๑๑.
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับมีคนเอานิ้วมาหมุนนาฬิกาวนไปรอบๆ ด้วยความเร็วสูง อัสมิฮานนั่งเท้าคางกับขอบหน้าต่างเครื่องบิน เหม่อมองปุยเมฆที่ล่องลอยอยู่ด้านนอกอย่างรู้สึกใจหาย ความรู้สึกที่ว่านี่อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเธอเริ่มเข้ามาเกาะกุมหัวใจ
ความหวาดหวั่นว่าอาจไม่ได้เห็นอัลรีฟอีกแล้วทำให้เธอรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงกลัวแบบนั้น ทั้งๆ ที่ชีคซอลีลก็รับปากแล้วว่า เธอจะยังคงทำงานที่ อัล ชุรูก ได้หากเธอต้องการ
‘ถ้าคุณยังเหลือแรงพอจะลุกไปทำงานตอนเช้าได้นะ’
คำพูดและรอยยิ้มเป็นเชิงหยอกล้อของชีคซอลีลในคราวที่เธอไปเยือนดุนยาครั้งก่อนทำให้เธอเริ่มไม่มั่นใจ รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าเขาจะไม่บิดพริ้ว เพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนในอัซดิฮารหรอกที่อยากให้ภรรยาของตัวเองออกจากใต้ปีกของเขา และโผบินได้ด้วยปีกของตัวเอง โดยเฉพาะต้องโผบินไปไกลห่างกันหลายร้อยไมล์
เมื่อเครื่องบินลดระดับลง ทะเลทรายกว้างใหญ่สีทองอร่ามตาก็ปรากฏให้เห็นแทนปุยเมฆสีขาว ผิวของมันเป็นริ้วระบายคล้ายคลื่นในท้องทะเล มีขบวนอูฐเดินเป็นแถวเป็นแนวยาวเหยียดอยู่บนสันทรายเบื้องล่าง ภาพเหล่านั้นพาลให้เธออดนึกถึงชีคหนุ่มอีกคนขึ้นมาไม่ได้
ใบหน้าคมคล้ามของอัลมาญิดยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเป็นเดือนแล้ว นับจากพบเขาครั้งล่าสุดก็ตาม แต่เธอก็ยังคงรู้สึกเหมือนเขามาวนเวียนอยู่ใกล้เธอตลอดเวลา
นั่นอาจเป็นเพราะเธอติดตามข่าวสารของชาวลิฮาซตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่โอเอซิสซับฮ์ก็ได้
ข่าวระเบิดโรงงานแปรรูปอินทผลัมและเพลิงไหม้สวนอินทผลัมในโอเอซิสซับฮ์อันเป็นพืชเศรษฐกิจหลักเมื่อเดือนที่แล้วทำให้พื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยทะเลทรายที่เคยเงียบเหงา ไม่เป็นจุดที่น่าสนใจแห่งนี้ กลายเป็นจุดเด่นให้สื่อหลายแขนงหันมาสนใจกันมากขึ้น จึงไม่แปลกเลยที่เธอจะได้รับข่าวสารและเห็นชีคอัลมาญิดปรากฏตัวอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์และหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน มิหนำซ้ำฮัซซานยังสรรหาข้อมูลเชิงลึกอีกมากมายมาให้เธอดูประกอบอีกต่างหาก
ยิ่งรู้เรื่องละเอียดเท่าใด อัสมิฮานก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเข้าไปใกล้ชิดชีคอัลมาญิดมากขึ้นเท่านั้น
คิดมาถึงตอนนี้ หญิงสาวก็ถอนใจแผ่วเบาออกมาอย่างอดรู้สึกผิดไม่ได้ เพราะในขณะที่เธอรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้ชีคอัลมาญิดมากขึ้นเท่าไร เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองห่างเหินกับชีคซอลีลผู้เป็นคู่หมั้นมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกเหมือนไม่แน่ใจแล้วว่าชีคซอลีลจะเป็นผู้ชายคนที่เธอควรจะแต่งงานด้วยจริงๆ หรือเปล่า ทั้งๆ ที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์และใกล้จะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว เพราะถ้าว่าที่สามีของเธออยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดนี้ เพียงเพราะต้องการในที่ดินของชีคอัลมาญิดจริงๆ ล่ะก็ เธอจะทนอยู่กับคนแบบนั้นได้อย่างไรกัน?
คิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ เพราะงานทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขาดก็เพียงเจ้าสาวของงานที่กำลังจะเดินทางไปถึงเท่านั้น
“ที่ปรึกษาของผมเห็นว่าคุณควรเดินทางมาเงียบๆ ก่อนกำหนดการจริงสักสองสามวัน” ชีคซอลีลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลส่งมาตามสายโทรศัพท์เมื่อหลายวันก่อน “สถานการณ์ที่ดุนยาไม่ค่อยดีนัก สายข่าวของผมเชื่อว่า พวกลิฮาซอาจต้องการลักพาตัวคุณเพื่อต่อรองกับผม”
ตอนที่ได้ยินเช่นนั้นจากปากของคู่หมั้น อัสมิฮานก็แทบไม่เชื่อเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นได้จริงๆ แต่ก็อย่างที่เธอเคยคิดมาเสมอแหละว่า เธอแทบไม่รู้จักชีคอัลมาญิดเลย ฉากหน้าเขาอาจเป็นคนสุภาพอย่างที่เธอได้สัมผัสตัวจริงของเขาเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ความจริงแล้วเขาอาจเป็นอีกแบบหนึ่งที่เธอคาดไม่ถึงก็ได้ หนำซ้ำเหตุการร้ายแรงในเขตการปกครองที่หนึ่งของดุนยาในเดือนที่ผ่านมาก็สนับสนุนข้อสงสัยของว่าที่สามีของเธอด้วย
หนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้น มีเหตุก่อการร้ายเกิดขึ้นหลังจากเพลิงไหม้และระเบิดที่โอเอซิสซับฮ์อีกสองครั้ง เป็นเหตุที่เกิดใจกลางแหล่งผู้คนพลุกพล่านในเขตการปกครองที่หนึ่ง ซึ่งถ้ามองดูเผินๆ แล้ว มันเหมือนจะเป็นการตอบโต้อย่างไม่เป็นทางการของฝ่ายลิฮาซ แต่เหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทั้งสามครั้งภายในหนึ่งเดือนก็กลับไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ และยังไม่มีใครออกมาประกาศความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อีกด้วย นักวิชาการบางคนจึงชี้ว่านี่อาจเป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดีที่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในภูมิภาคนี้ขึ้นมาก็ได้
แต่เพื่อความไม่ประมาท จึงทำให้ต้องมีการปรับแผนการเดินทางของเธอให้ยุ่งยากซับซ้อนขึ้น มีเพียงบิดาของเธอ แม่เลี้ยง และญาติสนิทมิตรสหายของเธอเท่านั้นที่จะเดินทางมาตามกำหนดการในอีกสองวันข้างหน้ากับ...อัสมิฮานตัวปลอม
คงไม่มีใครเอะใจสงสัยอะไรเรื่องเจ้าสาวตัวปลอม เพราะปรกติผู้หญิงในราชอาณาจักรอัซดิฮารก็สวมฮิญาบและนิกอบปิดบังศีรษะกับใบหน้ากันเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว เมื่อสาวใช้คนหนึ่งของเธอที่มีรูปร่างและส่วนสูงใกล้เคียงกับเธอสวมชุดคลุมมิดชิดปรากฏตัวที่สนามบินดุนยาพร้อมครอบครัว ก็คงทำให้สื่อต่างๆ เชื่อได้ไม่ยากว่า เธอเดินทางถึงดุนยาและพร้อมเข้าพิธีวิวาห์กับชีคซอลีลตามกำหนดการอย่างปลอดภัย ทั้งที่ความจริงแล้วเธอกำลังนั่งรอเข้าพิธีอย่างสบายใจอยู่ในป้อมปราการอันแข็งแกร่ง
วันนี้อัสมิฮานจึงเดินทางมาตามลำพังด้วยเครื่องบินพาณิชย์ ชีคซอลีลบอกว่าเธอไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ ขอให้คลุมศีรษะและปิดหน้าให้มิดชิดก็พอ เพราะเขาจะส่งบอดี้การ์ดสองคนมาคุ้มครองเธออยู่ห่างๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นบอดี้การ์ดสองคนนั้น
หลังจากเครื่องบินลงจอดที่สนามบิน อัสมิฮานก็เดินออกจากเครื่องบินไปตามงวงช้างที่ทอดยาวสู่อาคารผู้โดยสารขาเข้าโดยไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับคนที่เพิ่งจะคิดถึงเมื่อครู่เข้าโดยบังเอิญ
ตอนนั้นเป็นเวลาที่ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี เขาชนกับเธอเข้าเต็มแรง จนเธอเกือบล้มหงายลงไป ดีที่อีกฝ่ายรวบตัวเธอเอาไว้ในวงแขนได้อย่างว่องไว
อัสมิฮานเงยหน้าขึ้นมอง แม้เขาจะสวมแว่นตาดำอันโตกับหมวกแก๊ปที่ดึงปีกหมวกลงมาอำพรางใบหน้า แต่ในระยะประชิดตัวเช่นนี้ เธอก็แน่ใจว่าเขาคือ...ชีคอัลมาญิด
แต่เขาจะจำเธอได้หรือเปล่านะ?
ในห้วงแห่งความคิดของเธอนั้นเอง ชีคหนุ่มก็ชะงักมองเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเช่นกัน คิ้วหนาขมวดมุ่นภายใต้เงาของปีกหมวกบ่งบอกความฉงนฉงาย แววตาสงสัยของเขาทะลุความทึบแสงของแว่นตาดำออกมา เขาจ้องเธอเขม็ง แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมานอกจากคำว่า ‘ขอโทษ’ แล้วปล่อยให้เธอเป็นอิสระ ก่อนจะเดินดุ่มๆ จากไปพร้อมกับชายร่างใหญ่อีกสองคนที่แทบจะประกบเขาเป็นเงาตามตัว
อัลมาญิดเดินจากหญิงสาวคนนั้นมาด้วยความรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก ดวงตางามคู่นั้นเป็นคู่ที่เขาคุ้นตามากเหลือเกิน มันมีพลังเสียจนเขาอยากจะถือวิสาสะ กระชากนิกอบของเธอออกเพื่อให้แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะมันเป็นการละเมิดสิทธิ์ของผู้หญิงที่ไม่อาจให้อภัยได้
แต่นั่นต้องใช่ ‘อัสมิฮาน’ แน่ๆ
ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ในเวลานี้กันนะ?
อัสมิฮานควรมาถึงดุนยาในอีกสองวันข้างหน้า ตามที่สื่อทุกแขนงประกาศให้ทราบทั่วกันว่าเธอจะต้องเดินทางมากับครอบครัวเพื่อประกอบพิธีแต่งงานกันในป้อมปราการของชีคซอลีล
ความคิดสับสนว้าวุ่นนั้น ทำให้แทนที่อัลมาญิดจะเดินไปขึ้นรถที่พันเอกซาอิดสั่งให้คนมาจอดรอที่หน้าอาคาร เขากลับเดินตัดโถงใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ไปที่ผนังกระจกผืนใหญ่ที่สามารถมองไปเห็นถนนด้านหน้าอาคารได้อย่างชัดเจน เขายืนนิ่งกอดอกแล้วมองลงไปที่ทางเท้าริมถนน โดยมีอัยมันและองครักษ์อีกคนยืนประกบอยู่ด้านหลัง
ครู่หนึ่งผู้หญิงคนนั้นก็ลากกระเป๋าออกมา ชายสองคนเข้าไปพูดคุยกับเธอ ก่อนจะนำกระเป๋าเดินทางของเธอขึ้นรถลีมูซีนกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง จากนั้นทั้งสามคนก็พากันขึ้นรถแล่นออกไปจากสนามบิน
อัลมาญิดจ้องมองและจนจดจำทะเบียนรถได้แม่นยำ ใต้ตัวเลขในแผ่นป้ายสีขาวนั้น มีตราสัญลักษณ์ของเขตการปกครองที่หนึ่งอยู่ด้วย ดูเผินๆ จะเหมือนรถทั่วไปที่มาคอยรับนักท่องเที่ยวจากแดนไกล แต่ในความรู้สึกของเขาแล้ว มันจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ผิดปรกติแน่ๆ
“ท่านชีคครับ เราต้องรีบไปแล้ว” อัยมันเร่งเร้า เพราะสถานการณ์ระหว่างเผ่าลิฮาซและดุนยาไม่สู้ดีนัก
ชีคหนุ่มยังคงยืนกอดอกนิ่ง ก่อนจะเปรยออกมาเบาๆ พอให้ได้ยินกันในกลุ่ม “ฉันมีงานสำคัญต้องทำก่อนจะกลับลิฮาซ”
“งานสำคัญ?” ทั้งสองงุนงง เพราะนี่ไม่ได้อยู่ในกำหนดการที่ผู้พันซาอิดวางไว้ให้
“ตามฉันมา แล้วจะรู้เอง” อัลมาญิดบอก ก่อนจะเดินนำดุ่มๆ ออกจากอาคารไปขึ้นรถขับออกจากสนามบินอย่างรวดเร็ว
รถลีมูซีนกลางเก่ากลางใหม่แล่นอย่างรวดเร็วไปตามถนนทางหลวงจากสนามบินซึ่งมุ่งตรงไปยังศูนย์กลางเขตการปกครองที่หนึ่งของเมืองดุนยา มันเป็นเส้นทางเดิมที่อัสมิฮานเคยใช้เดินทางมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนนั้นเธอยังมีอิสระและความหวัง แต่บัดนี้เวลาแห่งอิสรภาพของเธอกำลังหมดลงแล้ว
หนึ่งเดือนนี่มันช่างรวดเร็วเสียจริงๆ เธอแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แม้แต่โครงการที่ปลุกปั้นมาตลอด หวังจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับบิดาและบริษัทก็กลับถูกระงับเอาไว้ชั่วคราว
“ถึงไม่มีรถคุ้มกันก็ไม่ต้องกลัวนะครับ” บอดี้การ์ดที่นั่งข้างคนขับเอ่ยขึ้น
อัสมิฮานรู้ว่าเขาแค่เพียงชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศในรถเงียบเกินไป
“ไม่มีใครรู้ว่าคุณอยู่ในรถคันนี้ ทุกคนคิดว่าคุณกำลังเตรียมตัวเดินทางอยู่ที่อัลรีฟ”
คำพูดของบอดี้การ์ดทำให้หญิงสาวคิดถึงชีคอัลมาญิดขึ้นมา สีหน้าของเขาตอนที่เธอตกอยู่ในอ้อมแขนนั้น ทำให้เธออดหวั่นใจไม่ได้ว่า เขาอาจจำเธอได้ และหากชีคหนุ่มจำเธอได้จริงๆ ประโยคที่ว่า ‘ไม่มีใครรู้ว่าเธออยู่ในรถคันนี้’ คงไม่เป็นจริง และนั่นหมายความว่าเธออาจกำลังตกอยู่ในอันตราย...
ถ้าชีคอัลมาญิดคือคนร้ายจริงอย่างที่ชีคซอลีลบอกเธอ
“สถานการณ์มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือคะ” อัสมิฮานเอ่ยถาม
“ตอนนี้มันชุลมุนไปหมดครับ ไม่รู้ใครเป็นใคร ป้องกันเอาไว้ก่อนจะดีกว่าครับ”
“นั่นสิครับ ท่านชีคเป็นห่วงคุณมาก เลยต้องทำแบบนี้” อีกคนเสริม
“ฉันทราบค่ะ” เธอบอก ก่อนจะผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล พยายามตัดความรู้สึกสับสนที่ผุดขึ้นมาตลอดทั้งเดือนออกไป
แต่แล้วจู่ๆ ก็กลับเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น หลังการการเดินทางเงียบเหงาและราบเรียบมานาน อัสมิฮานหันไปมองด้านหน้าด้วยความตกใจ เธอเห็นกระจกหน้ารถมีรูขนาดใหญ่ รอบๆ รูแตกร้าวเป็นวงกว้างคล้ายใยแมงมุมเกือบทั้งบาน เศษกระจกเกลื่อนแผงหน้ารถ มีแท่งปูนก้อนใหญ่ตกอยู่บนตักของบอดี้การ์ดซึ่งทำหน้าที่ขับรถ ส่วนใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเลือดแดงฉานพอๆ กับแท่งปูนก้อนนั้น
คงมีใครสักคนโยนแท่งปูนก้อนนั้นเข้ามา และโดนคนขับรถเข้าอย่างจัง ทำให้สารถีหนุ่มถึงกับมึนงง ท่าทางโงนเงนคล้ายกับจะบังคับรถไม่อยู่ ก่อนที่ในวินาทีต่อมา รถก็ส่ายไปมาอย่างไร้การควบคุม โลกของอัสมิฮานหมุนคว้างไปมา ก่อนที่จะหยุดกึกเมื่อรถพุ่งไปชนต้นไม้ข้างทางเข้าอย่างจัง
ศีรษะของอัสมิฮานกระแทกเข้ากับด้านหลังเบาะอย่างแรง แม้เบาะรถจะไม่ใช่ของที่แข็งมาก แต่แรงปะทะมหาศาลก็ทำให้เธอถึงกับมึนงงไม่น้อย ไม่นานนักประตูรถข้างเธอก็ถูกกระชากเปิดออกพร้อมกับประตูหน้าข้างคนขับ มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว
อัสมิฮานสะดุ้งเฮือก กรีดร้องไม่เป็นภาษา ก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงกระแทกที่ท้ายทอย ทำให้อาการมึนงงเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ
ความมืดค่อยๆ คลี่คลุมรอบกายเธอช้าๆ ร่างกายเหมือนไร้สิ้นเรี่ยวแรง แขนขาอ่อนปวกเปียกจนทรุดฮวบลงพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ดับวูบลงไป
ความผิดพลาดในการต้อนรับอัสมิฮานคราวที่แล้ว ทำให้คราวนี้ชีคซอลีลจะไม่ยอมพลาดอีก เมื่อได้เวลาที่เจ้าสาวของเขาใกล้จะมาถึง ชีคหนุ่มจึงออกจากห้องแล้วเดินไปที่หน้าป้อมปราการใหญ่อันเป็นที่พำนักของเขาเพื่อรอต้อนรับเธอ
ชีคซอลีลยืนสงบนิ่ง สายตาจ้องมองไปยังประตูทางเข้าซึ่งรถที่เขาให้ไปรับเจ้าสาวจะผ่านเข้ามา ทว่าแทนที่จะเป็นรถลีมูซีนสีดำมะเมื่อม กลับกลายเป็นรถตำรวจสีขาวคาดแถบน้ำเงินแล่นเข้ามาแทน
“นี่มันอะไรกัน” เขาเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
“ไม่ทราบครับ” อาลีตอบเสียงสั่น
ไม่นานนักรถตำรวจก็แล่นมาจอดด้านหน้าอาคาร ชีคหนุ่มจ้องมองนายตำรวจสองคนลงจากรถมาด้วยท่าทางเครียดจัด ก่อนจะทำความเคารพเขาในฐานะเจ้าผู้ปกครองเมือง
“มีอะไรกันหรือ”
“เอ่อ...” ตำรวจทั้งสองนายอ้ำอึ้ง มองหน้ากันเหมือนจะเกี่ยงกันเป็นคนรายงาน
“ใครสักคนบอกฉันที มันเกิดอะไรขึ้น” ชีคซอลีลคำรามด้วยเสียงเข้มทรงอำนาจ หากภายในกลับรู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
“เกิดอุบัติเหตุกับรถลีมูซีนจากสนามบินครับ บอดี้การ์ดของท่านชีคสองคนเสียชีวิตอยู่ในรถ”
“อะไรนะ” ชีคหนุ่มย้อนถามด้วยความตกใจ “แล้วคนที่มากับสองคนนั่นล่ะ”
“ไม่พบใครนอกจากสองคนนั้นครับ”
“ไม่พบใคร?” เขาทวนคำ หัวใจแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“จากการตรวจที่เกิดเหตุ เราสันนิษฐานว่าคนร้ายใช้แท่งปูนโยนใส่รถลีมูซีนที่กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว แท่งปูนทะลุกระจกด้านหน้าเข้าไปกระแทกใส่ศีรษะของคนขับจนสิ้นใจ รถจึงเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ ส่วนอีกคนที่นั่งมาด้วย ถูกยิงจ่อศีรษะ เราตรวจสอบจากหลักฐานที่ติดตัวผู้ตาย จึงได้รู้ว่าเป็นคนของท่านชีคครับ”
“อัลลอฮ์”
ชีคซอลีลยกมือขึ้นปิดปากอย่างใจหาย สิ่งที่ซุบาอีย์เตือนเขาเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว แม้เขากับที่ปรึกษาสูงวันจะวางแผนป้องกันอย่างเต็มที่ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไร พวกมันไม่เพียงไม่หลงกล แต่ยังสามารถล่วงรู้เวลาที่อัสมิฮานจะเดินทางมาที่นี่ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
“เมื่อครู่ท่านชีคถามเหมือนมีใครมากับรถอีก ไม่ทราบว่าเป็นใครหรือครับ” นายตำรวจเริ่มทำหน้าที่ของตน
ชายหนุ่มชะงัก เพราะไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากเขากับซุบาอีย์ ทุกคนคิดว่าอัสมิฮานจะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้า หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป ย่อมจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่
“ไม่มี” ชีคซอลีลตอบ
“แต่…”
“เรื่องงานที่สองคนนั้นไปทำ คุณสองคนสามารถพูดคุยกับท่านซุบาอีย์ได้โดยตรง เขาเป็นคนจัดการทุกอย่าง”
“เอ่อ...ครับ” นายตำรวจรับคำอย่างจำนนใจ
“ผมจะให้ท่านซุบาอีย์ติดต่อพวกคุณไปด่วนที่สุด และจะให้เขาส่งคนไปร่วมสืบสวนเรื่องนี้ด้วย หวังว่าพวกคุณจะให้ความร่วมมือกับคนของผมเป็นอย่างดี”
“คะ...ครับท่านชีค”
“เอาล่ะ ผมต้องขอตัวก่อน มีงานอีกมากต้องสะสาง” ชีคซอลีลถือโอกาสตัดบท
นายตำรวจทั้งสองมองหน้ากันเลิกลัก ก่อนจะขอตัวจากไปอย่างจำใจ เพราะไม่อาจก้าวล่วงผู้ปกครองสูงสุดของเมืองได้
ชีคซอลีลจ้องมองนายตำรวจทั้งสองกลับขึ้นรถ และทันทีที่รถคันนั้นลับสายตาไป เขาก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายหาที่ปรึกษาสูงสุดของเขาทันที
“ท่านชีค” ปลายสายตอบรับ “ท่านคงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณอัสมิฮานแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่” ชายหนุ่มตอบพร้อมสั่งการเสียงเข้ม “ส่งคนไปสนธิกำลังกับตำรวจ ควานหาตัวคนร้ายมาให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องช่วยอัสมิฮานให้ได้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ครอบครัวของเธอจะมาที่นี่ในอีกสองวันข้างหน้า...เข้าใจไหม”
“ครับ...ท่านชีค”
ชีคซอลีลตัดสัญญาณทันทีหลังจากปลายสายรับคำ เขากำโทรศัพท์ไว้แน่น รู้สึกแค้นเคืองคนที่ลอบกัดเขาเช่นนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องช่วยอัสมิฮานกลับมา และจัดการกับคนที่มันฮึกเหิมแบบนี้ให้ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม
ความคิดเห็น |
---|