเสียเมื่ออุดมไม่ต้อนรับ ซ้ำยังไล่เขาอย่างกับหมูกับหมา เขาขับรถกลับคอนโดด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวราวกับตะกอนถูกลมตี ยากนักที่จะให้ใสสะอาดได้ดังเดิม

 

                อารมณ์ที่ขุ่นมัวตั้งแต่เมื่อคืนทำเอาอัยย์ศยานอนไม่หลับเอาเสียเลย มือบางแตะลงบนหน้าผากใกล้ตีนผมที่ยังรู้สึกเจ็บจากแรงกระแทกเมื่อคืน ถึงจะไม่พอใจเขาเท่าไร แต่ความห่วงใยที่มีให้ก็มากกว่าเสมอ เธอห่วงว่าขุนพลจะขับรถไปประสบอุบัติเหตุจากความบ้าคลั่งของเขา สุดท้ายเป็นเธอเองที่ทนไม่ไหว เป็นฝ่ายบากหน้าโทร. ไปสอบถามเขาเสียเอง

                อัยย์ศยาถอนใจเบาๆ เมื่อลิฟต์โดยสารไต่ระดับถึงชั้นที่สิบแปด หญิงสาวมาถึงที่ทำงานเป็นคนแรก เธอทักทายแม่บ้าน แล้วเปิดคอมพิวเตอร์เป็นอย่างแรก ก้มหน้าก้มตาตรวจสอบเอกสารทุกอย่างด้วยความละเอียดรอบคอบก่อนจะเริ่มงานในวันใหม่ จนกระทั่งรู้สึกถึงเงาของใครบางคนที่มาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน พอเงยหน้าขึ้นไปจึงเห็นขุนพลยืนทำหน้าเรียบเฉยแล้วสั่งเธอด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง

                “ขอกาแฟให้ผมด้วยนะครับ”

หญิงสาวนำกาแฟและขนมปังชิ้นเล็กเข้าไปให้ตามคำบัญชา พบว่าขุนพลกำลังยืนเอามือล้วงกระเป๋า มองออกไปทางกระจกบานยาวที่เปิดม่านออก เขาหันมามองหญิงสาวที่กำลังจะวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะทำงาน

“เอามาวางไว้ตรงนี้เลยไหม”

อัยย์ศยาชะงักมือ ไม่ตอบโต้อะไร เธอพยายามทำใจให้ชินกับนิสัยโมโหร้ายซึ่งเป็นข้อเสียเดียวของเจ้านายหนุ่ม ถาดใส่กาแฟจึงถูกวางลงบนโต๊ะรับแขกตัวเตี้ย ควันหอมๆ ลอยกรุ่นจากแก้วเซรามิกส์เนื้อบางที่เพนต์ลวดลายสวยงามเข้ากับจานรองและจานใส่ขนมปังใบเล็ก ทุกอย่างอัยย์ศยาเป็นคนจัดหาให้เขาทั้งสิ้น

หญิงสาวมองภาพตรงหน้าแล้วข่มใจจะถอยห่าง แต่ถูกขุนพลรั้งข้อมือไว้เสียก่อน

“เดี๋ยว”

“คะ?”

เขาเดินเข้ามายืนใกล้จนอัยย์ศยาอดนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืนที่ชิงช้าริมทะเลสาบไม่ได้ เขาทำให้เธอเห็นมุมโรแมนติกที่เธอใช้เวลาทั้งคืนทบทวนว่านั่นไม่ใช่ความฝัน ถ้าทิวเมธไม่โทร. เข้ามา ขุนพลจะพูดอะไรกับเธอ เขาจะจูบเธอหรือหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น แม้แต่ตอนนี้อัยย์ศยาก็ยังใจสั่นจนต้องถอยห่างไปหนึ่งก้าว แต่เขาก็ขยับตามแล้วถือโอกาสตอนที่อัยย์ศยามัวแต่กลั้นหายใจ ปัดปอยผมที่เธอจงใจใช้ปิดรอยแดงจางๆ ตรงหน้าผากออกแล้วไล้ปลายนิ้วอุ่นตรงรอยช้ำเบาๆ

“เจ็บเหรอ” ชายหนุ่มชักมือออกตอนที่หญิงสาวสะดุ้ง

เขาแตะปลายนิ้วลงบนหน้าผากเนียนอีกครั้งเมื่ออัยย์ศยาไม่ตอบ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้อีกนิดจนได้กลิ่นหอมจากร่างบอบบางที่เขาอยากปกป้องทะนุถนอม อยากจะจูบรอยช้ำบนหน้าผากให้เธอคลายเจ็บ แต่เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้อัยย์ศยารีบหันหลังเดินหนีเขาไปทันที

“ขอโทษค่ะ คุณเปรมพลอยแจ้งว่าขอพบคุณอิฐ จะให้เข้ามาเลยไหมคะ”

อัยย์ศยาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูที่พิมพ์พราวเปิดเข้ามา ใจยังสั่นกับสัมผัสวาบหวามชวนตื่นเต้นเมื่อครู่ ชื่อของสตรีที่ได้ยินจนคุ้นหูทำให้จิตใจของเธอยิ่งปั่นป่วนจนต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็วแล้วเดินออกไปพร้อมกับพิมพ์พราว

“เชิญเธอเข้ามาได้เลยครับ”

ขุนพลเดินกลับไปนั่งในท่าพร้อมทำงานทั้งที่กาแฟยังไม่ได้แตะ เขาใช้เวลาเพียงน้อยนิดปรับอารมณ์ ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งหักห้ามความต้องการที่พลุ่งพล่านขึ้นทุกวันไม่ไหว เมื่อคืนเขาก็เกือบจะเผลอใจจูบอัยย์ศยา เมื่อครู่ยิ่งเห็นว่าเขาทำให้เธอต้องเจ็บตัว ทำไมใจเขามันถึงได้เจ็บยิ่งกว่า การหักห้ามใจไม่ให้คว้าหญิงสาวมาโอบกอดแล้วปลอบประโลมพร้อมพร่ำคำขอโทษนั้นช่างยากเย็น

ขุนพลกดข่มทุกความรู้สึกไว้ภายใต้ท่าทีแสนปกติของเขา ต่อหน้าผู้คนเขากับอัยย์ศยายังคงพูดคุยประสานงานกันได้ตามหน้าที่อย่างปกติ ทว่าการมาของเปรมพลอยกลับทำให้เขายิ่งรู้สึกว่ากำลังเดินมาถึงทางแยกอีกครั้ง

เมื่อมีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งต่อมา แม้ว่าทุกครั้งเปรมพลอยจะอ้างเรื่องเป็นงานเป็นการบ้าง อ้างเจ้าสัวดิเรกบ้าง แต่ขุนพลก็จำต้องรักษาน้ำใจเธอไว้ ชายหนุ่มตระหนักเสมอว่าการลืมบุญคุณคนนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แม้หัวใจจะยังคงไว้ด้วยความซื่อสัตย์ภักดี แต่เขารู้ว่าหากเขาทำสิ่งใดให้เจ้าสัวผู้ยิ่งใหญ่ไม่พอใจ บริษัทที่เขาเพียรพยายามพัฒนาและนำเข้าสู่ความเป็นมหาชนมาหลายปีนั้นก็คงจะพังพินาศเหมือนตึกที่ถูกระเบิดถล่ม

เสียงพรมนิ้วลงบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ทั้งสามเครื่องเริ่มเบาลงเมื่อประตูห้องทำงานของขุนพลเปิดออกหลังจากที่ใช้เวลาอยู่ในนั้นกว่าครึ่งชั่วโมงกับเปรมพลอย เสียงสนทนาภาษาอังกฤษของอัยย์ศยาจึงเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในตอนนี้

เปรมพลอยยิ้มอ่อนหวานเหมือนเจ้าหญิงที่กำลังหยิบยื่นความเมตตาให้สาวใช้ทั้งสามที่เงยหน้าขึ้นรอว่าขุนพลจะสั่งอะไร ทว่าชายหนุ่มกลับรอให้อัยย์ศยาวางสายจากลูกค้าเสียก่อน

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับคุณไหม” เขาถามเสียงเรียบอย่างเป็นงานเป็นการ แต่ก็ยังทำให้เปรมพลอยเหลือบตามองแล้วคลี่ยิ้มหวานใส่เลขาฯ คนสวยของเขาที่ถึงแม้ไม่ได้จบจากเมืองนอกเมืองนา แต่อัยย์ศยากลับใช้ภาษาอังกฤษได้ดีและยังสามารถสื่อสารภาษาจีนได้ในระดับที่น่าพอใจ

“ลูกค้าของคุณพิพัฒน์ ต้องการขอเลื่อนนัดคุณอิฐจากพรุ่งนี้เป็นสัปดาห์หน้าค่ะ แต่วันที่เขาแจ้งมาตรงกับประชุมใหญ่ของดีอาร์กรุ๊ป ไหมเคลียร์กับลูกค้าไปแล้วค่ะ”

ขุนพลพยักหน้าผ่านๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่อัยย์ศยาบอกมากนักแล้วพูดเรื่องอื่นแทน “ผมจะออกไปข้างนอกนะครับ”

“จะให้ไหมจองร้านให้หรือเปล่าคะ” อัยย์ศยาถามตามหน้าที่แม้ใจจะหวิวโหวงเมื่อเหลือบไปเห็นเปรมพลอยสอดมือขาวผ่องที่ปลายเล็บเคลือบด้วยสีสันแวววาวมากอดแขนขุนพลไว้อย่างถือสิทธิ์แล้วชิงตอบคำถามของเธอเสียเอง

“ไม่ต้องหรอกค่ะ พลอยจัดการให้คุณอิฐเรียบร้อยแล้ว ไปกันหรือยังคะ” เปรมพลอยทำเสียงอ่อนหวานแล้วเอียงคอมองชายหนุ่มอย่างน่ารัก ก่อนจะหันมาโปรยยิ้มให้อารดา กมลพร และพิมพ์พราวที่เผลอมองอย่างรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“ครับ”

อัยย์ศยานั่งลงเพื่อทำเป็นวุ่นวายกับงานของเธอต่อไป เสียงส้นสูงกระทบพื้นของเปรมพลอยดังแผ่วลงไปทีละน้อยๆ แต่ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นควงแขนเจ้านายของเธอออกไปพานทำให้อัยย์ศยาปั่นป่วนคิดอะไรไม่ออก แว่วเสียงสามสาวเริ่มต้นเปิดตลับแป้ง หยิบลิปสติกออกมาเติมหน้า เตรียมไปพักเที่ยงพลางตั้งวงสนทนาเรื่องเจ้านาย

“สงสัยงานนี้คุณอิฐถูกจับอยู่หมัด” อารดาพูดไปพลางเบ้ปาก ก่อนจะยื่นหน้าไปชิดกระจกบานเล็กแล้วบรรจงทาลิปสติกไปบนเรียวปาก

“คุณอิฐน่ะสิ ทำหน้าเหมือนคนเบื่อข้าว นี่เป็นสิบวันแล้วนะคะที่พอใกล้เที่ยงปุ๊บไม่ต้องดูเวลาเลย เพราะคุณเปรมพลอยเธอจะโผล่มาประหนึ่งเป็นลูกตุ้มนาฬิกา” พิมพ์พราวยื่นหน้ามาพูด ก่อนจะคว้ากระป๋องแป้งเด็กของกมลพรไปเทใส่มือแล้วลูบไปทั่วใบหน้าอย่างไม่พิถีพิถัน

อารดากับกมลพรหัวเราะอย่างขบขัน แต่อัยย์ศยาเพียงแค่ยิ้มบางๆ

“โอ๊ย คุณอิฐแกก็คงจะอยากไปกินที่อื่นบ้างน่ะสิ พักนี้ทั้งคุณนีน่าทั้งคุณปาลินหายหน้าไปหมด สงสัยจะหมดโปรกันไปแล้ว” อารดาหมุนเก้าอี้มาเมาท์กับสองสาว “ได้ข่าวว่าคุณนีน่าได้สามีเป็นฝาหรั่งแหละพวกแก คงไม่ต้องมาของบอะไรจากคุณอิฐอีก ส่วนคุณปาลินวันก่อนไปส่องเฟซเธอมาจ้ะ เธอเพิ่งไปโมหน้าที่เกาหลี แถมมีแพลนจะไปอัปไซซ์เพิ่มอีก สงสัยคุณอิฐคงจะเลิกเด็ดขาดแล้วสองคนนี้”

“แกนี่นะยัยแอม เป็นนักส่องจริงๆ” กมลพรซึ่งปกติเป็นคนมองโลกแง่บวกมากกว่าอารดาตำหนิเพื่อนอย่างไม่จริงจัง “ที่เขาเลิกก็เพราะคุณอิฐรู้ไงจ๊ะ ว่ายังไงก็ต้องเป็นทองแผ่นเดียวกันกับคุณพลอยอยู่แล้ว ผู้หญิงเขาชัดเจนซะขนาดนั้น อย่าเมาท์เจ้านายให้มาก”

“จะว่าไป” อารดาแต่งหน้าเสร็จแล้วทำท่าโบกไม้โบกมือประกอบการพูดตามประสาคนช่างเมาท์ “พักหลังดูคุณพลอยจะเครซีคุณอิฐมากเลยนะ แสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของซะขนาดนี้ มดปลวกสักตัวยังแทรกผ่านร่างนางไม่ได้เลยมั้ง ต้องไปกินข้าวด้วยกันกลางวันเย็น ดูเถอะ ไม่รู้ไปป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนนมกันถึงไหน ถึงได้ติดใจออกไปกินกันทู้กวัน พี่ไหมสบายเลยนะคะ”

“ลองขนาดนี้พราวว่า คุณอิฐท่าทางจะอิ่มนมมากกว่าอิ่มข้าวแน่ๆ” พิมพ์พราวยื่นหน้าทำปากยื่นข้างหูของอารดาซึ่งพูดคุยถูกคอกันเหลือเกิน โดยเฉพาะเรื่องสองแง่สองง่ามแบบนี้ “พราวเห็นตอนเอาน้ำเข้าไปเสิร์ฟ หล่อนหาได้แคร์สายตาของพราวแต่อย่างใด ทั้งที่หล่อนกำลังจะงับหูคุณอิฐอยู่แล้วเชียว”

กมลพรเบิกตาใต้กรอบแว่นอย่างตกตะลึง อารดาทำท่าเหนียมอาย บิดตัวหัวเราะคิก ขณะที่อัยย์ศยาฟังแล้วมือไม้สั่น ความเย็นเฉียบพลันเข้าเกาะกุมขั้วหัวใจจนหนึบหน่วง แต่ก็ต้องเก็บอาการให้มิดชิด

“จริงเหรอ เธอกล้าขนาดนั้นเลยเหรอยะ” กมลพรที่ปกติไม่ค่อยกระตือรือร้นนินทาใคร งานนี้ถึงกับเอามือทาบอก ถอนใจยาว “เสียดายคุณอิฐจัง ไม่น่าจะได้คนดัดจริตแบบนั้นเป็นเมียเลย จริงไหมคะพี่ไหม”

อัยย์ศยาอึกอักเล็กน้อยแล้วเสแสร้งหัวเราะเบาๆ ทั้งที่ใจกำลังปั่นป่วนจนอยากจะอาเจียน แต่จำต้องปั้นเสียงพูดกับสาวๆ ที่ดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดขุดคุ้ยเรื่องของขุนพลกับอดีตผู้หญิงของเขา ทั้งคนก่อนหน้าที่หายเข้ากลีบเมฆไปแล้วและคนปัจจุบันที่ดูเหมือนจะเกาะติดเป็นเงา

เมื่อรู้สึกว่าอาการคลื่นไส้ เวียนหัว และปวดหัวไม่ทุเลา หญิงสาวจึงตัดสินใจเขียนใบลางานครึ่งวันแล้วออกจากบริษัทก่อนที่ขุนพลจะกลับมา

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น