9

ตอนที่ 8


ช่อผกาที่สมองยังคงวิ่งวนอยู่กับเรื่อง...นัดคืนนี้ พาร่างที่หนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูกให้เดินกลับไปตั้งหลักที่ห้องครัวหลังจากเอากล่องปฐมพยาบาลไปเก็บไว้ที่เดิมแล้ว คนตัวเล็กหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ที่ว่างอยู่โดยไม่สนใจคำเอ่ยทักจากเพื่อนอีกสองคนที่กำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับอาหารอันโอชะในมือเลย

ไม่ใช่ไม่สน แต่การจดจ่ออยู่กับความคิดในหัวทำให้เธอถึงกับหูดับ ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดเลยนอกจาก

‘อาบน้ำให้ฉันไหมล่ะ’

ประโยคสยองขวัญที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาท และดีไม่ดีอาจจะพาลทำให้เธอมีอาการทางจิตเอาง่ายๆ ถ้ายังล้างมันออกจากสมองไม่ได้แบบนี้

“ช่อ ช่อ” มาลีลองเรียกเพื่อนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่การตอบกลับด้วยอาการไม่ไหวติงของคนถูกเรียกนั้นทำให้คนเรียกต้องหันไปส่งใบหน้าฉงนให้ผู้ร่วมห้องอีกคนแทน ฝนมองกลับมาลีด้วยสีหน้าไม่ต่างกัน ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินไปสะกิดคนเหม่อลอยให้โรยตัวกลับลงมาเหยียบพื้นโลก

“ช่อ

“ว๊าย  อาบน้ำ ถูสบู่ๆ” สองมือบางรีบยกขึ้นปิดปากเอาไว้ทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเผลอหลุดอะไรออกมา

“อาบน้ำถูสบู่อะไรช่อ” คำถามเคล้าเสียงหัวเราะของฝน อันมีต้นเหตุมาจากคำอุทานที่ฟังดูแปลกประหลาดและหาที่มาที่ไปไม่ได้ของเพื่อน

ช่อผกาที่สติประทับร่างแล้ว ยิ้มอย่างเขินๆ พลางมองไปที่เพื่อนสองคนที่กำลังหัวเราะจนตาแทบปิดเพราะความเปิ่นของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจไปเท่าไรนักกับเรื่องที่หนักอกอยู่นี้

“ตกลงอาบน้ำถูสบู่อะไรช่อ คิดเรื่องอะไรอยู่ถึงอุทานออกมาแบบนั้น” มาลีที่กำลังเคี้ยวหมูปิ้งอยู่อย่างเมามันเอ่ยถามคนตัวเล็ก

“ก็...ก็ไม่มีอะไรหรอก ช่อแค่ร้อน เลยคิดว่าอยากจะอาบน้ำ” หญิงสาวแก้ต่างไปส่งๆ แล้วรีบตัดบทสนทนา ก่อนที่เธอจะหลุดอะไรไปมากกว่านี้ “กินอะไรกันอยู่เหรอ หอมไปถึงข้างนอกเลย”

ฝนที่อยู่ใกล้ของที่ว่ามากที่สุด หยิบตัวแทนหมูปิ้งขึ้นมาไม้หนึ่งแล้วส่งให้คนถาม “ขนาดว่าหอมไปถึงข้างนอกนะ ยังไม่สามารถทำลายลูกโป่งแห่งความเหม่อลอยของช่อได้เลย”

“ฝนก็ ช่อก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” ...คิดจนสมองจะเปื่อยแล้วมากกว่า

คนตัวบางลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยกของกินในมือขึ้นลิ้มรส ความหวานละมุนของหมูปิ้งที่ถูกอุ่นให้ร้อนกำลังดีแผ่ซ่านไปทั้งปากจนคนกินพลันละเรื่องในหัวไปชั่วขณะ “อร่อยมากเลยอ้ะ เขาเรียกว่าอะไรเหรอ”

สองสาวหันมองกันด้วยใบหน้างงงวย ก่อนมาลีจะเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นด้วยอาการประหลาดใจที่ยังคงฉายชัดบนใบหน้า “หมูปิ้งไง ช่อไม่รู้จักเหรอ”

“ไม่อ้ะ เพิ่งเคยกิน ครั้งแรกเลยเนี่ย”

“บ้า ไปอยู่ไหนมาไม่เคยกินหมูปิ้ง”

คนถูกถามส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับฝนที่แทรกการสนทนาขึ้น ก่อนจะตอบกลับเสียงอ่อย “สิงคโปร์ แฮ่”

“สิงคโปร์ “

“ชู่ววว อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวก็โดนเอ็ดเอาหรอก” ช่อผการีบปราบสองสาวนักประสานเสียง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะหยุดความอยากรู้อยากเห็นของพวกเธอไม่ได้

“ทำไมช่อถึงไปอยู่สิงคโปร์เหรอ” มาลียื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วเริ่มซัก

“ช่อเกิดที่โน่น อยู่ที่โน่นมาตลอด แต่พอแม่เสีย ช่อก็เลยต้องกลับมาอยู่กับญาติที่นี่” ช่อผกาตอบกลับอย่างคล่องแคล่ว แน่นอน...เพราะนี่เป็นคำตอบที่เธอเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ก่อนจะกลับมาเหยียบเมืองไทย และใช้มันไขข้อข้องใจให้กับทุกคนมาตลอด

และครั้งนี้ก็ยังเป็นคำตอบที่ทำให้…มนุษย์ผีสิงนักดักฟังที่แอบอยู่หลังประตูครัวต้องกระตุกคิ้ว...ผิดคาด เขาคิดว่าเธอจะปกปิดคนอื่นเรื่องที่เธอเคยอยู่สิงคโปร์มาก่อน แต่นี่กลับไม่เลย เธอบอกคนอื่นได้อย่างไร้ซึ่งความกังวลใดๆ เลยด้วยซ้ำ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่า...คุณย่าก็ต้องรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน

“จริงๆ จะว่าไป ที่โน่นก็มีหมูเสียบไม้แล้วเอาไปปิ้งแบบนี้นะ แต่ก็ไม่ใช่รสชาติแบบนี้อะ อันนี้อร่อยกว่าเยอะเลย” คนที่ยังคงติดใจกับหมูปิ้งว่าพลางหัวเราะไปด้วย ก่อนจะรับเอาหมูปิ้งไม้ใหม่มาจากมาลีที่มาพร้อมกับคำถาม

“แล้วช่อมาอยู่เมืองไทยนานรึยัง”

“ก็หกเดือนกว่าๆ ได้แล้ว แต่ยังไม่เคยกินหมูปิ้งเลยนะ” สาวแก้มป่องที่เคี้ยวตุ้ยๆ ว่า “จริงๆ ก็ไม่เคยกินอะไรอีกเยอะเลย ช่อมาถึงที่เมืองไทยก็รีบสมัครเรียน ก็เลยได้ไปแต่ที่เดิมๆ กินแต่ของเดิมๆ ซะส่วนใหญ่น่ะ นี่ยังไม่เคยได้เที่ยวไหนเลยนะ มีแต่คนบอกว่าทะเลเมืองไทยสวยมาก...ก” สาวน้อยลากเสียงยาวก่อนจะตบท้ายด้วยยิ้มหวาน “ว่าจะลองเก็บตังค์ไปเที่ยวดูสักครั้ง”

เพื่อนสองคนยิ้มให้กับสาวน้อยคืนถิ่นตรงหน้าราวกับจะต้อนรับเธอสู่อ้อมกอดของแผ่นดินไทยอย่างเป็นทางการ ก่อนที่ฝนจะดันจานหมูปิ้งให้เลื่อนไปใกล้เธอ “ถ้าอย่างนั้นก็กินเยอะๆ เลยนะ ยังเหลืออีกเต็มเลย กินได้ถึงพรุ่งนี้โน่นละมั้ง ไม่รู้คุณธามซื้อมาทำไมตั้งเยอะแยะ”

และทันทีที่ชื่อของบุคคลอันตรายกระแทกเข้าหู ช่อผกาถึงกับกลืนฝืด จนต้องรีบทุบอกเบาๆ พลางกวักมือร้องหาตัวช่วย

“แค่กๆ ฝนๆ ขอน้ำหน่อย ธามติดคอ”

ในขณะที่คนถูกเอ่ยชื่อ มือระวิงรีบส่งน้ำให้เพื่อน แต่อีกคนที่ร่วมวงอยู่กลับรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างในประโยคเมื่อครู่ “เมื่อกี้อะไรติดคอนะช่อ”

ช่อผกาวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับการรอดพ้นจากวิกฤตเฉียดตาย ก่อนจะเริ่มทบทวนคำพูดที่เธอเพิ่งทำหลุดออกไปพร้อมสติ ดวงตาคู่สวยต้องเบิกโตเมื่อคำตอบนั้นย้ำชัดในหัว หญิงสาวส่ายสายตาไปมาคล้ายจะพยายามหาทางออกให้กับตัวเอง แล้วก็...

“เอ่อ...ช่อจำไม่ได้แล้วอะ พูดว่าหมูติดคอมั้ง เดี๋ยวช่อไปหาคุณย่าก่อนดีกว่า ใกล้จะถึงเวลามื้อเที่ยงแล้วด้วย เดี๋ยวเจอกันนะ”. แฮ่ ..ชิ่งสิ รออะไร

สุดท้ายคนที่จิตใจไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ก็ต้องรีบปลีกตัวออกมาก่อน ขืนอยู่ต่อ มีหวัง...ได้หลุดความลับคำโตออกมาแน่ๆ คนตัวเล็กถอนหายใจซ้ำอีกครั้งอย่างโล่งอก เมื่อพาตัวเองมาถึงห้องรับประทานอาหารที่ถูกจัดเตรียมบางส่วนเอาไว้เสร็จสรรพ พร้อมสำหรับมื้อเที่ยง จะเหลือก็แค่ยกอาหารมาเสิร์ฟเท่านั้น

ช่อผกาเดินมองของที่วางเอาไว้บนโต๊ะอาหารอย่างคร่าวๆ คล้ายกับจะเช็กความเรียบร้อยอีกรอบ แต่แล้วจู่ๆ เสียงของแขกไม่ได้รับเชิญก็แทรกเข้าขัดสมาธิในการทำงานของเธอเสียก่อน

“เมื่อกี้...อาจจะแค่ติดคอ แต่ถ้าคืนนี้เธออาบน้ำให้ฉัน รับรองว่าเธอจะติดใจ”

หญิงสาวสะดุ้งโหยง ก่อนเรียวปากบางของเธอจะเปิดอ้าออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความชาเข้าแทรกซึมทั่วร่างจนคนตัวเล็กแข็งทื่อไปชั่วขณะ เสียงฝีเท้าที่ได้ยินชัดขึ้นเรื่อยๆ นั้นทำให้หัวใจดวงน้อยยิ่งสั่นระรัวโดยเจ้าตัวเองก็บอกสาเหตุไม่ได้ และวินาทีที่เธอเห็นเงาของเจ้าของเสียงทอดลงมาตรงพื้นที่ว่างข้างๆ

“อ้าว  ตาธาม กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมวันนี้เลิกงานเร็ว” เสียงของคุณย่าพริ้มเพราก็ตรงเข้าทุบมนุษย์หินให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง

“คุณย่าคะ” คนเสียขวัญรีบวิ่งจู๊ดเข้าไปประคองคุณย่า ก่อนจะลอบชำเลืองมองคนหลานที่ยืนอยู่ห่างจากตำแหน่งเดิมของเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว...ช่อผกาถึงกับเสียวหลังวาบขึ้นมาทันที เกือบโดนดีแล้วไหมล่ะ

ร่างสูงที่ตอนนี้สลัดชุดทำงานที่เปรอะเลือดออกแล้วเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดสบายๆ แทน หันไปยักคิ้วใส่ผู้ดูแลสาวให้เธอสะดุ้งเล่นอีกหนึ่งที ก่อนจะเดินไปเลื่อนเก้าอี้ตัวประจำให้กับคุณย่าพริ้มเพรา

“วันนี้ต้องกลับมาดูงานฉาบตรงส่วนต่อเติม ผมเลยถือโอกาสมาทานข้าวเที่ยงกับย่าด้วยไงครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมทิ้งให้เหงาอีก”

“ดีแล้วล่ะค่ะคุณธาม ว่างๆ ก็กลับมาทานกับคุณย่าบ่อยๆ สิคะ” เสียงนมผันที่กำลังกำกับให้สองสาวที่เพิ่งเข้ามา นำอาหารไปจัดวางบนโต๊ะ

“แล้วนี่แขนเราไปโดนอะไรมา ถึงได้มีแผลมาเยอะขนาดนั้นน่ะ”

คนถูกถามก้มลงมองแผลที่คุณย่าพูดถึง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยกยิ้มมุมปากให้กับสาวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

“โดนอะไรมา มันยังไม่น่าสนใจเท่า...คืนนี้ผมจะอาบน้ำยังไงเลยครับคุณย่า” ปากก็พูดกับคุณย่า หากสายตากลับไม่ละไปจาก...คนดูแลคุณย่าที่ก้มหน้างุดอยู่เลย

“คุณธามอย่าให้โดนน้ำนะคะ ถ้าแผลแห้งช้า อาจจะเป็นแผลเป็นได้”

“โห...เป็นแผลเป็นเลยเหรอนมผัน อย่างงี้สงสัยผมต้องหาคนรับผิดชอบซะแล้ว” คนเจ้าเล่ห์อมยิ้มกรุ้มกริ่ม “ดีไหมครับ...น้องช่อ”

และการถูกเรียกด้วยคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากผู้ชายคนนี้ พลันให้เธอเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็เหมือนโดนลูกโป่งน้ำที่ผสมยาชาเอาไว้ปาเข้าใส่เต็มแรงจนมันแตกโพละและซึมเข้าเล่นงานทุกอณูของร่างกายให้ไร้ความรู้สึกได้อีกครั้ง ก่อนยิ้มร้ายจะตามมาสะกิดให้เธอตื่นจากภวังค์

“เอ่อ...ช่อว่าทานข้าวกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นซะก่อน”

“ดีเหมือนกัน งั้นมาลีตักข้าวเลย”

ช่อผกาก้มหน้าพ่นลมหายใจใส่จานเปล่าตรงหน้าด้วยความเบาอก โชคดีนะเนี่ยที่การตัดบทครั้งนี้ คุณย่าพริ้มเพราคล้อยตาม...ลูกกวางที่กำลังจะโดนตะครุบเลยรอดกรงเล็บเสือมาได้อย่างหวุดหวิด

“ของช่อเอานิดเดียวพอนะมาลี” เธอเอ่ยกับเพื่อนสาวที่กำลังจะตักข้าวให้

“อ้าว ทำไมทานน้อยล่ะหนูช่อ”

สาวน้อยหันไปส่งยิ้มหวานให้กับคนหัวโต๊ะ “ช่อเพิ่งทานหมูปิ้งมาจากในครัวน่ะค่ะคุณย่า”

แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยิ้มหวานหรือเป็นเพราะว่าคำตอบ จู่ๆ เธอก็เห็นคนที่นั่งมองมาจากฝั่งตรงข้ามก็ระบายยิ้มจางๆ ขึ้นบนใบหน้าเสียอย่างนั้น

“หมูปิ้งเหรอ เอาจากไหน”

“เอ่อ…” ผู้ดูแลสาวอ้ำอึ้ง ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสายตาไปมองเจ้าของหมูปิ้ง ราวกับจะเช็กดูความปลอดภัยของชีวิตอีกครั้งว่าเธอควรบอกกับคุณย่าดีไหม แต่แล้วก็นับว่าโชคดีที่พระเจ้าไม่ใจร้ายกับเธอเท่าไรนัก จึงส่งสหายที่น่ารักมาช่วยชีวิตเธออีกแรง

“คุณธามค่ะ คุณธามซื้อมา” ฝนแทรกขึ้นตอบคำถามนั้นให้แทน

“พูดถึงหมูปิ้งแล้วก็คิดถึงเมื่อก่อนเลยนะคะ สมัยเด็กๆ คุณธามชอบมาก เวลากลับมาจากอังกฤษทีไร ร้องจะเอาแต่หมูปิ้งตลอด”

“ใช่เหรอนมผัน จำผิดแล้ว” ชายเดียวในโต๊ะรีบเถียงกลับคล้ายจะซ่อนอาการเคอะเขินหน่อยๆ ที่จู่ๆ ก็ถูกพูดถึงเรื่องวัยเยาว์ขึ้นมากลางโต๊ะ

“ไม่ผิดนา ย่ายังจำได้เลย เรากินเผ็ดไม่ได้เหมือนคนอื่น เลยชอบร้องจะกินแต่หมูปิ้งหวานๆ”

ธามเหล่ตามองสาวร่างบางที่แอบอมยิ้ม ก็แน่ล่ะ...เด็กชายธามตัวน้อยที่กินเผ็ดไม่ได้จนร้องจะเอาแต่หมูปิ้งหวานๆ ดูน่ารักน่าชังเสียจน...อยากจะยกมือฟาดหน้าผากสักฉาดใหญ่ๆ หมดกันภาพเสือธามที่สร้างเอาไว้

“ที่สิงคโปร์มีแบบนี้หรือเปล่าหนูช่อ”

“ไม่มีค่ะ มีแต่เป็นอีกแบบ...สาเทย์ไงคะ ที่เมืองไทยเหมือนจะเรียกว่า…สะเต๊ะรึเปล่าถ้าช่อจำไม่ผิด แต่ที่โน่นส่วนใหญ่จะใช้เนื้อไก่ ไม่ใช่เนื้อหมูแบบที่นี่น่ะค่ะ”

“เอ้อ แปลกดีเหมือนกันนะ วันหลังหนูช่อก็ทำอาหารสิงคโปร์ให้ย่าลองบ้างสิ ทำเป็นไหม”

“เป็นค่ะ เมื่อก่อนช่อเคยช่วยงานในครัวของโรงแรม ช่อทำเป็นหลายอย่างเลยนะคะคุณย่า เดี๋ยวเอาไว้ช่อลองทำให้คุณย่าชิมนะคะ” คนตัวเล็กคุยอย่างเข้าขากันดีกับผู้ใหญ่ จนคุณย่ายิ้มได้ไม่มีหุบ ก่อนที่ความคิดวูบหนึ่งจะวิ่งเข้ามาทักทายในสมอง ช่อผกาอมยิ้มหน่อยๆ แล้วหันไปหาคนที่นั่งเงียบฟังอยู่

“แล้วพี่ธาม…ล่ะคะ โตแล้วทานเผ็ดได้รึยัง ถ้ายัง ช่อจะได้ทำสูตรสำหรับ ‘เด็กน้อย’ เอาไว้ให้”

มือหนาที่กำลังตักผัดผักอยู่ถึงกับชะงัก ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองคนฉีกยิ้มกว้างที่เปลี่ยนมาถือไพ่เหนือกว่าแทน

“ไม่ต้อง ไม่กิน”

การปฏิเสธเสียงแข็งที่ช่อผกาพยักหน้าตอบรับด้วยยิ้มเยาะที่กวนเขากลับได้...แถมยังส่งแววตายียวนตามไปให้ จนฝ่ายตรงข้ามทนไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวใส่ แต่ความพ่ายแพ้ของเขายังไม่จบแค่นั้น เมื่อใครอีกคนที่อยู่ร่วมโต๊ะอยู่ด้วยนั้น ดันไม่อยู่ข้างเดียวกับเขาเสียนี่

“นี่ตาธาม เราก็พูดกับน้องให้มันดีๆ หน่อย ทีพูดกับสาวๆ ล่ะเสียงอ่อนเสียงหวาน”

“โหย คุณย่าครับ จะให้พูดแบบนั้นกับยายเด็กกะโปโลนี่นะเหรอ ไม่ไหวหรอก ขนลุก”

“ย่าพูดยังไม่ทันขาดคำ ว่าน้องอีกแล้ว แล้วหนูช่อเขาใช่เด็กกะโปโลที่ไหนกัน ทั้งสาว ทั้งสวย หรือเราจะบอกว่าเขาไม่สวย”

“เหอะ  ก็งั้นๆ น่ะ” คนปากไม่ตรงกับใจตอบกลับทันควัน

คุณย่าพริ้มเพราส่งสายตาตำหนิไปให้หลานชายตัวแสบที่พูดจาไม่ดูกาลเทศะ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แล้วหันไปหาสาวน้อยที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งแทน

“หนูช่อ ไม่ต้องไปสนใจฟังนะ หลานย่าคนนี้ บางทีก็บ้าๆ บอๆ แบบนี้แหละ”

“อ้าว  คุณย่า ทำไมพูดงี้อ้ะ” คนโดนว่าโพล่งขึ้นทันที แต่มีหรือที่การโวยวายครั้งนี้ จะถูกปล่อยให้แทรกกลางบทสนทนาได้ง่ายๆ

ช่อผกาชำเลืองมองคนตีโพยตีพายเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้กับคุณย่าพริ้มเพรา

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณย่า ช่อเข้าใจ” ว่าเสร็จก็หันกลับไปกดมุมปากเบาๆ พร้อมกับเลิกคิ้วให้กับผู้ชายตรงหน้าที่เพิ่งจะถูกเธอเพิกเฉยต่อคำพูดราวกับว่าเขาไร้ตัวตนอยู่ตรงนี้

ธามจ้องเขม็งกลับไปที่ยายจอมแสบ ความทรงจำในวันที่เธอปาเศษใบไม้ใส่หน้าเขาในวันนั้น พลันแวบเข้ามาในหัว เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย...ว่าภายใต้ยิ้มแสนหวานนั้น ที่จริงแล้ว...ยายเด็กบ้านี่ร้ายกาจขนาดไหน

มุมปากของชายหนุ่มกระตุกกลับไปให้บ้าง ร้ายได้ร้ายไป...รอให้ถึงคืนนี้ก่อน พี่ธาม...จะให้น้องช่ออาบน้ำให้...ทุกซอกทุกมุมเลยคอยดู

 

เรือนร่างอรชรทอดยาวอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ หมอนใบนุ่มที่ถูกสอดรองรับการเอนตัวของเธออยู่ด้านหลัง เสียงเครื่องปรับอากาศที่ปกติแทบจะไม่ได้ยินเสียง ทว่าความเงียบสงัดของห้องในตอนนี้ ทำให้เธอได้ยินเสียงการทำงานของมันได้อย่างชัดเจน หญิงสาวกวาดตามองรอบๆ ห้องเป็นครั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเท่าไหร่ ช่อผกามั่นใจว่าห้องนอนห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เธอเคยใช้มา

หญิงสาวเคยสงสัยอยู่หลายครั้งว่าผู้ช่วยพยาบาลที่ถูกจ้างให้มาดูแลคนในบ้านอย่างเธอ จำเป็นต้องมีห้องส่วนตัวที่ทั้งใหญ่และสะดวกสบายราวกับว่าเธอเป็นหนึ่งของสมาชิกในครอบครัวขนาดนี้เลยหรือ แต่พอลองมาคิดดูดีๆ ที่คุณย่าพริ้มเพราให้เธอใช้ห้องนี้ อาจจะเป็นเพราะเหตุผลด้านความสะดวกสบายในการทำงาน ที่เธอต้องดูแลคุณย่าตั้งแต่ท่านออกจากห้องนอนจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน ครั้นจะให้ไปอยู่ที่ตึกเดียวกับฝนและมาลีก็คงจะทำงานได้ลำบากกว่านี้เป็นแน่

ถึงกระนั้น ตอนมาแรกๆ เธอก็นึกแปลกใจอยู่อย่าง ว่าทำไมคุณย่าถึงให้เธอมาใช้ห้องว่างที่อยู่ติดกันกับห้องของหมอธัช ทั้งที่ควรจะเป็นอีกห้องหนึ่ง ที่อยู่ติดกับห้องของคุณย่าเสียมากกว่า แต่มาตอนนี้ หญิงสาวคิดว่าเธอเริ่มเข้าใจเหตุผลของคุณย่าแล้วล่ะ ก็เพราะห้องว่างอีกห้องนั้น ฝั่งขวาเป็นห้องของคุณย่าพริ้มเพราก็จริง แต่ฝั่งซ้ายนะเหรอ เป็นห้องนอนของหลานชายคนเล็กที่คุณย่าเองยังถึงกับออกปากว่าเขา...บ้าๆ บอๆ ขืนได้อยู่ติดกันละก็ มีหวังเธอคงต้องไปหาซื้อยันต์กันผีมาติดแทนวอลเปเปอร์แน่ๆ

“โชคดีแค่ไหนแล้วช่อผกา เอ๊ย...ย ที่ไม่ต้องอยู่ห้องนั้น” คนคิดเรื่อยเปื่อยบ่นพึมพำ

สาวร่างเล็กก้มลงมองหนังสือนิยายรักในมือที่ถูกอ้าค้างไว้ มาลีอุตส่าห์ให้ยืมมา เพื่อจะได้ใช้เป็นเครื่องแก้เหงาให้กับสาวน้อยผู้ไม่นิยมชมชอบละครหลังข่าวเพราะไม่รู้จักดาราคนไหนเลยอย่างเธอ แต่เอาเข้าจริงๆ นี่ก็เปิดอยู่หน้าเดิมมาร่วมชั่วโมงแล้ว อ่านบรรทัดนี้ ข้ามไปบรรทัดนั้น กระโดดไปบรรทัดโน้น ใจได้อยู่ที่หนังสือเสียที่ไหนล่ะ

นาฬิกาข้างฝาบอกเวลาสามทุ่มกว่า ใกล้เวลาที่เธอควรจะพักผ่อนเข้าไปทุกที แต่ไม่รู้ทำไมสมองของเธอกลับเหมือนถูกมัดให้ติดกับเรื่องนัดหมายของผู้ชายอันตรายที่ไม่กินเผ็ดคนนั้น เขาก็ไม่เห็นจะได้มาเรียกเธอสักหน่อย ดีไม่ดีอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

...ช่อผกาคิดเข้าข้างตัวเอง

   แต่ถ้าเขาไม่ได้ลืม แต่กำลังรอดูว่าเธอจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้อยู่ล่ะ อีกใจหนึ่งกำลังตะโกนแย้ง เขายิ่งเป็นพวกชอบเล่นแง่อยู่ด้วย ปกติเหมือนคนอื่นเขาเสียที่ไหน คาดเดาอะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย...แม้ว่าส่วนร้ายจะใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่าจนแทบจะมองไม่เห็นความดีเลยก็ตาม

 แล้วถ้าสมมุติว่าวันนี้เธอตีเนียนไม่ไปตามนัดของเขา เธอจะแน่ใจได้อย่างไรว่าถ้าผีเข้าอีกครั้ง เขาจะไม่กระโจนมางับหัวเธอด้วยข้อหา...ทำให้แขนเน่า  

ท่อนแขนบางรวบขึ้นกอดอก ขบคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องหนักสมองนี้ดี และเมื่อบวกลบคูณหารอัตราการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายดูแล้ว ผลลัพธ์ก็ตกผลึกชัดในความคิดของเธอ

ถ้ายังปล่อยให้คาราคาซังมีหวังคืนนี้ไม่ได้นอนกันพอดี เป็นไงเป็นกัน ก็เห็นรอดมาได้ทุกครั้งนี่นา ถ้าครั้งนี้มันจะไม่รอด ก็ให้รู้กันไป...ถ้าเขาคิดจะทำเรื่อง...อย่างนั้นล่ะก็ ช่อผกาคนนี้...จะกรี๊ดให้ลั่นบ้านเลยคอยดู

สาวร่างบางปิดหนังสือในมือลง วางมันเอาไว้ที่ข้างหมอน เธอเคลื่อนตัวลงจากเตียง ก่อนจะจัดชุดนอนให้เข้าที่ ภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกโต๊ะเครื่องแป้งดึงให้เธอหันไปมองเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยและมิดชิดของเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อีกครั้ง

เแขนเสื้อยาวถึงข้อศอก ตัวชุดยาวถึงหน้าแข้ง คอไม่คว้านลึกเกินไป เนื้อผ้าก็หนาพอ...โอเคแล้วล่ะ หวังว่าคงไม่มีส่วนไหนเล็ดลอดสายตาจนทำให้เธอโดนอีตาบ้าที่หลงตัวเองแถมมองโลกในแง่ร้ายสุดๆ คนนั้น หาว่าเธอไป...อ่อย เขาถึงห้องได้หรอกนะ

ช่อผกาสวมรองเท้าสลิปเปอร์และกำลังจะหันไปเปิดประตู แต่แล้วความคิดหนึ่งก็กระตุกสมองของเธอ

“เพื่อความปลอดภัย เราต้องมีอาวุธไปด้วยถึงจะถูก ใช่ ไปตัวเปล่าๆ แบบนี้ได้ยังไง ไม่ได้เด็ดขาด” คนตัวเล็กเริ่มกวาดสายตามองของทุกอย่างที่วางเอาไว้ในห้องทันที

มีอะไรพอจะเป็นอาวุธให้เธอได้บ้างนะ มันต้องไม่ใหญ่เทอะทะจนเกินไป แต่ก็ต้องมีอานุภาพร้ายแรงพอที่จะทำให้เธอรอดพ้นจากเงื้อมมือของคนเจ้าเล่ห์ได้

“หมอน? ใหญ่ไป หนังสือ? ก็ไม่แรงพอ ปากกา? หักทิ้งก็จบ แล้วอะไรดีละเนี่ย” คนคิดไม่ออกทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอีกครั้ง “มีอะไรบ้างที่จะกำราบคนอย่างเขาได้ในเวลาแบบนี้” คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน และก็เพียงไม่นานนักมันก็ถูกยิ้มกว้างเข้ามาแทนที่

“เฮ้ย  คิดออกแล้ว” ช่อผกาเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที ก่อนจะพุ่งพรวดออกประตูห้อง ตรงไปยังจุดมุ่งหมายที่ฉายชัดอยู่ในหัวของเธอ

มือบางคลำๆ ที่ข้างฝา ก่อนจะกดสวิตซ์ไฟให้เติมแสงสว่างเข้ามาในห้อง คนตัวเล็กอมยิ้มให้กับแผนการล่าสุดที่เพิ่งสะเด็ดน้ำมันมาสดๆ ร้อนๆ จนขาเรียวต้องรีบพาเธอให้มาหยุดอยู่ที่นี่...ห้องครัว

ดวงตาประกายแวววาวเริ่มมองหาของที่เธอตั้งใจจะใช้มันเป็นอาวุธเพื่อต่อกรกับเสือร้าย มีสิ...นี่ห้องครัวนะ มันต้องอยู่ที่นี่สิ สายตาของหญิงสาวพยายามไล่เรียงอย่างละเอียดถี่ถ้วนไปตามข้าวข้องต่างๆ ที่วางเอาไว้ และแล้วฟ้าก็เป็นใจ ความวาววับของโลหะที่กระทบแสงไฟก็สะท้อนเข้าสองตาของเธอพอดิบพอดี

ช่อผกาตรงเข้าไปคว้าเอาของที่เธอเพ่งเล็งอย่างไม่ละสายตาให้มาอยู่ในการครอบครองอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวจะว่าถูกใครแย่งไปอย่างไรอย่างนั้น และทันทีที่ของที่ว่าเข้ามาอยู่มือ รอยยิ้มของผู้เข้าใกล้ชัยชนะก็ผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่อาจจะเก็บซ่อนเอาไว้ได้อีกต่อไป

“กินเผ็ดไม่ได้ใช่ไหมคะ...ไอ้คุณพี่ธาม พริกไทยป่นนี่แหละ อาวุธลับของน้องช่อ ถ้าปากร้ายนักจะกรอกให้เผ็ดจนปากพอง ร้อนลามขึ้นลูกตา มึนไปถึงหัว เอาแบบเผ็ดจนเหมือนกินพริกทั้งประเทศเลยคอยดู” คนตัวเล็กขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “...แล้วถ้าคิดจะแก้แค้นฉันด้วยการรวบหัวรวบหางละก็...หึ  ปิกาจูได้ร้อนจนพ่นไฟได้แน่ เอาซิมา”

ประตูหน้าห้องถูกช่อผกานิ่งมองอยู่ร่วมสิบนาทีแล้วเห็นจะได้ เปลือกตายังคงกะพริบปริบๆ ถี่พอๆ กับความสั่นไหวอย่างหวาดๆ ของหัวใจ มือข้างหนึ่งจับอาวุธลับไว้แน่และเลื่อนมันไปซ่อนไว้ข้างหลัง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำลังเกาแก้มครืดๆ ลังเลครั้งสุดท้ายว่ามันคงจะไม่ใช่การฆ่าตัวตายทางอ้อมหรอกใช่ไหมที่เธอจะเข้าไปในนั้น

แค่คิดถึงวันที่เขาขู่อาฆาตว่าจะจับเธอถ่วงบ่อบัว รู้สึกเหมือนฉี่จะเล็ดขึ้นมาเฉยเลย

บ้าหน่า เขาแค่ขู่หรอก ใครจะไปทำอย่างนั้นจริง

ก็ผู้ชายชื่อธามไง ที่จะทำอย่างนั้น ลืมตอนที่แย่งนาฬิกากับเขาไปแล้วหรือไง แววตาจะกินเลือดกินเนื้อของเขาใช่เล่นที่ไหน แล้วไหนจะเรื่องที่ตามมาว่าถึงในครัวนั่นอีก ผีตัวเดียวกันชัดๆ สมองด้านเนกาทีฟ เข้าเขย่าขวัญอย่างรู้งาน ก่อนมือบางจะทำหน้าที่ยกขึ้นทุบศรีษะเบาๆ ไล่ความคิดนั้นออกจากหัว มาขนาดนี้แล้วจะมัวกลัวอะไร อาวุธลับก็มีอยู่ในมือแล้วนี่ไง อย่าไปกลัวเขา ประกาศศักดาให้รู้กันไปเลย ว่าฤทธิ์เดชของช่อผกาน่ะ ถ้าต้องสู้ขึ้นมา ก็สู้ยิบตาเหมือนกัน

ช่อผกาสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด เก็บกักพลังจากสิ่งรอบตัว เพิ่มแรงใจให้กับตัวเองอีกครั้ง แล้วก็...

ก๊อกๆๆ

“คุณธามคะ”

คนเรียกเบี่ยงสายตาซ้ายขวา แล้วเงี่ยหูฟัง แต่กลับ...ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

...เอาอีกครั้งไหมช่อ

ก๊อกๆๆ

“คุณธามคะ ช่อผกาเองนะคะ”

แล้วก็เหมือนเดิม ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากสิ่งมีชีวิตใดๆ ในห้อง คนตัวเล็กเขยิบเข้าไปแนบหูกับประตู ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าของคนเดินเข้ามาใกล้ด้วยซ้ำ

เอ๊ะ  หรือว่าเขาจะรู้ว่าเรามีอาวุธ

“ฉันไม่มีอาวุธนะคะคุณธาม” สาวร่างบางหลุดปาก ก่อนจะรีบยกมือขึ้นตีปากตัวเองเบาๆ “ไปบอกเขาทำไม บ้ารึเปล่า”

หญิงสาวมองประตูที่ปิดสนิท ไร้วี่แววว่าจะถูกเปิดออก มือบางยกขึ้นลูบไล้ริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัวด้วยอาการครุ่นคิด เผลอกัดนิ้วชี้ไปเบาๆ เพราะมัวแต่จดจ่อกับเรื่องในหัว

ก็มาแล้วไม่เปิดเองนี่นา เธอไม่ได้เบี้ยวนัดสักหน่อย ช่อผกาทำท่าจะคล้อยหลัง...แต่ถ้าเขาบอกว่าเธอไม่มีหลักฐานล่ะ คิ้วเรียวถูกดึงเข้าหากันซ้ำ อย่าลืมสิว่าศัตรูตัวฉกาจของเธอเป็นพวกชอบหาเรื่อง นักธุกิจหนุ่มไฟแรงวัยยี่สิบเก้า ตัวเก็งที่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ เธอเพิ่งเห็นสัมภาษณ์ของเขาในนิตยสารธุรกิจเมื่อไม่กี่วันก่อน อายุเท่านี้ ทำได้ขนาดนี้ เล่ห์เหลี่ยมคงแพรวพราวไม่น้อย

เมื่อคิดได้อย่างนั้น มือเรียวก็ยกขึ้นสัมผัสลูกบิดประตูอย่างเบามือ มาถึงขนาดนี้แล้ว เดินหน้าอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป อาวุธก็มีอยู่ในมือแล้วนี่ หญิงสาวยังคงคิดย้ำเรื่องอาวุธคล้ายจะสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง

ช่อผกาลองหมุนลูกบิดดูแล้วก็พบว่า...ประตูไม่ได้ล็อคเอาไว้ คนตัวเล็กหันมองซ้ายมองขวาตรวจทานอีกรอบว่ามีใครอื่นเห็นการกระทำที่อาจจะทำให้คิดไปไกลนี้อยู่หรือเปล่า เมื่อแน่ชัดแล้วว่าไม่ หญิงสาวจึงผลักประตูให้เปิดออก พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไป

“คุณธามคะ”

….เงียบจนคนเรียกไม่แน่ใจว่าเจ้าของห้องตายไปแล้วไหม

“คุณธาม คุณอาบน้ำรึยัง ฉันมาแล้วนะคะ” คนพูดหดศีรษะกลับเล็กน้อย สะดุดกับคำพูดประหลาดๆ ที่เธอพูดออกไปเมื่อครู่

มือบางยกขึ้นเกาศีรษะแกร็กๆ เมื่อกี้พูดเหมือนจะไปอาบน้ำกับเขาเลย บ้าจริง ไม่เอาแล้วพอๆ กลับห้องดีกว่า

“คุณธาม...ฉันมาแล้ว...ละก็กำลังจะไปแล้วค่ะ”

เสียงหวานส่งผ่านช่องประตูที่เธอแง้มไว้เข้าไปหาคนในห้อง เมื่อแน่ใจว่าเสียงที่เข้าไปนั้นดูจะซึมหายไปในอากาศแทนที่จะเข้าหูใครบางคน ประตูจึงถูกชักให้ปิดกลับ แต่ในตอนนั้นเองเสียงประหลาดที่มาจากในห้องก็ทำให้มือของเธอหยุดชะงัก คิ้วของหญิงสาวผูกกันเป็นเครื่องหมายคำถามทันที

เสียงของหล่นเหรอ แสดงว่าเขาอยู่ แต่ทำไมเรียกแล้วถึงเงียบ ผู้ช่วยพยาบาลสาวถือวิสาสะผลักประตูแล้วพรวดเข้าห้องไปอย่างไม่รอช้า

ภาพตรงหน้าช่วยหยุดเรียวขาของคนบุ่มบ่ามเอาไว้ ก่อนหญิงสาวจะพ่นความโล่งใจให้ตามออกมา “หลับหรอกเหรอเนี่ย”

คงเป็นเพราะความเคยชินที่ต้องทำงานกับคนป่วย คนชรามาตลอดช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ทำให้เรื่องผิดสังเกตเล็กๆ น้อยๆ ในลักษณะนี้ มักจะกระตุกต่อมเอะใจให้เธอต้องคิดไกลไปก่อนเสมอ ลืมไปว่าครั้งนี้ไม่ใช่คนเจ็บหนัก คนป่วย หรือว่าคนชราแต่อย่างใด แต่เป็นผู้ชายร่างกำยำที่มัดกล้ามอันโผล่พ้นแขนเสื้อยืดออกมารำไรนั้น บอกความแข็งแรงของเขาได้เป็นอย่างดี ไหนจะเรี่ยวแรงที่เขาใช้ดันเธอจนหลังชนตู้เย็นตอนนั้นอีก แข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเอาปืนมายิงจะตายรึเปล่า ไม่เห็นต้องกังวลว่าเขาจะเป็นอะไรเลย

คนตัวเล็กละความคิดแล้วเดินเข้าไปหาแฟ้มเอกสารต้นเหตุของเสียงที่เรียกเธอเข้ามา ซึ่งมันกำลังนอนแบะเพราะหล่นลงมากระแทกพื้น กระป๋องพริกไทยป่นถูกวางเอาไว้บนที่ว่างบนโต๊ะทำงานใกล้ๆ ส่วนเจ้าของโต๊ะน่ะเหรอ นอนฟุบแน่นิ่ง ถอดวิญญาณออกไปชนแก้วกับพระอินทร์แล้วล่ะมั้ง

แฟ้มเอกสารถูกเก็บขึ้นมาด้วยฝีมือของแขกผู้มาเยือน ช่อผกากวาดสายตาหาที่ว่างที่พอจะวางแฟ้มในมือได้ ก่อนจะตัดสินใจเดินอ้อมเอาไปวางอีกฝั่งนึงของโต๊ะแทน เพราะดูท่าแล้ว วางไว้ที่เดิม มีหวังได้หล่นลงมาอีกรอบแน่ๆ

“แฟ้มตกขนาดนี้ยังไม่ตื่น หลับลึกไปถึงแกนโลกแล้วมั้ง”

ได้ทีรีบต่อว่าคนหลับไม่รู้เรื่อง ช่อผกามองคนหลับตาพริ้มแล้วก็พลันยิ้มระคนหัวเราะออกมา

“ตอนหมดฤทธิ์นี่น่ารักกว่าตั้งเยอะ ไม่เห็นจะต้องทำดุ ไม่เท่เลยๆ”

นิ้วชี้เรียวส่ายไปมาตรงหน้าคนที่ฟุบอยู่กับโต๊ะราวกับผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็กในโอวาท ก่อนเจ้าตัวแอบยิ้มออกมา เพราะเธอคงมีโอกาสไม่มากที่จะได้ทำแบบนี้กับเขา

แล้วความคิดนั้นก็พาคนอยากรู้อยากเห็นเริ่มไล่สายตาไปตามของที่วางเอาไว้บนโต๊ะทำงาน อยากรู้จริง มุมทำงานของผู้บริหารบริษัทใหญ่เนี่ย เขามีอะไรกันบ้าง แฟ้มเอกสารมากมายที่วางกันอย่างยุ่งเหยิงบนโต๊ะ ดูแล้วคงจะถมกันมาหลายวัน โน๊ตบุ๊กถูกเปิดทิ้งอ้าซ่าเอาไว้ และแน่นอนว่า แบตหมดไปพร้อมๆ กับเจ้าของนั่นแหละ

“เหนื่อยมากละสิ งานหนักขนาดนี้ยังเอาเวลาไปเที่ยวหวาดระแวงคนนั้นคนนี้ได้ สุดๆ แล้วคุณเนี่ย” คนตัวเล็กว่าก่อนจะหันจะสายตาไปปะทะเข้ากับกรอบรูปไม้ขนาดพอๆ กับฝ่ามือที่วางอยู่มุมด้านหนึ่งของโต๊ะ สาวเจ้าเหล่ตามองชายหนุ่ม แล้วยิ้มอย่างแซ็วๆ ออกมา

“อั้นแหนะ  มีมุมอ่อนโยนกับเขาด้วย”

มือบางเอื้อมไปหยิบของที่ว่าขึ้นมาพินิจ ภาพถ่ายของเด็กชายวัยประถมกับพ่อและแม่ของเขา ไม่สิ...ผู้หญิงในรูปน่าจะเป็นป้าธารา ลูกสาวคนโตของคุณย่า ที่คุณย่าพริ้มเพราเคยบอกว่าเป็นคนพาเด็กชายธามตัวแสบไปเลี้ยงที่อังกฤษตั้งแต่เด็กๆ คนฝรั่งร่างสูงใหญ่คนข้างๆ นั้นก็คงไม่พ้นสามีของเธอ ช่อผกาเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเลื่อนความสนใจไปหาเด็กผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขา คิ้วของเธอย่นเข้าหากันเชิงตั้งข้อสันนิษฐาน

“นี่มัน...หมอนีน่านี่ นี่คุณรู้จักกับหมอนีน่าตั้งแต่เด็กเลยเหรอ” หญิงสาวหันไปถามคนที่หลับใหลทั้งที่รู้ดีว่าถ้าเขาเอ่ยตอบขึ้นมาจริงๆ เธอคงวิ่งออกจากห้องนี้แทบไม่ทัน

“ตั้งไว้บนโต๊ะขนาดนี้ นี่แอบชอบหมอนีน่ารึเปล่า” จอมยุ่งเอียงคอคล้ายจะพยายามสบตากับเขา “หมอนีน่าเขาดีเกินไปสำหรับคุณ อย่าไปยุ่งเลย ตัดใจเหอะ ฉันสงสารหมอน่ะ”

ช่อผกาเก็บของในมือให้กลับเขาที่ เริ่มรู้สึกว่าอยู่ในห้องนี้นานเกินไปเสียแล้ว ควรจะรีบออกไปก่อนที่เขาจะตื่น หรือไม่ก็ก่อนที่จะมีใครบังเอิญมารับรู้เรื่องนี้เข้าอีกคน...ไม่ดีแน่ เข้าห้องผู้ชายยามวิกาลแบบนี้ จากที่เคยโดนขอซื้อสองเท่า จะกลายเป็นว่ามาประเคนให้ถึงที่แทน

ผู้ดูแลสาวหันไปหยิบรีโมตเครื่องปรับอากาศบนโต๊ะขึ้นมาปรับอุณหภูมิและทิศทางของลม

“ถ้าจะนอนอยู่ตรงนี้ ก็ปรับแอร์ให้อุ่นขึ้นนิดนึง ให้ลมเย็นจากแอร์ลอยอยู่ข้างบน แล้วปล่อยให้ความเย็นค่อยๆ ตกลงมาเองแบบนี้นะคะ เพราะถ้าให้มันพุ่งเข้าหน้าแบบเมื่อกี้ละก็ เย็นกว่าก็จริง แต่พรุ่งนี้เช้าคุณจะเจ็บคอเอามากๆ เข้าใจไหมคะ” คนที่ยืนอยู่ก้มตัวลง ใช้มือยันไว้กับหัวเข่า พูดกับคนตรงหน้าด้วยความห่วงใย แม้ลึกๆ ในใจอยากจะให้เจ็บคอจนพูดไม่ได้ไปทั้งปีเลยก็เหอะ

ช่อผกาหยิบเสื้อแจ็กเกตที่พาดเอาไว้กับพนักพิงเก้าอี้มาคลุมให้เขาอย่างเบามือเป็นสิ่งสุดท้าย “นี่ถือว่าชดเชยเรื่องอาบน้ำก็แล้วกันนะคะ ถือว่าเราหายกันแล้วนะคะ โอเคนะ”

สาวเจ้าฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินไปหยิบอาวุธสังหารที่เธอยังไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่ต่อไปนี้สาบานว่าจะพกติดตัวตลอดเวลา เผื่อโอกาสอันไม่อยากจะได้นั้นจะมาถึง และทันทีที่คว้าเอากระป๋องพริกไทยป่นขึ้นมา หางตาของเธอก็ถูกของบางอย่างที่วางอยู่ใกล้กันนั้นกระตุกให้หันกลับไปมอง ช่อผกาวางอาวุธของเธอลงบนโต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณา

จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นหนักหน่วงกว่าปกติ แรงสั่นของมันสะเทือนตึกๆ ราวกับกำลังทุบหน้าอกจากข้างใน บอกตัวเองว่าเป็นไปได้มากว่านี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ไม่รู้ทำไม หัวใจมันไม่ยอมกลับเป็นปกติเสียที

สาวร่างเล็กมองซองบุหรี่สีเขียวในมือที่มันถูกขยำเอาไว้เป็นก้อน น้ำลายอึกใหญ่ถูกพาให้ไหลลงคอด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก่อนสองมือของเธอจะค่อยๆ คลี่มันออกช้าๆ พร้อมกับความชัดเจนของความคิดในหัวที่ค่อยๆ ชัดขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยเช่นกัน

ทั้งประเทศนี้ จะมีสักกี่คนกันที่ชอบขยำซองบุหรี่จนติดเป็นนิสัยแบบนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เขาคนเดียวหรอก แต่มันก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเป็นคุณนักวิ่งที่เข้ามาช่วยเธอในวันนั้น ไม่ใช่เพราะแค่ซองบุหรี่เพียงอย่างเดียวหรอกนะที่ทำให้เธอคิดอย่างนั้น แต่มันเป็นเพราะนาฬิกาเรือนนั้นที่เขายืนยันอย่างหัวชนฝาว่ามันเป็นของเขาแน่ๆ ไหนจะโรงแรมที่เขาพักก็อยู่ในละแวกนั้นด้วย เข้าล็อกกับทุกข้อสันนิษฐานที่เธอเคยยกขึ้นมาก่อนหน้านี้ จะต่างก็แค่

นิสัยเท่านั้น

คุณนักวิ่งเขาดูเป็นคนใจดีมาก เขากล้ากระโดดเข้ามาช่วยเธอทั้งที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ ส่วนคุณนักไล่ที่นอนอยู่ตรงหน้านี้กลับ...ต่างกันราวฟ้ากับเหว

ปากร้ายเป็นที่หนึ่ง รุนแรงเป็นที่สอง แถมยังกวนประสาทเป็นที่สาม

ถ้าเขาเป็นคุณนักวิ่งคนนั้นขึ้นมาจริงๆ ละก็ พระเจ้าก็เหี้ยมโหดกับความฝันของผู้หญิงตัวเล็กๆ มากเกินไปแล้ว

ไม่  ไม่มีทาง  ไม่ใช่เด็ดขาด  ฉันจะพิสูจน์เองว่าคุณไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น