1

บทนำ


 

บทนำ

 

ถนนทางหลวงจากสนามบินนานาชาติดุนยาที่มุ่งตรงไปยังเขตการปกครองที่ ๑ อันเป็นศูนย์กลางของเขตการปกครองทั้งเจ็ดของเมืองดุนยานั้น ดูคล้ายจะเป็นเส้นตรงราวก้านลูกธนูที่พุ่งผ่านทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไปสู่เส้นขอบฟ้าอันไม่มีที่สิ้นสุดก็ไม่ปาน

หญิงสาวผู้สวมฮิญาบสีเข้มคลุมศีรษะถอนใจแผ่วเบาหลังจากนั่งเงียบขรึมมาตลอดทาง และนั่นคงเรียกความสนใจจากชายหนุ่มข้างกายได้เป็นอย่างดี เขาขยับตัวราวกับจะจับกระแสความกังวลใจของเธอได้ ก่อนจะหันมาถามอย่างสุภาพ

“ถอนใจเพราะอากาศร้อนหรือครับ...คุณอัสมิฮาน”

อัสมิฮาน บินติ อับบาส บิน ฟารูก อัล ชุรูก ละสายตาจากถนนหลวงหันไปมองผู้ถาม ก่อนจะยิ้มเนือยๆ

“ข้างนอกนั้นคงร้อนมากนะ ร้อนจนเข้ามาถึงหัวใจฉันทีเดียวเลยล่ะ...ฮัซซาน”

ชายหนุ่มยิ้ม “ที่หัวใจร้อนนี่คงไม่ได้เป็นเพราะอากาศข้างนอกนั่นมั้งครับ”

หญิงสาวหัวเราะฝืนๆ ดวงตาเป็นประกายขณะมองทนายหนุ่มซึ่งกลายมาเป็นผู้ช่วยของเธอ เมื่อเธอก้าวขึ้นรับตำแหน่งรองประธานกรรมการบริษัท อัล ชุรูก ออยล์ อันเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติและน้ำมันปิโตรเลียมที่ครองแชมป์บริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในราชอาณาจักรอัซดิฮาร และติดหนึ่งในสิบของโลก ด้วยรายได้กว่าสองแสนล้านเหรียญสหรัฐเมื่อขวบปีที่แล้ว ก่อนจะผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างรู้สึกเหงาๆ

“ฉันเหมือนคนที่ถูกสาป...ฮัซซาน”

“คุณอัสมิฮานน่ะหรือครับ...ถูกสาป” ชายหนุ่มถามย้อน

หญิงสาวถอนใจแผ่วเบา การขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรองจากบิดานั้น กลับไม่ช่วยให้เธอพ้นจากเรื่องที่เธอรู้สึกเป็นกังวลมาตลอดได้เลยสักนิด

“ผู้หญิงที่ไม่สามารถรักใครได้ด้วยหัวใจของตัวเอง ก็เหมือนถูกสาปให้หมกไหม้อยู่ในกองเพลิง”

“ถ้างั้นผู้หญิงส่วนใหญ่ในอัซดิฮารก็คงถูกสาปเหมือนกันหมด พวกหล่อนคงอยู่ในกองเพลิง มิน่าอัซดิฮารถึงได้มีแต่ทะเลทรายและร้อนนัก”

อัสมิฮานหัวเราะในลำคอ พลางมองดูกองทรายเล็กๆ เป็นหย่อมๆ ตรงขอบถนนแล้วถอนใจออกมาอีกครั้ง

“ทรายพวกนี้เก่งจริงๆ นะครับ” ฮัซซานเอ่ยราวกับรู้ว่าเธอกำลังสนใจอะไรอยู่ ความเป็นคนรอบรู้ ช่างสังเกตนี้เองที่ทำให้พี่ชายของเธอชื่นชมเขานักหนา

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เธอยังจำได้ดีถึงวันที่ ร็อชดาน ผู้เป็นที่พี่ชายบุญธรรมและอดีตคู่หมั้นของเธอ ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างแล้วทิ้งอาณาจักร อัล ชุรูก ออยล์ ไปใช้ชีวิตกับคนรักของเขาได้ดี ร็อชดานบอกกับเธอว่า ฮัซซาน เป็นคนรอบรู้ รู้แม้กระทั่งจิตใจคน และเขาจะเป็นผู้ช่วยที่ดีของเธอได้ เหมือนที่เคยช่วยพี่ชายของเธอให้ก้าวข้ามอุปสรรคทั้งปวงมาแล้ว

“ทรายน่ะหรือ...เก่ง” อัสมิฮานหันไปมองผู้พูดที่กำลังนั่งยิ้มหน้าเป็นอยู่ “มันไม่มีชีวิตเสียหน่อย”

ฮัซซานหัวเราะ “ผมเคยคิดว่ามนุษย์เก่งที่สุดในโลก เพราะสามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง อย่างเช่นตัดถนนผ่านทะเลทรายที่มีเนินทรายเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาได้สำเร็จ หลังจากต้องทนต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของเนินทรายมานานหลายสหัสวรรษ ถนนสายนี้เปิดใช้งานโดยที่เม็ดทรายมากมายมหาศาลที่ขนาบอยู่ทั้งสองข้างทาง ไม่อาจเคลื่อนมาปกคลุมถนนตลอดความยาวกว่าหกร้อยกิโลฯ ได้”

“มนุษย์ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ” เธอเอ่ยกึ่งประชด

“ครับ...มนุษย์ทำได้ทุกอย่างถ้าจำเป็น” ฮัซซานเห็นด้วยกับเธอ “การขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมทำให้อัซดิฮารจำเป็นต้องตัดถนนผ่านทะเลทรายตามจุดต่างๆ เพื่อรองรับการขนส่ง พวกวิศวกรทำแนวกั้นธรรมชาติตลอดความยาวของถนนเป็นโครงข่ายเพื่อไม่ให้เนินทรายที่เคลื่อนตัวตลอดเวลามาปกคลุมถนนได้สำเร็จ”

อัสมิฮานทอดสายตามองแนวพุ่มไม้ที่ขนานไปกับถนนด้วยความทึ่งไม่แพ้กันกับความคิดของนักสร้างทางเหล่านั้น

“ถนนสายนี้ถูกขนาบด้วยพุ่มไม้อย่างฮาโลไซลอน บัคธอร์น โรสวิลโลว์ พวกมันช่วยปกคลุมพื้นทราย รากของมันหยั่งลึกลงไปเพื่อยึดเหนี่ยวทรายเหล่านั้นเอาไว้ ช่วยป้องกันทรายไม่ให้กล้ำกรายเข้ามา แต่ดูสิครับ...” ฮัซซานพยักพเยิดไปที่กองทรายอีกกอง

“ถึงจะป้องกันยังไง ก็ยังมีทรายเล็ดลอดมาอยู่บนถนนได้อยู่ดี”

อัสมิฮานยิ้มอย่างเข้าใจความหมายของเขาดี ปัญหาทุกอย่างมีช่องทางแก้ไขได้เสมอ เฉกเช่นเดียวกับธรรมชาติที่สามารถหาช่องทางเอาชนะเทคโนโลยีอันก้าวล้ำของมนุษย์ได้

“แต่ฉันคงเป็นเพียงเม็ดทรายที่อยู่ข้างนอกนั่น ฉันคงไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของพ่อได้ ท่านเหมือนป้อมปราการ เหมือนเขื่อนที่ป้องกันน้ำ ไม่ใช่แนวต้นไม้ที่ป้องกันทรายเหล่านี้”

หญิงสาวถอนใจอีกครั้งอย่างนึกน้อยใจในโชคชะตา เธอเคยคิดว่าตัวเองโชคดีกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ในอัซดิฮาร เพราะถึงแม้จะถูกบิดาบังคับให้แต่งงานกับคนที่อยู่ในเงื่อนไขของท่าน แต่ผู้ชายคนนั้นกลับเป็นคนที่เธอรักและเทิดทูนจนไม่อาจพูดได้ว่า เธอไม่เต็มใจที่ถูกบิดาบังคับให้แต่งงานกับเขา นั่นเพราะ ร็อชดาน บิน อับบาส อัล ชุรูก ผู้เป็นพี่ชายบุญธรรมของเธอนั้นเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง เขาเป็นผู้ชายอบอุ่น รอบรู้ และเก่งรอบด้าน ทั้งยังได้รับการคาดหมายว่าจะได้เป็นประธานกรรมการ อัล ชุรูก ออยล์ ต่อจากพ่อของเธอ

และเขาก็ทำได้จริงๆ ซึ่งนั่นก็เป็นการการันตีว่า เขาจะได้เป็นเจ้าบ่าวของเธอตามเงื่อนไขที่พ่วงกับตำแหน่งอันสูงสุดแน่นอน จนกระทั่งพรหมลิขิตเล่นตลกกับเธอ ก่อนจะถึงวันแต่งงานที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดีเพียงไม่กี่วัน ร็อชดานกลับถูกรักแท้ซ้อนกลเสน่หาเข้าให้ ทำให้เขายอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงไทยคนนั้น และจากเธอไปเมื่อขวบปีก่อน

 

เพราะอย่างนั้น ลูกจึงต้องแต่งงานกับชีคซอลีล” อับบาส บิน ฟารูก อัล ชุรูก เอ่ยด้วยเสียงเครียดเข้มในคืนหนึ่ง หลังจากร็อชดานหันหลังให้เขาด้วยการแต่งงานกับคนรักชาวไทยและย้ายไปตั้งรกรากอยู่กับเธอที่บ้านเกิดเมืองนอนของเธอ

“ทำไมไม่เป็นคนอื่นคะ...คุณพ่อ” เธอเอ่ยถามน้ำตาคลอ

“แล้วทำไมถึงไม่เป็นชีคซอลีลล่ะ”

“เพราะเขา...” อัสมิฮานกลืนก้อนสะอื้นลงคอ “อาจไม่ได้มีหนูคนเดียว”

“นั่นก็ไม่เห็นแปลก” อับบาสยักไหล่อย่างไม่ยี่หระต่อเหตุผลของเธอ “ผู้ชายก็เป็นแบบนี้ แต่ถึงเขาจะมีเมียอีกสักสองสามคน หากลูกตบแต่งกับเขา ลูกก็จะเป็นที่หนึ่งสำหรับเขาอยู่ดี”

คำพูดของบิดาราวกับลิ่มที่ตอกลงกลางหัวใจเธอจนรวดร้าว หัวใจที่แตกสลายอยู่แล้วพลันถูกบดขยี้ด้วยคำพูดของท่าน แม้เธอจะถูกบ่มเพาะขึ้นมาท่ามกลางสภาพสังคมที่ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องประดับที่มีค่าของผู้ชาย แต่เธอกลับได้รับโอกาสจากบิดาให้ได้ออกไปเห็นโลกกว้าง ได้ไปร่ำเรียนถึงประเทศอังกฤษ และมันก็ทำให้เธอได้รับรู้ว่า ผู้หญิงมีค่ามากกว่านั้น

“ชีคซอลีลเป็นคนดีและรักลูก” อับบาสเอ่ยเสียงอ่อนลง

“คุณพ่อแน่ใจได้ยังไงกันคะ”

“เขาบอกพ่อว่า ยินดียกเลิกฮาเร็มของเขาตามความต้องการของลูกน่ะสิ”

หญิงสาวชะงัก ภาพลักษณ์ของผู้ชายเสเพลอย่างชีคซอลีลในสมองของเธอถูกสั่นคลอนในทันที

“พ่อไปคุยกับเขาเรื่องแต่งงาน บอกถึงความกังวลของลูก ซึ่งพ่อก็ไม่คิดว่าเขาจะทำความต้องการของลูกหรอกนะ พ่อแค่เปรยๆ ออกไป แต่เขากลับชมพ่อว่าพ่อช่างเป็นคนที่มีจิตใจเมตตานัก”

อัสมิฮานขมวดคิ้วมุ่นอย่างพิศวง

“ชีคซอลีลพ่อบอกว่า ในเมื่อเขาจะแต่งงานกับลูกอันเป็นที่รักของพ่อผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาเช่นนี้ เขาก็ควรจะเป็นสามีที่มีจิตใจเมตตากับภรรยาเหมือนกัน”

ฟังแล้วอัสมิฮานก็ได้แต่นิ่งอึ้ง

“เขาขอเวลาหนึ่งปี” อับบาสยกนิ้วชี้ขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง

“หนึ่งปี” หญิงสาวทวนคำ คิดว่าการใช้เวลาขนาดนั้นคงเป็นเพราะเขาต้องการตักตวงความสุขให้หนำใจก่อนนั่นเอง

“เป็นเวลาที่เหมาะสมดี” บิดาเอ่ย “การจัดการกับผู้หญิงเป็นร้อยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เขาก็จะทำเพื่อลูก”

อัลลอฮ์! เป็นร้อย...นั่นมากกว่าที่เธอคิดไว้เป็นเท่าตัวทีเดียว

“หนูจะแน่ใจได้ยังไงกันคะ ว่าเขาจะจัดการจริงๆ”

“วันนี้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า เขาจะเปิดคฤหาสน์ของเขากลางใจเมืองดุนยาให้ลูกสำรวจจนเป็นที่พอใจ”

“ทำไมคะ เขาทำแบบนี้เพื่ออะไร” เธอถามเพราะไม่เข้าใจจริงๆ ผู้ชายอัซดิฮารที่ร่ำรวยอย่างเขา เพียงแค่กระดิกนิ้ว ผู้หญิงทุกคนต้องยอมศิโรราบ แต่เขากลับละทิ้งทุกอย่างเพื่อเธอ

“ลูกคงต้องไปถามเขาเอง”

นั่นไม่ใช่คำตอบที่เธอพึงพอใจ มันไม่ได้ทำอะไรให้กระจ่างแจ้งเลย ทางเดียวที่พอจะรู้ได้ก็คงต้องไปถามกับเจ้าตัวเองนั่นแหละ

“หนูถามแน่ค่ะ”

 

รถที่มีสติ๊กเกอร์ อัล ชุรูก ออยล์ ยังคงแล่นไปตามถนนที่ขนาบด้วยพุ่มโรสวิลโลว์ อัสมิฮานยังคงเก็บคำถามนั้นใส่กล่องเก็บไว้ภายในหัวใจ และวันนี้มันคงถึงเวลาต้องเปิดมันออกแล้ว

“หนึ่งปีผ่านไปไวเหลือเกิน”

“เวลาก็เหมือนลม มันพัดผ่านไป เปลี่ยนรูปร่างของทะเลทรายไปอย่างไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับทำมือพลิ้วไหวไปมาบนกระจกตามความสูงต่ำของเนินทราย

“ฉันเคยคิดว่าภายในหนึ่งปีนี้ ฉันจะสามารถเปลี่ยนใจคุณพ่อได้เหมือนลมที่เปลี่ยนเนินทรายพวกนั้น ฉันทำงานในบริษัทอย่างขยันขันแข็ง และก็พิสูจน์ตัวเองได้ว่าสามารถทำงานทุกอย่างได้ไม่แพ้ผู้ชาย ในขณะเดียวกัน ฉันก็ยังหวังว่าชีคซอลีลอาจเลิกล้มความตั้งใจที่จะทำลายราคะของเขาเองด้วย” อัสมิฮานทอดเสียงลง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่สุดท้ายมันก็ไม่เกิดขึ้น ฉันไม่สามารถเปลี่ยนใครได้เลย ทั้งพ่อ ทั้งชีคซอลีล”

“การเปลี่ยนคนอื่นอาจไม่สำคัญเท่าเปลี่ยนตัวเองนะครับ”

“เธอจะให้ฉันเปลี่ยนใจไปรักเขางั้นหรือ”

“ชีคซอลีลอาจรักคุณจริง”

“ชีคซอลีลน่ะเหรอ” อัสมิฮานหันไปขมวดคิ้วมองเขา “เธอพูดจริงเหรอ”

ฮัซซานหัวเราะ “ผมพูดเพื่อให้คุณสบายใจ”

“ฉันนึกแล้ว” เธอส่ายหน้า

“ไม่มีอะไรเปลี่ยนทัศนคติของผู้ชายอัซดิฮารที่มีต่อผู้หญิงได้หรอกครับ”

“แต่เขาถึงกับยกเลิกฮาเร็มของเขาเชียวนะ มีผู้ชายร่ำรวยล้นฟ้าคนไหนบ้างที่บ้าพอจะทำอย่างนั้น”

“ตอนผมบอกว่า ‘เขาอาจรักคุณจริง’ คุณยังไม่เชื่อเลยนี่”

“ทำไม ฉันไม่ควรค่าแก่การเปลี่ยนใจเขางั้นหรือ” เธอย้อนถามเขาอย่างท้าทาย

ฮัซซานยิ้ม ดวงตาเขาเป็นประกายระยิบระยับราวกับกำลังเยาะความย้อนแย้งในตัวเองของเธอ

“ผมเชื่อว่าคุณคือเหตุผลที่คุ้มค่าแก่การเปลี่ยนใจผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ และผมก็มั่นใจด้วยว่าชีคซอลีลฉลาดพอที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคุณ การมาของเราในวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาทำได้ดีในระดับหนึ่ง เหลือแค่ให้คุณไปเห็นกับตาเท่านั้น”

“ฉันหวังว่าจะพบกับความเปลี่ยนแปลงนั้น”

ฮันซานกระแอมเบาๆ “แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่ควรกังวล”

“หือ?” อัสมิฮานจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

ทนายหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะเอียงตัวมากระซิบกับเธอเบาๆ เพื่อไม่ให้สารถีซึ่งเป็นคนของชีคซอลีลได้ยิน

“บางทีเขาอาจโง่ยิ่งกว่าลา”

“อัลลอฮ์” หญิงสาวมองเขาเป็นเชิงตำหนิ “คุณนี่มันช่าง...ปากคอเราะร้ายจริงๆ”

“ผมแค่อยากให้คุณเผื่อใจเอาไว้”

อัสมิฮานส่ายหน้า

“มองในแง่ดีสิ คุณยังมีเวลาเหลือนะ วันนี้มันไม่ใช่วันโลกาวินาศสักหน่อย”

“ยังไง?”

ฮัซซานยักไหล่ “หลังจากชีคซอลีลพาชมฮาเร็มร้างของเขา คุณจะยังมีเวลารอปาฏิหาริย์อีกหนึ่งเดือนจนกว่าจะถึงวันวิวาห์ หลังจากนั้นคุณจะมีเวลาอีกทั้งชีวิตที่จะจับผิดเขาเพื่อยกเลิกชีวิตคู่ที่คุณไม่ได้เลือกเองนี้ หรือไม่ก็...”

“อะไร?” อัสมิฮานร้องถามเมื่อเขาทอดเสียงเงียบไป

ฮัซซานยักไหล่ “ก็เพื่อทำให้ตัวคุณเองหันกลับมารักเขา”

อัสมิฮานมองผู้ช่วยหนุ่ม ก่อนจะถอนใจพร้อมกับส่ายหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็ผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาของเธอจับจ้องไปที่เนินทรายไกลแสนไกล ระหว่างรอยต่อของผืนฟ้ากับท้องทะเลททราย เธอเห็นจุดเล็กๆ สองจุดเป็นตำหนิแต่งแต้มความงดงามของธรรมชาติ เธอไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร เพราะมันไกลเกินกว่าสายตาคนปรกติจะเห็นได้โดยไม่ใช้กล้องส่องทางไกล รู้เพียงแต่ว่ามันเป็นจุดสองจุดที่ทำให้ภาพทะเลทรายที่เหมือนๆ กันไปหมดตั้งแต่ออกจากสนามบิน ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

และเธอหวังว่า นั่นอาจเป็นปาฏิหาริย์สำหรับเธอก็ได้

 

อัล ชุรูก ออยล์ งั้นหรือ”

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำบนหลังอูฐตัวใหญ่ฮึมฮัม ก่อนจะลดกล้องส่องทางไกลลง หลังจากแน่ใจแล้วว่าคาราวานรถโฟร์วิลล์กว่าสิบคันที่วิ่งอยู่บนถนนหลวง ห่างออกไปเกือบหนึ่งกิโลเมตร เป็นคนกลุ่มไหน

ใบหน้าราวกับรูปสลักหินอันงดงามพร่างพราวไปด้วยเหงื่อที่ต้องแสงแดดอันร้อนแรงกลางทะเลทรายเป็นประกายระยิบ แสงระยิบระยับเหล่านั้นขับให้ผิวสีเข้มคร้ามของเขาดูขึงขัง ดวงตาสีเหล็กส่องประกายแข็งกร้าว คิ้วหนาขมวดมุ่น ริมฝีปากรูปกระจับเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยอออกอีกครั้ง

“ผู้พัน...รู้ไหมว่าในคาราวานนั้นมีอะไร” เขาหันไปถามชายรูปร่างกำยำอีกคนที่ขี่อูฐอยู่ข้างเคียงกัน

คนถูกเรียกว่าผู้พันดึงผ้าปิดหน้าลง เผยให้เห็นหนวดเคราที่ตัดแต่งอย่างดี อายุอานามราวห้าสิบ ดวงตาสีเหล็กคมวาว “นั่นเป็นคาราวานเจ้าสาวของชีคซอลีลครับ”

“เจ้าสาวชีค?” ชายหนุ่มทวนคำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“เธอคือลูกสาวของอับบาส อัล ชุรูก ประธานบริษัท อัล ชุรูก ออยล์ ครับ” ผู้พันรายงาน “ดูท่าว่าชีคซอลีลคงจะกลายเป็นประธานบริษัทคนต่อไปแน่แล้ว”

คิ้วหนาขมวดมุ่นอีกครั้ง เพราะบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของอัซดิฮานนั้นเป็นธุรกิจของตระกูล อัล ชุรูก และก่อตั้งโดยผู้เป็นเสาหลักของตระกูลเอง การมีคนนอกไปกุมบังเหียนบริษัทใหญ่โตและมีรายได้ต่อปีมหาศาลเช่นนั้น จึงนับว่าเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย

“ผมนึกว่าเป็นร็อชดานเสียอีก เขาเป็นประธานกรรมการบริษัทไม่ใช่หรือ”

“ร็อชดานสละตำแหน่งไปตั้งปีแล้วครับ” อีกฝ่ายตอบ

“ร็อชดานน่ะเหรอ” ชายหนุ่มถามย้ำอย่างนึกแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าเพื่อนของเขาคนนี้จะยอมสละความฝันของตัวเองง่ายๆ

ระหว่างเขากับร็อชดาน แม้จะไม่ได้มีความสนิทกันมากนัก เพราะเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันสมัยมัธยม และเคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งตอนที่ทั้งคู่ไปร่ำเรียนอยู่ที่อังกฤษ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าผู้ชายคนนั้นมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุดในบริษัท อัล ชุรูก ออยล์ เพียงใด

“ร็อชดานไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของอับบาสได้ เขาแต่งงานกับผู้หญิงไทยและหันหลังให้กับ อัล ชุรูก ออยล์ อับบาสจึงต้องกลับมาเป็นประธานกรรมการอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขากำลังกลายเป็นอดีตไปอีกคน เพราะชีคซอลีลกำลังจะกลายมาเป็นอนาคตของ อัล ชุรูก ออยล์ แทนครับ”

“นี่ผมตกข่าวอะไรไปหรือเปล่านี่”

“การแสวงบุญด้วยการตระเวนรักษาคนไปทั่วทะเลทรายตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา คงทำให้ท่านห่างไกลจากโลกภายนอกพอดู”

คำพูดนั้นไม่ได้เกินเลยไปเลย เพราะเขาตระเวนไปทั่วทะเลทรายภายในอาณาจักรอัซดิฮารตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาจริงๆ เพราะอยากจะใช้วิชาชีพที่ร่ำเรียนมารักษาคนเจ็บป่วยที่ยากไร้ หากบิดาของเขาไม่เสียชีวิตลงเพราะถูกมือปืนที่ยังหาตัวไม่ได้ลอบสังหารไปเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน เขาก็คงยังท่องไปในดินแดนอันเวิ้งว้างอยู่ ไม่ได้ถูกตามตัวกลับมาเป็นชีคผู้นำเผ่าลิฮาซ ทำหน้าที่ปกครองเขตการปกครองที่สามของเมืองดุนยาเหมือนดังเช่นทุกวันนี้

“ลูกสาวของอับบาส” ชายหนุ่มงึมงำพร้อมยกมือขึ้นลูบคางที่มีไรหนวดขึ้นหรอมแหรมอย่างใช้ความคิด

ภาพของเด็กสาวใบหน้าใสกระจ่างผุดพรายขึ้นมาในห้วงคำนึง ความน่ารักนั้นทำให้ริมฝีปากของเขายกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว

เขาเคยเจอลูกสาวของอับบาสสองสามครั้ง ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ ส่วนเธอคงอายุคงราวๆ สิบปีได้ น่าแปลกที่เมื่อมีคนพูดกระตุ้นให้เขาคิดถึงเธอ ใบหน้าเล็กๆ นั้นกลับผุดพรายขึ้นมาในมโนสำนึกอย่างชัดเจนราวกับเธอมายืนอยู่ตรงหน้า

นานเท่าไรแล้วนะที่ไม่ได้เจอเด็กคนนั้น ป่านนี้คงจะโตเป็นสาวสะพรั่งเหมือนที่เขากลายเป็นหนุ่มรูปร่างกำยำแล้วกระมัง เพราะไม่อย่างนั้น คงไม่ได้มาเป็นเจ้าสาวของชีคซอลีลหรอก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น