๑๒.
ผิวหน้าที่ร้อนผ่าวทำให้อัสมิฮานรู้สึกตัวขึ้น ก่อนที่ความรู้สึกปวดศีรษะและท้ายทอยจะกระหน่ำเธอจนไม่รู้สึกอยากจะลืมตาขึ้นเลย หญิงสาวรู้สึกมึนงงสับสน พยายามคิดทบทวนว่าทำไมร่างกายถึงเป็นแบบนี้ และในทันทีที่ความทรงจำสุดท้ายหลั่งไหลกลับคืนสู่สมอง เธอก็ผวาลุกขึ้นพร้อมกับลืมตาโพลง
“โอ๊ย!”
อัสมิฮานหลับตาลงด้วยความรู้สึกแสบตา แสงแดดจ้าทำให้กระบอกตาปวดร้าว ความปวดร้าวแล่นปราดไปถึงสมอง ทำให้เธอรู้สึกมึนงงคล้ายจะล้มพับลงไปอีกครั้ง
แดดนั่นคงเป็นสาเหตุของความร้อนที่แผดเผาเธอจนดึงเธอให้ฟื้นคืนสติขึ้นมาได้อีกครั้ง หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นกุมขมับ ขยับร่างกายให้พ้นแสงแดดที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ปรับสภาพสายตาให้เข้ากับบรรยากาศรอบกายทีละน้อย จนในที่สุด เธอก็รู้ว่าตัวเองอยู่ในกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่ง
มันเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่มีข้าวของอัดแน่นอยู่พอสมควร เธอกำลังนั่งอยู่บนเบาะหนานุ่มบนเตียงไม้ กลางห้องมีโต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้สองตัว ผนังด้านหนึ่งเป็นตู้เสื้อผ้า มีกระเป๋าของเธอกองอยู่บนพื้น อีกด้านเป็นตู้ที่เมื่อมองผ่านบานกระจกเข้าไปก็จะเห็นอาหารกระป๋องอยู่เต็มไปหมด
‘ที่นี่มันที่ไหนกัน’
คำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัว อัสมิฮานตัดสินใจลุกจากเตียง รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อยจึงทรุดตัวลงนั่งแล้วรอให้อาการนั้นค่อยๆ จางหายไป จึงลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินโซเซไปที่ประตู
วินาทีที่ประตูเปิดออก หญิงสาวถึงกับตะลึงลาน เพราะเลยจากตรงที่เธอยืนอยู่ไปไม่ไกล เป็นทะเลสีครามที่เต็มไปด้วยคลื่นน้อยใหญ่กว้างไกลไปจนจรดกับผืนฟ้าเบื้องบนที่เต็มไปด้วยเมฆขาวนวลลอยล่องเต็มไปหมด
นี่ไม่ใช่เมืองดุนยาแน่ๆ ที่นั่นไม่มีทะเล จะมีก็แต่ทะเลที่เต็มไปด้วยทรายเท่านั้น
‘แล้วฉันอยู่ที่ไหนกันล่ะ?’
“ที่ปรึกษาของผมเห็นว่าคุณควรเดินทางมาเงียบๆ ก่อนกำหนดการจริงสักสองสามวัน” เสียงของชีคซอลีลดังขึ้นในหัว อัสมิฮานเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวอย่างช้าๆ “สถานการณ์ที่ดุนยาไม่ค่อยดีนัก สายข่าวของผมเชื่อว่า พวกลิฮาซอาจต้องการลักพาตัวคุณเพื่อต่อรองกับผม”
‘ลักพาตัว’
นั่นคือคำเดียวที่เธอคิดได้ตอนนี้
ภาพของชีคอัลมาญิดตอนที่เธอพบเขาหน้าห้องน้ำในสนามบินผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ไม่มีใครรู้ว่าเธอจะมาเที่ยวบินนี้ และเธอก็ไม่คิดว่าชีคแห่งลิฮาซจะรู้ หากเขาไม่ทำหน้าตาสงสัยยามที่เธอตกอยู่ในอ้อมแขนเขาในวินาทีนั้น บางทีเขาอาจรู้ตั้งแต่ตอนนั้น หรืออาจรู้มาก่อนหน้านั้นแล้วมาตรวจสอบดูให้แน่ใจว่าเธอจะมาดุนยากับเที่ยวบินนั้นจริงหรือเปล่า
หลังจากนั้นก็วางแผนลักพาตัวเธอมา โดยทำให้รถเกิดอุบัติเหตุ
ปังๆๆ!...เสียงปืนในความทรงจำทำให้อัสมิอานสะดุ้งเฮือก มีการฆ่ากันตายเกิดขึ้นในรถ ขณะที่มีคนกำลังฉุดคร่าเธอออกมา ภาพของบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่เป็นสารถีนอนจมกองเลือดเพราะแท่งปูนกระแทกเข้าศีรษะอย่างจังผุดขึ้นมาในสมอง ทำให้แข้งขาของอัสมิฮานอ่อนยวบ ก่อนจะทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น น้ำตาไหลออกมาราวทำนบแตก หญิงสาวซบหน้ากับฝ่ามือตัวเอง ร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกหวาดกลัวระคนผิดหวังในตัวชายคนที่เธอเพิ่งพบเขาอย่างบอกไม่ถูก
“คุณฟื้นแล้ว”
เสียงนั้นดึงเธอให้หลุดจากห้วงความทุกข์โศก อัสมิฮานเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกโพลงมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสน เขาไม่ได้สวมเสื้อ มีเพียงกางเกงขายาวสีดำเท่านั้นที่ปกปิดท่อนล่างเอาไว้ ร่างกายอันอุดมไปด้วยมัดกล้ามของเขาถูกแต่งแต้มด้วยรอยแผลเป็นน้อยใหญ่ที่ทำให้ดูน่าเกรงขาม สภาพของเขาในสถานการณ์แบบนี้ ทำให้เขาดูเป็นคนร้ายขึ้นมาไม่น้อยทีเดียว
“ที่นี่ที่ไหน” เธอเอ่ยถามเสียงแข็ง
แววตาของชีคอัลมาญิดมีความตระหนกเล็กน้อยกับท่าทีแข็งกร้าวของเธอ แต่เขาก็สามารถควบคุมมันได้อย่างรวดเร็ว
“เกาะ...ที่ไหนสักแห่ง”
อัสมิฮานเลิกคิ้ว “ที่ไหนสักแห่ง?” เธอทวนคำด้วยความแปลกใจ เพราะหากเขาลักพาตัวเธอมาจริงๆ ทำไมเขาถึงเอ่ยประโยคนั้นออกมา
“คุณหมายความว่ายังไง”
“เราอยู่บนเกาะ” เขาบอกซ้ำ “แต่ผมไม่รู้ว่าเกาะไหน กลางทะเลอะไร”
“ทำไมคุณถึงไม่รู้”
ชีคหนุ่มเลิกคิ้ว “ก็ผมไม่รู้ ทำไมผมถึงจะรู้หือ”
“ก็คุณเป็นคนพาฉันมา ทำไมคุณถึงจะไม่รู้” เธอเอ่ยตามด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“ผมน่ะเหรอ” เขาย้อนถาม
“ใช่สิ ไม่อย่างนั้นฉันจะมาอยู่บนเกาะที่ไหนไม่รู้ของคุณได้ยังไง”
“ผมไม่เข้าใจ” ชีคหนุ่มตีหน้าซื่อ
“คุณฆ่าคนของชีคซอลีลไปสองคน ลักพาตัวฉันมา มีอะไรที่คุณต้องทำความเข้าใจมากกว่าฉันอีกหรือคะ”
“โว้วๆๆ” เขายกสองมือขึ้นปรามเธอ “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ คุณผู้หญิง”
“คุณยังจะให้ฉันใจเย็นอีกหรือคะ ขณะที่ฉันกำลังถูกลักพาตัวออกมาจากงานวิวาห์ ด้วยเหตุผลบ้าๆ ที่เรียกกันสวยหรูว่า ‘การต่อรองทางการเมือง’ บนความขัดแย้งกันระหว่างคุณกับเจ้าบ่าวของฉัน”
ชีคอัลมาญิดหัวเราะในลำคอเบาๆ “ผมว่าคุยอะไรกันตอนนี้คงไม่รู้เรื่อง ผมจะไปสำรวจอีกด้านหนึ่งของหาดก่อน หวังว่ากลับมาแล้ว คุณคงสงบสติอารมณ์ได้มากพอจะพูดคุยกับผมได้ด้วยเหตุผล”
“นี่คุณหาว่าฉันไม่มีเหตุผลงั้นเหรอ” อัสมิฮานเริ่มหงุดหงิด
ชายหนุ่มไม่ตอบโต้ เขาหันหลังให้เธอ ก่อนจะเดินย่ำทรายออกไป โดยไม่คำนึงสักนิดว่าเธอจะหนี
“เดี๋ยวสิคุณ” หญิงสาวร้องเรียก รีบโผตามเขาไปโดยไม่ได้คำนึงถึงว่าตัวเองเพิ่งจะฟื้นคืนสติจากการสลบไสลอันยาวนาน ยิ่งอยากวิ่งให้ทันเขา เท้าทั้งสองข้างก็ยิ่งสะเปะสะปะมากขึ้น แล้วในที่สุดเธอก็ล้มลง
เสียงหวีดร้องเรียกความสนใจของชีคอัลมาญิดได้เป็นอย่างดี เมื่อเขาหันมาเห็นเธอล้มลง ก็รับวิ่งมาประคองร่างเธอเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะช้อนร่างของเธอขึ้นอุ้มกลับเข้าไปในกระท่อม
“นอนพักอีกสักหน่อยเถอะ อย่าเพิ่งเดินไปเดินมาเลย”
“ไม่…คุณต้องบอกฉันก่อน ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน”
ชีคอัลมาญิดไม่เพียงไม่ตอบเธอ เขายังส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากกระท่อมหน้าตาเฉย ทิ้งให้เธอนอนอ่อนระทวยและสับสนอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง เหมือนตอนที่ฟื้นคืนสติใหม่ๆ
ชีคอัลมาญิดกลับมาในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาเปิดประตูแล้วจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจแล้วทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะ รินน้ำชาจากกาลงในถ้วยใบเล็กจิ๋วแล้วดื่มอย่างใจเย็น
“มีอะไรจะอธิบายไหมคะ” อัสมิฮานเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่เขากลับมา
“มีครับ”
“ฉันรอฟังอยู่ค่ะ”
เขายิ้ม รินน้ำชาลงในแก้วอีกใบ ก่อนจะเดินมายื่นให้เธอ “น้ำหน่อยไหม”
“ขอบคุณค่ะ” อัสมิฮานรับน้ำมาดื่ม พยายามเก็บอารมณ์เอาไว้ให้ดีที่สุด
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงแล้วเผยยิ้ม “ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน ตอนฟื้นขึ้นมาว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ก็คุณเป็นคน…” เธอชะงักเมื่อเห็นสายตาเข้มเชิงปรามของเขา ก่อนจะถอนใจแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “เชิญคุณพูดต่อค่ะ”
“ขอบคุณ” เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ “ตอนที่ผมพบคุณที่สนามบิน…”
อัสมิฮานจ้องมองเขาด้วยความประทับใจ เพราะนั่นหมายความว่า เขาเห็นแค่เพียงดวงตาเธอเท่านั้น ก็สามารถจำได้ว่าเธอเป็นใคร ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็พบกันแทบนับครั้งได้
“ผมนึกขึ้นมาได้ทันทีว่าควรจะจัดการอย่างไรกับปัญหาที่คุณเรียกว่า ‘การเมือง’ ที่เกิดขึ้นตลอดเดือนที่แล้ว”
“ฉันหรือคะ ที่ทำให้คุณคิดได้”
“ครับ” เขาพยักหน้า “คุณกำลังไปแต่งงานกับชีคซอลีล มันเป็นการสานสัมพันธ์ในรูปแบบหนึ่ง ก่อนมาถึงขั้นตอนนี้ จะต้องมีการเจรจาสู่ขอ ตกลงค่าสินสอดกันเสียก่อน”
หัวคิ้วของเธอขมวดมุ่น “ฉันไม่เข้าใจ มันเกี่ยวอะไรกัน หรือคุณคิดว่าจะใช้ฉันต่อรองกับชีคซอลีลจริงๆ”
ชีคอัลมาญิดถอนใจ มองดูเธอด้วยสายตาดุ
“ฉันขอโทษ เชิญคุณพูดต่อค่ะ”
เขายิ้มเล็กน้อย “ผมคิดว่าจะหยุดเรื่องยุ่งยากพวกนั้นด้วยการเจรจาต่างหาก ผมจึงตัดสินใจจะไปพบชีคซอลีล หวังว่าการแต่งงานกับคุณจะทำให้เขาอารมณ์ดีพอจะพูดคุยเพื่อหาข้อยุติได้ เพราะผมเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด”
“ไม่ใช่เขา ไม่ใช่คุณ แล้วใครทำเรื่องพวกนี้ล่ะคะ”
“ผมไม่รู้” เขาตอบดื้อๆ “ผมกำลังให้คนสืบอยู่ ก็บังเอิญมาเกิดเหตุที่ทำให้ผมต้องมาติดอยู่กับคุณบนเกาะแห่งนี้เสียก่อน”
อัสมิฮานนิ่งงันไปด้วยความงุนงง
“หลังจากผมออกจากสนามบิน ผมเห็นรถของคุณประสบอุบัติเหตุอยู่ข้างทาง ก็เลยลงไปดู ไม่คิดว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งซุ่มอยู่ในรถ พวกมันสังหารองครักษ์ของผมและซัดผมจนสลบ”
หญิงสาวเบิกตาโพล่งขึ้น ภาพคนขับรถที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดกับเสียงปืนที่ปลิดวิญญาณบอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งของเธอฉายแวบเข้ามาในความทรงจำ ทำให้หัวใจของเธอทำงานหนัก เลือดสูบฉีดจนพล่านไปทั่วร่างกายที่ชุ่มเหงื่อ
“ดูเหมือนมีใครบางคนพยายามจะเล่นตลกกับเรา” เขาบอก ก่อนจะตบเบาะสองสามที “พอฟื้นขึ้นมาผมก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนี้...กับคุณ”
“คะ...คุณนอนอยู่บนเตียงนี่กับฉัน...หรือคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ” เขาโบกมืออย่างเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย “คุณไม่มีอะไรบุบสลาย ผมกับคุณยังมีเสื้อผ้าติดตัวครบชุดเหมือนตอนที่เราพบกันหน้าห้องน้ำที่สนามบิน”
อัสมิฮานเป่าปากอย่างโลงใจ แต่ก็รู้สึกวูบไหวเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าได้ร่วมเตียงกับชีคอัลมาญิดเป็นเวลาหลายชั่วโมง แทนที่จะเป็นชีคซอลีลผู้เป็นคู่หมั้นของเธอ
“เราสลบไปนานแค่ไหนคะ”
เขายกนาฬิกาขึ้นดูก่อนตอบ “ราวๆ สิบห้าชั่วโมงได้”
นั่นหมายความว่า เธอกับชีคอัลมาญิดมาอยู่ที่นี่ข้ามวันมาแล้ว และถ้าเธอกับเขายังหาทางออกไปจากเกาะนี้ไม่ได้ภายในวันสองวันนี้ พิธีวิวาห์ระหว่างเธอกับชีคซอลีลก็จะไม่เกิดขึ้น
“ผมสำรวจรอบเกาะคร่าวๆ แล้ว ไม่มีทางเลยที่เราจะออกไปจากเกาะนี้ทันกำหนดวันแต่งงานของคุณแน่”
บทสรุปของชีคอัลมาญิดจุดประกายอะไรบางอย่างให้สว่างไสวในหัวใจเธอ อันที่จริงอัสมิฮานแทบไม่รู้ตัวเลยว่า เธอควรจะดีใจหรือเสียใจกับสถานการณ์แบบนี้ แต่ถ้าชีคซอลีลไม่ได้แต่งงานกับเธอตามกำหนดที่ประกาศออกไปนั้น มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีต่อบุรุษหนุ่มตรงหน้าเธอแน่ๆ
“ฉันคิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ลิฮาซอาจเดือดร้อน ชีคซอลีลระแวงคุณอยู่แล้วว่าคุณกำลังพยายามลักพาตัวฉัน ที่เขาทำให้การเดินทางของฉันยุ่งยากขึ้นก็เพราะเขาคิดว่าคุณวางแผนจะลักพาตัวฉันเพื่อการต่อรองทางการเมือง”
“นั่นไง ผมรู้แล้วทำไมคุณถึงเข้าใจผมผิด”
หญิงสาวยิ้มเจื่อน “ก็เขาบอกฉันอย่างนั้นนี่คะ”
ชีคอัลมาญิดหัวเราะฝืนๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองทะเลอันเวิ้งว้าง “ผมก็หวั่นใจเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ยังเชื่อว่าสภาที่ปรึกษาของผมจะจัดการเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องมีผม”
อัสมิฮานยกมือขึ้นปาดเหงื่อซึ่งผุดออกมาตามรูขุมขน ทั้งด้วยความร้อนจากอากาศอบอ้าวเหนียวเหนอะและความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่ฟื้นคืนสติ
“อยากอาบน้ำหน่อยไหม”
“เอ่อ...”
“มีห้องน้ำอยู่ข้างๆ กระท่อม เกือบจะมิดชิดแต่ก็น่าจะปลอดภัย”
“ที่นี่มีน้ำประปาหรือคะ” เธอถามอย่างสงสัย
“ไม่มีครับ ผมเพิ่งไปตักน้ำจากลำธารในป่าด้านหลังมาใส่ถังตอนคุณยังไม่ฟื้น” อัลมาญิดบอก ก่อนจะยักไหล่พร้อมรอยยิ้ม “หรือถ้าอยากอาบน้ำเย็นๆ ผมพาคุณไปที่ลำธารได้นะ”
“อ่า...ไม่ดีกว่าค่ะ ห้องน้ำน่าจะดีกว่า” อัสมิฮานยิ้มแหย เพราะไม่ถนัดที่จะเปลือยกายอาบน้ำท่ามกลางธรรมชาติที่โล่งแจ้ง
“พวกนั้นเอากระเป๋าเสื้อผ้าของเรามาด้วย ส่วนในห้องน้ำก็มีสบู่กับยาสระผมให้พร้อม” ชีคหนุ่มบอก ก่อนจะหันไปมองรอบๆ อย่างใช้ความคิด “ระหว่างที่คุณอาบน้ำ ผมจะลองไปเดินสำรวจรอบๆ เกาะอีกสักครั้ง เผื่อจะมีใครหรืออะไรที่พอจะช่วยเราได้บ้าง”
“เอ่อ...คุณจะไม่อยู่แถวนี้ตอนฉันอาบน้ำหรือคะ” เธอถามด้วยความตระหนก ก่อนจะรู้สึกแปลกๆ กับตัวเองที่ขอให้ชายหนุ่มมายืนเฝ้าเธอตอนอาบน้ำ แต่ตอนที่เขาออกไปสำรวจเกาะรอบที่แล้ว ทำให้เธอรู้สึกว่าการอยู่คนเดียวช่างเป็นห้วงเวลาที่น่าหวาดหวั่น ความเงียบและเสียงที่ไม่คุ้นเคยทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวและระแวงไปหมด บอกไม่ถูกเลยว่าดีใจแค่ไหนตอนที่เห็นเขากลับมา
“คุณกลัวเหรอ”
“ความจริง...เอ่อ...มันก็น่ากลัวนิดหน่อย” หญิงสาวยิ้มเจื่อน “เราไม่รู้ว่าเกาะนี้มีอะไรบ้าง ฉันคงทำอะไรไม่ถูกถ้ามีอะไรสักอย่างโผล่มาตอนคุณไม่อยู่”
อัลมาญิดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเผยยิ้มพราว “ก็ได้ ผมจะเฝ้าอยู่หน้าห้องน้ำ”
“เอ่อ...ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอรีบปฏิเสธ รู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา “แค่อยู่แถวๆ นี้ก็พอค่ะ”
“ได้ครับ” เขาตอบรับ “งั้นผมจะอยู่แถวนี้ จนกว่าคุณจะอาบน้ำเสร็จก็แล้วกัน”
“ขอบคุณค่ะ”
อัสมิฮานเพิ่งเข้าใจคำว่า ‘ห้องน้ำเกือบจะมิดชิด’ จากนิยามของชีคอัลมาญิดก็เมื่อเห็นมันเต็มตา มันเป็นห้องเล็กๆ ขนาดเพียงแค่สามตารางเมตร มีโถส้วมเก่าๆ กับถังน้ำใบใหญ่ที่มีน้ำเต็มเปี่ยม เหนือถังน้ำมีหิ้งทำจากไม้เอาไว้วางเครื่องอาบน้ำทั้งหลายแหล่ รวมทั้งขันตักน้ำ ผนังถูกปิดทึบด้วยไม้แผ่นอย่างหยาบทำให้ระหว่างแผ่นไม้เป็นช่องว่างให้ลมลอดพรูเข้ามาได้เป็นอย่างดี
ส่วนหลังคาไม่มี ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ‘เกือบจะมิดชิด’ ที่เขาบอกนั่นเอง
ก่อนถอนเสื้อผ้า เธอก้มๆ เงยๆ อยู่ริมผนัง มองลอดรอยต่อระหว่างไม้ออกไปจนพบว่า เธอสามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องคิดเลยว่า ถ้ามีคนมาส่องลอดกลับเข้ามา คนคนนั้นจะเห็นอะไรได้มากแค่ไหนในห้องน้ำเล็กๆ ที่มีพื้นที่จำกัดในการยืนเช่นนี้
แต่แม้จะหวาดหวั่น เธอก็เหนียวเนื้อตัวเกินกว่าจะมารีรอ และคิดว่าชีคอัลมาญิดคงเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ทำอะไรอย่างที่เธอกลัว จึงวางชุดที่รื้อออกมาจากกระเป๋าเดินทางไว้บนชั้น ก่อนจะตัดใจถอดชุดอะบายะห์หนาๆ นั้นออก แล้วถอดชุดชั้นในออกจนร่างกายเปลือยเปล่า จากนั้นก็นำเสื้อผ้าทั้งหมดแขวนไว้กับตะปูที่ตอกเอาไว้สำหรับเป็นที่แขวนบนผนัง รู้สึกแปลกๆ เมื่อต้องมาเปลือยกายในที่ซึ่งเกือบจะโล่งแจ้งเช่นนี้เป็นครั้งแรก
อัสมิฮานเริ่มต้นด้วยการตักน้ำราดตั้งแต่ศีรษะลงมา น้ำอุ่นชะโลมทั่วร่างกายเธอ แม้จะไม่เย็นนักเพราะชีคอัลมาญิดคงหาบน้ำจากลำธารมาใส่ไว้นานพอที่ความร้อนอบอ้าวริมทะเลจะอบให้มันอุ่นขึ้น แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เธอสดชื่นได้ไม่น้อยหลังจากสัมผัสกับอากาศร้อนและกลิ่นไอทะเลมานาน
เมื่อผมและเนื้อตัวเปียกโชก หญิงสาวก็หยิบยาสระผมมาบีบใส่ฝ่ามือแล้วละเลงทั่วศีรษะ ฟองสีขาวทำให้เธอต้องหลับตาลง กลิ่นหอมของน้ำยาอบอวลไปทั่ว ความหอมของมันทำให้เธอตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรคือเหตุผลให้พวกโจรลักพาตัวบริการเหยื่อของพวกมันอย่างดีเช่นนี้
ชั่ววินาทีหนึ่ง เธอเผลอคิดไปถึงว่า นี่อาจเป็นแผนการของชีคอัลมาญิดที่กำลังถ่วงเวลาเธอไม่ให้เข้าพิธีสมรสกับชีคซอลีลก็เป็นไปได้
ในห้วงความคิดอันว้าวุ่นนั้นเอง อัสมิฮานได้ยินเสียงตุบดังขึ้นด้านหลัง มีอะไรบางอย่างตกลงมาจากด้านบน เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคืออะไรถ้ายังมีฟองอยู่เต็มศีรษะแบบนี้ ว่าแล้วเธอก็ตักน้ำขึ้นมาราดล้างฟองออก ก่อนจะใช้มือถูใบหน้าเพื่อรีดน้ำออกให้หมดแล้วค่อยลืมตาดู
ทันทีที่เห็นว่าอะไรอยู่ด้านหลัง อัสมิฮานก็เบิกตากว้างขึ้นมาทันที ก่อนจะแผดเสียงกรีดร้องออกมาสะเทือนเลื่อนลั่นเกาะ
ความคิดเห็น |
---|