บทที่ ๕
สายเปย์ที่แท้ทรู
ที่เขาบอกว่าจะมาเดินซื้อของโดยให้เธอช่วยเลือกนั้น เขาพาเธอมาซื้อของจริงๆ
แต่...มันเป็นของเธอเกือบทั้งหมด!f
เจ้านายสุดหล่อนอกจากใจดีเลี้ยงข้าวแล้ว เขายังซื้อเสื้อผ้าเพื่อใส่ไปทำงานให้เธออีกหลายชุด
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า เธอปฏิเสธอยู่แล้ว แต่เหตุผลที่เขาอ้างมา...
“เพราะเธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของฉัน”
สุดท้ายก็ต้องยอมรับ
การที่ต้องเดินตามเจ้านายไปทำงานโน่นนี่เพื่อพบปะผู้คน โดยเฉพาะคู่ค้าหรือผู้บริหารคนอื่น คนเป็นเลขานุการส่วนตัวจะมาใส่เสื้อผ้าธรรมดา มันก็ดูไม่ดีและทำให้คนเป็นเจ้านายขายหน้าได้
การเป็นเลขานุการท่านรองประธานของโรงแรมดังอย่างเอสเจแกรนด์โฮเทล ต้องดูดีและให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือ
แล้วแบบนี้เธอจะยังยืนกรานปฏิเสธได้อย่างไร
จึงได้แต่ปล่อยไปตามน้ำ เพราะคิดสะระตะแล้วมันก็ไม่ได้เสียหายตรงไหน
แถมยังได้ชุดมาใส่ฟรีเพราะเป็นความต้องการของเจ้านายสายเปย์ตัวจริง
พ่อแม่ก็สอนมาว่า การที่ผู้ใหญ่ให้ของนั้นเพราะเขาเมตตา หากพิจารณาแล้วว่า มันไม่ได้ผิดหรือเสียหาย ก็ให้รับไว้ เพราะคนให้อาจเสียน้ำใจหากถูกปฏิเสธ
เธอจะยึดคำสอนอันนี้ก็แล้วกัน จะได้สบายใจ
หาข้อดีมาหักล้างได้แล้ว คราวนี้เธอก็เลือกชุดได้อย่างสบายใจ
คนเปย์แม้จะงงๆ กับการยอมรับในเหตุผลของเขาอย่างง่ายดายแต่ก็อดขำในความไบโพลาร์ของอีกฝ่ายไม่ได้
ทีแรกปฏิเสธเสียงขึงขัง แต่อีกนาทีต่อมาก็ยิ้มรับอย่างยินดี
แถมยังรู้อีกแน่ะว่าแบรนด์ไหนดีอย่างไร ท่าทางจะมาเดินดูบ่อย แต่ด้วยความเขียมและเป็นนักศึกษาที่ทางบ้านไม่ได้มีเงินให้จับจ่ายอย่างฟุ่มเฟือย อีกฝ่ายจึงไม่ซื้อสินค้าราคาค่อนข้างสูงนี้
“ชุดนี้เหมาะกับพัดดี เอาชุดนี้ด้วยนะ” เขาบอกเมื่อหญิงสาวเดินออกจากห้องลองเสื้อผ้ามาให้เขาดู
ชุดแซกสีเหลืองพาสเทลอ่อนๆ ปักลายเชอร์รีสีฟ้าช่อเล็กๆ ดูสมวัย เมื่อสวมสูทเบลเซอร์สีขาวเข้าไปก็ทำให้ดูสวยแบบหญิงสาววัยทำงาน
“คุณป้อคะ นี่ก็ชุดที่หกแล้วนะคะ”เธอเดินมาใกล้ๆ ชายหนุ่มที่นั่งรออยู่ตรงโซฟา ความสูงของเธอที่ยืนใกล้เขานั้น เลยศีรษะคนนั่งไปไม่มากนัก พอเธอก้มมาป้องปากบอกเสียงเบาอย่างเกรงใจ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“เพิ่งหกชุดเอง ไม่เป็นไรหรอก ฉันตั้งใจว่าจะซื้อให้สักเจ็ดชุด แล้วก็ชุดลำลองอีกสักห้า...” เขาเอียงหน้าเล็กน้อยบอกกับเธอด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“คุณป้อคะ พอเถอะค่ะ พัดเสียดายตังค์ นี่มันก็เยอะแล้ว”
“เอาน่า ถือว่าทำเพื่อฉันแล้วกัน ถ้าอยากตอบแทนน้ำใจ แค่ตั้งใจทำงานและดูแลฉันมากๆ ก็พอ”
“ก็ได้ค่ะ”
“ดี งั้นเอาชุดนี้ด้วย” เขาชี้ไปยังชุดที่อยู่กับมือพนักงานซึ่งยืนเยื้องๆ ทางด้านหลังภัสสร เป็นชุดที่ภัสสรเลือกไม่ถูกว่าจะเอาชุดที่ใส่อยู่หรือชุดนั้นดี เพราะแบบใกล้เคียงกันและคนละสี ฝ่ายพนักงานสาวเผยรอยยิ้มกริ่มแกมอิจฉาอย่างเห็นได้ชัดทีเดียวขณะตอบรับคำสั่งลูกค้า
หนุ่มหล่อที่เอาใจคนรักสารพัดแถมอดทนรอไม่บ่นสักคำแบบนี้ เป็นใครก็ต้องอิจฉาทั้งนั้น
“คุณลูกค้าจะจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิตคะ” พนักงานสาวค้อมตัวถามอย่างนอบน้อม เสียงสุภาพ
“บัตรเครดิตครับ แล้วก็จัดเครื่องประดับให้เข้ากับชุดด้วยนะครับ” เขาหยิบกระเป๋าตังค์มาดึงบัตรวีซ่าอินฟินิท หรือเดอะวิสดอม ที่มีวงเงินสูงสุดเกินร้อยล้านยื่นให้พนักงานสาว
คนรับบัตรแทบจะประคองบัตรด้วยสองมือ ด้วยเป็นเพราะลูกค้าซื้อชุดในร้านของเธอไปถึงเจ็ดชุด รวมถึงเครื่องประดับเข้าเซตของแบรนด์เดียวกัน รวมๆ แล้วเกือบสองแสน ตอนเธอนำบัตรไปรูดนั้นจึงยิ้มกว้างทีเดียว
ในขณะคนตัวเล็กรีบไปเปลี่ยนชุดแล้วออกมานั่งที่โซฟาคนละตัวกับปรเมศวร์ เพื่อรอพนักงานจัดของโดยแยกแต่ละชุดพร้อมเครื่องประดับใส่ถุงกระดาษภายใต้ชื่อแบรนด์ของร้าน
“เดี๋ยวเราไปร้านอื่นต่อนะ ฉันอยากได้เนกไทใหม่ด้วย แล้วก็รองเท้า” ชายหนุ่มบอกเสร็จก็พอดีกับที่พนักงานเข้ามาย่อตัวลงวางสมุดปกหนังที่ด้านในมีกระดาษสลิปรายการสินค้าและราคา รวมทั้งบัตรและปากกาแนบมาด้วยบนโต๊ะกลมตัวเล็ก แต่ปรเมศวร์หยิบปากกาที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเชิ้ตมาเซ็น
เขาหยิบบัตรมาเก็บแล้วยื่นสมุดสลิปให้พนักงานที่ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ขณะพนักสาวอีกคนถือถุงกระดาษโลโก้ร้านหรูหราหลายใบมาวางบนโต๊ะ ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบถุงมาถือไว้เสียเอง พลางชวนเธอ
“ไปกันเถอะ” เขาทำสีหน้าเรียบเฉยขณะเดินนำเธอออกไปนอกร้าน
“ให้พัดช่วยถือนะคะ คุณป้อซื้อให้แล้ว ยังต้องมาถือให้อีก”
“ไม่หนักหรอกน่า เดินมาเร็ว” เขาบอกพลางเดินไปพร้อมกับเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ขณะสองสาวที่มองตามต่างยกมือขึ้นมาปิดปากกรีดร้องเบาๆ ในความหล่อเข้ม เนื่องจากร้านที่สองสาวประจำนั้นเป็นแบรนด์หรูที่ต้องรักษาภาพลักษณ์
หญิงสาวยกแขนขึ้นมองนาฬิกา เป็นเวลาเกือบหกโมงแล้ว พระอาทิตย์กำลังโพล้เพล้ ท้องฟ้าจึงออกสีเทาอมส้ม ส่องลอดกระจกรถเข้ามาทาบทาใบหน้าของสองหนุ่มสาว
“เราเดินซื้อของเพลินจนเกือบถึงเวลาอาหารเย็นเลยนะคะเนี่ย ป่านนี้พ่อแม่คงรอแล้ว” ว่าพลางก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาบุพการี “พ่อคะ พัดกำลังกลับนะคะ ค่ะ หิวแล้วค่ะ น้ำพริกปลาทู อ้อค่ะ ค่า แล้วจะรีบกลับไปกินนะคะ อีกไม่เกินสิบนาทีค่ะ รอพัดด้วยนะคะ”
“อื้ม พูดถึงอาหารเย็น ฉันก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน...” ปรเมศวร์หันมาบอก เหมือนจะทิ้งค้างคำพูดไว้เพื่อให้อีกฝ่ายเอ่ยชวน
“ค่ะ พ่อกับแม่รอกินข้าวเย็นพอดีเลยค่ะ อยู่ในห้างลืมมองนาฬิกา เพราะมันสว่างตลอดเวลาจนลืมเวลา”
“ฉันอุตส่าห์เลี้ยงข้าวเธอ แต่พอฉันหิวบ้างกลับไม่ชวน”
“อุ๊ย พัดไม่กล้าชวนหรอกค่ะ คือว่า...อาหารที่บ้านพัดเป็นแบบบ้านๆ น่ะค่ะ คุณป้ออาจจะทานไม่ได้”เพราะรู้ว่าชายหนุ่มอยู่ต่างประเทศนาน วัฒนธรรมการกินอาหารก็ไม่เหมือนกัน แถมยังเป็นเจ้านายที่มีตำแหน่งถึงรองประธานบริษัท เจ้าของโรงแรมหรูกลางกรุง ใครจะกล้าชวน
“ยังไม่ทันชวน ก็คิดแทนไปก่อนแล้วนี่นา แบบนี้ฉันก็แย่สิ”
“แล้วคุณป้อกินอาหารอย่างน้ำพริกปลาทู ผักต้ม แกงส้ม อะไรแบบนี้ได้ไหมคะ ถ้าได้ พัดก็ยินดีค่ะ”ในเมื่ออีกฝ่ายยกบุญคุณมากอ้างขนาดนี้ ให้เขาได้ลองอาหารบ้านๆ ฝีมือแม่สักมื้อก็คงไม่เป็นไร
ทว่า...รับปากไปแล้ว เธอดันเพิ่งนึกได้ว่า คนเป็นเจ้านายก็คือชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งการที่เธอพาชายหนุ่มแปลกหน้าเข้าบ้านในยามเย็นที่คนในหมู่บ้านและชุมชนริมคลองเดินกันขวักไขว่ ได้เป็นข่าวเมาท์มอยกันแน่นอน
แล้วยังพ่อของเธอที่หวงและห่วงลูกสาวราวกับจงอางหวงไข่อีก
จะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้ โอย คิดแล้วก็เครียด
“แน่นอน ฉันน่ะเห็นแบบนี้ กินได้ทุกอย่างละ แต่อย่าเผ็ดมากก็พอ” เขายิ้มกริ่มสมใจที่อีกฝ่ายรับคำ แต่เมื่อเห็นสีหน้ายุ่งยากใจก็ถามขึ้น “แล้วทำไมต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วย กับข้าวไม่พอกินรึเปล่า เราออกไปซื้อมาเพิ่มก็ได้นี่”
ชายหนุ่มพูดออกมาตรงๆ ด้วยวัฒนธรรมของฝรั่งนั้น ไม่มีการทำอาหารเผื่อคนอื่น การจะทำอาหารเพิ่มก็ต่อเมื่อมีการเชิญแขกมาบ้านเท่านั้น การที่จู่ๆ จะไปกินอาหารบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับเชิญนั้นเป็นการเสียมารยาท
ต่างกับคนไทยที่มักทำอาหารเผื่อเป็นหม้อ หากมีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักแวะมา
“ไม่ใช่ค่ะ คือว่า พัดกลัวพ่อดุ แถมคนแถวนี้ชอบปากมากเมาท์เรื่องไม่จริงแล้วเอาไปคุยต่อเป็นคุ้งเป็นแคว”
“อ้อ พ่อดุนี่เอง เดี๋ยวฉันรับผิดชอบเอง ไม่ต้องห่วง สบายใจได้ ก็แค่กินข้าว จะอะไรนักหนา ส่วนคนอื่นไม่เห็นต้องแคร์ใครเลย เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง”
“ค่ะ อุ๊ย ใกล้ถึงบ้านพัดแล้วค่ะ จอดรถไว้ตรงรั้วข้างๆ บ้านก็ได้ค่ะ” เธอชี้ไปตรงริมรั้วบ้าน
“ปะ เราไปกินอาหารมื้อเย็นกัน” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นดูสนุกและมีความกระตือรือร้นมากทีเดียว จนเธอเริ่มกลุ้มใจกับท่าทีของคนเป็นเจ้านาย
ลงจากรถ ทั้งคู่ก็ช่วยกันเลือกถุงกระดาษที่เป็นของหญิงสาวลงจากรถ แล้วไปยืนหน้าบ้าน
“พ่อคะ พัดมาแล้ว” คนตัวเล็กเขย่งเท้ายื่นหน้าขึ้นให้สูงกว่ารั้วเพื่อตะโกนเรียก
“พัด ยายหนูมาเร็วลูก โอ๊ะ!” วันชัยที่มัวก้มใส่รองเท้าแล้วก้าวไวๆ มาชิดประตูรั้ว ร้องออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มตัวสูงเกินรั้วมามากมองจ้องมองด้วยสายตาคมปลาบ
เมื่อตั้งสติได้ก็เปิดรั้วออกเพื่อจะฟังลูกสาวบอกกล่าวว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พลางส่งสายตาถามลูกสาวอย่างอยากรู้เต็มที่ แต่ก็พยายามระงับสีหน้าให้เรียบนิ่งด้วยมาดคุณพ่อจอมเฮี้ยบ
ทว่าคนตัวสูงที่มองอยู่ถึงกับยิ้มขำ เพราะยิ่งคนสูงวัยพยายามปรับสีหน้าให้นิ่ง มันกลับยิ่งเหยเกและตูตลกในสายตาของเขา
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้อีกฝ่ายทั้งที่มีถุงเต็มสองมือ
คนตัวเตี้ยกว่าแต่อายุมากกว่าเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าขรึมเคร่งเช่นเดิม เพราะยังอยากได้ข้อมูลที่มากกว่านี้
ไอ้หมอนี่มันหล่อราวกับพระเอกหนังฮ่องกง แถมดูดีมีอำนาจอย่างที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
“พ่อคะ คุณปรเมศวร์เป็นเจ้านายพัดค่ะ เอ่อ คุณป้อใจดีมาส่งพัดน่ะค่ะ พัดเลยชวนกินข้าวด้วย”
“หา! เจ้านายลูก เจ้าของโรงแรมใหญ่นั่นอะนะ!” คนปั้นหน้าเคร่งตื่นตระหนกตกใจ ยกมือรับไหว้อีกฝ่ายแทบไม่ทัน “เอ้อ สวัสดี เป็นเจ้านายพัดหรอกรึ อ้า เอ่อ เชิญเข้าบ้านก่อนครับ”
คนเป็นพ่อแทบตั้งตัวไม่ทันกับการมาเยี่ยมเยียนของเจ้านายลูกสาว ปล่อยให้ปรเมศวร์เดินเข้าบ้านไปก่อน ส่วนตัวเองมาช่วยลูกสาวถือของ พลางกระซิบกระซาบพยักพเยิดหน้าว่าไปยังไงมายังไงล่ะเนี่ย
“พ่อคะ เข้าบ้านก่อนเถอะค่ะ ไปช่วยกันต้อนรับคุณปรเมศวร์ก่อน เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง” ภัสสรกระซิบกระซาบบอกบิดาเสียงรัว ด้วยก็กลัวใจคนเป็นเจ้านายเหมือนกัน
“พี่วัน พัด...โอ๊ะ คุณ...” คนเป็นแม่ที่เข้าครัวไปตักข้าวใส่จานกำลังออกมาวางบนโต๊ะ พอได้ยินคนเดินมาก็เข้าใจว่าเป็นพ่อลูกที่ตัวเองรออยู่
“สวัสดีครับ ต้องขอโทษด้วยครับที่มารบกวนโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า ผมปรเมศวร์ครับ หรือจะเรียกว่าป้อก็ได้”
“อ่า เอ่อ คุณ...” คนเป็นแม่ยังคงงงงวยที่แขกแปลกหน้าตัวสูงรูปหล่อเดินเข้ามาในบ้าน
“แม่คะ พัดมาแล้วค่ะ นี่คุณป้อ เจ้านายพัดค่ะแม่” ภัสสรรีบเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่มพลางรีบแนะนำให้มารดารู้จัก มือก็ยื่นไปรับถุงใส่เสื้อผ้ามาจากเจ้านาย “เดี๋ยวพัดเอาไปเก็บตรงโน้นก่อนค่ะ เชิญคุณป้อนั่งที่โต๊ะอาหารเลยค่ะ”
หญิงสาวแอบสบตากับมารดาว่าค่อยคุยกัน โดยบิดาเดินถือของตามไปวางไว้ที่โซฟาตัวยาวด้วย แล้วกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารฝั่งตรงข้ามปรเมศวร์
“เดี๋ยวแม่ไปตักข้าวมาเพิ่มอีกจานนะ” ว่าพลางภัสราก็รีบเดินเข้าครัวไป ไม่นานก็ออกมาพร้อมจานข้าวสวยพูนๆ วางตรงหน้าชายหนุ่ม
“แม่ไม่รู้ว่าพัดจะพาคุณป้อมาทานข้าวด้วย เลยไม่ได้ทำอะไรต้อนรับ มีแต่อาหารพื้นๆ ไม่รู้คุณป้อจะทานได้รึเปล่าค่ะ”ภัสราบอก มีความเก้อเขินนิดๆ ที่ชายหนุ่มกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ เธอกลัวว่าคนรวยท่าทางสำอางจะกินอาหารบ้านๆ ได้หรือเปล่า อาจจะไม่ถูกปากเอาได้
“ผมซะอีกที่ต้องขอโทษคุณพ่อกับคุณแม่ที่มาขอข้าวกินโดยไม่ได้บอกกล่าวกันก่อน กับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลยครับ”คนเป็นแขกเรียกสองสามีภรรยาอย่างให้เกียรติและสนิทสนม จึงทำให้คนสูงวัยเริ่มยิ้มออก คลายความเกร็งที่อีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าของโรงแรมใหญ่และเป็นเจ้านายของลูกสาวที่เพิ่งเข้าไปทำงาน
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองชิมเลยครับ ถ้าไม่รังเกียจ วันหน้าเอาไว้มาลองชิมขนมจีนน้ำยาฝีมือแม่หนูพัดอีกนะครับ พ่อแม่พายเรือขายทุกวัน แต่วันนี้หมดเกลี้ยง ต้องเป็นวันหลังแล้วละ” วันชัยเอ่ยชวนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
“เหรอครับ ถ้างั้นผมคงต้องมาลองชิมแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มรับคำชายสูงวัยที่มีเค้าความหล่อเหลาในวัยหนุ่ม แต่ตอนนี้ออกท้วมๆ และมีริ้วรอยไปตามวัย
ภัสสรได้แต่งงงันกับการชักชวนของบิดา ปกติจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับชายหนุ่มที่เข้ามาใกล้ชิดเธอนัก ขนาดเพื่อนที่เรียนด้วยกันยังไม่เคยให้เข้าบ้าน แล้วทำไมจึงคุยถูกคอกับคนตัวโตหน้าเข้มที่อยู่ข้างๆ เธอนี้
“นี่แกงส้มใช่มั้ยครับ หน้าตาสีสันน่ากินมากเลยครับ” เขาว่าพลางใช้ช้อนกลางตักเนื้อปลาขึ้นมา เหมือนจะมีเม็ดสีขาวเล็กๆ ลอยอยู่ในถ้วยด้วย
“ใช่ค่ะ แกงส้มปลาช่อน ใส่ผักรวมพวกดอกแค ผักบุ้ง แล้วที่เห็นเม็ดเล็กๆ ลอยอยู่นั่นก็ไข่ปลาช่อนค่ะ” ภัสราอธิบายด้วยแววตาอ่อนโยน
ชายหนุ่มตักไปวางบนข้าวสวยแล้วตักผัก ราดน้ำตามไปอีกช้อน ตักชิมแล้วทำตาโต คนทั้งสามที่มองอยู่ต่างลุ้นว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร
“อร่อยมากเลยครับ ไม่เผ็ดอย่างที่คิดนะครับ ทั้งที่สีสันจัดจ้านขนาดนี้ แล้วที่ผมกินนี่คือพุงปลาใช่มั้ยครับ อร่อยมากๆ ครับ” เขาว่าพลางตักข้าวตามไปอีกคำแกงส้มเผ็ดพอสมควร แต่ก็อร่อยละมุนลิ้นมาก เขากินไปก็เหงื่อแตกไป
“งั้นลองชิมดูหลายๆ อย่างนะคะ แม่ของพัดทำอาหารอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ” ภัสสรได้ทีคุยอวด แล้วชี้ให้ชายหนุ่มดู “นี่น้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด ชะอมทอดกับมะเขือชุบไข่ แล้วนี่ผัดกุ้งใส่ถั่วลันเตา ยังมีผักสดกินกับน้ำพริกด้วยนะคะ”
คนเป็นแม่ยิ้มแก้มแทบปริทีเดียวเมื่อลูกสาวคุยโม้ฝีมือแม่ตัวเองให้แขกหนุ่มหล่อฟัง
“ตามสบายนะครับคุณป้อ ทานเยอะๆ นะครับ” วันชัยบอกอีกฝ่ายยิ้มๆ
“ขอบคุณครับ งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ ปกติไม่ค่อยได้กินอาหารอร่อยๆ แบบนี้เท่าไหร่” ชายหนุ่มค้อมศีรษะขอบคุณสองสามีภรรยา พลางเริ่มตักอาหารชิมทุกอย่าง ซึ่งท่าทีที่แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติแบบไม่วางมาดเจ้าของโรงแรมใหญ่ ทำให้เจ้าบ้านทั้งสองสบตายิ้มให้กัน พลางเริ่มลงมือรับประทานอาหารไปด้วย
“คุณป้อเหงื่อออกเต็มเลย เผ็ดน้ำพริกกะปิเหรอคะ นี่ค่ะทิชชู” ภัสสรหันมามองคนเป็นเจ้านาย เห็นว่าเขาสูดปากและเหงื่อออกตามไรผมข้างแก้มและใบหน้า ทั้งผิวแก้มก็แดงจนถึงใบหู พอเขาหันมายังเห็นเหงื่อแตกที่จมูกด้วย แถมปากยังแดงเจ่อ ทำให้ภัสสรยิ้มขำออกมา
“ครับ น้ำพริกเผ็ดแต่อร่อยมากๆ เลยครับ” เขาว่าพลางหยิบทิชชูจากมือเธอไปซับใบหน้าจากนั้นก็หยิบน้ำขึ้นมาดื่มแก้เผ็ดอั้กๆ จนหมดแก้ว
ภัสสรที่มองอยู่เห็นท่าดื่มน้ำที่ลูกกระเดือกขึ้นลงของเขาใกล้มาก แถมริมฝีปากแดงๆ ที่มีน้ำหกออกมานิดๆ ก็ทำให้เธอถึงกับหน้าแดง ใจสั่นๆ พิกล
คนบ้าอะไร ท่าดื่มน้ำยังหล่อและเซ็กซี่ขนาดนี้ ไม่รู้ว่ายังครองตัวเป็นโสดมาได้ยังไงโดยไม่มีสาวๆ มารุมทึ้ง
“คุณป้อไหวมั้ยคะ งั้นต้องกินข้าวสวยกับปลาทูสลับไปด้วยค่ะ จะได้ลดเผ็ด” เธอแก้เก้อด้วยการหันไปแกะปลาทูมาใส่จานให้เขา
คนที่เผ็ดจนหูอื้อรีบทำตามที่เธอบอกอย่างว่าง่าย แถมยังขอเพิ่มข้าวอีกจานอย่างเขินๆโดยภัสสรเข้าไปตักมาให้
“น้องภาไปตักแกงส้มมาเพิ่มให้คุณเขาหน่อยสิ” วันชัยเองก็บอกให้เมียรักไปตักกับมาเพิ่มเช่นกัน ด้วยรู้สึกเอ็นดูเจ้าหนุ่มคนนี้อย่างประหลาด
เขาดูท่าทีและปฏิกิริยาระหว่างหนุ่มสาวว่ามีอะไรในกอไผ่หรือไม่
การมาเยี่ยมเยียนของชายหนุ่มเจ้าของโรงแรม คนเป็นผู้ชายด้วยกันมองท่าทีของอีกฝ่ายออกว่ามีใจ แต่จะมากน้อยแค่ไหน หรือเพียงมองเจ้าตัวเล็กของเขาเป็นแค่ของเล่น เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ใจคน
ที่สำคัญเขาเชื่อใจลูกสาว
“ขอบคุณครับ ถ้าได้กินอาหารฝีมือคุณแม่บ่อยๆ ผมคงอ้วนพุงพลุ้ยแน่ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็มาได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ แต่ให้เจ้าพัดโทร.มาบอกนิดนึง จะได้เตรียมอาหารที่คุณป้อชอบให้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกินอะไรก็ได้” ปรเมศวร์บอกอีกฝ่ายเสียงนอบน้อม
“คุณป้อกินกบได้รึเปล่า” คนสูงวัยกว่าถามขึ้นอย่างนึกสนุก
“กบ? ก็พอได้ครับ” ปรเมศวร์ตอบยิ้มๆ
“งั้นคราวหน้าผมจะทำเมนูกบให้กินนะครับ พอดีนัดพ่อค้ากบแถวๆ บ้านเอาไว้ศุกร์นี้”
“โอเคครับ งั้นผมมาฝากท้องที่นี่แน่นอนเลย”
“มาแล้วค่ะ” สองสาวเดินออกมาจากในครัวพร้อมกัน สองหนุ่มเลยหันมามองยิ้มๆ แล้วลงมือกินข้าวต่อ
“พ่อคะ พัดได้ยินอะไรกบๆ”
“อ้อ วันศุกร์นี้พาคุณป้อมากินกบนะลูก พ่อชวนคุณป้อไว้แล้ว สั่งตาทุยไว้สามโล อุดหนุนแกไว้”
“คุณป้อจะมาวันศุกร์อีกเหรอคะ!”ภัสสรได้ฟังก็อึ้งไป คนเป็นพ่อทำไมเอ็นดูเจ้านายของเธอถึงกับชวนมากินข้าวอีก
“คุณพ่อใจดีจังครับ” ปรเมศวร์ได้ที ทำเสียงอ้อนบิดาเธอเสียอย่างนั้น ยิ่งทำให้ภัสสรงงงวยกับปฏิกิริยาของสองหนุ่มต่างวัย
“อยู่เมืองนอกตั้งนาน คุณป้อกินกบเป็นเหรอคะ พัดนี่ยังแหยงๆ ต้องสับแหลกๆ แบบไม่มีหนังทำผัดเผ็ดเท่านั้น ถึงพอกินได้ ส่วนทอดนี่ก็ขอบายหนังค่ะ กินได้แต่เนื้อ”
“ผมว่าน่ากินออก ผมกินได้หมดละครับ ถ้ามันไม่เป็นอันตราย”
วันชัยยิ้มอย่างพอใจกับความเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ต่างจากภาพลักษณ์ภายนอก
จากนั้นต่างก็รับประทานอาหารกันต่อ โดยปรเมศวร์นั้นกินข้าวหมดไปสองจานทีเดียว
“เก็บจานแล้ว พาคุณป้อไปนั่งเล่นที่ศาลาริมน้ำสิลูก” วันชัยบอกลูกสาว เมื่อทุกคนกินอิ่มแล้ว ชายหนุ่มจะช่วยยกจานเก็บเข้าครัว แต่ถูกห้ามไว้ ด้วยเพราะเขาเป็นแขก เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นที่เจ้าบ้านจะเก็บจานชาม แต่พอภัสสรยกจานเปล่าที่กินแล้วเข้าไปในครัว เขาก็รีบช่วยภัสรายกถ้วยจานกับข้าวเข้าตู้อย่างกระตือรือร้น โดยวันชัยยกแก้วน้ำตามไป และออกมาเช็ดโต๊ะจนสะอาด
ท่าทีของชายหนุ่มดูเป็นกันเองจนทุกคนยิ้มเอ็นดูในความน่ารักของเขา
ภัสสรแอบยิ้มกับท่าทางเงอะงะเมื่อเขามายืนข้างๆในขณะที่มารดาของเธอเดินออกไปข้างนอก โดยวันชัยนั่งรออยู่ที่โซฟายาว ซึ่งเขาเปิดโทรทัศน์ดูรายการเพลงโปรด พอออกไปแล้วคนเป็นภรรยาก็ซุบซิบกับสามีอย่างสงสัยใคร่รู้ แต่คนที่จะตอบได้ก็คือลูกสาว
“ให้ฉันช่วยล้างจานไหม”ปรเมศวร์ถามคนตัวเล็กที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างจาน
“อืม ไม่ต้องดีกว่าค่ะ มันไม่เยอะเลย ล้างแป๊บเดียวก็เสร็จ แล้วซิงค์มันก็เล็กด้วย คุณป้อมายืนเบียดไม่ได้หรอกค่ะ”เธอเงยหน้าไปบอกเขา มือก็ล้างแก้วไปด้วย จากนั้นตามด้วยจานชาม
“งั้นฉันรอเป็นเพื่อน” คนพูดยืนอิงสะโพกกับเคาน์เตอร์ครัวเล็กๆ มองอีกฝ่าย
“คุณป้อไปรอข้างนอกก็ได้ค่ะ ห้องครัวมันแคบ อึดอัดแย่เลย”
“พัดรำคาญฉันเหรอ”เขาวอแวเธอไม่เลิก แถมยังทำสีหน้ากวนๆ ใส่อีกเมื่อเธอหันไปมอง
“คุณป้อคะ พัดยังไม่ได้พูดว่ารำคาญสักคำเลยนะคะ” คราวนี้ภัสสรเริ่มทำเสียงดุอย่างลืมตัว
“เห็นมั้ย พัดรำคาญฉันจริงด้วย” เขาโน้มตัวลงมากระซิบใกล้ๆ แล้วผละตัวเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ “หึๆ”
คนบ้า ขนลุกหมดเลย เล่นมาพูดซะใกล้...ภัสสรได้แต่บ่นอยู่ในใจ
หญิงสาวหันไปมองตามหลังคนที่เดินออกไปจากห้องครัวอย่างอารมณ์ดี
มีเจ้านายที่ไม่ถือตัวมันก็ดีหรอก แต่ว่าใกล้ชิดเกินไป มันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันแฮะ
ภัสสรส่ายหน้ากับความวอแวของเจ้านาย แล้วรีบล้างจานต่อ
ไม่นานก็เสร็จ จึงรีบออกมาต้อนรับแขก แต่แขกนี่ไม่ได้กระทำตัวเหมือนแขกสักนิด เพราะเขากำลังเล่าเรื่องตัวเองตอนอยู่ที่อเมริกาให้พ่อแม่เธอฟังอย่างสนุกสนานทีเดียว
“ตอนที่ผมไปอยู่ใหม่ๆ ช่วงเรียนซัมเมอร์ ตัวก็จะเตี้ยและเล็กกว่าเด็กฝรั่งที่นั่นค่อนข้างเยอะ เลยถูกรังแกบ่อยๆ แต่พอผมสู้ด้วยท่ามวยไทยเข้าไป พวกนั้นวิ่งหนีกันใหญ่ ตอนหลังเลยไม่ค่อยกล้ามาแหยมกับผม ไปๆ มาๆ กลายมาเป็นเพื่อนกันซะงั้น”
“นั่นละ มวยไทยเราเจ๋งสุด” วันชัยตีเข่าฉาดอย่างอินจัด
“คุณป้อก็เก่งนะคะ อยู่ตัวคนเดียวที่นั่นได้”ภัสราเอ่ยอย่างเอ็นดูอีกฝ่าย
“จริงๆ ก็ไปอยู่บ้านของญาติน่ะครับ พอโตแล้วกลับไปเรียนต่อถึงค่อยออกมาอยู่คนเดียว”
“การใช้ชีวิตแบบฝรั่งสินะ”
“ครับ”
“โถ พ่อคุณ ยังไงอยู่กับพ่อแม่พี่น้องก็ดีกว่า จะได้ไม่เหงานะคะ”
“ครับ” เขาตอบสั้นๆ น้ำเสียงมีแววเศร้าเล็กน้อยจนคนฟังรู้สึกได้
ภัสสรที่เข้ามานั่งเก้าอี้โต๊ะกินข้าวที่อยู่ไม่ไกล รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องครอบครัวนัก เธอจึงเอ่ยขึ้น
“คุณป้อคะ ให้พัดพาไปดูคลองที่ศาลาริมน้ำไหมคะ ช่วงค่ำๆ แบบนี้บรรยากาศดีมากเลยค่ะ”
“ครับ” ชายหนุ่มหันไปมองเธอ สบตาแวบหนึ่งแล้วจึงหันมาเอ่ยกับสองสามีภรรยา “ถ้างั้นผมขอตัวนะครับ แล้วก็อาจจะกลับบ้านเลย ขอบคุณสำหรับอาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตเลยครับ”
“คุณป้อละก็ ไม่ต้องชมขนาดนี้ก็ได้ แล้วมาลองชิมขนมจีนน้ำยาแม่นะคะ”คนตัวโตที่วางตัวได้น่ารักเหลือเกินในสายตาผู้ใหญ่ ทำให้ภัสราแทนตัวเองว่าแม่ได้อย่างสนิทใจทีเดียว
“ครับ สวัสดีครับคุณแม่”
“มาชิมกบของพ่อด้วยนะ”ส่วนวันชัยก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากภรรยานัก ชายหนุ่มเจ้าของโรงแรมคนนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกสงสาร ไม่รู้สิ เขาเห็นแววตาเศร้าๆ เวลาเผลอของปรเมศวร์แล้ว คิดว่าคนคนนี้ไม่ได้มีความสุขบนกองเงินกองทองเท่าไร และการมาครั้งนี้ก็แสดงถึงความจริงใจของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
“ขอบคุณครับ ผมมาแน่นอนครับ”ปรเมศวร์สบตาคนสูงวัยกว่าด้วยแววมั่นคงและแน่วแน่ ก่อนเดินตามหญิงสาวตัวเล็กที่เดินนำหน้าไป
สองหนุ่มสาวเดินออกทางด้านข้างตัวบ้านที่มีทางเดินลงไปยังศาลาริมคลอง
บรรยากาศเงียบเชียบ มีเรือผ่านไปมาบ้างนานๆ ครั้ง ฟากคลองฝั่งตรงข้ามมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านดูน่าเกรงขาม คนขวัญอ่อนคงไม่กล้ามองนัก ด้วยด้านหลังไม่ไกลเป็นบ้านไม้เก่าๆ ที่ไม่เปิดไฟ เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ
“นั่นบ้านร้างค่ะ ไม่มีคนมาอยู่เลย พ่อแม่บอกว่ามันร้างตั้งแต่พ่อแม่มาอยู่แล้ว คนแก่ๆ แถวนี้ก็ว่าไม่เคยเห็นเจ้าของบ้าน” เธอมองตามสายตาเขาพร้อมกับบอกเล่าเกี่ยวกับบ้านร้างตรงนั้น “แล้วต้นไม้นั่นก็ต้นลำพูค่ะ ลองสังเกตดีๆ สิคะ มีหิ่งห้อยบินอยู่ด้วย”
“ไหน อืม จริงด้วย เคยเห็นแต่ในละครที่พระ-นางชอบพายเรือมาชมจันทร์ชมหิ่งห้อยใต้ต้นลำพู มันมีจริงๆ ด้วยแฮะ ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่ยังมีอยู่”
“คลองแถวนี้เป็นคลองเก่าแก่ แล้วที่ตรงนั้นก็ยังไม่มีใครซื้อไปทำอะไร ไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นใคร ถึงปล่อยบ้านและที่ดินไว้แบบนี้ มูลค่ามันคงมหาศาลเลยนะคะ”
“อาจเป็นพวกคนรวยที่กว้านซื้อที่ดินจนลืมแปลงนี้ไปเลยก็ได้”
“ก็เป็นไปได้เนอะ”เธอนั่งบนที่นั่งไม้ยาวที่ตีขนาบสองฝั่งกับเสาไม้ มีพนักยาวอิงหลัง เขายืนมองบรรยากาศริมคลองอยู่จึงเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกัน
“บ้านพัดนี่อบอุ่นดี”
“ค่ะ อุ่นจนพัดไม่กล้าทำอะไรไม่ดีเลยละ”
“ยังไง?”
“ก็พ่อแม่น่ะทั้งรักทั้งห่วงพัด แม้ตอนนี้จะโตจนทำงานแล้ว พ่อแม่ก็ยังมองพัดเป็นเด็กอยู่ แต่พัดก็ชอบนะคะที่เป็นแบบนี้ แม้บางครั้งจะอึดอัดบ้าง แต่มาคิดดูแล้ว การต้องไปเที่ยวมีความสุขกับเพื่อนไกลๆ หรือไปเที่ยวผับกลางคืน แล้วพ่อแม่มานั่งเป็นห่วง นอนก็ไม่หลับ พัดขอเป็นลูกแหง่แบบนี้ดีกว่า”
“ดีแล้ว พ่อแม่ของพัดน่ารักดี”
“แล้วพ่อแม่คุณป้อล่ะคะ ท่านเป็นถึงประธานบริษัท คงเข้มงวดมากเลยใช่ม้า” หญิงสาวทำหน้าเข่นเขี้ยว ไม่คิดว่าคำถามของตัวเองจะไปจี้จุดอีกฝ่าย
“ท่านประธานเป็นพ่อบุญธรรม ส่วนคุณแม่เป็นป้าแท้ๆ ของฉัน แล้วน้องชายคนที่เพิ่งแต่งงานไป ก็เป็นเจ้าของทุกอย่างที่ฉันครอบครอง”
“เอ๋ !”
“พ่อแม่ที่แท้จริงของฉันเลิกกัน แล้วต่างคนต่างมีครอบครัวใหม่ มีลูกใหม่ และฉันไม่มีใครต้องการ” ขณะที่เล่า ดวงตาวาววับของเขาจ้องมองมานิ่งแน่วราวกับสะกดเธอให้เข้าไปในชีวิตวัยเยาว์ที่ผ่านมา
ดวงไฟแบบโคมที่พ่อตามไว้ส่องให้เห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของเขาจนเธอใจสั่นไหว อยากเอื้อมมือไปจับมือปลอบให้เขาคลายทุกข์ แต่เธอไม่ควรทำเช่นนั้น ด้วยสถานะและความไม่เหมาะสมทั้งปวง
“ตอนที่ฉันมาอยู่กับคุณแม่คนนี้ ผู้หญิงคนนั้นมองดูสามีใหม่ทำร้ายฉันโดยไม่ช่วยเหลือแม้สักนิด ไม่สิ เขาปล่อยให้ไอ้สารเลวนั่นทำร้ายฉันซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่ห้ามปราม จนกระทั่งวันสุดท้ายที่ฉันทนไม่ไหว คิดว่าตัวเองตายไปแล้วเสียอีก”
“คุณป้อ...” ตอนนี้เธอเหมือนเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นที่เขาถูกทำร้าย น้ำตาคลอด้วยความสงสารจับใจ “ตอนนั้นคุณอายุเท่าไหร่คะ”
“น่าจะประสี่ห้าขวบ”
“โหย ทำไมคนเป็นพ่อแม่ถึงใจร้ายใจดำกับลูกแบบนี้ ถ้าเรารู้จักกันเร็วกว่านี้ พัดจะพาตำรวจไปจัดการให้ถึงที่สุด”เธอว่าอย่างโมโหลุกขึ้นเดินมาหาเขา “แล้วคุณพ่อของคุณป้อล่ะคะ”
ปรเมศวร์ยิ้มให้เธออย่างขมขื่น ดีใจที่หญิงสาวโมโหและปกป้องเขา
“เขาก็ไม่ต้องการฉันเหมือนกัน เพราะเขามีลูกใหม่กับผู้หญิงที่ทั้งสวยและรวยกว่าแม่ ฉันเลยกลายเป็นตัวภาระและน่ารำคาญ”
“เอ๋!...เมื่อกี้พัดไม่ได้รำคาญคุณป้อนะคะ พัดแค่เห็นว่าห้องครัวมันร้อนแล้วก็แคบ” ตอนนี้หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆ เขา สองมือเกาะแขนชายหนุ่มอย่างง้องอน ลืมตัวลืมสถานะว่าเขากับเธอเป็นใคร เธอรู้สึกว่าเขาคือเพื่อนที่ดีต่อเธอ และตัวเองก็พร้อมจะปกป้องเขา
เมื่อเขาไม่หันมา เธอก็เขย่าแขนของเขาที่พับเชิ้ตสีขาวแขนยาวขึ้นไปถึงข้อศอกอย่างรู้สึกผิด เหมือนเธอไปซ้ำเติมปมในใจของเขาเข้าแล้ว
“คุณป้ออย่าโกรธพัดเลยนะคะ พัดไม่มีวันรำคาญคุณป้อหรอกค่ะ คุณป้อใจดีกับพัดจะตาย” ว่าพลางก็เอียงหน้ามามองหน้าเขาอย่างร้อนใจ
“จริงเหรอ ฉันมันก็น่ารำคาญจริงๆ ละ” เขาแกล้งทำเป็นตามน้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ
“ไม่หรอกค่า คุณป้อน่ารักจะตาย แถมใจดีด้วย”เสียงอีกฝ่ายที่ง้องอนดังงุ้งงิ้งอยู่ไม่ไกล ทำให้คนฟังแอบยิ้มในใจ แววตาพราวระริกทีเดียว แต่ยังคงเก๊กหน้า ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ เอ่อ ถึงเรื่องจะไม่เท็จก็เถอะ
“อื้ม ก็ยังดี อย่างน้อยก็ยังมีเธอที่ไม่รำคาญฉัน”
“คุณป้อละก็” เธอปล่อยมือจากแขนของเขา พอดีกับที่มีเรือผ่านมาพอดี เสียงเครื่องยนต์ทำลายบรรยากาศดีๆ ไปเสียหมด
หญิงสาวลุกขึ้นไปนั่งฝั่งตรงข้ามเมื่อเขาเข้าใจเธอแล้ว ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายรื่นรมย์เพียงใด ใจที่เศร้าหมองแทบเลือนหายไปหมดกับเสียงงุ้งงิ้งงอนง้อเอาใจเมื่อครู่แถมยังโกรธแทนเขาและอยากปกป้องเขาอีกด้วย
บรรยากาศเงียบลงพร้อมกับเสียงเรือที่แล่นหายไปในความมืด ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่นั่งห้อยขาหันหน้ามองท้องน้ำกระเพื่อมไหว แสงจันทร์ทาบทอลงมาทำให้ท้องน้ำมีประกายสีส้มจางๆ หิ่งห้อยจากต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้ามกะพริบวิบวับเพียงเล็กน้อยให้พอได้ชื่นชม
ลมพัดไหวจนลูกผมที่หลุดลุ่ยเล็กน้อยของเธอปลิวไปตามทิศทางลม เปิดเปลือยใบหน้านวลที่ปะทะสายลม หญิงสาวหลับตาพริ้มสูดดมกลิ่นดอกไม้หอมหวานที่โชยมา
เขามองเพลินจนแทบลืมหายใจ จนกระทั่งหญิงสาวลืมตาแล้วหันมายิ้มให้เขา
หัวใจในอกที่ปกปิดมิดชิดแทบกระดอนออกมากับรอยยิ้มที่มีฉากหลังเป็นม่านแสงจันทร์และท้องน้ำวิบวับ
“คุณป้อได้กลิ่นหอมเย็นๆ ไหมคะ” เสียงเล็กๆ ที่เอ่ยถามพลางก็สูดดมด้วยสีหน้าสดชื่น
“อื้ม กลิ่นของดอกอะไรหอมดี หอมหวานๆ เย็นๆ แต่ไม่เอียน”
“ดอกปีบค่ะ พ่อปลูกไว้หลังบ้านสองต้น ออกดอกสะพรั่งเลยค่ะ คุณป้ออยากเห็นไหมคะ” เธอชักชวนด้วยแววตาวาวระริก เหมือนเด็กอยากอวดของเล่น
ปรเมศวร์ยิ้มอย่างเอ็นดูพลางพยักหน้า เธอจึงลุกเดินนำเขาออกไปจากศาลา กระทั่งมาหยุดอยู่ด้านหลังบ้านซึ่งมีไม้ยืนต้นผิวขรุขระสองต้น เมื่อครู่ที่เดินออกมาจากบ้าน เขาไม่ได้สังเกตว่ามีต้นไม้ชนิดนี้อยู่ ด้วยใจมัวอยู่แต่กับคนตัวเล็กซึ่งเดินนำไปยังศาลาท่าน้ำ
“โน่นค่ะ” เธอชี้มือขึ้นไปด้านบนพลางแหงนเงยจนสุดคอ
ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นไปมองบ้าง ที่นั่นมีดอกไม้สีขาวพราวเต็มต้น รูปทรงพอมองเห็นอยู่บ้าง
“สวยและหอมหวาน” ชายหนุ่มบอก สายตาไม่ได้มองที่ดอกไม้แล้ว
“ใช่ค่ะ พัดหลงรักมันมากๆ เลย”
“อืม ฉันก็คงจะหลงรักมันมากเหมือนกัน” เขาว่าพลางมองคนที่แหงนเงยขึ้นมองดอกไม้รูปทรงเรียวอย่างปลื้มใจ ไม่รู้เลยสักนิดว่ามีใครมองนิ่งด้วยแววตาล้ำลึกเพียงใด
“ฉันกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวพ่อแม่พัดจะว่าเอาได้” ชายหนุ่มเห็นสมควรแก่เวลา จึงเอ่ยบอกหญิงสาว
“อ้อค่ะ งั้นพัดเดินไปส่ง” หญิงสาวหันมามองเขาพลางยิ้มกว้างจนตาหยี
ชายหนุ่มรอให้เธอเป็นฝ่ายเดินนำหน้า แล้วจึงก้าวตามไปเงียบๆ แผ่นหลังน้อยของคนตัวเล็กช่างดึงดูดสายตาจนเขาต้องสาวเท้าเข้าไปใกล้อีกนิด
“เชิญค่ะ” เธอหันมาบอกเมื่อเดินมาถึงรั้ว
เขาเดินผ่านเธอไปเพื่อออกนอกรั้ว หญิงสาวจะก้าวตาม แต่ปรเมศวร์ห้ามไว้
“ไม่ต้องออกมาหรอก ส่งฉันแค่นี้ก็พอ เห็นเธอบอกว่าคนแถวนี้ขี้เมาท์ เดี๋ยวจะเป็นขี้ปากชาวบ้านเอาได้”ชายหนุ่มบอกพร้อมกับปิดประตูรั้วให้ แต่ศีรษะของคนตัวสูงเลยรั้วขึ้นมามากจนเธอมองเห็นหน้าเขาได้ชัดเจน
“ค่า ขอบคุณที่เป็นห่วงพัดค่ะ งั้นพรุ่งนี้พัดจะไปทำงานแต่เช้านะคะ ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าด้วยค่ะ” เธอยิ้มกว้างพลางยกมือไหว้เขา
“อืม แค่ตอบแทนด้วยอาหารบ้านพัดหลายๆ มื้อก็พอ” เขากระซิบบอก
“ได้เลยค่ะ” เธอทำมือโอเค ยิ้มสดใส
“ไปละ” ชายหนุ่มบอกลาเสียงเบา ใบหน้าแต้มรอยยิ้มไปจนถึงดวงตา
“บ๊ายบายค่ะ” ภัสสรชูมือโบกไปมาให้เขาถี่ๆ พลางเอียงหน้าอย่างน่ารักในสายตาอีกฝ่าย ทำเอาคนมองแทบไม่อยากหันหลังกลับเลยทีเดียว
ปรเมศวร์หันหลังให้อีกฝ่ายทั้งรอยยิ้มกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แม้พยายามบังคับแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจห้ามปราม เขาจึงได้แต่ยกหลังมือขึ้นมาปิดบังรอยยิ้มอย่างขัดเขินตัวเอง จนกระทั่งเดินไปเปิดประตูรถที่จอดอยู่ริมรั้ว เข้าไปนั่งในรถก็ยังไม่หยุดยิ้ม จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ความรู้สึกที่อยากอยู่ใกล้ใครบางคนจนต้องวางแผนดึงอีกฝ่ายมาไว้ใกล้ตัว
และตอนนี้เขาก็กำลังกระทำตัวเป็นหนุ่มน้อยริมีรัก จีบหญิงสาวที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่าคนรู้สึกดีด้วยเขาเทใจให้ไปตั้งมากมาย
แต่อย่างไรก็คงต้องให้เธอเตรียมตัวเตรียมใจอีกนิด
เขาไม่เร่งร้อนอยู่แล้วกับรักแรกครั้งนี้
เพราะเขาต้องการให้เธอเป็นรักแรกและรักสุดท้ายของเขาเท่านั้น
คนที่จะรักเขาด้วยหัวใจ
คนที่จะรักเขาอย่างไม่มีข้อแม้
ความคิดเห็น |
---|