8

ตอนที่ 7


คนตัวสูงที่วันนี้เลิกงานเร็วกว่าปกติ ถ้าจะให้พูดกันตามตรง ยังไม่แน่ใจว่าจะใช้คำว่า ‘ไปทำงาน’ ได้เต็มคำรึเปล่าด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าเมื่อตอนเช้ามีประชุมสำคัญรอเขาอยู่ ผู้บริหารหนุ่มคนนี้ก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าจะแอบอู้งานนอนอยู่บ้านรึเปล่า

ชายหนุ่มเดินตรงดิ่งเข้าบ้านพร้อมกับถุงหมูปิ้งราวกับว่ามีจุดมุ่งหมาย แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าจุดมุ่งหมายที่ทำให้เขายอมฝ่ารถติดเป็นชั่วโมงเพื่อเอาของกินพื้นๆ กลับมาบ้านนี้คืออะไรกันแน่ หมูปิ้งที่กลิ่นเริ่มอ่อนลงตามอุณหภูมิถูกหิ้วพาไปจนถึงห้องครัว ธามชะโงกหน้าผ่านบานประตูเข้าไปเพื่อมองหา...

เปล่าๆ ไม่ได้มองหาใคร

“ฝน คนอื่นๆ ไปไหนกันหมด” นอกจากจะไม่ได้มองหาแล้ว...ไม่ได้ถามหาด้วย

คนถูกเรียกที่หันหลังให้ประตูอยู่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะละสายตาจากสมาร์ตโฟนจอเล็กที่กำลังฉายละครจากเว็บไซต์หนึ่งอยู่ เพื่อหันมองต้นเสียง เช่นเดียวกับกิจกรรมเด็ดผักที่ถูกหยุดลงชั่วคราวตามไปด้วย

“อ้าว! คุณธามทำไมกลับเร็วจังคะ”

“คนอื่นๆ ไปไหนกันหมด” ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่ส่งคำถามเดิมกลับไปให้แทน

“มาลีทำความสะอาดอยู่ข้างบนค่ะ ส่วนลุงมิ่งเอารถไปให้คุณธัชที่โรงพยาบาล เพราะรถคุณธัชเข้าอู่ ขับเฉี่ยวเมื่อเช้านี้ที่หน้าปากซอยบ้านเรานี่เองค่ะ คุณธามจะให้ทำอะไรรึเปล่าคะ เดี๋ยวฝนทำให้ก็ได้ค่ะ”

เจ้านายหนุ่มส่ายหน้า “เปล่า ไม่ได้จะให้ทำอะไร ฉันแค่อยากรู้ว่าช่อ...ช่างที่ให้มาต่อเติมน่ะ วันนี้มาทำงานรึยัง” พ่อปลาไหลกลืนคำที่เกือบจะหลุดจากปากให้ลงคอไป เกือบไหลได้ไม่ทันแล้วไหมล่ะ

“ช่างเหรอคะ เห็นมาตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”

คนถามพยักหน้ารับคำตอบไปส่งๆ ก็แน่ละสิ นั่นมันใช่สิ่งที่เขาอยากรู้ที่ไหนกัน ธามขบปากเบาๆ อย่างครุ่นคิดว่าเขาจะทำยังไงให้ได้คำตอบของคำถามในใจนี้ดี

และไม่กี่วินาทีต่อมา...

 “แล้ว...” คนดูแล “คุณย่าล่ะอยู่ไหน”

“อ๋อ คุณย่าน่าจะอยู่ในสวนนะคะ”

คนที่ถามวกไปวนมาผลิยิ้มได้ในที่สุด “อ้ะฝน เอานี่ไป ฉันซื้อมาฝาก” หมูปิ้งถูกเปลี่ยนมือไปให้เจ้าของชื่อ

เจ้าตัวรับของมาพร้อมทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะรีบเปิดถุงเพื่อยืนยันข้อสันนิษฐานในหัว “หมูปิ้งจริงๆ ด้วย ทำไมคุณธามซื้อมาเยอะจังคะ”

“อ้าว ก็อยู่กันหลายคนไม่ใช่เหรอ จะได้แบ่งๆ กันกิน เอาไปแบ่งคนอื่นด้วยนะ อย่ากินคนเดียวหมดล่ะ อ้วนตัวแตกพอดี กางเกงปริแล้วน่ะ” คนว่าแกล้งชี้ไปที่กางเกงของสาวน้อย แถมพยักหน้าซ้ำเพื่อยืนยันว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ

ฝนรีบก้มหันซ้ายหันขวามองหาต้นตอของคำว่า ‘ปริ’ ที่เจ้านายว่า ก่อนจะรีบตวัดแขนไปตามตะเข็บเพื่อปกปิดความอ้วน แม้ว่าเธอจะหาจุดปริที่ว่านั้นไม่เจอก็ตาม และไม่นานนักเสียงหัวเราะของคนที่มองอยู่ก็ทำให้เธอรู้ตัวว่ากำลังถูกเล่นงาน...อีกแล้ว

“คุณธามอ้ะ ฝนไม่ได้อ้วนซะหน่อย” สาวน้อยหันไปตวัดค้อนเล็กๆ ให้เจ้านายที่เธอพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าเขา...แสบที่สุดในบ้าน

“ไปดีกว่า แล้วอย่าลืมแบ่งให้คนอื่นกินด้วย ทุกคนนะ เข้าใจไหม”

“ค่า...า คุณธามนี่ก็ห่วงกลัวคืนอื่นไม่ได้กินจริงๆ ฝนกินคนเดียวหมดซะที่ไหนล่ะคะ เยอะขนาดนี้” สาวใช้บ่นหน้ามุ่ย

ธามยักไหล่ให้ก่อนจะเดินออกมา แล้วก็ไม่วายหันกลับไปย้ำ “ทุกคนนะฝน ทุกคน”...นี่ก็กลัว ‘ทุกคน’ จะไม่ได้กินเสียจริง

...

สาวร่างบางเดินยิ้มกว้างตรงไปยังห้องครัวพร้อมกับคำสั่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอพกติดตัวมาด้วย แต่แล้วภาพสาวน้อยวัยไล่เลี่ยกันอีกคนที่กำลังทำอะไรกุกกักอยู่ที่เคาน์เตอร์ห้องครัว ก็ทำให้สาวเจ้าชะงักขาเรียวเอาไว้ ช่อผกาแอบมองภาพตรงหน้าผ่านกระจกบานเกล็ด ก่อนความคิดซุกซนในหัวจะทำให้เธออมยิ้มจนแก้มตุ่ย คนตัวเล็กเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้ม แล้วย่องด้วยปลายเท้าให้เบาที่สุดเข้าประชิดเพื่อนจากด้านหลัง แล้วก็...

“ฝน”

“ว้าย! แม่ร่วง” คนถูกแกล้งหันกลับมาหาต้นตอที่ยืนหัวเราะร่วนอยู่ “ช่ออ้ะ ตกใจหมดเลย” ฝนว่าก่อนจะก้มเก็บหมูปิ้งที่เผลอปล่อยลงพื้นไปเมื่อครู่ แล้วเอ่ยต่อ “ชอบแกล้งเหมือนคุณธามเลยนะ”

คำพูดธรรมดาๆ หยุดเสียงหัวเราะของใครบางคนลงได้ราวกับสับสวิตช์...เพียงเพราะได้ยินชื่อเขา

ช่อผกามองคนที่กำลังเช็ดคราบสกปรกของอาหารที่หล่นลงพื้น ก่อนจะเอ่ยถามไม่เต็มเสียง “คุณธาม...เขาชอบแกล้งฝนเหรอ”

“ใช่ คุณธามน่ะใจดี แต่ว่าชอบแกล้ง ชอบหาว่าฝนอ้วน”

“ใจดี? คุณธามเนี่ยนะใจดี” คิ้วเรียวผูกกันพร้อมกับถามเสียงต่ำ

“อื้ม วันที่ช่อมาเขาอาจจะเสียงดังโวยวายไปอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วเขาใจดีนะ”

เพราะวันนั้นคุณย่าพริ้มเพราเรียกทุกคนในบ้านให้ไปรวมตัวกัน ดังนั้นฝนจึงเป็นหนึ่งในผู้อยู่ในเหตุการณ์การต้อนรับที่ไม่...น่ารักสักเท่าไรนั้นด้วย

คนฟังได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป...ถ้าความร้ายกาจของเขาจบลงแค่นั้นก็คงจะดีอยู่หรอก

“เอ๊ะ! หรือว่า...เขาว่าอะไรช่ออีกเหรอ” นักดมกลิ่นมือหนึ่งของบ้านเริ่มทำหน้าที่

คนถูกถามสะดุ้งเล็กน้อยแล้วตัดสินใจส่ายหน้า “เขา...เขาแค่ดูดุๆ น่ะ ดูไม่น่าจะเป็นคนใจดีได้”

ช่อผกาตอบไปส่งๆ เวลานี้...ไม่บอกฝนน่าจะดีกว่า เพราะถ้าฝนรู้ มีหวังคงถึงหูคุณย่า แล้วถ้าเรื่องไปถึงหูตาบ้าขี้ระแวงนั่นละก็...นอกจากผู้หญิงอย่างว่า ไอ้หัวขโมย แล้วก็ยายสิบแปดมงกุฎแล้ว ช่อผกาคนนี้คงได้พ่วงตำแหน่ง...นังเด็กผีขี้ฟ้องเพิ่มเข้าไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“คุณธามใจดีออก บางทีคุณธัชยังดุกว่าด้วยซ้ำ เพราะคุณธัชเธอเจ้าระเบียบมาก ส่วนคุณธีร์น่ะเคยลงโทษฝนอย่างกับเป็นทหาร สั่งวิ่งรอบสนามใหญ่ข้างบ้านนั่นน่ะ ดีนะที่ตอนนี้คุณย่าให้ช่างมาต่อเติมบ้านแล้ว สนามเล็กลงไปเยอะเลย”

“เอ้อ พูดถึงต่อเติมบ้าน เกือบลืมไปเลย คุณย่าให้ช่อมายกน้ำไปให้ช่าง ฝนน่ะชวนคุยจนเพลินเลย” ช่อผกาแกล้งโยนความผิดให้เพื่อน ก่อนจะหันไปคว้าถาดพลาสติกออกมาวางขวดน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบลงไป แล้วก็เป็นเวลาเดียวกับที่กลิ่นหอมๆ ของหมูปิ้งที่ถูกอุ่นจนร้อนลอยเข้ามาเตะจมูกเธอพอดี หญิงสาวยกถาดขึ้นมาก่อนจะเอนตัวไปหาคนข้างๆ

“หอมจังเลย เดี๋ยวมากินด้วยนะ ห้ามกินหมดล่ะ เดี๋ยวอ้วนจนกางเกงปริไม่รู้ด้วย”

“ช่ออ้ะ ฝนบอกว่าฝนไม่อ้วนไง” แล้วคนถูกแกล้งก็ต้องตะโกนไล่คนช่างแกล้งที่วิ่งปรู๊ดหนีไปอีกตามเคย เด็กรับใช้สาวถอนหายใจ ดูท่าว่า...ตัวแสบของบ้านจะไม่ได้มีคนเดียวเสียแล้ว

...

ผู้บริหารหนุ่มที่ผันตัวมาเป็นวิศวกรชั่วคราว...เรียกว่าเป็นงานบังหน้าดูจะเห็นภาพชัดกว่า เพราะเอาเข้าจริงๆ ความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่การเช็กรายละเอียดของการฉาบฝาผนังด้านนอกอาคารที่ช่างกำลังทำกันอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่กลับไปอยู่ที่หญิงชราสองคนที่กำลังนั่งชมนกชมไม้โน่นต่างหาก ธามหันมองไปที่สวนหย่อมทุกๆ สามวินาทีอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ได้มีคนที่เขาตามหาอยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ คนตัวสูงสะบัดลมหายใจด้วยความหงุดหงิด

“หายไปไหนวะเนี่ย”

ความไม่ได้ดั่งใจทำให้คนใจร้อนเริ่มออกตามหาคำตอบ ขายาวก้าวฉับๆ หมายจะกลับเข้าไปในตัวบ้าน แต่ไปได้ไม่ถึงครึ่งทางดี พอหักเลี้ยวที่มุมตึกก็ทำให้เขาประจันหน้ากับสาวน้อยเสิร์ฟน้ำ ที่เดินเข้ามาพอดีอย่างไม่ทันได้ระวัง

“ว้าย!” สาวร่างบางร้องเสียงหลงเพราะเกือบจะชนกับคนที่โผล่ออกมาจากมุมตึก หัวใจของเธอตกวูบลงอย่างไม่อาจจะคว้าได้ทัน ทันทีที่จิตใต้สำนึกบอกกับสมองว่าเขาเป็นคนที่เธอไม่ควรเข้าใกล้ ความตกใจสั่งให้เธอเด้งตัวหลบอัตโนมัติ ถาดที่ถือมาถูกปล่อยลงจนขวดน้ำกระจัดกระจายไปตามพื้น แต่นั่นยังไม่เท่ากับที่ร่างอรชรของเธอถอยไปปะทะกับนั่งร้านเหล็กที่ตั้งอยู่ข้างหลังเข้าอย่างจัง

ความแข็งแรงของนั่งร้านที่มีไว้ให้ช่างปีนขึ้นไปเพื่อทำงานในที่สูงนั้น หาได้ถูกบั่นทอนเพราะแรงกระแทกเพียงน้อยนิดของหญิงสาวไม่ อาจจะมีเหล็กตามข้อต่อเคลื่อนที่บ้างเล็กน้อย แต่สภาพของอุปกรณ์ก่อสร้างชิ้นนี้ยังคงดีอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะพังคลืนลงมาแต่อย่างใด

คนตัวเล็กกำลังจะถอนหายใจที่ความซุ่มซ่ามของเธอไม่ได้ทำให้ข้าวของเสียหาย แต่แล้วใครอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ตะโกนดึงความสนใจไปเสียก่อน

“หัว!”

ช่อผกาหันมองต้นเสียงด้วยความตกใจระลอกสอง ก่อนที่เอวบางของเธอจะถูกตวัดรัดเข้าแนบกับร่างกายของคนพูด พร้อมกับที่ท่อนแขนหนากดศีรษะเธอให้เข้าไปซุกอยู่กับอกแกร่งโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

เคล้ง!  

เสียงคล้ายโลหะกระทบพื้นคอนกรีตเรียกให้คนที่ถูกกอดรัดหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเกรียงเหล็กสี่เหลี่ยมที่ใช้ในการฉาบปูน ตัวต้นเหตุของเสียงนอนแผ่หลาสบายใจเฉิบอยู่บนพื้น คงเป็นเพราะแรงกระแทกของเธอเลยทำให้มันเลื่อนหล่นลงมาจากข้างบนแน่ๆ คิดแล้วก็ขนลุก ถ้าลงกลางหัว! มีหวังได้สมองไหลแน่ช่อผกาเอ๊ย

แต่เดี๋ยว!...แล้วทำไมถึงไม่ลงกลางหัวล่ะ คนตัวเล็กดึงสติกลับมาที่แผงอกหนาตรงหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่กดสายตาลงมาด้วยสีหน้า...ไม่สบอารมณ์

หญิงสาวเบิกตากว้างวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบผละออกจากอ้อมกอดของเขา และแน่นอนว่า...เขาก็ยอมคลายกอดนั้นออกแต่โดยดี

“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ เอ๊ย! ขอโทษค่ะ”

ความหวั่นใจทำให้คนตัวบางสับสนว่าเธอควรจะเอ่ยคำขอบคุณที่เขาเข้ามาช่วยเธอเอาไว้ได้ทันดี หรือควรจะเอ่ยคำขอโทษที่ทำให้เขาต้องเดือดร้อนดี

เจ้าของแววตาดุตรงหน้ากระตุกคิ้วเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หาได้เอ่ยตอบรับใดๆ ไม่

ช่อผกาส่ายหน้าไปมา เพราะไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี แต่แล้วสายตาของเธอก็พลันไปสะดุดเข้ากับ...“เลือด!”

มือบางเอื้อมไปคว้าท่อนแขนคนตรงหน้าที่เลือดกำลังไหลจากข้อศอกยาวไปจนถึงปลายนิ้ว “คุณธาม! คุณเลือดออกนี่คะ”

เจ้าของดวงหน้าหวานช้อนสายตาขึ้นเพื่อส่งแววตาห่วงใยไปให้พร้อมกับคำพูด ทว่า...ความห่วงใยของเธอกลับเข้าไปไม่ถึง...หัวใจของเขา

“อย่ามายุ่ง!”

ท่อนแขนที่เปื้อนเลือดสะบัดเต็มแรงจนมือบางที่จับเอาไว้ถูกเหวี่ยงลอยไปในอากาศ ธามตวัดสายตาร้อนรุ่มไปหาดวงหน้าที่ฉายความตะลึงงันอยู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินหนีไปโดยไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นต่อจากนั้นอีกเลย

ช่อผกายืนมองคนตัวสูงที่เดินหายเข้าประตูด้านหลังของบ้านไป แววตามีคำถามยังคงทอดยาวไปหาเขา เช่นเดียวกับความสับสนที่เริ่มเดินวนไปวนมาในห้วงการตรึกตรอง ผู้ชายคนนั้น...เป็นคนแบบไหนกันแน่ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เขากระโดดเข้ามาช่วยเธอโดยไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องเจ็บ แต่กลับปฏิเสธความห่วงใยของเธออย่างไม่ไยดีในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนั้น

เขาคงช่วย...เพราะมนุษยธรรม แต่การปฏิเสธนั้นก็คงไม่พ้น...ความเกลียดที่ตรงดิ่งออกมาจากกระดูกดำแน่ๆ!

“คนอะไร ผีเข้าผีออก จะช่วยดูแผลให้ตอนนี้ก็ไม่ให้ช่วย แล้วถ้ามาทวงบุญคุณตอนหลังจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย...เฮ้อ”

 

สองมือเล็กหอบหิ้วกล่องปฐมพยาบาล ช่อผกาเดินไปทั่วบ้านเพื่อตามหาใครบางคน หญิงสาวเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง ก่อนยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นประตูห้องห้องหนึ่งเปิดอยู่ เธอพาของในมือตรงไปยังจุดมุ่งหมายพร้อมกับความหวัง ก่อนจะโผล่หน้าเข้าไปหาคนในห้อง

“มาลี ช่อวานอะไรหน่อยสิ”

เสียงเรียกของเพื่อนที่คนถูกเรียกเริ่มจะคุ้นหูเบรกคนที่กำลังทำความสะอาด อุปกรณ์เต็มไม้เต็มมือของเธอไว้ชั่วครู่

“ว่าไงช่อ”

ผู้ดูแลสาวเดินเข้าไปหาคู่สนทนา กล่องปฐมพยาบาลถูกยกขึ้นทักทายสายตาคนตรงหน้า “เอ่อ...วานไปทำแผลให้คุณธามหน่อยสิ เดี๋ยวช่อทำความสะอาดห้องนี้ให้เอง”

“มาลีทำไม่เป็นหรอกช่อ ทำไมช่อไม่ทำให้คุณธามเองล่ะ”

คนถูกถามย่นจมูกพร้อมกับพ่นลมหายใจ มาลีแล้วอ่านความรู้สึกนั้นได้ดี จึงส่งยิ้มบางๆ ให้

“ไม่ต้องกลัวหรอก คุณธามเธอก็โผงผาง โวยวายไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ แล้วใจดีน้า”

เป็นอีกคราที่คนรอบข้างเข้าใจว่าเธอเกรงฤทธิ์ของมนุษย์ผีสิงคนนั้นเพราะเหตุการณ์วันแรกที่เธอมาถึง ถ้าไม่กลัวว่าโลกจะร้อนไปมากกว่านี้ ช่อผกาอยากจะถอนหายใจทิ้งจนกว่าทุกคนรู้กันไปเลยว่า ‘คุณธามใจดี’ ที่พูดกันอยู่เนี่ย…ไม่มีตัวตัวจริงอยู่บนโลกใบนี้หรอก เชื่อสิ

   ช่อผกาจนใจที่จะอ้อนวอนต่อ เพราะเธอเข้าใจดีว่างานแบบนี้ก็ไม่ใช่ทางของมาลีอย่างที่เจ้าตัวพูดจริงๆ นั่นแหละ หรืออันที่จริง เธอควรจะมอบคำวิงวอนนั้นให้กับ...ผู้ชายคนนั้นเลยอาจจะดีกว่ารึเปล่า พอตัดสินใจได้อย่างนั้น คนตัวเล็กจึงเปลี่ยนไปเดินตามหามนุษย์ผีสิงที่สาบสูญ

เลือดไหลแบบนั้น ที่แรกที่เขาจะไป ก็คงไม่พ้น...ห้องน้ำ

ผู้ช่วยพยาบาลสาวเดินกลับลงไปที่ชั้นหนึ่ง และห้องน้ำที่ใกล้กับประตูหลังบ้านมากที่สุด คือจุดมุ่งหมายของเธอ แต่แล้ว...ยังไม่ทันที่เธอจะเดินไปถึง หยดน้ำที่มีเลือดผสมอยู่จางๆ บนพื้นก็หยุดการก้าวเดินของเธอเอาไว้เสียก่อน หญิงสาวเบนเข็มทิศทางของเธอให้เดินไปตามหยดน้ำที่หยดเป็นทางบนพื้นไปเรื่อยๆ จนพาเจ้าตัวมาสิ้นสุดอยู่ที่หน้าห้องโทรทัศน์

ช่อผกาแอบโผล่หน้าเข้าไปเช็กว่ามีคนที่เธอตามหาอยู่ในนั้นหรือเปล่า แล้วภาพชายร่างสูงที่นั่งอยู่กับแขนของโซฟาและกำลังใช้กำทิชชูในมือซับเลือดที่ยังไหลไม่หยุดจนเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาเริ่มเปรอะสีแดงเข้าให้แล้ว

คนหัวใจหวาดหวั่น ถอยกลับออกมาตั้งหลัก เธอจะพูดอย่างไรดีให้เขายอมให้เธอตอบแทนการช่วยเหลือจากเขาในครั้งนี้ ลองมาคิดดูดีๆ ระหว่าง...เสนอตัวทำแผลให้เพื่อชดเชยที่ทำให้ต้องลำบากกับเจรจาขอทำสัญญาว่าจะไม่มีการทวงบุญคุณเกิดขึ้นอีกในภายหลัง อันไหนมีเปอร์เซ็นต์ว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่ากันนะ ถ้าเป็นคนอื่นปฏิเสธ เธอก็คงจะขอโทษจากใจแล้วปล่อยให้มันผ่านไป คงไม่คิดมากทบหนึ่งทบสองแบบนี้ แต่เพราะนี่เป็นเขา ถ้าปล่อยไปเฉยๆ แบบนี้ล่ะก็ เกิดวันดีคืนดีคึกอยากจะทวงบุญคุณขึ้นมา เขาเล่นงานเธอไม่ยั้งแน่

“เอาไงดี เอาไงดี ช่อผกาเอาไงดี ต้องพูดยังไงเขาถึงจะยอม คิดสิคิด”

นิ้วเรียวเล็กจิ้มลงที่ข้างศีรษะราวกับจะสั่งการให้มันเร่งมือทำงานให้ได้ดั่งใจ ขอตรงๆ คนอย่างเขาไม่มีทางยอมหรอก ถ้าอย่างนั้นก็...ลองแบบนี้ดูละกัน

มือหนากำกระดาษทิชชูที่เริ่มเปียกชุ่มเอาไว้แล้วค่อยๆ กดลงซับเลือดที่ซึมออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ล้างก็แล้ว เช็ดก็แล้ว ไม่ยอมหยุดสักที เริ่มจะหงุดหงิดมากขึ้นทุกทีแล้วนะเนี่ย คนใจร้อนขบฟัน แต่ที่น่าหงุดหงิดมากกว่าไอ้แผลบ้านี่ คือตัวเองมากกว่า อุตส่าห์ไปขู่เอาไว้เสียดิบดี แต่ดันกระโจนเข้าช่วยเขา ทำตัวเป็นฮีโรใจดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ไอ้ธามนะไอ้ธาม เสียภาพผู้ทรงอำนาจหมด ใจบ้านี่ก็เหมือนกัน เผลอนิดเผลอหน่อยทำตัวนอกเหนือคำสั่งทุกที คนโมโหบ่นตัวเองในใจ ก่อนจะรู้สึกถึงเงาของใครบางคนที่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้

ชายหนุ่มละสายตาจากแผลที่ท่อนแขนขึ้นมองเจ้าของเงาจางๆ ที่ทอดลงบนตัวเขา สาวน้อยเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้มใดๆ หากแต่ยังสามารถกระตุ้นนักวิ่งมาราธอนที่อยู่ในอกซ้ายของเขาให้ตื่นขึ้นมาฟิตซ้อมได้อีกครั้ง

“ฉันทำแผลให้ค่ะ” กล่องปฐมพยาบาลในมือเธอถูกชูขึ้นมาพร้อมคำพูด

“ไม่ต้อง” เสียงตอบกลับของเขานิ่งยิ่งกว่าใบหน้า แต่หัวใจกลับแทบบ้าเพียงแค่ได้ยินเสียงของเธอ

ธามเลื่อนสายตากลับไปที่บาดแผล เกรงว่าถ้าสบตานานกว่านี้ แววตาของเขาอาจจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอก็เป็นได้

ช่อผกานิ่งมองการตอบกลับอย่างเฉยชาของเขา เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด หญิงสาวลอบถอนหายใจเบาๆ ว่าแล้วว่าถ้าขอกันตรงๆ เขาไม่มีทางยอม

ถ้าอย่างนั้นก็...แผนสองเลยละกัน

“ให้ฉันทำแผลให้เถอะค่ะ ฉันจะได้ไม่รู้สึกติดหนี้บุญคุณคุณ แล้วอีกอย่าง คุณก็จะได้ไม่รู้สึก...” คนฟังช้อนสายตาขึ้นสบเพื่อรอคำตอบ “...เสียเซลฟ์ ที่เข้ามาช่วยคนที่คุณเกลียดอย่างฉันอย่างไม่ได้ตั้งใจ”

แววตาที่ประสานอยู่กระตุกเล็กน้อยกับคำพูดของเธอ ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบแก้ตัวพัลวัน

“ฉันไม่ได้รู้สึกเสียเซลฟ์ แล้วที่ฉันช่วยเธอก็เพราะว่า...” คำพูดของเขาขาดห้วง เพราะการประมวลผลของสมองที่หาข้ออ้างให้ตัวเองไม่ทัน

คนตัวบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นอย่างขอคำตอบ พร้อมกับส่งแรงกดดันตามไปเพิ่ม “เพราะว่าอะไรคะ”

“เพราะว่า...ฉันไม่อยากให้มีใครได้รับบาดเจ็บในพื้นที่การปฏิบัติงานของบริษัทดีเอสพี”

   เธอไม่รู้ว่านั่นเป็นคำตอบจริงๆ ของเขาเลยหรือเปล่า แต่มันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพราะคำตอบของเขาตอนนี้ ก็ถือว่าเข้าทางเธอไม่น้อย ช่อผกาอมยิ้มเล็กๆ อย่างพอใจ

   “ถ้าอย่างนั้น คุณก็ยิ่งต้องให้ฉันทำแผลให้คุณใหญ่เลยนะคะ เพราะการที่มีคนเลือดตกยางออกในบ้าน แต่ไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้อง ก็ถือว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ในพื้นที่การปฏิบัติงานของฉันเหมือนกันค่ะ กรุณาให้ความร่วมมือด้วยนะคะ” ไม่ว่าเปล่า มือบางคว้าท่อนแขนที่เป็นรอยแผลเข้าไว้ในอาณัติ ก่อนจะออกแรงดึงเบาๆ ให้คนที่ยังงงๆ กับคำพูดเขยิบตัวตามการเดินของเธอให้ลงมานั่งบนโซฟาในตำแหน่งข้างๆ กัน หญิงสาวเปิดก่อนปฐมพยาบาลออกมา ก่อนจะเริ่มทำหน้าที่อย่างคล่องแคล่วและระมัดระวัง

“เจ็บไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากบาดแผลที่เธอพยายามกดเพื่อห้ามเลือด

ทว่าดูเหมือนคำถามจะไม่ได้เข้าหูคู่สนทนา เพราะตอนนี้ไม่มีเสียงใดจะดังไปกว่าเสียงหัวใจที่กำลังตีกลองร้องลั่นอยู่อีกแล้ว ไม่ว่าจะสั่งการอย่างไร ดวงตาของเขาก็ไม่อาจละสายตาไปจากดวงหน้าสวยตรงหน้าได้เลย

“โอ๊ย” เสียงห้าวอุทานลั่น เพราะความเจ็บแปล๊บที่วิ่งเข้าชนจนทำให้เขาต้องหลุดจากห้วงภวังค์ แขนที่เจ็บอยู่ถูกชักกลับอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ขอโทษค่ะ ฉันคงกดแรงไปหน่อย ก็เห็นว่าคุณไม่ตอบ เลยคิดว่าไม่เจ็บ”

นัยน์ตาดำสนิทเหลือบมองคนพูด เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่เธอพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง หรือเธอตั้งใจจะแกล้งเขากันแน่

“แผลคุณนี่ก็ลึกเหมือนกันนะคะ ฉันว่าถ้าลึกกว่านี้อีกนิดเดียว อาจจะต้องเย็บเลยก็ได้” ผู้ช่วยพยาบาลสาวยังคงทำหน้าที่ต่อ

“เย็บ? เป็นหมอรึไง อยู่ๆ จะมาเย็บแผลคนอื่น”

คนกำลังทายาให้ช้อนสายตาขึ้นมองคนปากร้าย ตามด้วยการกดยิ้มบางๆ “ถ้าฉันเย็บได้ ฉันก็คงไม่เย็บแผลคุณหรอกค่ะ เย็บปากคุณเลยน่าจะดีกว่า”

“อะไรนะ”

เพราะคำยอกย้อนที่ไม่เข้ากับรอยยิ้มและเสียงเรียบเบานั้นทำให้คนฟังถึงกับไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินผิดเพี้ยนไปรึเปล่า ช่อผกาฟังแล้วแอบลอบยิ้ม ก่อนจะทำเป็นไม่ได้ยินคำถาม แล้วดึงเข้าเรื่องอื่นแทน

“คุณเคยฉีดวัคซีนกันบาดทะยักแล้วใช่ไหมคะ” คนตรงหน้าพยักหน้าสองสามที “ดีแล้วค่ะ แต่น่าจะฉีดยากันบ้าด้วย”

แล้วครั้งนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มแน่ใจในทันที ภายใต้รอยยิ้มและเสียงหวานๆ เขย่าหัวใจนั้น เธอแอบฟาดฟันเขาด้วยคมมีดที่ซุกซ่อนเอาไว้ ชายหนุ่มนิ่งมองมือเรียวที่กำลังปิดแผลที่แขนให้เขาอย่างเบามือ ชอบลอบจิกกัดนักใช่ไหม รอให้ทำแผลเสร็จก่อนเถอะ…เดี๋ยวรู้กัน

ธามอมยิ้มพลางใช้สายตาลูบไล้ไปตามใบหน้าสวยที่กำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่โค้งสุดท้ายของเธออยู่ คิ้วเรียวสวยที่สีของมันตัดกันกำลังดีกับผิวขาวเนียนละเอียดของเธอ แพขนตาที่ถูกยกขึ้นยกลงตามการกะพริบ จมูกโด่งได้รูปที่เชิดรั้นหน่อยๆ นั้นน่าจะบอกใบ้ความแสบของเธอให้เขาได้รู้ก่อนหน้านี้แล้วแท้ๆ

ชายหนุ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่า ที่เขามีโอกาสได้สัมผัสดวงหน้าสวยในระยะใกล้แค่เอื้อมมือขนาดนี้...แม้มันจะเป็นเพียงแค่การสัมผัสด้วยสายตาก็ตามที กระนั้นก็ทำให้เขาตื่นเต้นได้อย่างบอกไม่ถูก คนหัวดื้อไม่อยากจะยอมรับกับตัวเองเลยจริงๆ ว่าเขาสับสนในความรู้สึกทุกครั้งเพียงแค่คิดถึงเธอคนนี้

สิ่งที่เธอทำ...มันทำให้เขาเกลียด แต่สิ่งที่เป็นตัวเธอ กลับทำให้เขาห้ามความต้องการบางอย่างในหัวใจได้ยากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บ่อยครั้งที่เธอทำให้เขายอมทำในสิ่งที่ปากบอกว่า...ไม่ เพราะหัวใจโดนจูงให้บอกว่า...ใช่ เอาง่ายๆ เสียงอย่างนั้น

เธอปรากฏตัวได้เมื่อเพียงแค่เขาหลับตาลง ซึ่งนั่นแหละ สาเหตุใหญ่ที่ทำให้เขาหยุดคิดเรื่องราวของเธอไม่ได้ ทั้งที่งานมากมายจะกองอยู่ตรงหน้า เธอทำให้เขายอมฝ่าความเบื่อหน่ายอันดับต้นๆ ของวัน กลับมาบ้านด้วยข้ออ้างที่...ฟังดูงี่เง่าจนไม่น่าให้อภัย แถมพอมาถึงยังกระวนกระวายตามหาเธอ ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าที่ไม่ได้รับยามาสามวันอย่างไรอย่างนั้น

ถ้าจะให้พูดกันตามตรง มันไม่ยากเลย ที่เสือร้ายทางธุรกิจที่ผ่านสนามรบมานักต่อนักอย่างเขาจะหาวิธีพลิกหน้าตลบหลังให้สัญญาของคุณย่าสูญเปล่า แล้วเหวี่ยงยายสิบแปดมงกุฎคนนี้ออกไปจากรั้วบ้านตอนนี้เลยก็ได้ แต่เขา...กลับไม่ทำอย่างนั้น สมองพร้อมที่จะสั่งการให้เขาทำได้ทุกเมื่อ หากแต่มันกับไม่กล้าพอที่จะต้านท้านความต้องการที่ไร้เหตุผลของหัวใจ

ความคิดที่ยืนอยู่ฝั่งหัวใจ พร่ำบอกเขาทุกวัน ว่าให้รอดูไปก่อน...รอดูไปก่อน ความเด็ดขาดของผู้บริหารสุดโหดกลับถูกดูดกลืนให้หายไป เพียงแค่ได้สบสายตากับดวงตาชวนหลงใหลคู่นั้น...เธอต้องมีเวทมนตร์อะไรสักอย่างซุกซ่อนอยู่เป็นแน่

ธามผละจากห้วงความคิดเมื่อเขาเริ่มรู้สึกว่าภารกิจของหญิงสาวตรงหน้ากำลังจะสิ้นสุดลง เธอกำลังใช้มือหนึ่งกดผ้ากอสที่วางเรียงเป็นแนวยาวตั้งแต่ข้อศอกจนเกือบถึงข้อมือเอาไว้อย่างเบามือ อีกมือหนึ่งกำลังควานหาเทปกาวสำหรับติดผ้ากอสในกล่องปฐมพยาบาล คนที่รอจังหวะเหมาะเจาะอยู่ อมยิ้มมุกปากทันที เมื่อตะกี้นี้ยอมให้หยิกแสบๆ คันๆ ตั้งสองสามที...ตอนนี้…ถึงเวลาเอาคืนบ้างแล้วล่ะ

มือหนาล้วงสมาร์ตโฟนในกระเป๋าขึ้นมากดเล่นด้วยมืออีกข้างที่ว่างอยู่ คล้ายจะทำทีว่าไม่ได้สนใจเรื่องตรงหน้า ก่อนจะแกล้งพลิกแขนไปมา ให้คนที่กำลังพยายามจะติดสก็อตเทปทำงานได้ยากยิ่งขึ้น แล้วมันก็ได้ผล เพราะเพียงไม่กี่ครั้งขยับแขนไปมา

“คุณธามคะ อย่ายุกยิกสิ มันติดสก็อตเทปลำบาก”

คนถูกว่าเลื่อนสายตาจากจอมือถือไปหาคนพูด “ยุกยิกอะไร เขยิบนิดๆ หน่อยๆ แค่นี้ทำไม่ได้แล้วเหรอ ทำไม่ได้ก็ออกไปสิ ลาออกไปเลย โรงพยาบาลเขารับผู้ช่วยที่ทำอะไรไม่เป็นอย่างเธอมาได้ยังไง”

ช่อผกาเหลือบตาขึ้นมองคนปากร้ายที่ใช้คำพูดทิ่มแทงเธออีกครั้ง สายตาของหญิงสาวเบี่ยงหลบอย่างจนใจจะเถียงต่อ ผู้ชายอย่างเขาต่อปากต่อคำไปก็เท่านั้น เธอคงหาคำพูดเชือดเฉือนที่รุนแรงมาต่อสู้กับเขาไม่ไหวหรอก ถ้าเธออยากจะสู้กับเขา มันก็คงมีแค่...ทำให้เขาเห็นเองเท่านั้น

“ถ้าคุณดิ้น ฉันก็ทำได้นะคะ แต่ว่ามันจะเป็นยังไงรู้ไหมคะ” ธามเลิกคิ้วให้เจ้าของคำพูด “มันก็จะเป็นอย่างนี้ค่ะ”

“โอ๊ย” ท่อนแขนหนาถูกชักกลับอีกครา พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ

ผู้หญิงใจร้ายกดยิ้มมุมปากสองข้างกลับมาให้พร้อมกับแววตาใจดีราวกับนางฟ้า นางฟ้าที่มีเทปกาวเส้นเล็กที่เธอเพิ่งจะดึงพรืดออกจากแขนของเขาเป็นหลักฐานยืนยันความเหี้ยมโหดอยู่ในมือเธอ สก็อตเทปสำหรับติดผ้ากอสถึงแม้จะไม่ได้เหนียวเท่ากับแบบที่ใช้ในงานด้านอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การกระชากมันออกอย่างรวดเร็วแบบนั้นจะไม่ทำให้มันกระชากขนแขนของเขาให้ติดออกไปด้วย

ธามลูบแขนป้อยๆ ส่งสายตาหวาดระแวงไปให้นางฟ้าในคราบนางมารที่นั่งอมยิ้มอย่างพอใจในผลงานของเธออยู่...อย่าให้พลาดบ้างก็แล้วกัน

“ถ้าคุณดิ้น ฉันก็จะติดได้ไม่ดี แล้วฉันก็ต้องแกะติดใหม่ มันก็จะเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ” ยัง ยังจะมาอธิบายอีก “ทีนี้ อยู่นิ่งๆ ได้แล้วใช่ไหมคะ...คุณธาม”

มือเล็กบางเอื้อมไปดึงเอาแขนกำยำมาทำหน้าที่ต่อให้เสร็จ และแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าขัดขืนหรือก่อกวนการปฏิบัติหน้าที่ของเธออีกเป็นครั้งที่สอง คนกลั้นขำเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่นิ่งมองเธออย่างไม่พูดไม่จา

โดยไม่รู้ตัวเลยว่า...นั่นเป็นการเล็งเป้าหมายของเสือร้ายที่กำลังจะ...ตะครุบเหยื่อ

“เสร็จแล้วค่ะ แผลยาวแบบนี้ ถ้าเริ่มแห้งมันจะตึงๆ นิดนึงนะคุณ อ้อ  แล้วก็อย่าโดนน้ำด้วย ถ้าแผลอักเสบขึ้นมาจะเรื่องใหญ่”

“ห้ามโดนน้ำ?”

“ค่ะ” คนตัวเล็กพยักหน้าตอบ ก่อนจะหันไปจัดเก็บอุปกรณ์ลงกล่อง

“แผลยาวขนาดนี้ ไม่ให้โดนน้ำแล้วจะอาบน้ำยังไง”

ผู้ช่วยพยาบาลสาวหันหน้ากลับมาหมายจะออกความเห็น แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการหันกลับมาเพื่อรับเอาคำถามที่ถูกส่งตามมาอย่างรวดเร็วนี้มากกว่า

“มาอาบให้ไหมล่ะ”

“คะ?” ช่อผกาถามย้ำอย่างไม่อยากจะเชื่อหู

“ฉันถามว่ามาอาบน้ำให้ฉันไหม”

แล้วประโยคต่อมาก็ตามมายืนยันก็ทำให้เธอรู้ว่า...ไม่มีอะไรน่าเชื่อมากไปกว่าหูตัวเองอีกแล้ว

“คุณก็อาบเองสิคะ ก็แค่ยื่นแขนข้างนั้นให้ไกลจากน้ำก็พอ”

“ทำไม่เป็นหรอก ยื่นแขนออกไปข้างนึงแล้วจะถูสบู่ยังไง” คนเจ้าเล่ห์ตอบกลับหน้านิ่ง “งั้นเอาอย่างงี้ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะยื่นแขนข้างที่เจ็บให้ไกลจากน้ำเหมือนที่เธอบอก แต่เธอช่วย...มาถูสบู่ให้ฉันหน่อยละกัน”

ช่อผกาตะลึงจนเรียวปากเปิดอ้า กะพริบตาปริบๆ ให้กับคำสั่งที่เธอเพิ่งได้รับ ถูสบู่ให้เลยเหรอ...ภาพเด็กชายตัวน้อยเล่นน้ำโชว์ปิกาจูที่เธอเห็นในวันนั้นถูกฉายขึ้นรางๆ ในหัวทันที

โอ๊ย จะบ้าตาย...ป่านนี้ปิกาจูแปลงร่างไปถึงขั้นไหนแล้วเนี่ย ช่อผกาหลุบสายตาลงต่ำ ซ่อนความเขินอายที่ร้อนผ่าวไปทั้งหน้า...เขาคงไม่ให้เธอทำจริงๆ หรอกใช่ไหม บอกมาสิว่าแค่พูดเล่น

“ฉันพูดจริงๆ นะ เย็นนี้ถ้าว่างแล้วไปหาฉันที่ห้องด้วย ฉันจะรอให้เธอมาช่วยอาบน้ำให้”

ฮือ…พระเจ้าไม่เคยรักช่อเลย

ธามกัดริมฝีปากล่างพร้อมกับฉายยิ้มร้าย มองคนเขินอายที่ก้มหน้างุด แล้วถ้าคิดว่าสิ่งที่เขาเตรียมไว้จัดการกับยายเด็กแสบคนนี้จะจบลงแค่นี้ล่ะก็...บอกเลยว่าคิดผิด เพราะถ้าแค่นี้ก็ไม่ใช่วิถีเสือธามแล้วล่ะ

“ทำไม ทำไม่เป็นเหรอ ผู้ช่วยพยาบาลอย่างเธอต้องได้เรียนมาสิ” คนตัวสูงโน้มเข้าหาคนที่กำลังก้มหน้าซ่อนสายตาอยู่ “อย่าให้ใครว่าได้ ว่าละเลยหน้าที่ ในพื้นที่การปฏิบัติงานของเธอล่ะ รับรองว่าครั้งนี้...ฉันจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”

ช่อผกากลืนน้ำลายดังเอื๊อก ไม่น่าไปทำไว้เยอะเลย เพราะคิดว่าเขาเกลียดคงจะไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ แต่ที่ไหนได้ ผู้ชายคนนี้น่ากลัวกว่าที่คิดเสียอีก

“กลิ่นอะไรน่ะ” เสียงทุ้มกับจมูกฟุดฟิดดึงสติให้เธอกลับเข้าสู่สถานการณ์ตรงหน้า ก่อนจะพบว่าใบหน้าเจ้าของเสียงนั้นอยู่ใกล้เธอจนเกือบจะใช้คำว่า...หายใจร่วมกันได้อยู่แล้ว

สาวร่างบางเอนตัวออกห่างทันที แต่นั่นก็หาได้ทำให้เจ้าของใบหน้าฉงนหยุดกิจกรรมของเขาไม่ จมูกโด่งเป็นสันยังคงเลื่อนตามเข้ามาใกล้ และดูเหมือนจะสนใจที่จะหาคำตอบมากกว่ารับรู้ว่าเขาและเธออยู่ในระยะห่างที่ล่อแหลมแค่ไหน

“กลิ่นยาทาแผลมั้งคะ” คนหัวใจเริ่มสั่นรีบช่วยหาคำตอบ

“ไม่ใช่”

“งั้นอาจจะเป็นกลิ่นของกินรึเปล่าคะ เพราะเมื่อตะกี้นี้...” เสียงพูดถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ เพราะดวงตาคมที่กำลังจ้องลึกลงมาในดวงตาของเธอ เขาอยู่ใกล้...ใกล้จนปลายจมูกจะสัมผัสกันอยู่แล้ว หัวใจดวงน้อยถูกเขย่าอย่างเป็นบ้าเป็นหลั่งเมื่อเธอเห็นเงาสะท้อนภาพตัวเองในตาของเขา

“เมื่อตะกี้นี้ทำไม” เสียงแผ่วเบาที่เอ่ยถามกำลังบังคับให้สมองของเธอทำงานทั้งที่เขาเพิ่งส่งความว่างเปล่าเขาไปยึดพื้นที่เอาไว้หมด

สาวน้อยที่กำลังถูกสะกดจิตค่อยๆ ขยับริมฝีปาก “เมื่อตะกี้นี้ ตอนที่ฉันเข้าไปในตา...เข้าไปในตาของ เอ๊ย  ไม่ใช่ค่ะ” คนได้สติรีบดึงสายตาหลบ “ฉันหมายถึง...เอ่อ...เมื่อตะกี้นี้ตอนที่ฉันเข้าไปในครัว ฝนกำลังอุ่นอาหารอยู่น่ะค่ะ เลยอาจจะเป็นกลิ่นอาหารติดมาก็ได้” คนลนลานรีบร่ายรวดเดียวจบ

“อ่าฮะ แต่ฉันก็ว่าไม่ใช่อยู่ดี”

ธามยกยิ้มมุมปากด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเท้าแขนทั้งสองข้างกับโซฟา แล้วโน้มตัวเข้าหญิงมากขึ้นอีก ทำทีตามหากลิ่นเจ้าปัญหาที่ว่านั้นอีกครั้ง คนตัวเล็กค่อยๆ ถอยทีละนิดๆ ตามการคืบคลานเข้ามาใกล้ของเขา แต่แล้วจู่ๆ มือหนาก็คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของเธอ

“อย่าหนีสิ ยังหากลิ่นไม่เจอเลย” ไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มออกแรงดันบาๆ ให้หลังของเธอเลื่อนไปชนกับแขนของโซฟาอีกด้านหนึ่ง การสัมผัสที่บอกเป็นนัยๆ ว่าเธอไม่อาจจะถอยหนีไปไหนได้อีก

คนตัวสูงไม่เอ่ยคำใดต่อ แต่กำลังวนจมูกไปตามใบหน้า ไล่ต่ำลงมาที่คองามระหง ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดไม่ได้บอกให้คนใต้บัญชาการรับรู้ถึงตำแหน่งของเขาเพียงอย่างเดียว แต่มันยังทำให้เธอขนลุกซู่ไปทั้งตัว หัวใจที่เมื่อกี้บอกว่าเต้นแรง ไม่เลย...มันเทียบกับตอนนี้ไม่ได้เลย

ช่อผกาหลับตาปี๋พร้อมกับกัดริมฝีปากเบาๆ อะไรกัน มันคืออะไรกันแน่...ความรู้สึกแปลกๆ ที่เขาพยายามใช้มันเล่นงานเธออยู่นี้ ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทั้งที่ตอนนี้ไม่มีส่วนไหนในร่างกายของเธอสัมผัสกับเขาเลยด้วยซ้ำ แค่ลมหายใจอุ่นๆ ยังเข้ามายึดการควบคุมหัวใจของเธอไปได้ขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าต้องจ้องตากับเขา ความรู้สึกมันจะปั่นป่วนขนาดได้

“ฉันว่าน่าจะเป็นกลิ่นแชมพู” อีกครา ที่เสียงของเขาปลุกสติให้กับเธอ

ผู้ดูแลสาวลืมตาขึ้นเมื่อรู้ว่าเขาได้คำตอบแล้ว และคิดว่าการจู่โจมที่อันตรายนี้กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า แต่ในระหว่างทางที่ความโล่งใจกำลังจะเดินทางมาถึง คำพูดของผู้ชายร้ายกาจก็เข้ามาสะกัดเอาไว้เสียก่อน

“เอ๊ะ  หรือว่าจะเป็นกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม”

คนตัวโตเขยิบเข้าใกล้เธอมากขึ้นไปอีก การสำรวจที่วาบหวามของเขากำลังไล่ลงมาตามเรือนร่างอรชรจนเสือร้ายรับรู้ถึงความสั่นไหวของคนตัวเล็กได้ดี

“หอม...” เสียงกระเส่าเข้าล้อเล่นที่ข้างหู “ช่อผกา ฉันว่า...ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยหน่อยแล้วล่ะ”

ตาคู่สวยเบิกโตอีกครั้ง เช่นเดียวกันหัวใจที่สั่นแรงกำลังเขย่าร่างบางของเธอไปด้วย

“อะ อะ อะไรเหรอคะ”

สิ้นเสียง คนถูกถามก็สะบัดไออุ่นของลมหายใจเข้าปะทะที่ข้างแก้มใสของเธอ

“ฉันอยากให้เธอช่วย...” นิ้วเรียวขยำเอาชายเสื้อของตัวเอง ภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย ธามมองภาพตรงหน้าแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก “ช่วยหยิบรีโมตทีวีที่โซฟาตัวหลังให้ฉันหน่อย” ว่าแล้วก็เด้งตัวกลับไปพิงพักโซฟา ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นพาดบนเข่าอย่างสบายใจเฉิบ ราวกับเขาไม่ได้ทำเรื่องหมิ่นเหม่ใดๆ กับเธอเลย

“เร็วดิ อยากดูทีวีจะตายละเนี่ย” คนตัวโตที่นั่งเขย่าขาอยู่หันไปกระตุ้นหญิงสาวที่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เธอยังแน่นิ่งอยู่

ช่อผกาสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเขาอีกครั้งก่อนจะรีบกุลีกุจอคว้าเอาของที่เขาต้องการส่งให้อย่างไม่รอช้า และเพิ่งรู้สึกว่า คนเจ้าเล่ห์กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มเหลือร้ายที่กลั่นแกล้งเธอได้สำเร็จ มือบางรีบจัดการกับอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่เหลืออยู่ ก่อนจะเด้งตัวขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว

พาตัวเองออกไปจากสถาการณ์ที่อันตรายต่อความรู้สึกนี้ให้เร็วที่สุดคือสิ่งแรกที่เธอต้องทำ

“ฉันไปเตรียมอาหารกลางวันให้คุณย่าก่อนนะคะ”

คนฟังที่กดเปลี่ยนช่องทีวีไปมาพยักหน้าอย่างลอยหน้าลอยตา เริงร่าบนชัยชนะของเขา

แม้หญิงสาวจะอยากตอบโต้มากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอรู้ดีว่าถ้าเล่นเกมนี้ ให้ตายอย่างไรเธอก็ไม่มีวันชนะเขาได้แน่...ฝากเอาไว้ก่อนละกัน

ช่อผกาคว้ากล่องปฐมพยาบาลแล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากห้องทีวีทันที และยังไม่ทันจะได้พ้นประตูไปเท่าไรนัก เสียงหัวเราะชอบใจของคนข้างในก็ไล่มาตามหลังมาเยาะเย้ยซ้ำ หญิงสาวสะบัดหน้ากลับไปย่นจมูกใส่ประตูที่ถูกปิดไว้ แต่แล้วเสียงตะโกนที่ส่งกลับมาให้ก็ทำให้เธออยากจะเปิดประตูแล้วกรี๊ดใส่ ให้คนข้างในหูแตกตายไปเลย

“อย่าลืมนัดคืนนี้ของเราล่ะ”

ไม่ไป

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น