2
ราชาแห่งไร่วรานุกร
หากจะกล่าวถึงไร่ที่มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โต ทั้งยังเป็นพื้นที่ป่าไม้อนุรักษ์และมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ รวมถึงคุณภาพอันแสนยอดเยี่ยมของผลผลิตต่างๆ ในไร่ ไม่ว่าจะเป็นผักหรือผลไม้ซึ่งถูกเล่าขานกันมานานหลายทศวรรษ เนื่องจากได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากคนงานในไร่กว่าหลายร้อยคน ก็คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ไร่วรานุกร’ ของตระกูลวรานุกร เศรษฐีเมืองเหนืออันดับต้นๆ ของประเทศไทย
ถึงแม้ไร่วรานุกรจะมีชื่อเสียงจนเป็นที่ร่ำลือมากสักเพียงใด แต่กลับมีเพียงนักท่องเที่ยวหรือสื่อมวลชนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ได้เข้าไปเยี่ยมชมและสัมผัสบรรยากาศในไร่ เหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน นอกจากเจ้าของไร่จะทำให้มันเป็นไร่ปิด เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล
ไม่มีทางที่รถของพวกพ่อค้าคนกลางธรรมดาๆ รับซื้อผักผลไม้จะวิ่งเข้าวิ่งออกในไร่วรานุกรกันอย่างสบายใจเฉิบ ถ้าไม่ใช่รถของคู่ค้าที่ทำสัญญากันไว้ ก็ไม่มีทางได้แล่นเข้ามาในอาณาเขตของไร่ที่จัดเวรยามคอยคุ้มกันแน่นหนา ราวกับเป็นอาณาจักรขนาดย่อมๆ เลยทีเดียว
เปรียบเหล่าคนงานกว่าหลายร้อยกว่าคนเป็นประชาชนที่มีคุณภาพชีวิตดีและเรียบง่าย สุขสบายตามอัตภาพ เข้าออกในอาณาจักรของพวกเขาได้ตลอดเวลา แต่หากพ้นสถานภาพประชาชนของวรานุกร หรือพูดง่ายๆ ว่าลาออกจากการเป็นคนงานของไร่แล้ว พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะอาศัยอยู่ในไร่อีกต่อไป และต้องย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น
ถ้าหากมีพื้นที่อาณาจักร มีประชาชน ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือราชาผู้ปกครอง...ราชา ‘เมฆา’
“อะแฮ่ม นั่งเหม่อลอยเชียว คิดถึงใครอยู่เหรอครับคุณเมฆ” แดนดินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวเจ้านาย ขณะเดินมานั่งพักบนชานเรือนทรงไทยประยุกต์ ซึ่งเป็นที่ประจำของเขา
“ฉันไม่ได้คิดถึงใคร” ราชาหนุ่มแห่งไร่วรานุกรปฏิเสธ พลางเอนกายนอนลงบนเก้าอี้หวาย ทอดสายตามองไปยังไร่ส้มยาวสุดลูกหูลูกตา
“ปากแข็งใหญ่แล้วนายเรา ไหนบอกไม่ได้สนใจลูกสาวเถ้าแก่โรงงาน พอได้เจอตัวจริงเท่านั้นแหละ ถึงกับหลงเสน่ห์”
“ที่ว่าหลงเสน่ห์ก็อาจใช่เพียงชั่วครู่...แต่ไม่ได้ชอบ เพราะถ้าฉันชอบก็คงเดินหน้าจีบไปแล้ว ไม่มัวรอเวลาผ่านไปสองสามวันแบบนี้หรอก”
“โธ่ น่าเสียดาย คุณเมฆไม่ชอบเธอเลยสักนิดเหรอครับ ทั้งที่เธอทั้งสวย อ่อนหวาน มีเมตตาสุดๆ”
“แถมยังแต่งตัวเป็นแม่ชี กุลสตรีศรีสยาม” เขาต่อให้ พลางสั่นศีรษะน้อยๆ
“ถึงเธอจะสวย แต่ก็นุ่มนิ่ม หัวอ่อนเกินไป ดูไปดูมาก็ไม่มีอะไรน่าดึงดูด”
“แต่การกระทำของคุณเมฆนี่มันตรงค้ามตรงข้าม ทั้งที่บอกว่าเธอไม่มีอะไรน่าดึงดูด แต่คุณเมฆกลับไล่ผมออกจากห้อง เพื่อจะได้นั่งจ้องตากับเธอสองต่อสองเนี่ยนะ” แดนดินไม่เข้าใจในความย้อนแย้งของเจ้านาย
“ฉันก็แค่อยากจะทำความรู้จักกับเธอเท่านั้นแหละ เธอดูเป็นของแปลกดี”
“แล้วทำไมคุณเมฆถึง...”
“วะ! ถามมากจริงไอ้ดิน จบเรื่องผู้หญิงคนนี้สักที มีงานอะไรก็ไปทำเสียไป”
บุรุษหนุ่มโบกมือไล่อย่างนึกรำคาญที่ลูกน้องตัวแสบมัวมาทำหน้าทะเล้น ถามโน่นถามนี่ไม่หยุด
“ผมทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“พี่เมฆขา อยู่ไหมคะพี่เมฆ”
ยังไม่ทันที่เมฆาจะได้พูดตอบอะไร เสียงเล็กแหลมที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาจากโถงชั้นล่างอย่างชัดเจน เขาถอนหายใจอย่างนึกเบื่อหน่าย เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นฉับพลัน
“นี่ไง งานของแกอีกอย่างนึง” เขาชี้นิ้วไปที่พื้นชั้นล่าง ก่อนจะออกคำสั่งเดิมๆ เป็นครั้งที่ห้าร้อยว่า...
“ช่วยไปจัดการยายแก้วตานี่ออกจากชีวิตฉันที!”
ที่โถงรับแขกชั้นล่างของบ้านหลังใหญ่ซึ่งตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหรูหราทั้งหมด คุณนาย ‘เอื้องกลิ่น’ โบกพัดในมือช้าๆ วางมาดเป็นผู้ดีเมืองเหนือ โดยมีหญิงรับใช้คนเก่าแก่นวดเฟ้นให้อย่างเอาอกเอาใจ
คุณนายเอื้องกลิ่นมีรูปร่างผอมสูง แก้มตอบ ตาโต ปากคว่ำ คล้ายกับคนที่กำลังอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา นางมักจะเกล้าผมมวยประดับด้วยกิ๊บดอกไม้ เสื้อพื้นเมืองทรงป้ายสีสดใสกับผ้าซิ่นทอประณีตคือเครื่องแต่งกายของคุณนายในทุกๆ วัน
“ทำไมพ่อเมฆยังไม่ลงมาอีก ปล่อยให้หนูแก้วตามารอนานได้ยังไงกัน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณน้าเอื้อง หนูรอได้ค่ะ” ลูกสาวกำนันผู้ร่ำรวยแสร้งทำเสียงอ่อย ตีหน้าเศร้าน้อยๆ เพื่อเรียกคะแนนความสงสาร
“แย่จริง หรือว่าพ่อเมฆอาจจะลงไปที่ไร่? นังเฟื้อง แกเห็นพ่อเมฆลงไปที่ไร่หรือเปล่า” นายหญิงของบ้านหันไปถามหญิงรับใช้คนสนิท
“อาจจะลงไปที่ไร่ละมั้งคะคุณนายขา”
“ถ้างั้นก็ยังไม่ต้องไปตามเขาหรอก ปล่อยให้ทำงานไปเถอะ” คุณนายวางพัดลง ประคองถ้วยน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ
“ว้า เสียดายจังเลยนะคะที่ไม่ได้เจอหน้าพี่เมฆ เพราะหนูคงต้องรีบกลับก่อน...” สาวน้อยสอดมือลงไปหยิบถุงกระดาษข้างโซฟาที่ตนนั่งขึ้นมาวางไว้ตรงหน้า
“หนูเพิ่งจะกลับมาจากกรุงเทพฯ ซื้อของฝากเล็กๆ น้อยๆ มาให้คุณน้าก่อนลากลับน่ะค่ะ เปิดดูสิคะ”
แก้วตาใช้ไม้ตายเดิมเหมือนทุกครั้งที่มักจะได้ผลเสมอ เธอรู้นิสัยของหญิงแก่คนนี้ดี...ขี้เหนียว เอาแต่ได้อย่างคุณนายเอื้องกลิ่น พ่ายแพ้ให้แก่สิ่งที่เรียกว่า ‘กระเป๋าแบรนด์เนม’ เพราะเมื่ออีกฝ่ายเปิดดูก็ตาลุกวาว เก็บกลั้นอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
“แอร์เมสรุ่นล่าสุดที่หนูไปเลือกมาเอง คุณน้าเอื้องชอบไหมคะ”
“โอ๊ย! สวยขนาดนี้ไม่ชอบได้ยังไงล่ะจ๊ะ แหม หนูแก้วตานี่รู้ใจน้าจริงๆ เลือกสีที่น้าชอบมาด้วย”
“คุณน้าชอบ หนูก็ดีใจค่ะ” สาวน้อยยิ้มมุมปาก
“ยังไม่ต้องรีบกลับหรอกนะ อยู่รอเจอพ่อเมฆก่อน เดี๋ยวน้าให้คนงานไปตามให้ เฟื้อง เอากระเป๋าไปเก็บไว้ในตู้ไป เก็บดีๆ ให้เรียบร้อยเหมือนกับใบอื่นๆ ล่ะ”
“ได้เลยค่ะคุณนาย”
นางเฟื้องรับถุงกระดาษมา แล้วรีบกุลีกุจอเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนของคุณนาย เปิดตู้กระจกใสติดไฟสีเหลืองนวลสว่างออก เผยให้เห็นกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรูหลากหลายยี่ห้อวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นของฝากจากลูกสาวกำนันคนสวยที่เทียวไปเทียวมาไร่นี้เป็นประจำ ไม่มีสักใบที่คุณนายเป็นคนซื้อเอง เพราะความขี้งกเสียดายเงิน จึงไม่ยอมให้กระเด็นออกจากกระเป๋าแม้แต่สตางค์แดงเดียว หากไม่จำเป็นจริงๆ
“ไม่ต้องไปดูหมอ ข้าก็ทำนายเองได้วะ ตำแหน่งสะใภ้บ้านนี้คงหนีไม่พ้นคนที่ขยันซื้อพวกเอ็งมาฝากคุณนายหรอก หึๆๆ”นางเฟื้องหัวเราะขณะพูดกับเจ้าสิ่งไร้ชีวิต จัดเก็บของกำนัลชิ้นใหม่ไปอยู่กับเพื่อนๆ ของมันในตู้ เมื่องานเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกลับลงไปที่ห้องโถงใหญ่ดังเดิม
เมฆาหลบไปคุมงานที่ไร่ส้มพร้อมกับแดนดินเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงเต็มๆ เมื่อถึงเวลาพักเที่ยงของเหล่าคนงาน บุรุษหนุ่มจึงกลับเข้ามาที่บ้านเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง กะว่าช่วงบ่ายจะออกไปที่ไร่อีกครั้ง
“เอาไปเก็บให้ที” เขายื่นหมวกปีกกว้างในมือให้ลูกน้องคนสนิท ตามด้วยรองเท้าบูตหนังสีน้ำตาลเข้ม
“แกก็ไปพักกินข้าวเสียไป พอตอนบ่ายถอยรถกระบะออกมารอฉันเลย ช่วยคนงานขนส้มไปไว้ที่โรงคัด”
“รับทราบขอรับ” หนุ่มจอมทะเล้นทำมือตะเบ๊ะเลียนแบบทหาร สุขใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เมื่อเจ้านายให้เวลาพัก ก่อนจะวิ่งเร็วจี๋ไปที่ห้องครัวหลังบ้านโดยไม่รอช้า
ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตลายสกอตกับกางเกงยีนทะมัดทะแมงเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทันทีที่ก้าวขาพ้นประตูเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ภาพตรงหน้าก็ทำให้เมฆาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างนึกเบื่อหน่ายเหลือทน
‘สองชั่วโมงแล้ว ทำไมยายปลิงนี่ยังไม่กลับบ้านกลับช่องไปอีก!’
“พี่เมฆกลับมาแล้วเหรอคะ แก้วตารออยู่นานมากเลยค่ะ” จอมน่ารำคาญลุกขึ้นมาเกาะแขนของเขาโดยอัตโนมัติ ไม่สนเลยว่าเขากำลังร้อนและเหนื่อยแค่ไหน นี่แหละ ‘ปลิง’ ของแท้
“ใครใช้ให้รอล่ะ บ้านช่องไม่มีให้กลับเหรอ ถึงมาอยู่นี่ได้ทุกวัน กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวกำนันเขาจะเป็นห่วงเอา”
ลูกสาวกำนันไม่สะทกสะท้านกับคำพูดต่อว่าของบุรุษหนุ่ม เพราะหนักกว่านี้เธอก็เจอมาแล้ว ด้วยความที่เธอชอบเขาเป็นทุน บวกกับความโลภที่อยากจะนั่งตำแหน่ง ‘แม่เลี้ยง’ เพื่อครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาลของไร่วรานุกร ทำให้แก้วตายอมหน้าด้านหน้าทน เทียวมาหาเขาเกือบทุกวัน
“พ่อเมฆ! พูดแบบนั้นกับน้องได้ยังไงกัน แก้วตาอุตส่าห์แวะมาหาลูก แถมยังมีน้ำใจซื้อของมาฝากแม่อีก” เมื่อเห็นท่าไม่ดี คุณนายเอื้องกลิ่นจึงรีบห้ามปรามลูกชาย เพราะกลัวว่าที่ลูกสะใภ้ในดวงใจจะขุ่นเคือง
“หนูแก้วตาอยู่ทานข้าวด้วยกันนะจ๊ะ ไหนๆ พ่อเมฆก็มาแล้ว”
“เชิญทานกันตามสบายเลยครับ ผมเหนื่อย อยากพัก”
ชายหนุ่มเดินออกจากห้องโถงใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์นัก กลับมาเหนื่อยๆ แทนที่จะได้พักผ่อนให้สบาย กลับต้องมาเจอสิ่งมีชีวิตแสนน่ารำคาญ แบบนี้คงมีที่เดียวในบ้านที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่มย่าม เป็นสถานที่ที่จะทำให้เขาได้พักผ่อนอยู่อย่างสงบ
ไวเท่าความคิด เมฆาเดินเลี้ยวไปทางปีกซ้ายของตัวบ้านซึ่งเป็นที่พำนักของคุณตา ‘ปราชญ์ วรานุกร’ ประมุขสูงสุดในตระกูลวรานุกร
“เป็นไงไอ้เสือเอ๊ย มากินข้าวมา” เสียงทุ้มอบอุ่นของชายชราวัยเจ็ดสิบสี่ปีเอ่ยทักทายเหมือนเช่นทุกครั้ง
“เหนื่อยครับ” บุรุษหนุ่มนั่งลงบนตั่งเตี้ยข้างๆ กับคุณตาที่นั่งรับประทานอาหารอยู่
พื้นที่ปีกซ้ายของบ้านเป็นสถานที่พักผ่อนของคุณตาของเขา ซึ่งไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก มีทีวีขนาดเล็กสำหรับดูถ่ายทอดสดมวยไทยช่องโปรด เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณสำหรับฟังเพลงลูกกรุงเก่าแสนไพเราะ และปืนลูกซองรุ่นเก๋าหลายขนาดที่แขวนไว้ตามฝาผนัง มีทั้งที่ใช้การได้และใช้การไม่ได้
แค่นี้ก็คงพอจะรู้แล้วว่าคุณตาของเขาเคยเป็นนักเลงเก่า
“เหนื่อยอาไร้ พลังแรงม้าอย่างเอ็งเหนื่อยเป็นกับเขาด้วยเหรอ”
“เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ ผมเหนื่อยใจมากกว่า”
“ฮ่าๆ เหนื่อยใจที่นังเอื้องจะหาเมียให้ละสิ” คนอาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างปราชญ์รู้ดีว่าลูกสาวจอมจุ้นกำลังจะหาเมียให้หลานชาย
“ผมไม่เข้าใจแม่จริงๆ แค่ยายแก้วตานั่นซื้อกระเป๋าแพงๆ มาให้ก็รักนักรักหนา อยากจะได้มาเป็นลูกสะใภ้”
“แม่แก้วตาเขาก็มีความพยายามดีนี่ จีบเอ็งมาตั้งหลายปี ตามเทียวไล้เทียวขื่อ เอ็งไม่ใจอ่อนให้เขาบ้างเลยหรือ”
“รำคาญละสิไม่ว่า ผมชักเหลืออดแล้ว” เมฆาบ่นอุบด้วยความรู้สึกหงุดหงิด หยิบแตงโมหั่นชิ้นสามเหลี่ยมพอดีคำบนขันโตกขึ้นมาใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ
“ถ้ารำคาญนักก็หาเมียแต่งไปเลยสิ ไม่เห็นจะยาก” ชายชราแนะนำ
“โธ่ คุณตาครับ ลำพังงานในไร่ก็ยุ่งหัวหมุนแล้ว ผมไม่มีเวลาไปหาเมียหรอก”
“ก็เพราะเอ็งไม่หานี่ไงล่ะ แม่เอ็งถึงได้ขวนขวายหามาให้ อายุแกก็สามสิบสองแล้วนาพ่อเมฆ ความจริงผู้ชายต้องแต่งงานตั้งแต่อายุยี่สิบปลายๆ แล้ว”
“ไม่ละครับ ผมสะดวกใจที่จะอยู่แบบนี้” บุรุษหนุ่มยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะยังไม่อยากจะหาห่วงมาผูกคอตัวเอง
“งั้นก็เตรียมใจไว้ได้เลย ไม่พ้นปีนี้หรอก แม่เอ็งจับแต่งแน่”
“คุณตาอย่าพูดอะไรเป็นลางแบบนี้สิครับ” เขานึกเสียวสันหลังแปลกๆ
“ถ้าพ่อเมฆไม่อยากแต่งงานกับแม่แก้วตา ก็ต้องหาเมียชิงแต่งไปก่อน จะรวยจะจนก็ขอให้เป็นคนดี และที่สำคัญที่สุดต้องเป็นคนที่เอ็งรักใคร่สมัครใจด้วย”
รักหรือ...ตั้งแต่เกิดมาจนอายุปูนนี้ เขายังไม่เคยมีความรักหวือหวาแบบหนุ่มสาวเลยสักครั้ง มีเพียงแต่สัมพันธ์ทางกายชั่วข้ามคืน และไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมาทำให้ตกหลุมรัก หรือทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงเลยสักคน
นอกเสียจากแม่กุลสตรีศรีสยามที่เขาได้พบเจอกับเธอเมื่อหลายวันก่อน...
ความคิดเห็น |
---|