4

#ติดเงา


บทที่ ๔

#ติดเงา

 

“พร้อมมั้ย” เพียงเพียรถามเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง เนื่องจากจะต้องพาอีกฝ่ายเข้าไปพบท่านรองประธาน และมีอะไรบางอย่างที่เธอยังไม่ได้บอกอีกฝ่าย คือเรื่องโต๊ะทำงาน

“พร้อมค่ะ เรียบร้อยแล้ว สมุดจด ปากกา โทรศัพท์” เบื้องแรกของการทำงานคือการจดคำสั่งของผู้เป็นเจ้านายเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่ลืม ส่วนโทรศัพท์ก็มีไว้เผื่อโทร.หาใครก็ตามที่เจ้านายสั่ง ซึ่งเป็นโทรศัพท์ที่เพียงเพียรเพิ่งให้มาเมื่อเช้า และเจ้านายจะโทร.สั่งงานจากโทรศัพท์เครื่องนี้โดยตรง

“อ่า มีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้ตลอดนะ” เพียงเพียรบอกแค่นั้น เอาไว้รอให้เจ้านายบอกเรื่องโต๊ะและอย่างอื่นเองดีกว่า

“ค่ะ พัดคงต้องรบกวนพี่เพียรบ่อยเลยละ อย่าเพิ่งเบื่อน้องล่ะ” คนฟังไม่ได้เอะใจกับคำว่ามาปรึกษาเลยสักนิด

“ปะ งั้นเราเดินไปที่ห้องท่านรองประธานเลย” ว่าพลางก็เดินนำภัสสรไปยังห้องกระจกกั้นปิดทึบและมีมูลี่บังเอาไว้ คนภายนอกจึงไม่เห็นคนด้านใน ส่วนประตูทางเข้านั้นเป็นบานไม้สองบานแบบเรียบหรู

เมื่อเช้าภัสสรมัวแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานการประชุมเพื่อตรวจทานอีกครั้ง ได้ยินเสียงคนเดินผ่านไป พอเงยหน้ามาอีกทีก็เห็นแต่ข้างหลังของท่านรองประธานเปิดเข้าห้องไปแล้ว

จากที่เห็นรู้สึกคุ้นๆ ชอบกล แต่ลักษณะท่าทางของนักธุรกิจส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ สวมสูทและก้าวยาวๆ คล่องแคล่ว

ก่อนเข้าห้อง เพียงเพียรเคาะประตูสองครั้งเพื่อบอกให้คนข้างในรู้ เพราะก่อนนี้ท่านรองประธานโทร.หาว่าให้พาเลขานุการส่วนตัวไปพบ

ภัสสรอดตื่นเต้นไม่ได้ ขณะก้มหน้าก้าวตามเพียงเพียรเข้าไปในห้องกว้างขวางที่ด้านหนึ่งเป็นกระจกบานยาวเห็นวิวภายนอกตึก เธอไม่ทันได้เงยหน้ามองเจ้านายใหม่ด้วยซ้ำตอนสาวรุ่นพี่รายงานคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานตัวใหญ่แล้วก้าวถอยหลังหันกลับไปเปิดประตูเดินออกนอกห้องทันที ขณะที่เธอยังก้มหน้าก้มตายกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม เธอจึงเกิดอาการหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก ด้วยไม่คิดว่าสาวรุ่นพี่จะทิ้งเธอไว้ตามลำพังกับเจ้านายใหม่

หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นเจ้านายทันที เพื่อจะเอ่ยแนะนำตัวเอง ทว่า...

มือยังคงไหว้ค้างอยู่เช่นนั้น ตาก็เบิกโตขึ้นด้วยความตื่นตกใจปากก็อ้าๆ หุบๆ ราวกับปลาทอง

คนตรงหน้านี้...เจ้านายคนใหม่ของเธอ!

คุณป้อ!

“หวัดดี คุณภัสสร” เขาเอ่ยทักทาย ขณะในมือมีแฟ้มซึ่งน่าจะเป็นประวัติของเธอ

“คุณป้อ อ่า...ทำไม เอ่อ...พัด...” หญิงสาวยังคงยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่กลางห้อง ในขณะที่คนตรงหน้ายิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตาที่จ้องมองมาเหมือนกับกำลังประเมินอะไรบางอย่าง

“ยินดีที่ได้เจอกันครับ” เขาบอกเสียงนุ่ม พร้อมกับวางแฟ้มแล้วลุกขึ้นเดินมาหาเธอ

“คุณป้อ พัดงงไปหมดแล้วค่ะ”เธอไม่รู้จะพูดอะไรยังไงดี ความรู้สึกตอนนี้คืองงตอนแรกกลัวเกรง ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมชายหนุ่มตรงหน้าจึงไม่บอกความจริงกับเธอว่าเขาเป็นใคร หญิงสาวจึงเผลอตัวจ้องอีกฝ่ายตาแป๋วอยากอย่างรู้คำตอบ

“มันเป็นเรื่องบังเอิญมากๆ เลยที่ฉันต้องการเลขาฯส่วนตัว แล้ว...คุณสาธิตบอกว่ามีคนที่น่าสนใจพอดี”

“แล้วคุณป้อรู้มั้ยคะว่าเป็นพัด”

“อ่า ตอนนั้นยังไม่รู้” เขาแอบเอานิ้วไขว้กันไว้ที่ด้านหลัง

“อื้ม แล้วคุณป้อมารู้ตอนไหนคะว่าเป็นพัด”

“น่าจะเป็นตอนที่เดินผ่านโต๊ะคุณเพียรน่ะ”

“แล้วทำไมคุณป้อไม่ทักพัดล่ะคะ”

“ก็เห็นว่าตั้งใจทำงานอยู่ เลยไม่อยากรบกวน ใครจะรู้ล่ะว่าเลขาฯใหม่ที่ชื่อภัสสรคือพัด”

“อ้อ จริงด้วยค่ะ มันเป็นเรื่องบังเอิญมากๆ เลย ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ”ในที่สุดเธอก็ยอมรับเหตุผลที่เขาว่ามา ซึ่งมันก็ดูสมเหตุผลพอได้อยู่

“ใช่ ฉันยังตกใจเลยตอนที่เห็นพัดนั่งอยู่ตรงโต๊ะคุณเพียร”ชายหนุ่มรีบสำทับในความเข้าใจของเธอ

“อ่า พัดขอโทษนะคะที่ละลาบละล้วงถามโน่นนี่คุณป้อ เอ่อ คุณปรเมศวร์”

“ไม่เป็นไร เรียกคุณป้อนั่นละ เอาไว้ต่อหน้าคนอื่นค่อยเรียกแบบเป็นทางการ”

“ค่ะ พัดเพิ่งเริ่มงานเลขาฯวันนี้ คุณป้อมีอะไรก็บอกพัดได้เลยนะคะ พัดยังต้องเรียนรู้งานอีกมาก”

“อื้ม งั้นมานั่งตรงนี้ก่อน ไม่ต้องเป็นพิธีการอะไรนัก”เขาพาเธอมานั่งยังโซฟารับแขก ทั้งที่ควรเป็นที่นั่งตรงโต๊ะทำงาน “แล้วก็นั่นโต๊ะทำงานของพัด”

ปรเมศวร์ชี้ไปที่ชุดโต๊ะทำงานขนาดไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่ทางซ้ายเยื้องโต๊ะทำงานของเขาไม่ห่างกันมากนัก บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กสีขาวใหม่เอี่ยมวางอยู่

“เอ๋! พัดนึกว่าโต๊ะทำงานจะอยู่ตรงใกล้ๆ กับพี่เพียรเสียอีก”ปกติเลขาฯก็ต้องอยู่หน้าห้องสิ คิดแล้วคิ้วก็ขมวดมุ่นอย่างสงสัย

“อยู่ในนี้ละดีแล้ว จะได้ไม่ปะปนกับคนอื่น ถ้าอยู่ข้างนอก เดี๋ยวผู้บริหารคนอื่นก็มาเรียกใช้ทำโน่นนี่ ฉันไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายทะเลาะกันน่ะ อีกอย่างงานเอกสารที่ฉันจะให้พัดทำ...ส่วนใหญ่มันเป็นความลับของบริษัทและของฉัน”

“อ้อ จริงด้วยค่ะ เพราะพี่ๆ ที่อยู่ข้างนอกเป็นเลขาฯส่วนกลาง”อันนี้ภัสสรก็พอจะเข้าใจได้ จึงยิ้มรับคำอธิบายของเขา

“เอาละ วันนี้เรามาดูโต๊ะทำงานกันก่อนดีกว่า” ว่าแล้วปรเมศวร์ก็ลุกขึ้นนำไปยังโต๊ะทำงานของเธอ “ลองนั่งดูสิว่าเก้าอี้นั่งสบายมั้ย แล้วก็เปิดแมคบุ๊กลองใช้งานโปรแกรมดู จะได้ชิน พัดจะเอากลับบ้านไปทำงานที่ค้างอยู่หรือลงโปรแกรมอะไรก็ตามใจเลย เพราะมันเป็นของส่วนตัวที่จะเอาไว้ใช้ทำงานได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวว่าจะพังหรือเสียหาย เพราะมันเป็นสวัสดิการของเลขานุการส่วนตัว”

หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มที่แสนสบายแล้ว เธอก็ถึงกับทำตาโต ร้องออกมาอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเขาพูดจบ

“หา! จริงเหรอคะ พัดไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีสวัสดิการอะไรแบบนี้ด้วย”มือน้อยก็ลองกดเปิดแมคบุ๊กดู รอบูทเครื่อง

“มันก็แล้วแต่นโยบายของบริษัทไหนที่จะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าน่ะ อันนี้ฉันให้ฝ่ายไอทีลงโปรแกรมที่สำคัญกับงานให้แล้ว นี่รหัสเข้า”ชายหนุ่มเข้ามายืนด้านหลังเธอพร้อมกับยื่นหน้ามามองหน้าจอแมคบุ๊กใกล้ๆ โดยเท้ามือข้างหนึ่งไว้ที่โต๊ะ พลางพิมพ์รหัสเข้าเครื่องให้เธอ

“เอ่อ รหัสอะไรคะ พัดจะได้จดไว้” ภัสสรกลั้นใจถามเขาออกไปทั้งที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเขาสักนิด เธอถึงกับนั่งตัวลีบเพราะความใกล้ชิดจากเจ้านายหนุ่ม แม้ดูเป็นธรรมชาติ แต่ก็ทำให้เธอเกร็งนั่งตัวตรงแน่วทีเดียว แถมยังได้กลิ่นกายหอมกรุ่นจากเขาโชยมาเข้าจมูกอย่างไม่ได้ตั้งใจอีกด้วย

แม้จะบังคับเสียงไม่ให้สั่น แต่เสียงที่เปล่งออกไปนั้นแทบเป็นกระซิบด้วยซ้ำ

“pp4ever” เสียงนุ่มทุ้มที่บอกออกมาทีละตัวอักษรนั้นเหมือนอยู่ใกล้ริมหูเธอ จนไม่กล้าขยับหันหน้าไปถามเมื่อจดลงบนสมุดที่เธอเตรียมเอาไว้ ทั้งที่อยากรู้มันอ่านว่าอะไรและมีความหมายหรือเปล่า

เหมือนคนเป็นเจ้านายจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร เขาจึงขยับตัวออกห่างเพื่อรักษาระยะ ไม่ให้คนตัวเล็กรู้สึกอึดอัด

แต่กลิ่นหอมอ่อนๆ และผิวใสๆ ที่อยู่ชิดใกล้ก็ทำให้ลมหายใจของเขาติดขัดอย่างห้ามไม่อยู่

ดีที่ไม่เผลอตัวทำอะไรจนเธอตื่นกลัวแค่นี้คนตัวเล็กก็นั่งตัวเกร็งแล้ว

ไม่รู้ทำไมเขาจึงอยากแกล้งคนตรงหน้านี้นัก

อยากจะแกล้งให้มากกว่านี้ เขาสนุกที่ได้เห็นปฏิกิริยาตอบโต้ของอีกฝ่าย

จู่ๆ ตนเองก็กลายเป็นคนโรคจิตขี้แกล้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“อะแฮ่ม อ่า ขอโทษที่ทำให้เธออึดอัด ฉันแค่จะ...”ปรเมศวร์กำลังหาถ้อยคำมาอธิบายเพื่อให้หญิงสาวไม่รู้สึกว่าเขาคุกคามเธอ

“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ” ภัสสรหันมายิ้มเก้อให้เขา โดยไม่รู้ว่าแก้มที่แดงระเรื่อนั้นทำให้คนที่ยืนอยู่ไม่ไกลคันหัวใจยิบๆ ทีเดียว

ถ้าไม่กลัวว่า ‘เงา’ ที่ตามหามานานจะหายไปอีก

เขาก็อยากจะลองหยิกแก้มใสๆ นั่นดูสักครั้ง

อาการมันเขี้ยวมักเกิดขึ้นเฉพาะกับคนตัวเล็กตรงหน้านี้เท่านั้น ไม่รู้ว่าเขาคิดผิดหรือถูกที่สั่งให้ฝ่ายบุคคลจัดโต๊ะเลขานุการส่วนตัวไว้ในห้องทำงานตัวเอง

เฮ้อ!

“พัดขอโทษนะคะที่ทำให้หนักใจ คุณป้ออาจจะเหนื่อยหน่ายที่พัดทำงานไม่ได้ดั่งใจก็ได้ เพราะพัดยังต้องเรียนรู้งานอีกตั้งมากเลยค่ะ แถมไม่รู้ว่าจะผ่านโปรกับเขารึเปล่าด้วยสิ” เมื่อเห็นคนเป็นเจ้านายถอนหายใจ เธอก็เข้าใจว่าเขาอาจกล้ำกลืนรับเลขาฯที่เพิ่งจบใหม่เพราะอยากให้โอกาส และเริ่มรู้สึกเหนื่อยใจเมื่อรู้ว่าเป็นเธอ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง เอาเป็นว่าพัดลองใช้โปรแกรมไปก่อน ฉันจะทำงานละ” ชายหนุ่มรีบตัดบท เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดอะไรขึ้นมาได้เกี่ยวกับการรับเธอเข้าทำงาน

ปล่อยให้ภัสสรเข้าใจไปแบบนั้นก็ยังดีกว่าให้รู้ว่าเขาตั้งใจรับเธอเข้ามาในตำแหน่งที่มันไม่เคยมีมาก่อน แต่ก็ไม่น่าเกลียดที่จะมี เมื่อเขาอ้างถึงงานที่ค่อนข้างมากมายและต้องมีผู้ช่วยในการทำงาน ซึ่งตัวเองเพิ่งเข้ามารับผิดชอบได้ไม่กี่เดือน

 

ภัสสรนั่งทำงานอย่างตั้งใจ เมื่อเริ่มชินกับระบบและโปรแกรมต่างๆ ในคอมพิวเตอร์แล้ว เจ้านายหนุ่มมอบหมายงานแรกให้เธอด้วยการตรวจเทียบตัวเลขการเสนองบประมาณจัดซื้อที่ดินในต่างจังหวัด เพื่อสร้างโรงแรมในเครือเอสเจแกรนด์โฮเทลแห่งใหม่โดยเช็กราคาที่ดินของจังหวัดนั้นเขาเอาตัวอย่างงานเก่ามาให้ดูเพื่อจะได้เข้าใจเนื้องานมากขึ้น

หญิงสาวอ่านเอกสารเดิมเพื่อทำความเข้าใจ จากนั้นตรวจเช็กราคาที่ดินปัจจุบันและทำตัวเลขออกมา ราคาไม่ห่างจากที่ฝ่ายจัดทำโครงการเสนอมานัก เธอจึงจัดทำข้อสรุปแล้วปรินต์ไฟล์ออกมา เรียบร้อยแล้วจึงเอาเข้าแฟ้มนำไปให้เจ้านายพิจารณา

“อืม ทำงานเรียบร้อยดี” เขาเปิดดูแล้วเงยหน้ามายิ้มให้เธออย่างพอใจ “เดี๋ยวฉันอ่านดูก่อน หากไม่มีอะไรผิดพลาด อาทิตย์หน้าเราคงต้องขึ้นไปดูสถานที่จริงกัน เพื่อจะได้ดำเนินการต่อไป”

“เอ๋ เรา?”

“ใช่ เราสองคนต้องไปดูที่กัน ฉันอยากไปดูว่ามันจะคุ้มกับการลงทุนหรือเปล่า และในละแวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง คนในพื้นที่ อิทธิพลเถื่อน หรืออะไรที่อาจก่อปัญหาให้เราในภายหลัง แล้วการไปดูที่ก็เป็นความลับ ห้ามบอกใครในบริษัทเด็ดขาด”

“ค่ะ” ขณะตอบรับอีกฝ่าย ในใจก็แอบคิดว่าจะบอกเรื่องออกต่างจังหวัดกับพ่อแม่ยังไง แต่เป็นเรื่องงาน ท่านก็น่าจะเข้าใจ

“พัดคงเหนื่อยหน่อยนะ ใหม่ด้วยกันทั้งคู่”

“พัดเข้าใจค่ะ การลงทุนที่ใช้เม็ดเงินมหาศาลแบบนี้ต้องทำให้รอบคอบ คุณป้อทำถูกแล้วละค่ะ ผู้บริหารที่เอาแต่อยู่ในห้องแล้วเซ็นเอกสาร มักจะถูกโกงได้ง่ายๆ”

“ใช่ เพราะฉะนั้นในฐานะเลขาฯของฉัน พัดก็ต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้ฉันด้วย”

“แน่นอนค่ะ พัดจะพยายามทำงานให้สมกับที่คุณป้อให้โอกาส”

“ขอบใจ ตอนนี้ฉันอยากได้กาแฟเข้มๆ สักแก้ว”

“ค่ะคุณป้อ รอสักครู่นะคะ”หญิงสาวยิ้มรับ พลางรีบเดินไปเปิดประตู แต่ไม่ทันไรก็เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานใหญ่ของปรเมศวร์อีกครั้งทำหน้าเก้อๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาดุ

“มีอะไรรึเปล่า”

“คือว่า พัดลืมถามว่าคุณป้อดื่มกาแฟแบบไหน”

“อ้อ” เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ใบหน้าดุๆ เมื่อครู่ลดลงไปมากทีเดียว จนคนที่รอคำตอบใจชื้นขึ้น กลัวว่าเขาจะรำคาญ “ลืมบอกไป กาแฟสองช้อน น้ำตาลช้อนนึง แค่นั้นละ”

“ไม่ใส่นม?” ภัสสรถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ใช่ครับ”

“โอเคค่ะ” หญิงสาวยกมือขึ้นมาทำท่าโอเคพร้อมรอยยิ้มกว้าง “คราวหน้าไม่พลาดแน่นอน”

คนที่มองอยู่ได้แต่เก๊กหน้าเข้มกับท่าทางแบ๊วๆ ของอีกฝ่าย เพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ของผู้บริหารเอาไว้ แต่หลังจากหญิงสาวหมุนตัวเดินกลับไป เขาก็ยิ้มกริ่มพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปเสียหมดในสายตาของเขา

หลังได้กาแฟจากเลขานุการส่วนตัว ปรเมศวร์ก็ตั้งใจอ่านเอกสารที่หญิงสาวทำให้ไปเงียบๆ พลางเสิร์ชดูสถานที่จากแผนที่ในกูเกิล และภาพสิ่งแวดล้อม ผู้คน สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร เพื่อศึกษาข้อมูล โครงการนี้แม้เขาจะเป็นคนเสนอเองว่าจะขยายสาขาออกไปต่างจังหวัดเพิ่ม แต่การเสนอจัดซื้อที่ดินและอื่นๆ เขาก็ต้องดูรายละเอียดอย่างเข้มงวด ชายหนุ่มไม่ชอบการฮั้วประมูลจากคนในแล้วมาเกิดปัญหาโกงกินขึ้นเป็นทอดๆ จนทำให้การสร้างโรงแรมไม่ได้มาตรฐาน

พออ่านรายงานเรียบร้อย การประเมินตัวเลขใกล้เคียงกับความจริง ไม่มีอะไรให้ต้องวิตกกังวล เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาเรียกเลขานุการส่วนตัว

“พัด...”

ทว่าคนที่ควรจะขานรับกลับนั่งสัปหงกไปเฝ้าพระอินทร์เสียแล้ว

ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาค้ำคางเอียงหน้ามองหญิงสาวผมยาวที่วันนี้รวบผมเป็นหางม้า มีลูกผมบางๆ เคลียร์แก้มและลำคอ เธอเอามือข้างซ้ายมารับศีรษะเอาไว้ แต่ก็เอนไปมาเล็กน้อย ส่วนมือข้างขวาวางอยู่บนแป้นคีย์บอร์ด ถ้าให้เดา บนหน้าจอตอนนี้คงมีตัวอักษรหรือตัวเลขยาวเป็นพรืด

ปรเมศวร์ลุกขึ้นช้าๆ เดินไปยืนใกล้คนขี้เซาแล้วก้มมองหน้าจอ เป็นตามที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด

ตอนนี้ตัวเลขศูนย์เป็นพรืดเต็มหน้าจอไปหมด จนเขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะบางครั้งที่ตัวเองง่วงๆ ก็เคยเป็นแบบนี้ คิดไปแล้วหากมีคนเห็นเข้า ก็คงอดขำไม่ได้เช่นกัน

ปรเมศวร์ยกนาฬิกาขึ้นมอง นี่เลยเวลาเที่ยงไปแล้ว เขาอ่านงานและตรวจสอบโครงการเสียเพลิน รวมถึงการค้นข้อมูลในเว็บไซต์นานจนลืมเวลาอาหาร

เธอคงจะหิวแล้วกระมัง แต่ก็ไม่กล้าบอกเขา

ต่อไปคงต้องระวังให้มากกว่านี้ การที่ตัวเองมัวแต่ทำงานแล้วกินอาหารสายหรือไม่กินเลย มันเป็นความเคยชินเสียแล้ว แต่กับคนตัวเล็กตรงหน้า หากเป็นโรคกระเพาะขึ้นมาคงไม่ดี

“พัด...”

ชายหนุ่มตัดสินใจก้มลงไปเรียกหญิงสาว แต่ด้วยการเรียกที่ไม่ดังนักเพราะกลัวอีกฝ่ายจะตกใจ เขาเลยขยับเข้าไปใกล้ใบหูขาวสะอาดที่มีต่างหูแบบมีก้านเล็กๆ ประดับเอาไว้

“พัด...”

ด้วยลมหายใจอุ่นๆ และเสียงที่ดังอยู่ใกล้ ทำให้คนเผลอหลับขยับตัว คนเรียกรีบขยับออกห่างอย่างรักษาระยะเช่นกัน ทว่าคนถูกเรียกเพิ่งนึกได้จึงตกใจสะดุ้งลุกขึ้น หันมาทำตาโตมองเจ้านายสุดหล่อที่ตอนนี้ยืนอิงสะโพกกับโต๊ะทำงานของเขา จ้องเป๋งมายังเธอด้วยสายตาค่อนข้างดุทีเดียว

คนอะไรก็ไม่รู้ เวลายิ้มก็เหมือนเป็นอีกคน แต่เวลาทำหน้าเฉย แถมจ้องเธอมาแบบนี้ ก็ดูดุราวกับเสือจะขย้ำเหยื่อ

“เอ่อ ขอโทษค่ะ พัด...” เธอไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาแก้ตัวที่เผลอหลับในห้องทำงาน เมื่อมีความผิดเห็นจะจะคาตาอีกฝ่ายทีเดียว

“นี่ก็เลยเที่ยงแล้ว เราไปกินข้าวกัน ฉันหิว ทีหลังก็คอยเตือนฉันเรื่องเวลาด้วย ในฐานะเลขาฯส่วนตัว นอกจากงานแล้วก็ควรดูแลทุกข์สุขเจ้านายด้วย”

“เอ๋...อ่า...ค่ะ พัดขอโทษค่ะ” เธออึกอักพูดไม่ออก เลยค้อมตัวขอโทษอย่างรู้สึกผิด พอยกข้อมือขึ้นดูเวลาก็เห็นว่าเกือบจะบ่ายสองแล้ว จริงๆ ตัวเองหิวตั้งแต่เกือบเที่ยง แต่ก็ไม่กล้าบอกเขา เพราะเห็นอีกฝ่ายจ้องจอแมคบุ๊กอย่างมีสมาธิ เลยไม่กล้ารบกวนเธอจะออกไปกินกับพวกพี่ๆ ข้างนอกก็ไม่กล้า

“ไม่เป็นไร ใหม่ๆ ก็อย่างนี้ละ แต่อย่าบ่อยนักล่ะ ระวังจะไม่ผ่านโปรเอา วันนี้หักลบความดีที่ทำรายงานมาเรียบร้อย ก็พออภัยให้ได้” เขาทำเสียงเข้มอย่างเป็นงานเป็นการ แม้จะเอ็นดูแค่ไหน แต่งานก็ต้องเป็นงาน หากเขาปล่อยมากไป อีกฝ่ายจะไม่พัฒนาตัวเอง เขาอยากให้เธอเก่งขึ้น

“ขอบคุณค่ะคุณป้อ พัดจะไม่เผลอหลับอีกแน่นอน” ภัสสรทำเสียงอ่อย หน้าเสียเพราะถูกเจ้านายดุตั้งแต่วันแรกที่ทำงานร่วมกัน

“เอาละ ไปดูไฟล์ที่หน้าจอแล้วลบเลขศูนย์ออกด้วย ท่าทางไฟล์จะแฮ้ง” เขาว่าจบก็หันหลังให้โต๊ะทำงานแอบยิ้มขำอีกฝ่ายพอหันมาอีกทีก็เก๊กหน้าเข้มต่อ “เก็บของแล้วไปกินข้าวด้วยกัน วันนี้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศแล้ว”

“เอ๋ เหลือเวลางานอีกตั้งหลายชั่วโมงนะคะ”

“ไม่เป็นไร ฉันจะออกไปซื้อของ เธอไปช่วยเลือกหน่อย”

“อ้อค่ะ” ภัสสรรับคำอย่างกระตือรือร้น พลางก้มดูหน้าจอแมคบุ๊ก แล้วก็ต้องรีบลบเลขศูนย์ออกจากไฟล์เพื่อเซฟงาน ปิดเครื่อง แล้วเก็บของ ซึ่งมีแค่กระเป๋าใบเดียว ส่วนเอกสารเธอทิ้งไว้ที่นี่ก่อน เผื่อฝ่ายบุคคลต้องการอะไรจะได้เอาไปใช้ได้ทันที

เมื่อดันเก้าอี้สอดเข้าเก็บใต้โต๊ะ เงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นเจ้านายสุดหล่อไปยืนเก๊กหน้าเข้มรออยู่ตรงประตูแล้ว เขาเปิดประตูพร้อมกับเดินออกไปทันที ภัสสรจึงรีบสาวเท้าตามออกไป ในมือคว้าสมุดโน้ตเล่มกลางๆ ไปด้วย เผื่อเจ้านายสั่งงาน

พอมาถึงโต๊ะเลขานุการส่วน เขาก็บอกเพียงเพียรว่าวันนี้ไม่เข้าออฟฟิศแล้ว เผื่อมีใครโทร.หา เพราะงานบางส่วนยังต้องใช้เลขานุการส่วนในการดูแล ภัสสรนั้นมีหน้าที่เป็นเลขานุการส่วนตัวจริงๆ คือขึ้นตรงต่อปรเมศวร์คนเดียวเท่านั้น

เพียงเพียรลุกขึ้นยืนรับคำสั่งอย่างนอบน้อม เมื่อรองประธานเดินไป เธอก็หันไปทำปากบอกสาวรุ่นน้อง

‘สู้ๆ’

แล้วโบกมือบ๊ายให้อย่างห่วงๆ

ก็จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร ในเมื่อท่านรองประธานสุดหล่อตั้งแต่เข้ามาบริหารเต็มตัว ยังไม่เคยเห็นเขายิ้มแย้มเล่นหัวกับใคร คุยกับเธอก็เฉพาะเรื่องงานเท่านั้น เวลากวาดตามองที หัวใจแทบวาย

ยิ่งในห้องประชุดบอร์ดล่าสุดที่ผ่านมานั้น เธอรับรู้ได้เลยว่า ชายหนุ่มอายุเพียงสามสิบห้าคนนี้ไม่ใช่ใครจะมาลูบคมได้ง่ายๆ คนที่โดนยึดอำนาจไปแบบไม่ทันตั้งตัวยังต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับคำพูดและสายตาที่เชือดเฉือนอย่างนิ่มๆ

เลขานุการรุ่นน้องได้แต่หันมายิ้มหน้าแหย พลางยกมือชูสองนิ้วบ๊ายบายตอบ ส่วนเสมียนวัยกลางคนทำเพียงค้อมตัวแบบไม่สบตาเจ้านาย แล้วรีบหันไปทำเหมือนมีงานยุ่งเช่นเคย

อ๊ะ! ตายยากจริง แค่นึกถึงก็เดินออกมาเลยราวกับมีสายส่งข่าว

ตรงประตูกระจกทางออก ปรเมศวร์กับเลขานุการส่วนตัวยังไม่ทันได้เดินไปถึง ชัยยันต์ก็เดินออกมาเผชิญหน้ากันพอดี

“โอ้ ท่านรองประธาน กำลังจะออกไปไหนกันเหรอครับ เอ๊ะ นี่...?”

ชายวัยเลยกลางคนไปแล้วเอ่ยถามคนที่มีศักดิ์เป็นหลานด้วยเสียงล้อเลียน อีกทั้งสีหน้าและแววตาเรียกได้ว่ากวนอารมณ์คนถูกทักไม่น้อยทีเดียว แถมสายตาที่มองเลยไปทางหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มด้านหลังปรเมศวร์นั้นวาววับออกไปในทางโลมเลียมอย่างน่าเกลียด

ชัยยันต์แม้จะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงและดูแลตัวเองอย่างดี ประกอบกับการแต่งกายด้วยชุดสูทหรูหราก็ส่งให้เขาดูดีกว่าคนรุ่นเดียวกัน

“ครับ ผมมีธุระน่ะ แล้วนี่ก็เลขาฯส่วนตัวของผม” ชายหนุ่มหันไปทางคนตัวเล็กแล้วเอ่ยขึ้น “นี่คุณอาชัยยันต์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการผู้บริหาร”

เขาแนะนำให้หญิงสาวรู้จักอีกฝ่าย แต่ตั้งใจที่จะไม่เอ่ยแนะนำชื่อเสียงเรียงนามของเธอให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ได้รู้จัก ปรายตามองเห็นคนตัวเล็กยกมือไหว้คนสูงวัยกว่า เขาก็รีบตัดบททันทีพร้อมกับแววตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไร

“ผมไปก่อนนะครับ” ว่าจบก็หันตัวเดินผละไปทันที

คนตัวเล็กทำตาล่อกแล่กประมวลสถานการณ์และสีหน้าของเจ้านายก็พอจะรับรู้ได้ถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้บริหารทั้งสอง เธอจึงรีบสาวเท้าตามปรเมศวร์ไปอย่างรู้งาน

ที่สำคัญ เธอไม่ชอบสายตาของคุณชัยยันต์อะไรนั่นเลยสักนิด มันทำให้เธอขนลุกแปลกๆ แค่คิดก็ไม่อยากเข้าใกล้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปแอบสืบข้อมูลจากพี่เพียรสักหน่อย

ส่วนคนที่ยืนมองตามสองหนุ่มสาวทำเพียงเหยียดยิ้มมุมปากอย่างคนที่คิดคำนวณอะไรบางอย่าง เมื่อจับสังเกตถึงอาการไม่พอใจของมัน

นี่มันอาการของคนที่กำลังหวงของ?!

หึๆ น่าสนุก...

ไอ้เด็กอ่อนหัด ริจะมาเป็นใหญ่ในถิ่นของคนที่อยู่มาก่อน

ชัยยันต์ยกโทรศัพท์มือถือกดโทร.หาใครบางคนแล้วเดินไปยังห้องของผู้บริหารที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง คนละฝั่งกับของรองประธานซึ่งก่อนหน้านี้เป็นห้องของปัญญา ประธานบริษัทที่ปล่อยมือให้ลูกชายคนโตบริหารแทน

เฮอะ! มันก็แค่ไอ้ลูกกาฝาก

 

ปรเมศวร์พาภัสสรไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกล ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวที่เจอชัยยันต์ สีหน้าแววตาที่พยายามวางเฉยที่สุดก็เผยออกมาอย่างไม่ตั้งใจ จนคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ วางตัวไม่ถูกกับหน้าดุๆ ของเจ้านายหนุ่ม เห็นคิ้วเข้มๆ ที่ผูกเป็นปมอยู่กลางหน้าผากนั่นก็อยากจะเอามือไปกดให้คลายออกนัก

สันกรามของเขาก็ขบกันจนปูดโปน ท่าทางคงจะไม่ชอบกันมากๆ แค่เจอหน้าแป๊บเดียว ชายหนุ่มก็มีปฏิกิริยาเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

“คุณป้อคะ” จู่ๆ มือของเธอก็เอื้อมไปแตะแขนของเขาโดยอัตโนมัติ เมื่ออีกฝ่ายหันมาด้วยแววตาที่ยังกรุ่นโกรธ เธอเลยเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป จึงรีบชักมือออก “เอ่อ ขอโทษค่ะ พัดแค่จะ...จะ...”

“อะไร” เสียงที่เปล่งออกมาแม้จะไม่ได้แข็งกร้าว แต่ก็ไม่อ่อนโยนสักนิด

“คือ...อ่า พัด”

“พูดเถอะน่า ฉันรอฟังอยู่” นอกจากเสียงแข็งๆ แล้ว คิ้วยังขมวดอีกด้วย

คนมองจึงได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝือเต็มทน

“พัดเห็นคุณป้ออารมณ์ไม่ดี ก็เลยจะปลอบให้อารมณ์เย็นลง”บอกเขาไปแบบซื่อๆ แล้วก็ยกมือขึ้นมาปัดหน้าม้าด้วยความขัดเขิน

คนรอฟังเลยพลอยรู้สึกตัว อารมณ์กรุ่นๆ จากการเจอนายชัยยันต์ คนที่เขาเกลียดเข้าไส้ เลยพานทำให้หงุดหงิดไปหมดเขาจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เอ่อ โทษที แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลังว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างฉันกับคุณอาชัยยันต์ ในฐานะเลขาฯ เธอต้องรู้เบื้องลึกของศัตรูเจ้านาย แล้วก็ต้องรู้จักทางหนีทีไล่เมื่อเจอคนแบบตาแก่ตัณหากลับนั่นด้วย”พูดถึงตรงนี้ ปรเมศวร์ก็อารมณ์พลุ่งขึ้นมาอีก จนเสียงที่เปล่งออกมาเข้มจัดทีเดียว

“โอ๊ะ คุณป้อเห็นเหมือนกันเหรอคะ” ภัสสรหมายถึงสายตาโลมเลียมของนายชัยยันต์ที่มองเธออย่างน่าเกลียดนั่น

“เขาเป็นคนไม่ดี อยู่ห่างๆ คนแบบนั้นเอาไว้ล่ะ”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงอ่อน ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมากับน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของเขา แม้สีหน้าแววตาจะยังดุๆ อยู่ก็ตาม “แค่เห็นแวบเดียว พัดก็ขนลุกแล้วค่ะ”

ไม่เพียงแค่บอกเขา แต่หญิงสาวยังขนลุกจริงๆ จนต้องยกมือขึ้นมากอดตัวเอง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ฟังอยู่แววตาแทบลุกเป็นไฟ

“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ หากใครเข้ามาคิดจะทำมิดีมิร้าย พัดจะจิ้มตา เตะจุดสำคัญ ข้อพับ แล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดให้เร็วที่สุด” ไม่พูดเปล่า แต่เธอยังทำมือทำไม้ขยับตัวตามคำพูดด้วย

“แล้วพัดเคยทำเหรอ”ชายหนุ่มมองคนตัวเล็กแล้วถามเสียงเหมือนไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก

“ไม่เคยค่ะ พ่อเคยสอน บอกว่าต้องใช้ไหวพริบหลอกล่อแล้วจัดการเหยื่อ เอ๊ย คนร้ายให้จุกแล้ววิ่งให้เร็วที่สุด” ภัสสรเล่าเสียงจริงจังจนคนฟังแอบขำ อารมณ์เริ่มเย็นลงมาอย่างไม่รู้ตัว

“หลอกล่อน่ะได้ แต่การจะทำร้ายคนที่แข็งแรงกว่ามากๆ และตัวโต เราต้องมั่นใจก่อนว่าจะทำได้แน่ ไม่งั้นจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิมได้”

“ค่ะ พัดจะจำไว้ โอ๊ะ!”

โครกคราก จู่ๆ เสียงท้องของใครบางคนก็ร้องออกมา

และมันเป็นของเธอนั่นเอง

“เอ่อ ขอโทษค่ะ ถ้าคุณป้อไม่ออกรถสักที พัดอาจหิวจนเป็นลมตายในรถคุณป้อก็ได้ค่ะ”

“นี่ใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นลูกน้องไม่ทราบ”เขาเหล่ตามองดุๆ พร้อมกับสตาร์ตรถยนต์ จากนั้นจึงขับวนลงไปยังชั้นล่าง

“ไม่รู้ละค่ะ ตอนนี้พัดหิวแล้ว ความหิวทำให้คนไม่มีสติ คุณป้อเคยได้ยินไหมคะ”ภัสสรเอามือกุมท้อง แอบค้อนเขาไปหนึ่งที แล้วหันไปมองถนนข้างหน้า

“อะไรของเธอ ไม่เห็นเคยได้ยิน” ปรเมศวร์เหล่ตามองหญิงสาวข้างกาย ก่อนหน้านี้ยังเกรงกลัวเขาในฐานะเจ้านายอยู่เลย แล้วดูตอนนี้สิ กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ ร้องหิวๆ อย่างน่าตีขึ้นมาเสียอย่างนั้น แถมยังทำปากยื่นอย่างไม่พอใจเขาอีก

“แล้วทำไมคุณป้อไม่กินอาหารในโรงแรมเลยล่ะคะ มีตั้งหลายร้าน”

“ฉันไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาเวลากินอาหาร”

“แล้ววันอื่นล่ะคะ”

“ก็แล้วแต่อารมณ์ ถามเยอะจริงนะเราเนี่ย นี่เจ้านายไง เจ้านาย”เขาว่าเสียงเข้ม พลางก็ขับรถออกจากโรงแรมหรู เข้าสู่ถนนสายหลัก

“โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ” ปากขอโทษ แต่ภัสสรกลับค้อนเขาฉับๆ

“เอ๊า งอนเจ้านายซะงั้น” เขาว่ายิ้มๆ จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบกริบ

ไม่นานคนขับรถก็หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้าที่เคยมากินปิ้งย่างด้วยกัน

“วันนี้กินอาหารญี่ปุ่นกัน”

“แล้วแต่เจ้านายเลยค่ะ” จู่ๆ ก็เรียกเจ้านายแทนคุณป้อประชดเข้าไปอีก

“ลงๆ ถึงแล้ว” เขาบอกเมื่อขับวนหาที่จอดแล้วถอยรถเข้าจอดเรียบร้อย

จากนั้นปรเมศวร์ก็พาเธอไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง สั่งอาหารอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นเวลาบ่ายสองครึ่ง คนเลยไม่มาก สั่งอาหารไป พนักงานก็มาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว แล้วทั้งคู่ก็ตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่พูดอะไรกันอีก โดยชายหนุ่มคีบโน่นนี่จากจานอาหารหลายอย่างไปวางที่จานให้เธอ ในขณะคนตัวเล็กกินอย่างเงียบๆ เขาคีบมาวาง เธอก็คีบกินทุกอย่าง

ซูชิชิ้นใหญ่ๆ ภัสสรไม่รักษาภาพลักษณ์อะไรทั้งสิ้น เธอก็กินมันทั้งคำโตนั่นละ พลางเคี้ยวแก้มตุ่ยแล้วคีบเครื่องเคียงตามอย่างเจริญอาหาร

คนคีบให้มองอีกฝ่ายกินเพลินทีเดียว ส่วนตัวเองก็กินไปเรื่อยๆ อย่างสบายอารมณ์

ไม่น่าเชื่อว่า การมองหญิงสาวตัวเล็กตรงหน้ากินอาหารแบบที่เรียกว่ากินจริงๆ ไม่ใช่แบบที่สาวๆ ค่อยๆ ละเลียดอย่างรักษากิริยาอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่ก็หายไปจนแทบไม่เหลือ

“ค่อยดีขึ้นรึยัง” ปรเมศวร์ยกชาร้อนขึ้นมาจิบ ตาก็มองคนตัวเล็กตักไข่ตุ๋นกินสองสามคำ แล้วตักซุปมิโซะมาซดปากจู๋ทีเดียว เขาอดขำและเอ็นดูท่าทางเหมือนเด็กของเธอไม่ได้

หญิงสาวไม่ได้กินมูมมาม แต่กินแล้วดูอร่อยตามไปด้วย จนเขาเจริญอาหารกินมากกว่าที่เคย

“แหะๆ อร่อยมากเลยค่ะ คุณป้อใจดีจังที่พามาเลี้ยง” พอท้องอิ่มก็เข้าสู่ภาวะปกติ เห็นมดเป็นช้างเหมือนเดิม

“ใจดีอะไร ใครบอกว่าจะเลี้ยง” เขาแกล้งเย้าเธอ

“อ้าว...” คนที่กินไปเสียมากมายทำหน้าจ๋อย “แต่อาหารแพงแบบนี้ พัดไม่มีจ่ายหรอกค่ะ ขอติดไว้ก่อนได้มั้ยคะ ต้องรอสิ้นเดือนถึงมีจ่าย แหะๆ” เธอบอกเขาเสียงจริงจัง แต่ก็กินไปด้วย

“ฉันล้อเล่นหรอกน่า” เขาว่ายิ้มๆ

“ว่าแล้วเชียว อย่างคุณป้อเลี้ยงพัดไปตลอดชีวิต ขนหน้าแข้งยังไม่ร่วงเลย” หญิงสาวพูดออกมาอย่างไม่ได้คิดอะไร ทว่า...

“แล้วเธออยากให้เลี้ยงไปตลอดชีวิตไหมล่ะ”หากภัสสรเงยหน้าจากจานมียากิโซบะ เธอก็จะได้เห็นว่าสายตาของคนนั่งตรงข้ามวิบวับขนาดไหน

“ไม่เอาหรอกค่ะ พัดเกรงใจ” หญิงสาวตอบขณะใช้ตะเกียบคีบเส้นยากิโซบะสูดเข้าปากจู๋จนสุดเส้น

คนมองต้องเอียงหน้าไปแอบขำ เพราะคนตัวเล็กน่ารักจนเขาแทบเก็บอาการคันยิบๆ ในหัวใจอยู่ในขณะนี้ไม่ไหวแล้ว

“อะแฮ่ม...” เขาเงยหน้ามาจิบชาร้อนเพื่อเก็บอาการ แต่ไม่วายแก้มแดงขึ้นมา

“เอ๋ คุณป้ออิ่มแล้วเหรอคะ” เธอเงยหน้ามาพอดีเพราะได้ยินเสียงเขากระแอม “เหลืออีกไม่กี่ชิ้นเอง คุณป้อช่วยกันกินก่อนสิคะ”

“ไม่ต้องรีบหรอก กินไปเรื่อยๆ ฉันจะได้เล่าเรื่องคุณอาชัยยันต์ให้เธอฟังไปด้วย”

“โอเคค่ะ” เธอยกมือเป็นสัญลักษณ์โอเคพร้อมกับยิ้มแบบไม่เห็นฟันเพราะเคี้ยวอาหารไปด้วย ตาที่มองเขาก็หยีจนเป็นสระอิ ลูกผมหลุดลุ่ยลงมาตั้งแต่ตอนที่เธอเผลอหลับไป จนตอนนี้คนตัวเล็กก็ยังไม่ได้มองกระจก

คนตัวโตที่มองอยู่อยากจะเอื้อมมือไปลูบผมให้ แต่ต้องหักห้ามใจเอาไว้

ด้วยยังไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนั้นได้

จากนั้นปรเมศวร์ก็เล่าเรื่องราวตื้นลึกหนาบางระหว่างเขากับชัยยันต์ให้เธอรับรู้คร่าวๆ โดยเลือกที่จะข้ามบางเรื่องไป เพราะมันยังไม่ถึงเวลาชายหนุ่มต้องการให้เธอค่อยๆ ซึมซับเรื่องราวของเขาไปเรื่อยๆ มากกว่า

เขาไม่อาจตอบได้ว่าในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร

แค่รอให้ภัสสรเปิดใจ...ให้เขาได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอ

หวังว่าเธอจะไม่เหมือนใครคนอื่นที่เดินเข้ามาในชีวิตของเขาเพื่อจะผ่านไป

ดวงตาของปรเมศวร์วาววับทีเดียวขณะมองใบหน้าใสๆ ไร้เดียงสาของคนตรงหน้า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น