7

ตอนที่ 6


ซูเปอร์คาร์คันงามแล่นฝ่าการจราจรที่แน่นขนัดในช่วงเช้าของเมืองหลวง ก่อนจะเลี้ยวเข้าตำแหน่งประจำของทุกวัน...ทางเข้าอาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท ดีเอสพี คอนสตรัคชั่น

รองประธานบริษัทผู้ไม่มีคนขับรถเพราะไม่เคยมีใครขับได้ดั่งใจเขา กำลังชะลอความเร็วลงเมื่อเครื่องยนต์ที่อยู่ภายใต้การบัญชาเคลื่อนที่มาถึงแผงกั้นเหล็ก อันเป็นระบบรักษาความปลอดภัยด่านแรก ก่อนจะนำรถเข้าสู่ส่วนอาคารจอดรถของบริษัทได้

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัยกลางคนฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นรถยนต์ของคนที่เขากำลังรออยู่วิ่งเข้ามาใกล้ รีบเลื่อนแผงกั้นออก ก่อนจะทำความเคารพเจ้าของรถที่เลื่อนกระจกลงรับคำทักทายอย่างเช่นทุกวัน

“สวัสดีครับเจ้านาย”

“เป็นไงนายคมสัน เมื่อวานถูกล็อตเตอรี่รึเปล่า”

คนถูกถามฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม เขายังคงสงสัยอยู่เสมอว่าผู้บริหารระดับสูงคนนี้เอาเวลาที่ไหนมานั่งจำชื่อพนักงานระดับล่างอย่างพวกเขา มิหนำซ้ำยังรับรู้เหตุการณ์ประจำวันที่เกิดขึ้น ราวกับมีหน่วยสอดแนมแฝงตัวเข้ามาอยู่กับพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น

“สองตัวเต็มๆ เลยครับเจ้านาย ป้ายทะเบียนรถเจ้านายเลยครับ ตรงๆ เป๊ะๆ”

“เฮ้ย! จริงดิ” คนเป็นนายย้อนถามเคล้าเสียงหัวเราะเพราะคำตอบที่คาดไม่ถึง

“ครับ วันนี้ผมก็เลยซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งมาฝาก นี่ครับเจ้านาย เจ้าอร่อยที่ตลาดแถวบ้านผมเลยนะครับ รับรองเจ้านายต้องชอบแน่” คนพูดว่าพลางยื่นถุงพลาสติกที่ส่งกลิ่นหอมฉุยไปให้คนในรถ เป็นการแสดงความขอบคุณที่อาจไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ก็คือความจริงใจที่เขาอยากจะมอบให้ และก็ไม่ใช่เพราะเลขเด็ดทะเบียนรถของเจ้านายแต่อย่างใด แต่คือการตอบแทนความใส่ใจที่นายของเขามีให้เสมอมา

“โห นี่ผมไม่ได้กินข้าวเช้ามาพอดีเลย ขอบใจมาก แต่อย่าเล่นหวยเยอะล่ะ เอาพอหอมปากหอมคอก็พอ”

“ครับผม” คนนอกรถตะเบ๊ะรับคำสั่งก่อนจะยืนยิ้ม มองท้ายรถคันงามที่กำลังแล่นเข้าสู่อาคารจอดรถด้วยสีหน้าชื่นชม “เจ้านายผมนี่หล่อทุกวันเลยจริงๆ”

ชายร่างสูงในชุดสูทสีเข้มที่สองมือหอบแฟ้มเอกสารมากมาย มีงานล้นมือที่ต้องเอากลับไปเคลียร์ต่อที่บ้านแทบทุกวัน แล้วที่เขาต้องหอบไปหิ้วมาคนเดียวแบบนี้ ก็เพราะว่าตอนนี้ยังห่างไกลจากเวลาเริ่มงานเกือบๆ หนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ เลขานุการผู้ช่วยประจำตัวของเขาก็เลยยังมาไม่ถึงที่ทำงาน แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผู้บริหารระดับสูงผู้ไม่แคร์ภาพลักษณ์คนนี้ เพราะการที่ท่านรองประธานผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายทุกอย่างในบริษัท แต่กลับทำงานเสมือนเป็นพนักงานธรรมดาๆ คนหนึ่งนั้นเป็นภาพที่คนในบริษัทเห็นกันจนชินตาอยู่แล้ว

“สวัสดีครับคุณธาม ให้ผมช่วยไหมครับ” พนักงานชายวัยไล่เลี่ยกันที่รอลิฟต์อยู่ก่อนเอ่ยถามขึ้น

คนถูกถามจำได้ดีว่าชายคนนี้คือหนึ่งในทีมวิศวกรฝ่ายออกแบบของบริษัทที่มักจะเจอกันบ่อยๆ ในเวลาเช้าๆ แบบนี้ “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวช่วยกดลิฟต์ให้ผมก็พอ”

“วันนี้มาเร็วจังเลยนะครับคุณธาม”

“อืม ผมมีประชุมเช้าน่ะ” รองประธานทำหน้าโอดครวญคล้ายว่ากำลังบ่นกับเพื่อนร่วมงาน จนอีกฝ่ายอดยิ้มเพราะความเป็นกันเองของเขาไม่ได้

“มีหมูปิ้งมาด้วยเหรอครับ”

เพราะกลิ่นที่หอมฟุ้งเรียกน้ำย่อยจนคนร่วมลิฟต์ต้องมองหา ก่อนจะพบว่าต้นตอของกลิ่นห้อยอยู่ที่นิ้วของเจ้านายที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั่นเอง

“นายคมสัน ยามหน้าบริษัทให้มาน่ะ หิวอ้ะดิ ผมไม่แบ่งหรอกนะ จะเก็บไว้กินคนเดียว” เจ้านายขี้เล่นว่าพร้อมกับยกคิ้วให้จนอีกคนหัวเราะร่วน

“ตามสบายเลยครับ”

“เออ เร็วๆ นี้มีโพรเจกต์ใหญ่นะ ฝ่ายออกแบบเตรียมตัวไว้เลย ปวดหัวแน่”

“เต็มที่อยู่แล้วครับนาย” คู่สนทนาที่กำลังจะออกจากลิฟต์ยกนิ้วโป้งประกอบคำพูด

“โอเค ไว้เจอกัน”

ธามยืนมองตัวเลขดิจิทัลในลิฟต์ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนชั้น ลมหายใจถูกพ่นออกมาทางปากคล้ายจะปลดปล่อยความเครียดที่คั่งค้างอยู่ในหัว เครียดหนักตั้งแต่ต้นปีเลย เรื่องงานก็ว่าหนักแล้ว เรื่องที่บ้านยังเทซ้ำเข้ามาอีก นี่ยังไม่นับรวมกับที่คุณย่าจะให้ดูตัวนะ ลมหายใจถูกพ่นซ้ำออกมาอีกครั้ง

“เฮ้อ...เกิดเป็นไอ้ธามนี่มันเหนื่อยจริงๆ”

ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นบนสุดของอาคาร ก่อนชายหนุ่มจะก้าวตรงไปยังห้องทำงานของเขาที่อยู่สุดด้านหนึ่งของชั้น ธามวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะของเลขาฯ หน้าห้อง ก่อนจะเปลี่ยนเอาแฟ้มอีกแฟ้มที่วางอยู่ก่อนไปแทน

วันนี้เป็นอีกวันที่เขามาทำงานเร็วกว่าปกติ และจะเป็นแบบนี้เสมอหากวันไหนมีประชุมช่วงเช้า เพราะผู้บริหารหนุ่มคนนี้ต้องใช้เวลาก่อนเริ่มงานอ่านเอกสารการประชุมซ้ำอีกครั้ง เพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาดหรือละเลยไปในการประชุมครั้งนั้นๆ

ธามกวาดสายไล่ไปตามเนื้อหาในเอกสาร พร้อมกับจดบันทึกจุดสำคัญต่างๆ เอาไว้ ทุกคนที่ทำงานกับเขารู้ดีว่าถึงแม้เจ้านายคนนี้จะเข้าถึงง่าย และให้ความเป็นกันเองกับพนักงานทุกระดับขนาดไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องงานแล้วละก็ ชื่อเสียงด้านความโหดก็เลื่องลือมากไม่แพ้กัน

เสียงเคาะประตูกระตุกสมาธิของนักธุรกิจหนุ่มให้ละจากงานตรงหน้าชั่วคราว ธามหันมองนาฬิกาดิจิทัลที่ตั้งอยู่เยื้องสายตาไปไม่มาก ตัวเลขที่โชว์หราอย่างรู้หน้าที่นั้นบอกให้เขารู้ได้ทันทีว่า เจ้าเสียงเคาะประตูนั้นเป็นใคร

รสา เลขานุการหน้าห้องฉีกยิ้มให้เจ้านายของเธอ ก่อนจะเดินมาวางแก้วกาแฟร้อนลงบนโต๊ะ พลันเลื่อนสายตาไปเห็นถุงพลาสติกใสๆ ที่วางอยู่ไม่ไกลมาก หญิงสาวหรี่ตามองเล็กน้อยก่อนจะอมยิ้มเมื่อรู้ว่าของข้างในคืออะไร

“วันนี้มีข้าวเหนียวหมูปิ้งด้วยเหรอคะ คุณธามจะทานเลยไหมคะ รสาจะได้จัดใส่จานให้” แม้จะแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเจ้านายของเธอจะรับแค่กาแฟดำแก้วเดียวเท่านั้นสำหรับมื้อเช้าของทุกๆ วัน แต่วันนี้กลับมีอาหารเช้าเมนูยอดฮิตวางอยู่บนโต๊ะด้วย

“ไม่ละ เดี๋ยวผมจะเอากลับบ้าน” ธามเอ่ยตอบโดยไม่คิดอะไร แต่แล้วคำพูดของเขาก็สะดุดใจตัวเองจนต้องละสายตาจากงานอีกครั้ง แล้วหันไปมองของที่ว่า ปากกาในมือถูกควงให้หมุนไปมาเพราะอาการครุ่นคิด ก่อนเจ้าตัวจะหันไปขอความเห็นจากคนที่ยืนอยู่

“คุณว่า...ถ้าผมเอากลับไปอุ่น มันจะอร่อยอยู่ไหม”

“อร่อยสิคะ หมูปิ้งกินเย็นๆ ยังอร่อยเลยค่ะ”

“ใช่ไหม” คนเป็นนายเอ่ยย้ำอีกครั้งโดยไม่ละสายตาจากของที่ถูกพูดถึง “แล้วคุณว่าถ้ากินเป็นมื้อเที่ยงจะอร่อยเหมือนกินเป็นมื้อเช้าไหม” ธามหันไปเลิกคิ้วถามรสา

เธอระบายยิ้มก่อนตอบคำถามแปลกๆ ของชายตรงหน้า “อร่อยสิคะคุณธาม รสาว่าหมูปิ้งนี่เป็นอาหารไทยเมนูเด็ดเลยนะคะ กินตอนไหนก็อร่อยทั้งนั้นละค่ะ ถึงจะมันเยอะไปนิดนึงก็ตาม”

คนฟังยิ้มอย่างพอใจคำตอบ “งั้น...เช้านี้คุณไม่ต้องเข้าประชุมแล้วนะ ผมจะให้ชินกฤตเข้าไปช่วยผมแทน ส่วนคุณ...ไปหาซื้อหมูปิ้งให้ผมหน่อย เอามาเยอะๆ เลยนะ”

“คะ?” เลขาฯ สาวงงกับคำสั่งจนต้องผูกคิ้ว ก่อนประโยคต่อไปที่ตามมาจะช่วยย้ำสิ่งที่เธอต้องทำอีกที

“โทร. ตามชินกฤตให้ผมด้วย”

“ค่ะ”

...

ณ ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ดีเอสพี คอนสตรัคชั่น ตอนนี้เก้าอี้ทุกตัวของโต๊ะประชุมตัวยาวรองรับผู้เข้าร่วมประชุมแทบจะครบทุกตำแหน่งสำคัญในบริษัท เนื่องด้วยวันนี้เป็นการประชุมใหญ่ไตรมาสแรกของปี วาระการประชุมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และแน่นอนว่าตำแหน่งหัวโต๊ะจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากรองประธานธาม รองประธานบริษัทวัยกำลังจะขึ้นเลขสาม ที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขารับหน้าที่ซีอีโอหรือผู้บริหารสูงสุด ผู้กุมบังเหียนผู้นำของบริษัทนั่นเอง

“ส่วนเรื่องสุดท้ายวันนี้ อย่างที่ทุกท่านทราบนะครับ เร็วๆ นี้ทางรัฐบาลจะมีโครงการการก่อสร้างแบงค็อก เจ้าพระยา ทาวเวอร์ หอคอยที่สูงที่สุดในประเทศ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งแน่นอนว่าจะกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร รายละเอียดโครงการและงบประมาณ ผมคิดว่าทุกท่านคงได้รับอีเมลไปแล้วก่อนหน้านี้นะครับ”

“โครงการนี้คุณธามจะให้แต่งตั้งใครขึ้นมารับผิดชอบโดยตรงดีครับ” ณรงค์ กรรมการผู้จัดการ ผู้ช่วยคนสำคัญของเขาที่นั่งอยู่ขวามือเอ่ยถามขึ้น

“ไม่ครับ โครงการนี้ผมจะเป็นคนรับผิดชอบเอง เพราะฉะนั้นการตัดสินใจของทุกฝ่ายต้องผ่านความเห็นชอบจากผม” ผู้บริหารหนุ่มเอ่ยอย่างหนักแน่น ก่อนจะชำเลืองมองเลขาฯ จำเป็นที่นั่งอยู่ซ้ายมือของเขาอย่างรู้กัน

ชินกฤต เพื่อนสนิทที่เพิ่งถูกยัดเยียดตำแหน่งเลขานุการชั่วคราวให้ อันที่จริงเขาคือที่ปรึกษาด้านกฎหมายของบริษัท เพราะชรัณ พ่อของที่ปรึกษาชินเคยทำหน้าที่นี้มาก่อน ตั้งแต่สมัยเจ้าสัวธงชัย ปู่ของธามยังมีชีวิตอยู่ เรียกได้ว่าชินกฤตคลุกคลีและเติบโตมาพร้อมๆ กับบริษัทนี้ จึงไม่แปลกหากเขาจะรู้ตื้นลึกหนาบางของพนักงานอาวุโสในบริษัทมากกว่าท่านรองประธาน ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งอย่างจำยอมหลังจากเจ้าสัวธงชัยเสียชีวิตลง

และเพราะโครงการที่รองประธานกำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นโพรเจกต์หลายพันล้าน เนื้อก้อนโตที่ใครหลายคนจ้องอยากจะกัดกิน หาผลประโยชน์อย่างไม่ซื่อตรง หาหนทางให้เงินเลี้ยวเข้ากระเป๋าตัวเองได้โดยง่าย หลายครั้งที่เรื่องการคดโกงเล็กๆ น้อยๆ ในบริษัทลอยเข้าหูเขา แต่เพราะยังไม่มีหลักฐานมากพอ ธามจึงจำต้องปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน แต่ครั้งนี้เป็นโพรเจกต์ระดับประเทศที่มีผลต่อชื่อเสียงของบริษัทโดยตรง เขาจึงต้องอุดรอยรั่วไว้ก่อนที่จะเกิดความเสียหายตามมา

“ผมอยากให้ทุกแผนกตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาเพื่อโพรเจกต์นี้เลยนะครับ เพราะวันยื่นซองประมูลใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว แล้วผมก็ไม่อยากให้เกิดปัญหางานซ้อนงาน ที่จะทำให้การดำเนินงานล่าช้าไป เพราะโพรเจกต์ใหญ่แบบนี้เราต้องแสดงศักยภาพของบริษัทออกมาให้ได้มากที่สุด ตกลงตามนี้นะครับ”

“ต้องผ่านความเห็นชอบจากผมนะครับ ตกลงตามนี้นะครับ คิดเองเออเอง เอาแต่ใจตัวเองนี่มันนิสัยลูกคนรวยชัดๆ” รัศมี...ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานจัดซื้อ เอนตัวเข้ากระซิบกระซาบกับมนัส อดีตกรรมการผู้จัดการวัยสี่สิบกลางๆ ที่นั่งอยู่ข้างกัน

การรับช่วงต่อที่เข้ามารื้อระบบเก่า สร้างระบบใหม่ของผู้บริหารหนุ่มคนนี้ ทำให้มีหลายคนต้องเสียผลประโยชน์และความสะดวกสบายในการทำงานไป จึงไม่แปลกที่จะมีพนักงานคนเก่าคนแก่บางคนไม่พึงพอใจกับการทำงานของนักธุรกิจหนุ่มที่มีประสบการณ์น้อยกว่า แถมยังเข้ามาทำงานในบริษัทนี้หลังพวกเขาเสียด้วยซ้ำ

“มีท่านไหนมีข้อเสนอแนะอื่นๆ เพิ่มเติมไหมครับ” คำถามนี้เป็นเหมือนสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่าการประชุมที่ยาวนานกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว

ผู้เข้าร่วมประชุมต่างหันมองกันราวกับจะส่งคำถามเดียวกันนี้ให้เพื่อนร่วมโต๊ะ และในตอนนั้นเองคนที่รอโอกาสที่เข้าทางนี้อยู่นานก็รีบฉวยเอาไว้ทันที

“ผมครับ”

ทุกสายตามองไปที่มนัสเป็นทางเดียว “คือมันก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องโพรเจกต์หรอกนะครับ ไม่ทราบว่าจะพูดตรงนี้ได้รึเปล่า”

“เอาสิครับ เชิญ”

ชินกฤตเขม่นตาใส่เพื่อนทันที เพราะตอบไปแบบนั้นก็เท่ากับเปิดทางให้คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ประสงค์ดีเท่าไรนักได้ทำในสิ่งที่ต้องการ

มนัสชำเลืองมองไปทางรัศมีที่อมยิ้มนิดๆ อยู่ ก่อนจะยืดตัวขึ้นราวกับจะแสดงอำนาจ “คืออย่าหาว่าผมอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะครับ ผมก็แค่อยากจะแนะนำในฐานะผู้ใหญ่ที่ทำงานมาก่อน ผมว่าจะพูดหลายทีแล้วแต่ไม่มีโอกาส”

ธามพยักหน้าอย่างตั้งใจฟังสิ่งที่มนัสกำลังพูด เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ตอนนี้เงียบกริบ มุ่งความสนใจไปที่คนพูดไม่แพ้กัน

“ผมว่าคุณธามควรจะวางตัวให้เหมาะสมกว่านี้หน่อยนะครับ ทำงานมาก็หลายปีแล้ว คุณก็น่าจะโตได้แล้ว คุณอย่าลืมสิว่าคุณอยู่ในสายตาของทุกคนในบริษัท เวลาจะพูดคุยจะสุงสิงกับใครเนี่ย คุณก็ควรจะเลือกบ้าง”

ผู้เข้าร่วมประชุมหลายคนเลื่อนสายตาจากมนัสไปหาคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะทันที บางคนแค่แอบเหล่มองเพราะไม่กล้า บางคนถึงกับอ้าปากค้าง ที่ที่ปรึกษาอาวุโสอย่างมนัสตำหนิเจ้านายต่อหน้าที่ประชุมใหญ่แบบนี้

“คุณไม่ควรเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับพวกพนักงานระดับล่าง ยามหน้าบริษัทบ้างละ แม่บ้านบ้างล่ะ พนักงานกระจอกๆ บ้างละ หัดวางตัวให้เป็นผู้บริหารระดับสูงบ้าง คนอื่นเขาจะว่าเอาได้ว่าเป็นซีอีโอรากหญ้า ใช่ไหมทุกคน”

ผู้ร่วมประชุมหลายคนถึงกับสะดุ้งจนไหล่ไหวเพราะประโยคหาแนวร่วมที่ถูกส่งมา ทว่าคนที่กำลังถูกต่อว่าอย่างธามกลับไม่ได้มีสีหน้าร้อนใจเพราะคำพูดนั้นเลย เป็นชินกฤตกับณรงค์ที่นั่งอยู่ข้างๆ มากกว่าที่ขมวดคิ้วเป็นกังวลแทนเขา

“คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล โตเมืองนอกมา เคยได้ยินบ้างรึเปล่าคุณธาม เวลาจะคบเพื่อนก็หัดดูการศึกษา ดูฐานะบ้าง เลือกที่มันมีสง่าราศีหน่อย จะได้เป็นหน้าเป็นตาของบริษัท ไม่ใช่คบแต่พวกต่ำๆ เลือกคบคนที่เขาใฝ่ดีหน่อย จะได้ส่งเสริมกันไปในทางที่ดี” นรินทร์...หนึ่งในกรรมการบริษัทที่แก่กว่าธามไม่กี่ปีเอ่ยเสริม และนั่นยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องประชุมอึดอัด หายใจได้ยากขึ้นไปอีก

ธามไล่สายตามองทุกคนราวกับกำลังอ่านสีหน้าของพวกเขา และเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครจะพูดอะไรต่อในประเด็นนี้แล้ว เขาจึงกล่าวขึ้นบ้าง

“คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คนพาลคือใครเหรอครับ คนไม่ดีเหรอ ผมว่าทุกคนก็มีส่วนที่ไม่ดีอยู่ในตัวเองกันทั้งนั้นแหละครับ หรือว่าหมายถึงคนที่ไม่ใฝ่ดีเหรอ แล้วแบบไหนเรียกว่าไม่ใฝ่ดีล่ะ...มาทำงานทุกวัน แต่ไม่เคยได้งานเป็นชิ้นเป็นอันอย่างคุณเนี่ย เรียกว่าใฝ่ดีรึเปล่าคุณนรินทร์” ธามถามกลับเสียงเรียบ พร้อมกับส่งรอยยิ้มท้าทายไปให้ จนรอยยิ้มผยองของนรินทร์หุบลงอย่างรวดเร็ว

นรินทร์รีบขมวดคิ้วมองไปที่มนัสที่นั่งอยู่อีกฝั่งเพื่อขอตัวช่วย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังเร็วไม่ทันกับคมดาบของท่านรองประธาน

“ผมว่า...บางทีโจรมันก็รักพวกพ้องของมันนะ บางครั้งถึงกับยอมตายแทนกันได้เลย แต่คุณลองแหกตาดูพวกที่โกงบ้านโกงเมือง หรือแม้แต่โกงบริษัทดูสิ บัณฑิตผู้ใฝ่ดีทั้งนั้น...ใช่ไหมครับคุณมนัส” แววตาดุดันถูกสะบัดไปพร้อมกับคำถามเสียงเรียบนิ่ง ก่อนการยกมุมปากจะตามไปสมทบ คล้ายจะเตือนให้คนถูกถามรู้เป็นนัยๆ ว่า คนพูดไม่ได้หูหนวกตาบอดอย่างที่เขาคิด

“เวลาผมจะเป็นเพื่อนกับใคร ผมไม่สนหรอกนะว่าเขาจะเรียนสูงแค่ไหน ขับรถอะไร แต่งตัวยังไง ทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ เพราะของพวกนี้ผมมีหมดแล้ว ผมดูที่จิตสำนึกของพวกเขา สิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่ตำแหน่งงานว่าสูงแค่ไหน เพราะผมให้ความสำคัญกับจิตใจที่อยู่สูงของพวกเขามากกว่า” ยิ้มร้ายฉายขึ้นบนใบหน้าคนพูด และมันก็ยั่วโมโหคู่สนทนาของเขาได้ดี

“พูดดีไปเหอะ! ผู้ใหญ่เตือนแล้วไม่ฟัง เล่นกับหมา ระวังเหอะ สักวันหมามันจะเลียหน้าเอา” มนัสตอกกลับผู้บริหารที่เป็นเหมือนเด็กเมื่อวานซืนในสายตาเขา แต่กลับไม่เคยยอมลดราวาศอกให้พนักงานอาวุโสอย่างเขาเลย

“โอ๊ย! ถ้าหมามันจะเลียหน้าผมด้วยความรักและความซื่อสัตย์ ก็ให้มันเลียไปเถอะครับ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมได้รู้ว่า ผมกำลังเลี้ยงหมาที่จงรักภักดี ไม่ใช่...งูเห่าที่พร้อมจะแว้งกัดผมทุกเมื่อ”

คนพูดแค่นหัวเราะตอบโต้การพยายามหักหน้าที่ดูไร้สาระนี้ “เอาเป็นว่าผมขอบคุณมากนะครับสำหรับคำแนะนำ แต่ผมขอยกเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียเวลาคิดแทนผมให้ปวดหัวเล่นหรอกนะครับ ตราบใดที่ผมยังมีปัญญาจ่ายเงินเดือนทุกคนที่นี่ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงผม เอาเวลาอันมีค่าของคุณ...ไปคิดเรื่องของตัวเองเถอะครับ”

 

ชินกฤตยืนพิงโต๊ะทำงานของรองประธานบริษัท ส่วนเจ้าของโต๊ะไปนั่งอยู่ที่โซฟา แถมเอาแต่ก้มหน้าก้มตากดสมาร์ตโฟนในมือตั้งแต่ออกมาจากห้องประชุม ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับสงครามเย็นที่เพิ่งจะฝ่ามาหมาดๆ จนผู้ร่วมรบอดไม่ได้ ต้องโวยออกมา

“ไอ้ธาม แกจะไปเปิดศึกกับคุณมนัสทำไมวะ!”

“อ้าว! แกก็เห็นว่าเขาสาดโคลนใส่ฉันก่อน” หนุ่มร่างสูงยักไหล่คล้ายจะบอกกับเพื่อนว่าเป็นสถานการณ์ที่ช่วยไม่ได้

“แกก็น่าจะเออออไปกับเขาก็พอ ตอกกลับเขาไปแบบนั้น สร้างศัตรูเพิ่มชัดๆ”

“เหอะ  ต่อให้ฉันปล่อยตามน้ำไป แกทำอย่างกับว่าเขาจะญาติดีกับฉันอย่างนั้นแหละ คุณมนัสเขาพร้อมจะเลื่อยขาเก้าอี้ฉันตลอดเวลาอยู่แล้ว แกก็รู้ คิดดูดิ เรื่องไม่เป็นเรื่องยังเอามาว่าฉันกลางที่ประชุมได้ ตั้งใจหาเรื่องกันเห็นๆ” ผู้บริหารหนุ่มส่ายหน้า

“ก็ใครใช้ให้แกเลื่อนตำแหน่งเขาจากกรรมการผู้จัดการมาเป็นที่ปรึกษาอาวุโสกันเล่า มีเกียรติ แต่ไม่มีอำนาจ ใครมันจะไปยอมวะ แถมยังให้คุณณรงค์มากินตำแหน่งเก่าเขาไปอีก คุณณรงค์ที่เข้ามาทีหลังเขาก็เลยมีอำนาจรองลงมาจากแก แบบนี้ถ้าเขาจะเขม่นแกก็คงไม่แปลก”

“ช่วยไม่ได้ อยากโกงเอง นี่เห็นว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของอากงหรอกนะ ถึงยังปล่อยให้ลอยหน้าลอยตาอยู่ในบริษัทได้เนี่ย”

คนฟังรวบแขนขึ้นกอดอก สีหน้าเครียด “มองผ่านๆ ไปมั่งเหอะว่ะธาม ยังไงเขาก็เป็นพนักงานอาวุโส”

“อาวุโสแล้วไงวะ อาวุโสแปลว่า แก่ แปลว่า ทำงานมานาน ไม่ได้แปลว่า โกงได้เว้ย แล้วอีกอย่าง...โต้กลับไปแบบนั้นแหละดีแล้ว ฉันอยากรู้ว่านอกจากนรินทร์ที่อยู่ข้างเขาแล้ว ยังมีคนอื่นอีกไหม”

ชินกฤตมองเพื่อนจากระยะไกลด้วยแววตาครุ่นคิด “แกหมายถึง...ไอ้คนที่เคยขับรถไล่ชนแกจนมอ’ไซค์คว่ำเมื่อคราวที่แล้วใช่ไหม”

ธามพยักหน้า เหตุการณ์ลอบทำร้ายเมื่อราวๆ สามเดือนก่อน คนร้ายตั้งใจทำให้เป็นเหมือนอุบัติเหตุ และแน่นอนว่ายังจับมือใครดมไม่ได้ แถมยังทำให้เขาและบิ๊กไบค์คู่ใจต้องห่างกันสักพัก...ตามคำขอร้องของคุณย่าอีก

“ใช่ มันอาจจะใช้โอกาสนี้ทำซ้ำ แล้วโยนความผิดให้คุณมนัสก็ได้”

“เฮ้ยๆๆ! เดี๋ยวๆ” ทนายหนุ่มรีบปรี่เข้ามาหาคนบนโซฟา “นี่มันก็เท่ากับว่าแกกำลังจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเลยนะเว้ย!”

ธามเลื่อนสายตาไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนหน้าตะลึงงันอยู่ “ก็ถ้าฉันเป็นเหยื่อชั้นดี มันก็น่าลองไม่ใช่เหรอ”

“ไอ้ธาม​ อย่าคิดจะทำอะไรบ้าๆ นะ!” ทนายชินที่รู้นิสัยความบ้าระห่ำของเพื่อนดีรีบชี้นิวห้ามปราม

“เฮ่ย คิดมากน่ะ ฉันระวังตัวอยู่แล้ว”

คำยืนยันจากปากเพื่อนไม่ทำให้คนฟังมั่นใจเต็มร้อย แต่ก็จำต้องละเรื่องสนทนาตรงหน้าเอาไว้ก่อน เพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้นแทรก

“คุณธามคะ หมูปิ้งได้แล้วนะคะ” เลขาฯ สาวว่าพร้อมกับวางของที่ว่าลงบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ก่อนจำนวนที่มากผิดปกติของมันจะทำให้อีกคนที่ร่วมวงสนทนาอยู่อดสงสัยไม่ได้

“แกซื้อหมูปิ้งมาทำไมตั้งเยอะตั้งแยะวะ”

“จะเอาไปฝากเด็กที่บ้าน พอดีฉันจะกลับไปกินข้าวที่บ้านน่ะ”

“กลับไปกินข้าวที่บ้าน? ผีเจ้าบ้านเจ้าเรือนเข้าสิงแกรึไงวะ” ทนายชินโพล่งลั่น ก็จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไร ร้อยวันพันปีคนที่เบื่อรถติดยิ่งกว่าอะไรดีอย่างรองประธานธามจะยอมฝ่าดงการจราจรที่แสนเบื่อหน่าย เพื่อกลับไปกินมื้อเที่ยงที่บ้าน ชักจะมีกลิ่นทะแม่งๆ เสียแล้ว

“ไม่ใช่เว้ย! ฉันจะกลับไปดูงานต่อเติมที่บ้านหน่อย ให้ช่างไปต่อเติมได้สองสามวันแล้ว จะเข้าไปดูว่าเป็นยังไงบ้าง”

“ทำไมไม่ให้วิศวกรคนอื่นไปดูวะ บริษัทมีวิศวกรตั้งเยอะตั้งแยะ” ทนายเริ่มซัก

จำเลยพ่อปลาไหลยังคงลื่นไหลได้อย่างไม่มีพิรุธ “ฉันก็ปริญญาตรีวิศวกรรมโยธานะเว้ย บ้านฉัน ฉันดูเองได้”

“เอ่อ คุณรสา ช่วงบ่ายผมไม่เข้าออฟฟิศแล้วนะ ผม...ปวดหัวนิดหน่อย” ธามรีบตัดบทสนทนาเพราะกลัวว่าถ้าโดนซักมากไปกว่านี้อาจจะเสียท่าทนายมือดีได้

“แต่ตอนบ่ายคุณธามมีนัดกับคุณชิช่านะคะ”

“อ้าว เอาไงครับ ชิช่าโจทย์คนล่าสุด” ชินกฤตส่งยิ้มกวนๆ ไปให้เพื่อน “ไปจิบกาแฟกันหน่อยไหมคะเฮียธาม เดี๋ยวชิช่าจะป้อนเค้กอร่อยๆ ให้ถึงปากเลยนะคะ ปิ๊งๆ” ชินกฤตเขยิบเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงบีบเล็ก แถมยังกะพริบตาถี่ๆ ส่งท้ายตามไปให้ จนคนถูกแกล้งต้องเอนตัวหนี

“ฮึ่ย ขนลุก ออกไปไกลๆ เลย” ธามออกแรงผลักชินกฤตก่อนจะหันไปหาหญิงสาวที่ยืนมองอยู่

“งั้น...โทร. ยกเลิกนัดชิช่าให้ผมด้วย บอกเธอว่าผม...ปวดท้อง ไม่สะดวกเจอ เดี๋ยวผมจะโทร. ไปนัดอีกทีวันหลัง”

“อ้าว เมื่อกี้บอกปวดหัว ตอนนี้บอกปวดท้อง เอาไงแน่ครับเพื่อน”

“เมื่อกี้ฉันบอกว่าปวดหัวเหรอ”

ชินกฤตกลั้นขำพลางพยักหน้าตอบ

“ก็...ปวดหัวปวดท้องสลับกันมั่วไปหมด โรครุมเร้าจริงๆ เลย เครียดๆๆ ไปดีกว่า เดี๋ยวรถติด คิดถึงคุณย่าจะแย่แล้วเนี่ย” ธามว่าแล้วรีบคว้าถุงหมูปิ้งบนโต๊ะ แล้วพุ่งตัวออกนอกห้องไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ทักท้วงอีก


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น