3

เธอคือเงา


บทที่ ๓

เธอคือเงา

 

เช้าอันสดใส ภัสสรวิ่งลงบันไดบ้านมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะวันนี้คุณสาธิตนัดเธอเอาไว้ให้ไปสัมภาษณ์งาน แม้ไม่รู้ว่าตำแหน่งอะไร แต่นักศึกษาเพิ่งจบใหม่อย่างเธอก็ยินดี หากไม่ตรงสายงานก็จะลองดูสักตั้ง คณะศึกษาศาสตร์นั้นแม้จะมีเป้าหมายหลักคือการเป็นครู แต่ช่วงรอสอบบรรจุครู เธอก็ลองงานอื่นไปก่อน เพื่อจะมีรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัว

หญิงสาวอยู่ในชุดเชิ้ตขาวและกระโปรงทรงเอสีดำยาวเลยเข่าเล็กน้อย สวมเบลเซอร์ซึ่งเป็นเสื้อสูทแบบกระชับพอดีตัวสีเทา ดูเรียบร้อยและสุภาพ เหมาะแก่การไปสัมภาษณ์งาน

บนโต๊ะกินข้าวมีอาหารเช้าเป็นข้าวต้มปลา กลิ่นหอมฉุยทีเดียว พ่อแม่หันมายิ้มกว้างพลางรีบกวักมือเรียกลูกสาว

“มาลูก แม่ตักเตรียมไว้แล้ว กะว่าหนูลงมาก็กินได้เลย กำลังอุ่นๆ ปรุงอะไรเพิ่มไหมลูก”

ภัสสรรีบเดินมานั่งที่โต๊ะ มองอาหารตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม อาหารง่ายๆ แต่ทรงคุณค่า และฝีมือการทำอาหารของแม่ก็อร่อยไม่เป็นรองใคร

“น่ากินจังเลยค่ะแม่ หนูไม่ปรุงหรอกค่ะ แม่ทำอร่อยอยู่แล้ว เอาแค่พริกไทยมาโรยเพิ่มก็พอค่ะ” ว่าพลางก็เอื้อมหยิบขวดพริกไทยมาโรยบนข้าวต้มที่มีทั้งผักโรยและกระเทียมเจียวหอมกรุ่น ภัสสรคนเพียงเล็กน้อยแล้วตักชิม “อร่อยที่สุดในโลกเลยค่ะแม่”

“อร่อยก็กินเยอะๆ” ภัสรายิ้มหน้าบานทีเดียว

“แล้วพ่อกับแม่ไม่กินเหรอคะ” หญิงสาวเงยหน้ามาถามพ่อแม่ เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้ตักข้าวต้มกินพร้อมกัน ชามเปล่าก็ยังวางซ้อนอยู่สองใบ

“หนูกินเลยลูก พ่อกับแม่ยังไม่ค่อยหิว เมื่อกี้กินขนมครกไป เดี๋ยวค่อยกินเนอะพี่วัน” คนเป็นภรรยาหันไปยิ้มให้สามีสุดที่รัก

“จ้า พ่อรอไปส่งหนูก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมากินพร้อมแม่เขา” เขาตอบภรรยาร่างอวบพร้อมกับบอกลูกสาวไปด้วย ภัสรายังคงสวยหวานอยู่เสมอแม้จะอวบอ้วนไปตามวัย วันชัยเป็นคนรักเมีย เรียกว่าตามใจกันมาแบบเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่เริ่มจีบจนกระทั่งอยู่กินกันมามีลูกมีเต้าเลยทีเดียว

ก็เขารักของเขานี่นะ

“ค่า งั้นพัดรีบกินดีกว่า ไม่อยากเป็นก้างขวางคอหนุ่มสาว” เธอหยอกเย้าพ่อแม่ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ แกล้งเหลือบตามองบน ปากแบะ

“ลูกคนนี้นี่ ร้ายนัก” คนเป็นแม่ตีไหล่ลูกสาวเบาๆ พลางหัวเราะพุงกระเพื่อม

“พ่อจ๋า แม่ใจร้ายตีหนู” เธอหันไปฟ้องบิดา ทำเสียงเศร้า แต่ตาพราวระริกทีเดียว

“ไอ้ตัวแสบ รีบกินเลย ไม่ต้องมาแซวพ่อแม่” คนเป็นพ่อหัวเราะขำลูกสาวในความขี้เล่น

“แหะๆ อ้อ มีแซนด์วิชในตู้เย็น พ่อกับแม่อย่าลืมกินนะคะ” เธอหัวเราะพลางรีบกินข้าวต้มปลาแสนอร่อยอย่างมีความสุข

ครอบครัวที่แสนอบอุ่น เอาอะไรมาแลกเธอก็ไม่ยอมทั้งนั้น ไม่ว่าจะทุกข์สุขครอบครัวเธอก็ก้าวไปด้วยกัน พ่อแม่ของเธอเป็นคนเข้มแข็งและขยัน แถมเป็นคนตลก เลี้ยงลูกแบบเพื่อน สามารถคุยเล่นหัวกันได้ มีอะไรก็ปรึกษาและให้เกียรติกัน

เธอช่างโชคดีที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่

 

ปิ๊นๆ ปิ๊นๆ เสียงแตรรถที่บีบรัวๆ ขณะที่ภัสสรลงจากมอเตอร์ไซค์ของพ่อได้สักพัก แล้วมายืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรถประจำทาง ตอนแรกเธอไม่ได้สนใจ เมื่อคนสองสามคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเริ่มมองมาทางเธอ แล้วมองสลับไปที่รถซึ่งจอดอยู่ริมถนน หญิงสาวก็เลยหันไปสนใจบ้าง

รถเบนซ์คันใหญ่สีดำมันปลาบจอดอยู่ เธอนึกไม่ออกว่าตัวเองจะไปรู้จักใครที่ร่ำรวยขนาดนี้ เลยทำนิ่งเฉยเสีย แล้วรอรถเมล์ต่อไป การจราจรแถวนี้ไม่ได้คับคั่งนัก เวลามีรถจอดข้างทางจึงไม่เกิดการกีดขวางแต่อย่างใด คนที่อยู่ในรถอาจมารอใครก็ได้

กระทั่งเจ้าของรถเปิดประตูฝั่งคนขับลงมา แล้วร้องเรียก

“พัด ฉันเอง มาขึ้นรถเร็ว” ว่าแล้วเขาก็เข้าไปนั่งในรถต่อไม่รอให้เธอตอบรับแต่อย่างใด ส่งผลให้คนที่ยืนอยู่แถวป้ายรถเมล์มองมายังเธอเป็นสายตาเดียว บางคนก็ยิ้มๆ บางคนก็ทำหน้างง คนที่เดินมาใหม่อีกสามสี่คนชะเง้อคอมองว่าเขามีอะไรกัน ทำไมทุกคนจ้องไปที่หญิงสาวตัวเล็กสลับกับรถคันโก้

จะรออะไรล่ะคะ ก่อนคนจะมามากกว่านี้ หรือคนรู้จักออกมาเห็นแล้วกลายเป็นข่าวเอาได้

ภัสสรรีบเดินก้มหน้างุดๆ เปิดประตูรถคันโตหรูหราขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็วในขณะที่คนขับเคลื่อนรถออกทันทีด้วยรอยยิ้มมุมปาก วันนี้ชายหนุ่มสวมเชิ้ตขาวพร้อมกับผูกไทสีดำ กางเกงสแล็กสีเทา ดูเนี้ยบตั้งแต่...อ่า ใบหน้าและผมนี่คงไม่ต้องพูดถึง เพราะหล่อราวกับนายแบบอยู่แล้ว

“เอ่อ สวัสดีค่ะคุณป้อ...มาได้ยังไงคะ ตกใจหมด” ภัสสรยกมือไหว้ หลังจากมองเขาเพียงครู่และหันรีหันขวางดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดเรียบร้อย จึงเอ่ยถามแก้เก้อ ใบหน้ายังแดงระเรื่อด้วยความเขินอายที่ตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้าน ดีที่ไม่มีคนรู้จักหัวใจที่เต้นตุบตับๆอยู่นี่ก็คงเพราะตื่นเต้นและตื่นตกใจที่จู่ๆก็มาเจอเขาอย่างไม่คาดฝันแบบนี้

“พอดีผ่านมาแถวนี้น่ะ เลยชะลอรถดูว่าอาจจะเจอพัด บังเอิญมากที่ก็เจอจริงๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลย” เขาพูดยิ้มๆ ตามองถนนไปด้วย

“แล้วคุณป้อจะไปไหนเหรอคะ ถ้ายังไงให้พัดลงตรงหน้าทางเข้าโรงแรมที่เราเจอกันเมื่อวานก็ได้ค่ะ” เธอรู้สึกเกรงใจเขาค่อนข้างมาก ดูจากการแต่งตัวแล้วคงจะไปทำงานแน่ๆ

“ไม่เป็นไร พอดีฉันมีธุระที่โรงแรมนั้นพอดี มีนัดช่วงเช้า มาคุยงานน่ะ” เขาหันมาบอกเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“เอ๋ บังเอิญจัง พัดโชคดีมากเลยค่ะที่เจอคุณป้อ ไม่งั้นคงได้รอรถนานแน่ๆ” พูดแล้วก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “แต่พัดเผื่อเวลาไว้แล้วเหมือนกัน ได้ไปกับคุณป้อแบบนี้คงถึงเร็วกว่าที่กะเวลาไว้ เดี๋ยวพัดไปนั่งรอสัมภาษณ์งานแถวสวนด้านข้างโรงแรมดีกว่า ท่าทางจะเหลือเวลาเกือบชั่วโมงเลย”

“แล้วพัดกินอะไรมารึยัง” เขาเหมือนถามตามมารยาท แต่คนฟังก็รู้สึกดีไม่น้อย

“เรียบร้อยแล้วค่ะ วันนี้แม่ทำข้าวต้มปลาให้กิน ไปเดินเล่นแถวสวนหย่อมย่อยอาหารก็ดีเหมือนกันนะคะ” เธอเงยหน้าหันไปยิ้มให้เขา มือข้างหนึ่งก็ลูบท้องไปด้วย

คนที่หันหน้ามามองถึงกับยิ้มขำที่หญิงสาวช่างไม่รักษาภาพลักษณ์เอาเสียเลย

“ว้า นึกว่ายังไม่ได้กินอะไรมาซะอีก กะจะชวนไปกินข้าวเป็นเพื่อนซะหน่อย ฉันเพิ่งกลับจากอเมริกามาอยู่ไทยไม่นาน เลยไม่ค่อยรู้จักใคร กินข้าวคนเดียวมาหลายวันแล้ว เฮ้อ” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างหดหู่ส่งผลให้คนที่มองเขาอยู่รู้สึกเห็นใจขึ้นมา เพราะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ดี

“เอ่อ ไหนคุณบอกว่ามาคุยงานไงคะ เดี๋ยวก็ต้องเจอกับคนที่มาคุยงานด้วย คุณป้อไม่ชวนเขากินข้าวล่ะคะ เขาก็คงหิวเหมือนกัน” ภัสสรแม้จะเห็นใจอีกฝ่าย แต่ก็หาทางออกให้เขาเสร็จสรรพ

“อ่า คนที่มาคุยงานกันยังไม่คุ้นเคยเท่าไหร่น่ะ ฉันอยากกินข้าวกับเพื่อนแล้วคุยเรื่อยเปื่อยมากกว่าที่จะคุยงานกัน เวลาคุยงานมันไม่มีอารมณ์มานั่งกินอะไรหรอก แต่ถ้าพัดไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันแวะกินคนเดียวก่อนไปคุยงานก็ได้”

ในขณะที่เธอยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ รถก็มาถึงทางเข้าโรงแรม พร้อมกับที่เขาเอ่ยขึ้นมา

“ถึงแล้ว ฉันเลี้ยวเข้าไปจอดที่ลานจอดรถด้านหลังเลยนะ แล้วเราค่อยเดินมาพร้อมกัน” เขาบอกขณะจอดรถอยู่ตรงที่กั้นรถตรงป้อมยาม และยามก็กดที่กั้นขึ้นปล่อยให้รถผ่านเข้าไปโดยไม่ต้องแลกบัตรหรืออะไร

สงสัยเขาจะเป็นแขกวีไอพี เธอมองหาสัญลักษณ์หรือโลโก้อะไรก็ตามที่ติดอยู่ตรงกระจกด้านหน้าฝั่งที่เธอนั่ง ก็ไม่เห็นสติ๊กเกอร์อะไรนอกจากพวก พรบ.หรือ ประกันรถยนต์ แต่ความสงสัยก็ไม่ได้อยู่ในหัวของเธอนานนัก เมื่อรถของเขาวนขับขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่แน่ใจว่าชั้นไหนแล้ว พอจะมองหาเลขชั้น รถก็มาจอดอยู่ตรงที่จอดวีไอพี และอยู่ใกล้ทางเข้า ซึ่งเป็นกระจกใสเต็มบาน มี รปภ.ยืนเฝ้าอยู่

เขาเปิดล็อกประตูอัตโนมัติแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยออก ในขณะที่เธอเงอะๆ เงิ่นๆ เขาก็หันมาปลดล็อกเข็มขัดให้แล้วผ่อนสายอย่างเบามือด้วยการเอี้ยวมาเก็บสายให้ ความใกล้ชิดนี้ทำให้เธอได้กลิ่นหอมอ่อนๆ สะอาดๆ มาจากตัวเขา ใจเลยเต้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

“เอ่อ ขอบคุณค่ะ” ภัสสรก้มหน้าซ่อนความขัดเขิน เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขา แต่ความใกล้ชิดแบบเป็นธรรมชาติของผู้ชายคนนี้กลับทำให้เธอใจเต้นแปลกๆ นี่คงเป็นเสน่ห์ของชายหนุ่มหน้าตาดีที่ผู้หญิงทุกคนก็อาจจะรู้สึกแบบนี้ได้หากว่าเจอสถานการณ์อย่างเธอ

“ลงจากรถเข้าไปกินข้าวด้วยกันนะ พัดไม่ต้องกินก็ได้ แค่กินอะไรเล็กน้อยเป็นเพื่อนฉันก็พอ” เสียงที่ร้องขอออกมา รวมทั้งแววตาเหงาๆ นั่นด้วย ใครจะกล้าปฏิเสธคนที่มีน้ำใจกับเธอได้ล่ะ เฮ้อ...

“ก็ได้ค่ะ” เธอตอบรับเขาไปในที่สุด

ชายหนุ่มยิ้มมุมปากนิดๆ แววตาวิบวับขึ้นมาทันที แล้วรีบลงจากรถมาเดินข้างเธอ พาเดินผ่านประตูทางเข้าเพื่อลงลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของร้านอาหารที่มีให้เลือกทั้งจีน ไทย ฝรั่ง หรือแขก

ดูเหมือนคุณปรเมศวร์จะเป็นแขกวีไอพีที่คนในโรงแรมแห่งนี้รู้จักดีมากๆ เพราะไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน พนักงานโรงแรมต่างค้อมตัวทักทายอย่างนอบน้อม บางคนก็รีบหลบไปยืนเสียไกลราวกับกลัวเขาก็มี

ท่าทางเขาจะเป็นผู้มีอิทธิพลเหมือนกันนะเนี่ย แต่คงไม่ใช่เจ้าพ่อมาเฟียอะไรหรอกมั้ง เพราะเขาใจดีแล้วก็สุภาพมากๆ แถมไม่ใช่ผู้ชายหื่นกามด้วย

ขณะเดินซอยเท้าถี่ๆ มาพร้อมกับเขาที่ก้าวยาวจนเธอเมื่อย จู่ๆ เขาก็หยุดแล้วหันมาหาเธอ พลางเอ่ยขึ้น

“ขอโทษที่เดินเร็วไปหน่อย ไม่ค่อยได้เดินกับคนตัวเล็กๆ เท่าไหร่” ขณะที่พูดเขาก็ก้มหน้ามาคุยกับเธอ ด้วยความที่ชายหนุ่มน่าจะสูงร้อยแปดสิบกว่า ขณะที่เธอส่วนสูงไม่ถึงร้อยหกสิบ แม้ใส่ส้นสูงแล้วก็ยังสูงแค่ไหล่ของเขาเท่านั้น

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้อคงเดินกับฝรั่งตัวสูงจนชิน มาเดินกับพัดเลยรู้สึกแปลกๆ” เธอว่าเก้อๆ ดีเท่าไรแล้วที่เขายังพูดว่าคนตัวเล็ก ไม่พูดว่าตัวเตี้ยให้เธออับอายปมด้อย

“อีกหน่อยก็คงชิน” ปรเมศวร์บอกเธอยิ้มๆ แล้วแตะศอกเธอเดินไปด้วยกัน คราวนี้เขาเดินช้าลงและเธอไม่ต้องสาวเท้าก้าวเร็วๆ อีก เลยเดินไปด้วยกันแบบสบายๆ มากขึ้น โดยคนตัวเล็กไม่ได้สะกิดใจคำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งความนัยบางอย่างเอาไว้เลยสักนิด

ภัสสรรับรู้เพียงว่า ชายหนุ่มคนนี้นอกจากมีเสน่ห์เหลือเฟือ ยังเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย เขาเป็นคนดีที่น่าคบหาคนหนึ่งเลยทีเดียว

ปรเมศวร์พาเธอเดินเข้าไปยังโซนร้านอาหารฝรั่งและนั่งที่โต๊ะด้านใน ติดกับกระจกบานยาวที่สามารถมองออกไปชมวิวของสวนได้ จากนั้นจึงสั่งอาหาร โดยถามเธอว่าอยากกินอะไร เธอจึงบอกว่าน้ำส้มไปตามระเบียบ น้ำนางเอกแบบไทยนิยม

“ขออเมริกันเบรกฟาสต์หนึ่งที่ อืม...” ชายหนุ่มพลิกเมนูไปมา “แพนเค้กราดน้ำผึ้ง แล้วก็น้ำส้มสำหรับคุณผู้หญิงด้วย”

“ครับ ท่านจะรับกาแฟด้วยไหมครับ”พนักงานเสิร์ฟจดเมนูแล้วถามอย่างสุภาพ

“ขอเป็นน้ำส้มเพิ่มอีกแก้วดีกว่า” สั่งแล้วก็ยิ้มให้ภัสสร เธอได้แต่ยิ้มรับเก้อๆ

“ครับ” พนักงานค้อมตัวแล้วเดินจากไป แต่เธอก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายแอบมองหน้าเธอขณะหันตัวเดินออกไป แถมยังได้สบตากับเธอด้วยแวบหนึ่ง ในแววตาของชายหนุ่มผู้รับออร์เดอร์ดูสงสัยและมีคำถามระคนอยากรู้อยากเห็นไม่น้อย

“ที่นี่บรรยากาศดีนะคะ” เธอชวนเขาคุยขณะกวาดตามองไปรอบห้องอาหารหรูหรา “พัดไม่เคยมานั่งกินอะไรแบบนี้หรอกค่ะ ส่วนใหญ่ถ้าเข้าร้านอาหารก็จะนัดกับเพื่อนไปที่ห้าง แต่ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่”

“ที่นี่อาหารอร่อยด้วยนะ ไม่ใช่แค่บรรยากาศดีอย่างเดียว” เขาเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องการเคยหรือไม่เคยมานั่งกินร้านอาหารหรูหราแบบนี้ เพราะรู้ถึงสถานะของหญิงสาวดี

“คุณป้อมาใช้บริการที่นี่บ่อยเหรอคะ”

“ครับ ก็มาบ่อย เพราะต้องมาคุยงาน ที่นี่สะดวกดี” เขาไม่ได้โกหกสักหน่อย ก็เขามาประชุมก็ต้องคุยงาน แล้วก็มาดูแลงานจริงๆ นี่นา

“หากพัดได้ทำงานที่นี่ ก็อาจจะได้เจอคุณป้อบ้างนะคะ” เธอยิ้มให้เขา

“ก็ดีสิ ฉันจะได้มีเพื่อนกินข้าว”

“งั้นคุณป้อมีอะไรแนะนำพัดเกี่ยวกับการสัมภาษณ์มั้ยคะ ท่าทางคุณจะมีประสบการณ์การทำงานเยอะเลย”ภัสสรเอ่ยขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น

“ได้สิ เดี๋ยวเรากินอาหารไปคุยกันไปก็ได้”

“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ พัดโชคดีจังที่ได้เจอคุณป้อ” คนพูดไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าทำให้คนตัวโตยิ้มกริ่มทีเดียว เพราะเขาเองก็รู้สึกโชคดีที่ได้เจอเธอ

ไม่นานอาหารเช้าหอมกรุ่นก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ เขาสั่งแพนเค้กราดน้ำผึ้งมาให้เธอนั่นเอง แถมยังตัดไส้กรอก แฮม โน่นนี่มาให้เธอชิมอย่างเป็นกันเองอีกด้วย

สายกินแบบเธอก็ไม่ขัดศรัทธาสักนิด เพราะอาหารอร่อยอย่างที่เธอไม่เคยได้กินอาหารที่ไหนอร่อยเท่านี้มาก่อนจริงๆ แพนเค้กก็นุ่มละมุนลิ้นจนเธอเผลอกินหมดจาน เขาแบ่งไปชิมเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น ที่เหลือสองชิ้นลงท้องเธอเกลี้ยง

เป็นมื้ออาหารที่อร่อยและเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก เมื่อกินกับคนที่คุยถูกคอ แถมเขายังแนะนำเรื่องการให้สัมภาษณ์งานที่มีประโยชน์มาตั้งมากมาย

หลังจากนั้นเขาก็ฝากเธอเดินไปกับพนักงานคนหนึ่ง ให้พาเธอไปที่ห้องของคุณสาธิตเมื่อถึงเวลานัด ส่วนเขาขอตัวไปคุยงานตามที่นัดไว้เช่นกัน

“แล้วเจอกันครับพัด” ก่อนแยกกันเขายังบอกเธอยิ้มๆ อีกด้วย

วันนี้คงไม่เจอกันแล้วมั้ง เพราะหลังจากสัมภาษณ์ เธอก็จะกลับบ้านเลย หรือหากคุณสาธิตรับเธอเข้าทำงาน เธอก็อาจจะต้องอยู่ดูงานที่นี่จนเลิกงานตอนเย็นเลยละ เขาก็คงคุยงานเสร็จแล้วและกลับบ้านก่อนเธอ

นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ที่เธอจะได้เจอคนใจดีอย่างเขา ถึงจะได้ทำงานที่นี่ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าในตำแหน่งอะไร อาจจะนั่งทำเอกสารอยู่ในสำนักงานทั้งวันก็ได้

คิดแล้วเธอก็ยิ้มออกมา

 

“เลขาฯ รองประธานบริษัทเหรอคะ!”

ภัสสรแปลกใจกับตำแหน่งที่สาธิตบอกมา เมื่อเธอนั่งคุยสัมภาษณ์งานจนเสร็จสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องทัศนคติ ครอบครัว และภาษาอังกฤษซึ่งเธอพูดคุยได้ในระดับที่ดี แทบจะไม่ได้คุยถึงเรื่องการเรียนและงานเลยด้วยซ้ำ

“หนูพัดสนใจไหม ตอนนี้มีตำแหน่งนี้ว่างอยู่ ไม่ต้องห่วงว่าจะทำไม่ได้นะ เพราะปกติทางโรงแรมก็มีเลขานุการส่วนอยู่แล้ว หนูพัดเรียนรู้งานไม่นานก็น่าจะทำได้ เพราะงานในส่วนของหนูคือทำตามที่ท่านรองประธานสั่งเท่านั้น”

“อืม...” เธอชั่งใจอยู่เพียงครู่ แล้วเอ่ยขึ้นมา “ถ้าคุณสาธิตว่าอย่างนั้น พัดจะลองทำดูก็ได้ค่ะ”

“ดีมาก คนสู้งานยังไงก็ต้องทำได้”สาธิตให้กำลังใจ

“แล้ววันนี้พัดต้องทำอะไรบ้างคะ”

“วันนี้หนูพัดไปที่ฝ่ายบุคคลจัดการกับเอกสารก่อน แล้วเขาก็จะได้พาไปรู้จักแผนกต่างๆ รวมทั้งสถานที่ภายในโรงแรมนี้ พรุ่งนี้ค่อยไปพบกับท่านรองประธานเพื่อเริ่มงานกัน”

“เอ่อ ค่ะ ขอบคุณคุณสาธิตมากนะคะที่เมตตาพัด” ภัสสรนึกจินตนาการว่าท่านรองประธานน่าจะอายุพอๆ กับคุณสาธิต แต่ไม่รู้จะใจดีเหมือนคนตรงหน้านี้หรือเปล่า

“โอ๊ย ไม่ต้องขอบคุณหรอก พอดีท่านรองประธานต้องการเลขาฯด่วนน่ะ เห็นว่างานยุ่งมาก”สาธิตบอกเธอด้วยสีหน้ายิ้มๆ

“แล้วมีคนมาสมัครเยอะมั้ยคะ” เธอชักเริ่มงงๆ เพราะสาขาที่เรียนมาก็ไม่ค่อยตรงกับงานนัก ทำไมเขารับง่ายจัง

“พอดีว่าท่านรองประธานเพิ่งส่งเรื่องมาตอนที่หนูมาสมัครงานพอดี ท่านก็เร่งมา ฉันเห็นว่าหน่วยก้านหนูพัดคล่องแคล่วดีก็เลยลองดู แต่ยังไงก็ต้องผ่านโปรสามเดือนให้ได้ล่ะ”เขาหมายถึงโปรเบชัน ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาการทดสอบงานสามเดือน จากนั้นจึงจะบรรจุผู้ผ่านงานเป็นพนักงานของบริษัท

“ค่ะ พัดจะพยายามให้เต็มที่เลย” เธอบอกเขา จากนั้นจึงยกมือไหว้ขอบคุณแล้วเดินตามพนักงานสาวคนหนึ่งที่สาธิตโทร.เรียกมาพาเธอไปที่ฝ่ายบุคคล

หลังพูดคุยกับหัวหน้าฝ่ายบุคคคลซึ่งเป็นชายสูงวัยในห้องส่วนตัวแล้ว เธอก็ออกมานั่งกรอกเอกสารพวกสัญญาจ้างงาน ประวัติส่วนตัวกับพนักงานสาวคนหนึ่ง เนื่องจากเธอเตรียมเอกสารทุกอย่างพร้อมเลยเสร็จเรียบร้อยในเวลาไม่นานนัก จากนั้นก็เดินตามหญิงวัยกลางคนที่ชื่อปานจิต หนึ่งในแผนกบุคคล ไปทำความรู้จักกับสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนงานของออฟฟิศ โดยตัวตึกห้าชั้นทรงโมเดิร์นนี้แยกออกต่างหากจากตัวโรงแรม ใช้ทางเดินด้านหลังเชื่อมเข้าหาตัวตึกและลานจอดรถ ซึ่งร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และสวนสวย

กระทั่งขึ้นลิฟต์พาเธอมาฝากไว้กับเลขานุการส่วน สาวสวยหุ่นดีชื่อเพียงเพียร เธอทำงานอยู่ในตัวตึกของโรงแรมซึ่งอยู่ชั้นแปด และชั้นนี้เป็นออฟฟิศของผู้บริหาร เพื่อให้อีกฝ่ายแนะนำเรื่องงานว่าต้องใช้อะไรบ้าง และทุกอย่างเพียงเพียรก็เบิกมาให้เรียบร้อย ถึงเวลาพักเที่ยงอีกฝ่ายพาเธอไปยังแผนกร้านอาหารของพนักงานที่ราคาไม่แพงนัก จนกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังเรียนรู้งานอยู่กับเลขานุการส่วน

บ่ายสามแล้ว เธอกำลังพิมพ์เอกสารให้เพียงเพียร เป็นวาระการประชุมของผู้บริหารเกี่ยวกับการพัฒนาโรงแรมสาขาต่างจังหวัดและการขยายสาขาให้มากขึ้น จากตัวเลขรายได้ที่เธอพิมพ์อยู่นี้ อยู่ระดับหลักพันล้าน และเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ช่วงไตรมาสแรกของปีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ในหลักร้อยล้านทีเดียว นี่กระมังจึงเป็นที่มาของการขยายสาขา

คนรวยนี่ก็รวยจริงๆ ไม่อยากจะเทียบรายได้ของเธอเลย รวมกันทั้งครอบครัวหนึ่งปี ยังไม่เท่าส่วนเสี้ยวรายได้ต่อวันของโรงแรมเลย คนทำธุรกิจนี่เก่งชะมัด

ภัสสรอดไม่ได้ที่จะทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างลืมตัวกับตัวเลขที่พยายามดูหลักให้ดีๆ เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ส่งผลให้เพียงเพียรหันมายิ้มขำ

“เป็นยังไง ไหนเหลามา เห็นตัวเลขแล้วมือไม้สั่นละสิ” สาวสวยอายุมากกว่าอีกฝ่ายห้าปีเอ่ยแซวอย่างเป็นกันเองด้วยภาษาวัยรุ่นที่มักเพี้ยนคำจากปกติ เพราะต่างเป็นคนอัธยาศัยดีทั้งคู่ จึงสนิทกันอย่างรวดเร็ว

“พี่เพียรขา น้องตาลาย เมาตัวเลข เล่าไม่ถูกเลยค่ะ แหะๆ รายได้ของโรงแรมทั้งหมดที่มันเข้ามาเฉลี่ยต่อวันนี่เยอะมากเลยนะคะ”

“หากอยากมีความสุขก็อย่าได้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบเชียวล่ะ แม้แต่ขี้เล็บก็ไม่ได้เท่าเขา เพราะงั้นจงดูเพื่อประดับความรู้และพัฒนางานตัวเองเท่านั้น โอเค้” เพียงเพียรขยิบตาอย่างขี้เล่นให้ภัสสร

“ค่า แต่ขอทำใจแป๊บนะคะ แหะๆ”

“ให้เวลาวันเดียวพอ ไม่งั้นตาจะอักเสบพองเท่าไข่ห่าน” อีกฝ่ายยังคงยิงมุกมาอย่างขำๆ

“พี่เพียรอะ พัดจะตั้งใจทำงาน มีอะไรก็สอนน้อง ตักเตือนกันได้เลยนะคะ” ภัสสรหันไปบอกอีกฝ่ายที่ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

“จ้า งานนี้ไม่มีปรานี เพราะพลาดเมื่อไหร่ พี่เพียรก็โดนด้วยจ้ะ เดี๋ยวพัดทำเสร็จแล้ว พี่ตรวจทานอีกที แล้วพรุ่งนี้พี่จะพาไปพบเจ้านายสายตรงของพัด” เพียงเพียรหมายถึงรองประธานรูปหล่อที่หน้าดุอยู่เป็นนิตย์ “ตอนนี้นั่งกับพี่ไปก่อน เดี๋ยวฝ่ายบุคคลจะจัดที่นั่งและโต๊ะทำงานมาให้ ไม่แน่ใจว่าวันไหน ถือว่าเรียนรู้งานกับพี่ไปในตัว”

“ไม่เป็นไรค่ะ พัดโอเค สำหรับเด็กจบใหม่แบบพัด มีงานให้ทำก็ถือว่าดีมากแล้วค่ะ”

“เอ่อ ปกติผู้บริหารก็เรียกใช้งานจากเลขาฯส่วนหรือเสมียนได้ตลอด แต่จู่ๆ ท่านรองประธานต้องการเลขาฯส่วนตัว เลยฉุกละหุกในการจัดที่ทางนิดนึง”

“พี่เพียรไม่ต้องกังวลเลยค่ะ พัดดีใจด้วยซ้ำที่ได้มาเรียนรู้งานกับพี่เพียรใกล้ชิดแบบนี้ กลัวแต่พี่จะอึดอัดมากกว่า” โต๊ะทำงานของเพียงเพียรเป็นแบบรูปตัวแอลและค่อนข้างกว้าง ด้านหลังยังมีเสมียนอีกสองคนอยู่ร่วมโซนหน้าห้องผู้บริหาร ภัสสรสามารถนั่งคู่กับเพียงเพียรด้วยเก้าอี้รับแขกได้สบายๆ เลย เพราะต่างเป็นคนตัวเล็กบอบบางทั้งคู่

“โอเค งั้นเรามาทำงานร่วมกันนะ” สาวรุ่นพี่ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เด็กสาวที่ไม่เรื่องมากแบบนี้ เธอก็พร้อมจะสอนงานให้อย่างหมดเปลือกเลยละ

จากนั้นสองสาวก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาทำงานที่ตนเองรับผิดชอบต่อ มีบางครั้งที่เพียงเพียรถูกเรียกเข้าไปพบผู้บริหารบางคนเพื่อคุยงาน ส่วนเจ้านายของเธอนั้น เพียงเพียรบอกว่าวันนี้ไม่เข้าออฟฟิศ

กระทั่งใกล้ห้าโมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน เลขานุการส่วนจึงบอกให้เธอเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับ

“เอาละ วันแรกได้เท่านี้ถือว่าดีมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ กลับบ้านกันดีกว่า” เพียงเพียรหมายถึงเอกสารที่เธอให้ภัสสรทำ ซึ่งมีแก้อยู่หลายจุด แต่ก็ปรับจนผ่าน

“ขอบคุณพี่เพียรมากนะคะ”

“แล้วนี่กลับยังไง พี่ขับรถมา ไปกับพี่มั้ย”

“ไม่เป็นไรค่ะ บ้านพัดอยู่แถวๆ นี้ค่ะ พัดว่าจะแวะซื้อของกลับบ้านด้วย ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ”

“งั้นพี่กลับก่อนนะ พัดปิดคอมพ์แล้วลงลิฟต์ไปได้เลย พรุ่งนี้เจอกัน” ว่าแล้วเพียงเพียรก็สะพายกระเป๋า หันไปโบกมือลาให้เสมียนอีกสองคน จากนั้นก็เดินออกไปทันที

ภัสสรรีบปิดคอมพ์ ตรวจดูปลั๊ก แล้วเก็บของบ้าง รอจนพี่ๆ อีกสองคนกลับ เธอจึงกลับด้วย โดยลงลิฟต์มาพร้อมกับพี่ๆ เพราะยังไม่ชินทางภายในตึก

หญิงสาวไม่ได้สังเกตว่าผู้บริหารคนไหนกลับกันไปบ้างแล้ว เพราะมัวแต่ตั้งใจพิมพ์งานแก้งานทั้งวัน พอแยกย้ายกัน เธอจึงกะว่าจะเดินไปทางออฟฟิศเพื่อทักทายพี่ๆ พนักงานคนอื่น แต่กลับถูกเสียงคุ้นเคยรั้งเอาไว้

ไม่จริงมั้ง เขาน่าจะกลับไปแล้ว ทำไมถึงคุยงานทั้งวันเลย

“พัด กลับบ้านกัน”

ไม่ทันไร ปรเมศวร์ก็เดินมาถึงตัวด้วยก้าวยาวๆ เพียงไม่กี่ก้าว

“คุณป้อ! เพิ่งเสร็จธุระเหรอคะ” เธอถามออกไปอย่างที่ใจคิด

“อ่า ใช่ วันนี้มีนัดคุยงานรอบบ่ายด้วย แล้วลากยาวมาจนเย็นเลย นี่ก็เพิ่งเสร็จ กะจะมาขึ้นรถ เผอิญเจอพัดพอดี”

“ทำไมเผอิญบ่อยจังเลยคะ” ภัสสรเริ่มสงสัยในพฤติกรรมของชายหนุ่มตรงหน้าพลางทำหน้าไม่ไว้ใจ

“อ้าว มาสงสัยกันแบบนี้ได้ยังไง อุตส่าห์ดีใจที่เจอเพื่อน จะได้มีคนนั่งรถกลับบ้านด้วย” เขาทำหน้าเซ็งๆ แต่ตากลับระยิบระยับแบบที่ใครก็รู้ว่าแกล้งทำ

“พัดขอโทษค่ะ คือพัดแค่สงสัยเฉยๆ” แม้จะรู้ว่าเขาแกล้งประชด แต่ก็คิดว่าตัวเองพูดไม่ดีกับเขาไป มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ก็ได้ เขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเธอเลยนี่นา แถมยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสัมภาษณ์งานกับเธอด้วย

แล้วคนแบบคุณปรเมศวร์ก็คงไม่มาคิดอะไรกับเธอหรอก

แต่...ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ควรไว้ใจใครอยู่ดีเป็นผู้หญิงก็ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน เพราะเธอเพิ่งรู้จักกับเขาไม่นาน

“งั้นเรากลับบ้านกัน” เขาชวนเธอดื้อๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติของคนที่รู้จักกันมานาน

“เอ่อ พัดกลับเองได้ค่ะ”

“เธอกลัวฉันจะทำมิดีมิร้ายรึเปล่าฮึ”เขาถามพร้อมกับจ้องตาเธอด้วยแววประหลาดที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ เหมือนกับถูกสะกดเอาไว้จนไม่อาจหลบเลี่ยงสายตา

“เอ่อ ปะ...เปล่าค่ะ พอดีพัดว่าจะแวะซื้อของก่อนกลับบ้าน เลย...”

“ปฏิเสธฉัน?” เขาเอียงหน้ามามองตาเธอ “โอเค งั้นฉันไม่รบกวนก็ได้” ว่าจบก็หันหลังเดินไปทันที ทว่า...

“คุณป้อ” แล้วเธอก็ใจอ่อนจนได้“พัดขอไปลงตรงหน้าห้างก่อนถึงซอยบ้านพัดได้มั้ยคะ”

“งั้นก็ตามมาเลย” เขาชูมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณให้เธอตามมาโดยไม่หันกลับ แต่ก็รอจนเธอเดินไปถึงตัวจึงเดินไปขึ้นรถพร้อมกันด้วยรอยยิ้มนิดๆ

ทำไมเธอต้องแคร์ความรู้สึกของผู้ชายคนนี้ด้วยนะ ภัสสรไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

 

ทั้งที่ตั้งใจว่าจะลงหน้าห้างสรรพสินค้าแล้วไปซื้อของ แต่คนขี้น้อยใจกลับขอมาเดินด้วย โดยให้เหตุผลว่า

“ตั้งแต่ฉันกลับมาจากอเมริกาก็ทำแต่งาน ไม่ได้มาเดินชอปปิงเลย ไม่รู้ว่าห้างในเมืองไทยทันสมัยขนาดไหนแล้ว”

“ห้างสรรพสินค้าก็เหมือนกันหมดละค่ะ อยู่ที่ทาร์เก็ตของห้างนั้นว่าต้องการลูกค้าระดับไหน อย่างห้างนี้ก็อยู่ระดับกลางๆ ราคาก็กลางๆไปจนกระทั่งแพงเวอร์ แต่ก็จะมีห้างแบบที่ต้องการลูกค้าระดับล่างที่สินค้าราคาไม่แพงนัก เน้นของกินของใช้ราคาประหยัด แล้วก็มีห้างหรือที่เขาเรียกกันเก๋ๆ ว่าศูนย์การค้า ก็จะมีแต่ของแพงจนคนระดับล่างไม่กล้าเข้า เพราะมันจะเกิดความแตกต่างของคนที่ไปเดินด้วยค่ะ”

“อื้ม ก็คล้ายๆ เดิมละ แต่ดูจะทันสมัยขึ้น”

“ค่ะ แต่ห้างนี้ดีนะคะ คนมาเดินนี่มีหลายระดับ เพราะเป็นแบบกลางๆ ที่สำคัญมีของเซลส์บ่อยมาก”ภัสสรบอกขณะเดินลงบันไดเลื่อนมาด้วยกัน เพื่อไปยังชั้นหนึ่งที่มีอาหารสดขาย ห้างนี้คนค่อนข้างเยอะ ที่จอดรถชั้นหนึ่งถึงสามจึงเต็มหมด ปรเมศวร์ต้องวนรถขึ้นไปจอดที่ชั้นสี่ แล้วลงบันไดเลื่อนเพื่อเขาจะได้ดูร้านรวงในห้างด้วย

ก่อนลงจากรถ ปรเมศวร์ถอดสูทและเนกไทออก ตอนนี้เขาจึงอยู่ในรูปลักษณ์ที่ดูสบายๆ ด้วยเชิ้ตขาวปลดกระดุมสองเม็ด และพับแขนเสื้อขึ้นไปถึงข้อศอก คนที่เดินสวนถึงกับมองเหลียวหลังอยู่หลายคนทีเดียว โดยเฉพาะสาวๆ ที่บางคนถึงกับเกิดอาการมองแล้วหน้าแดงเมื่อเขาหันไปสบตา

“อะแฮ่ม” เธอแกล้งกระแอมใส่เขาอย่างขำๆพลางแหงนเงยไปสบตาคนตัวสูงที่ทำหน้านิ่งๆไม่รู้ไม่ชี้กับการถูกสาวๆ มองด้วยความสนใจ

คนที่รู้ตัวเองว่าหล่อและมีเสน่ห์อย่างปรเมศวร์คงชินชากับการได้รับความสนใจแบบนี้สินะ

“โอ๊ะ นั่นร้านอาหารที่ฉันอยากกินนี่ พอดีเลย กินเป็นเพื่อนหน่อยนะ ฉันเลี้ยงเอง” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา พลางจับข้อมือพาเธอเดินไปที่หน้าร้านอาหารเกาหลีแบบปิ้งย่าง ท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆ ที่เผลอตัวจนถือวิสาสะถึงเนื้อถึงตัวกับเธอ

เขาอยู่เมืองนอกนาน คงไม่ทันได้คิดอะไร ภัสสรคาดเดาไปแบบนั้น

“กินด้วยกันนะ” แววตาวิบวับที่หันมาถามเธอนั้น ใครจะปฏิเสธลง เฮ้อ...

“ค่ะ”

“สองที่ครับ” เขาบอกพนักงานหน้าร้าน จากนั้นจึงพากันเดินตามพนักไปนั่ง โดยที่เขายังจับข้อมือเธอไม่ปล่อย อยากจะบิดข้อมือออก ก็กลัวจะเสียมารยาท รออีกนิดเขาคงปล่อยเอง

แล้วก็จริงตามคาด เมื่อเขาปล่อยข้อมือเธอตอนที่จะนั่งเก้าอี้ซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน ทุกท่าทีดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกคุกคามแต่อย่างใด

“อีกสักครู่ดิฉันจะมารับออร์เดอร์นะคะ” พนักงานสาวบอกด้วยเสียงนอบน้อม พร้อมกับวางเมนูอาหารมาตรงหน้าของพวกเธอ

“คุณเคยมากินร้านแบบนี้แล้วใช่ไหมคะ เอ่อ ฉันยังไม่เคยเลย เราต้องเลือกแบบบุฟเฟต์หรือแบบสั่งธรรมดาที่เขาเรียกว่าอะไรไม่รู้ค่ะ”ภัสสรยกเมนูมาบังใบหน้าจากคนอื่น พลางเอียงเมนูมากระซิบบอกเขา

“A La Carte”เขาบอกพลางพลิกดูเมนูอาหาร

“ใช่ๆ อาลาคาร์ต” เธอเออออไปตามเขา

“พัดอยากกินแบบบุฟเฟต์รึเปล่า” เขาไม่ได้กระซิบตามเธอ เพียงแต่มองมาด้วยสีหน้ายิ้มๆ ที่คนตรงข้ามทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยอยากกินนัก

“แบบไหนก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณป้อเลย” เธอบอกเขา สีหน้าขัดเขินอยู่บ้าง

“พัดรีบกลับบ้านรึเปล่า ถ้าไม่รีบ ฉันจะได้สั่งแบบอาลาคาร์ต เพราะจะได้อาหารหลากหลายกว่า แล้วก็ไม่ต้องสนใจเรื่องเวลาด้วย”

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ เพราะพัดไปกินหมูกระทะกับเพื่อนทีไร เกิดความละโมบ กินจนจุกท้องทุกทีเลย แหะๆ”

“สวัสดีค่ะ ลูกค้าจะรับแบบบุฟเฟต์หรืออาลาคาร์ตดีคะ” พนักงานเข้ามารอรับออร์เดอร์พอดี ปรเมศวร์จึงเป็นฝ่ายสั่งอาหารมา พร้อมกับที่พนักงานอีกคนมาทำเตาปิ้งย่างให้

ในขณะภัสสรโทรศัพท์บอกบิดาว่าวันนี้เธอมากินข้าวกับเพื่อน เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องรอ

ไม่นานอาหารก็มาเต็มโต๊ะ ซึ่งเป็นอาหารที่เธออยากลองกินมานานแล้ว แต่อย่างว่า แม้จะเก็บเงินหยอดกระปุกและพอที่จะมากินกับเพื่อนๆได้ แต่ก็เกิดเสียดายเงินขึ้นมา เพราะมันแพงมากสำหรับนักศึกษาที่ไม่มีรายได้ และมีเงินจำกัดในการไปเรียนหนังสือ

“โอ้โฮ คุณป้อสั่งมาเยอะจังเลยค่ะ เราจะกินหมดเหรอคะ” ภัสสรกวาดตามองอาหารสดหลากหลายชนิดที่หมักซอสเกาหลีและงาขาวเสิร์ฟมาในถาดใบใหญ่ เครื่องเคียงอย่างกิมจิ ซอสจิ้มสามชนิด ผักสดและผักดองสีสันสวยงามดูน่ากิน “อุ๊ย นั่นอะไรคะ”

“เขาเรียกบิมบิมบับ เป็นข้าวยำของเกาหลี ที่เห็นร้อนๆ ควันกรุ่นนี่เพราะเขาเสิร์ฟมาบนชามชนิดพิเศษเก็บความร้อนเอาไว้ได้นาน เวลากินต้องคนแบบนี้ ไข่ก็จะสุกพอดี” เขาอธิบายพลางใช้ช้อนกับส้อมคนส่วนผสมให้เข้ากัน เสียงอาหารที่ถูกชามร้อนๆดังฉ่าพร้อมควันลอยกรุ่น กลิ่นหอมจนเธอแอบกลืนน้ำลาย

“ว้าว น่ากินมากๆค่ะ” นาทีนี้เธอไม่เหลือความห่างเหินและการวางตัวอะไรแล้ว เมื่อเจออาหารยั่วตายั่วใจขนาดนี้

“ลองชิมดูสิ” ว่าพร้อมกับปรเมศวร์ก็เลื่อนชามร้อนด้วยการผลักที่รองชามเป็นถาดไม้ข้างล่างไปข้างหน้าเธอ

ภัสสรหยิบช้อนขึ้นมาตัก อาหารในช้อนร้อนระอุควันลอยกรุ่น เธอเลยเป่าให้มันคลายร้อนอย่างตั้งใจ เพื่อจะได้รีบชิมโดยไว

กิริยาที่แสดงออกมาทั้งน่ารักน่าชังในสายตาคนมอง จนต้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู เมื่อคนตัวเล็กได้ชิมก็ทำตาโต เคี้ยวแก้มตุ่ยด้วยแววตาที่แสดงออกว่า มันอร่อยมากแค่ไหน ใครจะมองไม่ออก ก็แววตาสาวน้อยตรงหน้าวิบวับจนเขามองเพลินทีเดียว

เมื่อเคี้ยวหมดปากเธอจึงเอ่ยบอกเขาด้วยรอยยิ้ม

“อร่อยมากจริงๆ ด้วยค่ะ” แต่เมื่อเห็นเขายังมองมานิ่งๆ เธอจึงเอ่ยชวน “แล้วคุณป้อไม่ลองชิมเหรอคะ”

“ครับ” เขายื่นช้อนมาตักไปกินบ้าง “อื้ม ร้านนี้โอเคเลย”

“พัดกินคนเดียวไม่หมดหรอกค่ะ คุณป้อรังเกียจรึเปล่าคะที่กินชามเดียวกัน” เธอมองดูชามบิมบิมบับ รวมทั้งอาหารที่ยังไม่ได้ย่างถาดใหญ่และเครื่องเคียงต่างๆ แล้ว คิดว่าคงต้องช่วยกันกิน

“ไม่เลยครับ กินด้วยกันอร่อยดี” ว่าแล้วเขาก็ยื่นช้อนไปตักข้าวยำมากินอีก “เตาร้อนละ เรามาปิ้งย่างกันดีกว่า”

“ค่ะ งั้นคุณป้อกินข้าวยำไปพลางๆ ก่อน เดี๋ยวพัดปิ้งให้เอง” พูดจบเธอก็หยิบที่คีบแบบยาวๆ มาคีบอาหารสดพวกหมูหมัก ปลาหมึก กุ้ง หอย และอีกหลายอย่าง ลงไปบนตะแกรงย่าง “พัดชอบกินกระเจี๊ยบค่ะ แต่ยังไม่เคยลองกินแบบย่างเลย เคยแต่ต้มจิ้มน้ำพริก”

“งั้นฉันยกให้หมดเลย ของฉันต้องอันนี้” ว่าพลางก็หยิบที่คีบไปคีบฟักทองมาย่างบ้าง

“โอเค งั้นเราไปด้วยกันได้ ฮ่าๆ”

จากนั้นสองหนุ่มสาวก็ช่วยกันปิ้งย่างด้วยความสนุกสนาน

กลายเป็นว่าคนตัวโตกินอิ่มก็นั่งจิบชาเขียวร้อนรอ พร้อมกับปิ้งอาหารให้คนตัวเล็กกินจุไปด้วยรอยยิ้ม บางทีก็หัวเราะขำเรื่องราวที่เธอเล่าให้ฟังตอนสัมภาษณ์งานและการทำงานวันแรก

ที่ขำหนักก็วันที่เจอกันครั้งแรกแล้วเธอแอบกินเค้กในงานแต่งปรเมศวร์ขำจนต้องหัวเราะออกมา เมื่อคนตัวเล็กหยุดกินแล้วทำตาค้อนปะหลับปะเหลือกแล้วกินต่อเหมือนเด็กน้อย เขาไม่เคยเจอหญิงสาวคนไหนที่เหมือนกับคนตรงหน้าเลย

แปลก...เหมือนกับเธอเป็นคนที่เขารู้จักมานานทั้งที่เพิ่งได้เจอกันไม่กี่ครั้ง

ราวกับเป็นคนในครอบครัวที่เขาไม่ต้องวางมาดและสามารถคุยด้วยได้อย่างสบายๆ

ภัสสร คนตรงหน้าที่ทำให้เขาทั้งยิ้มและหัวเราะได้มากกว่าใครที่เคยรู้จัก

มันเป็นความต่างที่เขาไม่เคยได้จากใครตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้

ราวกับเธอเป็นเงาที่หายไป

ตัวตนของเขาที่ลืมไปแล้วว่ามีอยู่

คนที่ทำให้เขาอยากมีวันพรุ่งนี้...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น