3
"โชคขา ลองทานอันนี้สิคะ วันก่อนพี่ลักษณ์เพิ่งพาแซนดี้มาถ่ายแบบที่นี่ เชฟเขาเอามาให้ชิม อร้อยยอร่อยคะ"
แซนดี้ สัณฑิตา นางแบบชื่อดังส่งเสียงแหลมประจบประแจงศุภโชค มือขวาตักอาหารประเคนหนุ่มหล่อถึงปาก ขณะที่มือซ้ายเกี่ยวแขนขวาของชายหนุ่ม และเบียดอกอวบๆ ในเดรสสายเดี่ยวสีดำรัดติ้วเข้ากับท่อนแขนแกร่ง
ด้านศุภโชคก็อ้าปากรับอาหารที่คนสวยตรงหน้าตั้งใจป้อนถึงปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย พยักหน้าสองสามทีพอเป็นพิธีให้หญิงสาวรับรู้ว่าอร่อยตามคำโฆษณา ตัดปัญหาไม่ให้สัณฑิตาเซ้าซี้ให้รำคาญ
"คุณทานเถอะแซนดี้ ผมดูแลตัวเองได้”
ชายหนุ่มขยับแขนขวาเป็นเชิงว่าขอแขนคืน เหลือบตาขึ้นเห็นยุทธที่เป็นทั้งมือขวาและมือซ้ายซึ่งยืนกลั้นหัวเราะอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านก็ถลึงตาปรามไม่ให้ทะเล้นไปมากกว่านี้ เลยไม่ทันเห็นว่าแซนดี้เบะปากนิดหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้อ่อนหวาน กะพริบตาให้เป็นประกายดังเดิม หรือที่สมัยนี้เรียกว่าแอ๊บแบ๊ว ก่อนจะพูดขึ้นเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหน้า
“งั้นแซนดี้ว่าเรารีบทาน รีบไปกันดีไหมคะ โชคเพิ่งขึ้นมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวคืนนี้แซนดี้จะนวดให้โชคเอง"
ชายหนุ่มได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ารับ และจัดการกับสเต๊กเนื้อวากิวสุกปานกลางค่อนไปทางดิบเสร็จภายในสิบห้านาที ระหว่างนั้นก็ฟังสัณฑิตาเจื้อยแจ้วเรื่องในวงการบันเทิงที่หล่อนเพิ่งก้าวเข้ามาผ่านหูซ้ายทะลุหูขวา ได้ความบ้าง ไม่ได้ความบ้าง เหมือนลมพัดผ่าน
จนหญิงสาวกินสเต๊กปลาในจานหมด แต่ยังไม่วายกระเง้ากระงอดอิงแอบเขาเหมือนอยู่ในที่รโหฐาน ทำท่าเหมือนจะเมา ทั้งๆ ที่เพิ่งดื่มไวน์ไปแค่สองแก้ว ศุภโชคจึงพยักหน้าให้บริกรเป็นสัญลักษณ์ว่าต้องการเช็กบิล
"เราจะกลับกันแล้วเหรอคะโชค" แซนดีสะบัดผมตรงยาวสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบทองไปข้างหลัง ปรือตามองชายหนุ่มแบบยั่วยวน ร้านอาหารนี้ฮิตติดลมบน ราคาอาหารต่อจานเกินพันบาท แถมยังเป็นที่นิยมของไฮโซคนดังมากมาย หล่อนจึงอยากนั่งดื่มด่ำบรรยากาศต่อ
"งั้นสิ หมดแก้วนี้ก็ไปกันได้แล้วมั้ง" ศุภโชคเหลือบตามองสัณฑิตาที่แสดงท่าทางเย้ายวนอยู่ข้างๆ เขาก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่สาวสวยขนาดนี้มานั่งฉอเลาะแล้วจะไม่รู้สึกอะไร
"งั้นแซนดี้เข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะคะ" แม้จะไม่พอใจ แต่ก็รู้ดีว่าว่าไม่อยู่ในสถานะที่จะเรียกร้องเอาแต่ใจได้ จึงยอมเออออตามที่นายทุนใหญ่ช่วงนี้ต้องการ ในขณะที่ยุทธปราดเข้ามาย้ำความต้องการของศุภโชคหลังจากเจ้านายส่งภาษากายบอก
ศุภโชคพยักหน้ารับ แต่ให้ความสนใจกับเครื่องดื่มสีทับทิมที่ซอมเมอลิเออร์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ประจำร้านแนะนำเขามากกว่า มองเครื่องดื่มผ่านแก้วล้อแสงไฟอยู่พักหนึ่งก็มีอันต้องชะงัก เมื่อสาวน้อยที่เขาเห็นเมื่อตอนกลางวันเดินเข้ามา ‘ลูกไอ้รณพล’
คนสวยสวมเบลเซอร์คัตติงดีเพิ่มเติมจากเครื่องแต่งกายเมื่อกลางวัน ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าเป็นของแบรนด์ใดและราคาสูงหกหลัก ผมยาวสลวยเมื่อตอนบ่ายถูกรวบไว้กลางกระหม่อมโชว์ใบหน้าเรียวสวย ตาโตเป็นประกายกับแพขนตาหนาๆ ทำให้หน้าสวยแทบไม่ต้องได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมให้มากความ เพียงพอที่จะดึงดูดใจคนที่พบเห็น แต่หญิงสาวยังเติมลิปสติกสีเลือดนกทำให้เธอดูเฉี่ยว น่าค้นหา ส่งยิ้มหวานให้ผู้จัดการร้านที่คอยรับรองอยู่ด้านหน้า ศุภโชคนั่งไม่ห่างจากบริเวณนั้นจึงพอได้ยินบทสนทนา
"คุณตีญ่า คุณพ่อมาแล้วค่ะ อยู่ด้านใน เชิญเลยค่ะ"
"ขอบคุณค่ะ มากันนานหรือยังคะ เพื่อนตีญ่ามาด้วยอีกคน มีใครบอกไว้หรือยัง"
เจติยาโบ้ยบ้ายไปทางอนุวัตที่ยืนเยื้องๆไปด้านหลัง สายตาสอดส่องมาทางโต๊ะของศุภโชค
"คุณแพทโทร. มาบอกไว้แล้วค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ" ผู้จัดการร้านผายมือให้หญิงสาวกับเพื่อนเดินตาม
ศุภโชคเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง และคงไม่มีใครรู้ว่าความสวยของเจติยาไม่ใช่สิ่งที่ดึงความสนใจของเขาไว้ แต่ชื่อ ‘แพท’ ต่างหากที่ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง
"แกๆ ผู้ชายคนนั้นที่เราเจอที่ร้านกาแฟ เขาอยู่ที่นี่ด้วยอ้ะ"
อนุวัตดึงแขนเพื่อนสาว หวังจะให้หันกลับมามอง เพราะหญิงสาวเดินไม่สนใจใคร หมายจะให้ถึงโต๊ะอาหารไวๆ จนเจติยาต้องยอมหันกลับมาตามแรงดึง
"ไหน ใคร แกเจอผู้ชายที่ร้านกาแฟเป็นร้อยมั้งวันนี้"
เจติยาหันกลับมาแล้วสบตากับศุภโชคที่จ้องมองอยู่เดิมจังๆ เหมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ เกือบจะไม่ได้เดินต่อ และคงสบตาเขาอยู่แบบนั้น ถ้าชะนียักษ์ข้างกายไม่ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดแบบได้ยินกันสองคนออกมา
"เขามองมาทางนี้ด้วยแก ฉันบอกแล้วว่าเขาชอบฉัน โอ๊ยย สวยเบื่อ มีแต่ผู้ชายมารุมรัก" อนุวัตชม้อยตาอ่อยเหยื่อให้ผู้ชายตัวโตหน้าเข้มที่ยกแก้วไวน์ขึ้นพร้อมกระตุกยิ้มมุมปาก
"ยิ้มด้วยย โอ๊ย โลกหยุดหมุน น้ำอีโอ๊ตจะเดิน...ตีญ่า คืนนี้กูอิ่มทิพย์ กูฟินนน" อนุวัตใส่จริตจะก้านเต็มที่ ไม่ทันสังเกตว่าเพื่อนสาวส่งยิ้มแบบมีจริตให้ชายหนุ่มก่อนจะเดินไปหาผู้เป็นพ่อและแฟนสาว
ด้านศุภโชคเองก็ถูกดึงออกจากภาพตรงหน้า เมื่อมองตามไปแล้วพบว่าคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารคือภัสสรกับไอ้คนที่หล่อนทิ้งเขาไปหามัน ภัสสรยังคงเป็นภัสสรที่เขาหลงรัก ใบหน้าสวย นัยน์ตาหวาน ยิ้มทีเหมือนจะหยุดโลกไว้ทั้งใบ ยิ่งโตขึ้น ความสวยหวานแบบเด็กๆ กลายเป็นสาวเต็มตัว รูปร่างเย้ายวน ใบหน้าสดสวย หล่อนนั่งอยู่ข้างๆ ผู้ชายหน้าตาท่าทางดี เขาเอาแขนข้างหนึ่งพาดไว้บนเก้าอี้ของหล่อน ความฉุนผุดขึ้นกลางอก ความร้อนรุ่มไม่พอใจต่างๆ นานาที่พุ่งเข้ามากระแทกหัวใจตอนนี้ทำเอาศุภโชคสับสนไม่น้อย ในหัวคิดอะไรเละเทะไม่เป็นระบบ ตีกันจนยุ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็ได้คำตอบเร็วๆ ว่า แค้น...และไอ้รณพลต้องชำระ!
แต่ยังไม่ทันได้ไล่เรียงความรู้สึกต่อ ชายหนุ่มก็โดนฉุดออกจากห้วงความคิดอีกครั้งเมื่ออกอวบของสัณฑิตาที่พกมาบนร่างสะโอดสะองเข้ามาบังภาพภัสสร จนชายหนุ่มรู้สึกขัดอารมณ์ขึ้นมา
“โชคขา ไปค่ะ กลับบ้านกัน แซนดี้แทบจะรอนวดให้โชคไม่ไหวแล้วนะคะ”
แซนดี้ดึงแขนหนุ่มหล่อให้ลุกขึ้น กอดแขนศุภโชคแน่นแสดงอาการสนิทสนม ถึงแม้ตัวเองจะเริ่มมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง แต่ก็ไม่ได้กลัวเสียชื่อเสียงแต่อย่างใด เพราะมันไม่ได้เป็นเครื่องการันตีรายได้ สู้ทำให้ศุภโชคติดใจ เผื่อได้เป็นภรรยานายหัวใหญ่ สบายกว่ากันตั้งเยอะ ยิ่งดีเสียอีกหากมีพวกปาปารัซซีเก็บภาพได้ หล่อนคงได้ลงข่าวกอสซิปว่ากำลังคบหากับเซเลบรูปหล่อ เรียกงานอีเวนต์ได้อีกจม คิดได้ดังนั้นจึงซบหัวลงบนต้นแขนของศุภโชคแบบไม่แคร์สื่อ ก่อนจะออกเดินไปหน้าร้านเพื่อขึ้นรถกลับเพนต์เฮาส์หรูใจกลางย่านทองหล่อ ที่ชายหนุ่มใช้เป็นที่พักเมื่อเดินทางมาติดต่อธุรกิจที่กรุงเทพฯ
"ไปสิ" ศุภโชคลุกขึ้นยืน เรียกความสนใจจากคนในร้านได้พอสมควร
แขกในร้านเริ่มให้ความสนใจพวกเขาเพราะฝ่ายหญิงมีชื่อเสียงพอตัวในวงการนางแบบ ส่วนฝ่ายชายก็เป็นนักธุรกิจหนุ่มชื่อดัง เป็นเซเลบตัวพ่อที่สาวๆ ต่างอยากจะเป็นเจ้าของ แต่ยังเดินไม่ถึงไหน คนสนิทของเขาก็ปราดเข้ามา
"นายหัวรอแป๊บครับ ฝนปรอยๆ เดี๋ยวผมให้ไอ้ศักดิ์เลื่อนรถมาข้างหน้า" ยุทธจัดแจงกันเจ้านายหนุ่มไม่ให้เดินออกไปหน้าร้าน ศุภโชคกับสัณฑิตาเลยยังต้องติดแหงกอยู่ในร้าน
ด้านเจติยาเดินมาถึงโต๊ะอาหารที่บิดาและภัสสรนั่งอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองยังแสดงความรักกันเหมือนเป็นหนุ่มๆ สาวๆ รณพลสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพอดีตัว พับแขนขึ้นแค่ข้อศอก นุ่งกางเกงสแล็กสีกรมท่า ถึงแม้ปีนี้รณพลจะเลยวัยสี่สิบมาสองปีแล้ว แต่อายุไม่ได้ทำให้เขาดูแก่ลง กลับทำให้ชายไทยเชื้อสายจีนดูภูมิฐานมากขึ้น เรียกว่าบิดาเจติยายังดูดีกว่าอายุ เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ เวลาไปงานที่โรงเรียนได้อยู่มาก
"สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแพท"
อนุวัตส่งเสียงทักทายบิดาและแฟนสาวของบิดาของผู้เป็นเพื่อน ในขณะที่เจติยาแค่ยกมือไหว้ทั้งสองเฉยๆ พร้อมกับยิ้ม "เอ้าๆ นั่งๆ ไปไหนมากันลูก” รณพลเอ่ยถามบุตรสาวและเพื่อนสนิทของเธอ พาดแขนที่พนักพิงเก้าอี้ของคนรักเหมือนโอบภัสสรอยู่กลายๆ
"ดิ่มกาแฟ แล้วก็นวดเท้าค่ะคุณพ่อ"
เจติยารับเมนูจากบริกร สั่งอาหารสามคอร์ส อันได้แก่ ซุป จานหลัก และของหวาน ก่อนจะพยักหน้าให้เมื่อบริกรเอ่ยปากถามว่าจะรับไวน์หรือไม่
"โอ๊ตเจอผู้ชายคนนึง หล่อลากกก ก ไก่ ล้านตัวค่ะคุณแพท นั่งอยู่ตรงโน้น คุณแพทรู้จักไหมคะ"
อนุวัตหันหลังกลับ ตั้งท่าจะชี้เป้าให้ว่าที่แม่เลี้ยงเพื่อนสนิทดู หวังว่าจะได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเป้าหมายเพราะภัสสรกว้างขวางพอตัว
"อ้าว ไปไหนแล้วล่ะ” อนุวัตสอดส่ายสายตาหาเหยื่อ "โน่นๆ หน้าร้านค่า หล่อใช่ไหมคะคุณแพท"
ภัสสรขยับตัวจะมองตาม แต่เป้าหมายของอนุวัตกำลังเดินออกไป จึงเห็นแต่หลังไวๆ
“แหม...เห็นแค่หลังสองวินาที พี่ไม่รู้หรอกค่ะ รอบหน้าขอรูปนะคะ พี่จะหามาให้แม้แต่ที่อยู่บ้านเลยค่ะ” ภัสสรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปสบตารณพลที่มองมานัยน์ตาระยิบระยับ นึกสะท้อนใจว่าทำไมหล่อนถึงไม่วูบวาบเหมือนสาวๆ คนอื่น แต่ก็กลัวคนรักเสียใจ เลยยิ้มให้เอาใจอีกคน
“พรหมลิขิตแน่ๆ ค่ะ ตอนบ่ายโอ๊ตก็เจอที่ร้านกาแฟ ตอนค่ำตามมาถึงนี่ เขาต้องหลงรักโอ๊ตแน่นอน คุณพ่อไปเป็นผู้ใหญ่สู่ขอให้โอ๊ตนะคะ” อนุวัตกระเซ้ารณพลที่บัดนี้หน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ไปเรียบร้อยแล้ว
"ถ้าเขารักโอ๊ต พ่อจะไปสู่ขอให้ ไปหาแม่มาเป็นยังไงตีญ่า แม่เรายุ่งเหมือนเดิม?" รณพลถามไถ่บุตรสาว
“ค่ะ เจอกันแป๊บเดียว แต่เดี๋ยววันเสาร์ให้ตีญ่าไปทานข้าวด้วย เห็นว่ามีลูกค้าใหญ่มาจากภูเก็ต อ้อ คุณแม่ฝากขอบคุณคุณแพทสำหรับของฝากนะคะ”
เจติยาพูดจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบฆ่าเวลาแบบสาวสมัยใหม่ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟพลางนึกพอใจผู้ชายที่วันนี้บังเอิญได้พบสองครั้ง
...
บรรยากาศอาหารมื้อค่ำเป็นไปอย่างมีความสุขเคล้าเสียงหัวเราะของอนุวัตที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้ และขอตัวแยกย้ายไปทันทีหลังจากจบมื้ออาหาร นัยว่าต้องเข้าเช็กอินคลับประจำ เพื่อเช็กเรตติงหนุ่มๆในสต๊อก ในขณะที่เจติยาปฏิเสธจะไปด้วย เพราะเหนื่อยกับกิจกรรมมากมาย และยังปรับตัวรับสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่ได้
เช้าวันเสาร์ เจติยาลืมตาขึ้นหลังจากนาฬิกาปลุกดังแล้วดังอีก ทั้งๆ ที่อยากจะนอนต่อ ไม่อยากไปพบลูกค้าที่ไหนกับมารดาทั้งนั้น แต่ด้วยความที่ปฏิเสธไม่ได้จึงตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว หมายว่าจะไปฝากท้องมื้อเช้าที่บ้านคุณตา และรับมารดาไปกินอาหารกลางวันกับคู่ค้า หญิงสาวโยกซ้ายหมุนขวาอยู่หน้ากระจกสองสามทีจนพอใจกับภาพที่เห็น จึงหันไปหยิบกระเป๋าหนังแบบหูหิ้วสีเหลืองขนาดกลางเข้ากับชุดที่ภัสสรซื้อให้เป็นของขวัญต้อนรับกลับบ้าน แล้วเดินลงมาบริเวณชั้นล่างของบ้าน ก่อนจะสนทนากับนมอุ่น แม่นมคนดีที่เลี้ยงหล่อนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกว่าจะไปบ้านคุณตา
"นมอุ่นไปด้วยกันไหมคะ บ้านโน้นคงคิดถึง" เจติยาโอบเอวท้วมของนมอุ่น
"ไปเถอะค่ะคุณหนู นมเพิ่งไปมาเมื่อวานเอง ไปอีก คุณท่านคงจะเบื่อหน้านม"
แม้จะตามมาดูแลเจติยาที่บ้านของรณพล แต่หากมีเวลาว่าง นมอุ่นก็จะกลับไปที่บ้านเจ้านายที่แท้จริงเสมอ
"งั้นตีญ่าไปนะคะ ฝากบอกคุณพ่อด้วยว่าไม่ได้ทานข้าวเช้าที่นี่ ขอตัวไปประจบคุณตาก่อน"
พี่เลี้ยงเก่าแก่พยักหน้ารับคำคุณหนูคนสวย ไม่เคยขัดใจอะไรสักอย่าง เพราะอยากให้เจติยามีแต่ความสุข
"ได้ค่ะ กว่าคุณพลจะตื่นคงสายละค่ะ เมื่อคืนคุณๆ ไปงานเลี้ยงกัน เห็นว่ากว่าจะส่งคุณแพทเสร็จกลับมาตั้งตีสองตีสาม ยังไม่ตื่นเร็วๆ นี่หรอกค่ะ" นมอุ่นเล่าไปตามประสาคนแก่ที่อยู่ดูแลสองพ่อลูกมานาน
หญิงสาวไม่พูดอะไร โบกมือให้พี่เลี้ยงก่อนจะขับรถออกไปตามที่ตั้งใจไว้
เจติยาใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงบ้านคุณตา ยังไม่ทันเลี้ยวรถจอดดีก็เห็นมารดาในชุดกีฬาวิ่งกลับเข้ามาบริเวณหน้าบ้านด้วยท่าทางปราดเปรียว ยืนโบกมือหย็อยๆ ให้เธออยู่ตรงลานน้ำพุในสวนกว้าง หญิงสาวเลยเปิดหน้าต่างยกมือสวัสดี
"ตีญ่า มาแต่เช้าเลยลูก"
ผอรที่ยังวอร์มดาวน์ร่างกายเอ่ยทักบุตรสาว แม้วัยล่วงเข้าสี่สิบสองแล้ว แต่ผอรยังรักษารูปร่างได้ดี ด้วยเป็นคนรักการออกกำลังกาย ในสัปดาห์หนึ่งๆ ต้องวิ่งครั้งละสิบกิโลอย่างน้อยสามครั้ง ทำให้วันนี้คุณแม่ลูกหนึ่งในวัยสี่สิบกว่ายังดูสาวกว่าอายุ มีหนุ่มน้อยใหญ่มาติดพันจำนวนมาก เพราะนอกจากรูปร่างที่ยังฟิตเปรี๊ยะ ผอรยังมีใบหน้าสวยเก๋ และพรสวรรค์ในการแต่งตัวชั้นเลิศ ยังไม่รวมถึงดีกรีซีอีโอหญิงผู้กุมบังเหียนธุรกิจประกันภัยของประเทศ มูลค่านับหมื่นล้าน ทำให้เป็นที่ต้องการไม่น้อย ทว่าเธอกลับไม่ได้ลงหลักปักฐานกับใครสักคน จะมีก็แต่คู่ควงชั่วครั้งชั่วคราวพอคลายเหงา
"ตีญ่าจะมาขอข้าวคุณตาทานค่ะ คุณแม่นี่วินัยดีจัง ยังวิ่งทุกวันไหมคะ"
เจติยาเจรจากับมารดาที่กำลังจะเดินนำเข้าบ้าน หล่อนดูแลตัวเองดีพอๆ กับมารดา อีกทั้งการที่มีภัสสร ผู้หญิงที่ไม่ต้องทำอะไรก็สวยวนเวียนอยู่ในชีวิต ทำให้เจติยายิ่งดูแลตัวเองเป็นเท่าตัว เพราะไม่อยากน้อยหน้าคนที่ได้ชื่อว่าจะมาเป็นแม่เลี้ยง
“ไม่ไหวหรอก ได้อาทิตย์ละสามวัน แม่ก็เก่งแล้ว ตีญ่าเข้าไปหาคุณตาก่อนเลยลูก ป่านนี้อยู่ที่เรือนกระจกแล้วละ เดี๋ยวแม่อาบน้ำแป๊บเดียวจะลงมาจอยนะจ๊ะ”
ผอรตอบบุตรสาวพลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเหงื่อ ชี้ทางให้เจติยาว่า ‘คุณตา’ อยู่ที่ไหน เจ้าตัวจะได้ปรี่ไปอ้อนเอาใจได้ถูกที่ถูกเวลา
หญิงสาวก็รีบก้าวขาไป ก่อนจะพบผดลนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจภาษาอังกฤษอยู่ในเรือนกระจกขนาดหกคุณสิบเมตรตกแต่งเหมือนสวนอังกฤษแบบย่อมๆ บนโต๊ะกระจกขนาดแปดที่นั่งมีแจกันดอกพิโอนีทรงเตี้ยตั้งเป็นเซนเตอร์อยู่กลางโต๊ะ เซตกาแฟเงินแท้แบบวินเทจมีควันลอยเบาๆ ออกจากพวยกา ทำให้เจติยารู้ได้ว่าผู้เป็นตาคงเพิ่งลงมาได้ไม่นาน หล่อนจึงย่องเบาๆ ไปสวมกอดชายชราจากด้านหลัง หอมแก้มซ้ายขวาแบบคนขี้ประจบ
“คิดถึงตีญ่าไหมคะ” เจติยาอ้อนพร้อมกอดผดลไว้
คุณตาเอียงหน้าหอมแก้มหลานสาวคนเดียวทันที แต่ไม่วายตัดพ้ออย่างไม่จริงจัง
“เราน่ะสิจะไม่คิดถึงตา เห็นแม่เราว่ากลับมาเกือบอาทิตย์แล้ว” ผดลลูบหัวหลานสาว เบี่ยงหน้าไปด้านหลังนิดหน่อยเพื่อที่จะได้หอมแก้มใสนั้นอีกที
“โธ่ คุณตาอย่างงอนสิคะ นี่ตีญ่ายังไม่เจอคุณปู่เลยด้วยซ้ำ มาหาคุณตาก่อนเลยน้า” เจติยาซบศีรษะทุยลงบนบ่ากว้างเอาใจผู้เป็นตา
“เอาใจคนแก่...มา มานั่งทานข้าวกับตาไหม นี่ทานอะไรมาหรือยัง”
คราวนี้เด็กจบนอกส่ายหน้าพลางรินกาแฟเติมให้ผดลก่อนจะจัดการของตัวเอง คุยสัพเพเหระกันอยู่พักใหญ่ ผอรจึงเข้ามาสมทบ ก่อนที่สำรับเช้าจะถูกตั้งขึ้นโต๊ะ
คนสามรุ่นนั่งรับประทานอาหารเช้าพลางอัปเดตความคืบหน้าในชีวิตกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ผอรจะชวนบุตรสาวเข้าบริษัทและไปพบลูกค้าคนสำคัญ ถามว่าหล่อนแอบคิดแผนการอะไรไว้หรือเปล่า...ก็ไม่ แต่หากได้อย่างที่ใจหวังลึกๆ ก็ดี
“แม่ต้องเข้าไปเซ็นเอกสารสำคัญนิดนึงลูก เมื่อคืนเครื่องดีเลย์ แม่เลยเข้าไปเซ็นให้เขาไม่ทัน ตีญ่าไปกับแม่เลยไหม” ผอรอธิบายคร่าวๆ ให้บุตรสาวฟังถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องแวะเข้าบริษัท
เจติยาที่ปฏิเสธอะไรไม่ได้จำต้องพยักหน้ารับ “ตีญ่าขับรถไปให้คุณแม่ดีไหมคะ ขากลับค่อยมาเอารถบ้านคุณตา หรือยังไงดี”
คนเป็นแม่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกริ่มในใจ ต่อให้เรื่องระหว่างบุตรสาวกับลูกค้าคนสำคัญจะไม่ได้ผล แต่อย่างน้อยก็เป็นการดีหากลูกสาวอยากเรียนรู้งาน อย่างไรเสียเจติยาก็ไม่เหมาะที่จะเจริญรอยตามอาชีพทางบ้านพ่อของหล่อนหรอก
“ไปรถหนูแหละ เดี๋ยวแม่ให้คนรถตามไปรับที่ร้านอาหาร แม่มีนัดดูที่ต่อด้วย หนูจะได้แยกไปไหนได้เลย”
“เอายังงั้นก็ได้ค่ะ วันนี้วันของคุณแม่ ตีญ่าตามใจคุณแม่หมดเลย” หญิงสาวรับคำมารดา
ผอรใช้เวลาเซ็นเอกสารไม่นานตามที่บอกเจติยาไว้ ระหว่างทางไปร้านอาหารที่นัดลูกค้ารายใหญ่ไว้ ผอรก็ถามถึงแผนชีวิตในอนาคตของเจติยา ถึงแม้จะไม่คาดคั้นว่าต้องเริ่มงานทันที แต่หากรู้ว่าลูกสาวปรารถนาสิ่งใด หล่อนกับรณพลจะได้ช่วยกันวางแผน
“แล้วนี่จะทำงานอะไร ช่วยพ่อหรือมาช่วยแม่”
เจติยาย่นจมูกเป็นเชิงว่าไม่น่าสนใจทั้งสองอย่างแบบคนรักสบาย ไม่อยากจะทำงานอะไรจริงจังด้วยซ้ำ เพราะผู้เป็นพ่อประคบประหงมเอาใจจนเคยตัว
“ถ้าให้เลือกสองอย่างนี้ ตีญ่าช่วยคุณแม่ดีกว่า งานคุณพ่อตีญ่าไม่เข้าใจหรอกค่ะ ซับซ้อน”
ผอรหัวเราะในลำคอ ทำนองว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่บุตรสาวพูด
“งานพ่อเรามันงานอันตราย ศัตรูรอบตัว แต่เขาก็คุ้มค่าเสี่ยงของเขา ไม่งั้นไปไหนเขาจะแบกกองทัพของเขาไปด้วยทำไม อีกอย่างตีญ่าเพิ่งกลับมา คงอีกสักพักกว่าหนูจะเข้าใจระบบการเมืองไทยนะลูก มาช่วยแม่ก่อนสักสามสี่ปี แล้วหนูอยากทำไรต่อเราค่อยว่ากัน”
ผอรชี้แนะบุตรสาว ถึงแม้เจติยาจะโตมาภายใต้การเลี้ยงดูของรณพล แต่ผู้เป็นพ่อกลับปกป้องลูกประหนึ่งไข่ในหิน ไม่ให้รับรู้ชีวิตในโลกภายนอกทั้งสิ้น ด้วยกลัวว่าสังคมจริงๆ อันโหดร้ายจะทำลายบุตรสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจ
“ต้องเริ่มเลยเหรอคะ ขอพักก่อนสักสามเดือนได้หรือเปล่า แหะๆ” เจติยาออดอ้อนมารดา เงินทองของทั้งพ่อทั้งแม่มีมากมาย ทำไมต้องทำงานให้เหนื่อยก็ไม่รู้
“สามเดือนเริ่มงานจริง ระหว่างนี้เข้าบริษัทอาทิตย์ละครั้ง แม่จะให้แต่ละฝ่ายมาเทรนงานให้เรา และไปกินข้าวกับลูกค้าพร้อมแม่ ตกลงไหม”
ผอรยื่นข้อเสนอให้ลูกสาว ไม่ได้จะโหดร้าย แค่จะสอนให้มีความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าแค่รับบทบาทนักเรียนเหมือนที่ผ่านมา โชคดีเท่าไรที่ไม่ต้องผ่อนบ้านผ่อนรถเหมือนคนอื่นๆ เขา
“โห เขี้ยวจัง...”
เจติยาบ่นอุบ แต่ก็พยักหน้ารับข้อเสนอของผู้เป็นแม่ เพราะเกรงผอรอยู่ไม่น้อย ถึงแม้พ่อกับแม่จะตามใจหล่อนทั้งคู่ แต่มารดามีรัศมีความน่ากลัวมากกว่า จะทำอะไรก็ต้องบอกต้องกล่าว ต่างจากรณพลที่เจติยามั่นใจว่าจะไม่ขัดใจหล่อนสักอย่าง
“แล้วนี่วันนี้ลูกค้ารายไหนคะ ตีญ่าไปแบบโง่ๆ จะทำคุณแม่ขายหน้าไหม”
เจติยาถามขณะเลี้ยวรถเข้าจอดหน้าโรงแรมห้าดาว เพื่อให้พนักงานมารับรถไปจอดชั้นใต้ดินตามบริการที่มีไว้อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า
“รายนี้ซื้อกรมธรรม์แบบพรีเมียม คนพวกนี้ไม่ได้เน้นออมเงินหรืออะไรหรอกลูก แต่เขาเน้นการบริหารสินทรัพย์มากกว่า เพราะเราจัดการดอกเบี้ยให้เขาได้ดีกว่าธนาคาร คนพวกนี้ต้องเสียภาษีในเรตสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์ เขาก็ทำทุกอย่างที่พอจะลดหย่อนได้ อย่างที่เราทำอยู่นี้ก็ลดได้เป็นแสนเลยนะตีญ่า ยิ่งตอนนี้รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก เรายิ่งต้องหาลูกค้าแข่งกับแบงก์”
อ้าว ให้ปันผลเยอะกว่ากรมธรรม์ปกติด้วยเหรอคะคุณแม่” คนไม่เคยรู้เรื่องธุรกิจและไม่คิดจะใส่ใจถามออกไปลอยๆ แบบไม่คาดหวังคำตอบ แค่พอหาเรื่องคุยไม่ให้รถเงียบเท่านั้น
“ได้ลูก เพราะคนพวกนี้จ่ายเงินก้อนใหญ่ทีเดียว เราก็เอาเงินก้อนไปทำอย่างอื่นได้ ในขณะที่กรมธรรม์ปกติเขาจ่ายเบี้ยประกันเป็นงวด”
ผอรอธิบายลักษณะของกรมธรรม์ที่จะมาเสนอลูกค้ารายใหญ่ให้เจติยาฟังคร่าวๆ ไม่ยัดเยียดความรู้ เพราะมั่นใจว่าอย่างไรเสียบุตรสาวก็คงไม่เข้าใจทะลุปรุโปร่งได้ในครั้งเดียว
“แล้วทำไมคุณแม่ต้องมาขายเองคะ เราเป็นเจ้าของบริษัทนะคะ”
“รายนี้รายใหญ่ ซื้อทีห้าสิบล้านต่อกรมธรรม์นะลูก แล้วนี้คือแม่พยายามขายประกันวินาศภัยให้ท่าเรือกับเรือยอช์ตในบริษัทของเขาที่ภูเก็ตด้วย ถ้าโพรเจกต์นี้ผ่านแม่ก็สบาย” ผอรพูดขำๆ “ตีญ่ามาช่วยแม่ปิดโพรเจกต์นี้ไหม ถ้าทำสำเร็จ แม่ให้ห้าเปอร์เซ็นต์”
“จะดีเหรอคะคุณแม่ ตีญ่าไม่มีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่เลย รู้แบบงูๆ ปลาๆ” หญิงสาวยิ้มแหย ไม่อยากมีความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธผู้เป็นมารดา เงินห้าเปอร์เซ็นต์แม้จะยวนใจ แต่ก็ไม่ได้มากมายจนหญิงสาวต้องตาลุกวาว
สองแม่ลูกหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้นเมื่อเดินขึ้นมาถึงห้องอาหารจีนที่ชั้นสองของโรงแรมซึ่งผอรสำรองที่นั่งไว้ หลังจากแจ้งชื่อกับเจ้าหน้าที่ก็มีพนักงานเดินนำไปในห้องส่วนตัวที่ตกแต่งด้วยเครื่องปั้นสไตล์ราชวงศ์หมิง ภายในมีโต๊ะกลมเล็กๆ ขนาดพอดีแขกสี่คน เจติยาเลือกนั่งหันข้างให้ประตู ในขณะที่ผอรนั่งหันหน้าออกไปทางเข้าเพื่อจะได้มองเห็นแขกได้อย่างชัดเจน แล้วอ่านข่าวเศรษฐกิจผ่านแท็บเล็ตรอเวลา ขณะที่เจติยาไถสมาร์ตโฟนอัปเดตความเป็นไปของเพื่อนฝูงผ่านสื่อออนไลน์ และอมยิ้มเมื่อเห็นสเตตัสเรียกร้องความสนใจของอนุวัต ก็ได้ยินเสียงทักทายของผู้มาเยือนใหม่
“คุณอร สวัสดีครับ” เสียงชายหนุ่มดังขึ้น เรียกสติสองสาวต่างวัย ศุภโชคยิ้มรับ เป็นอย่างที่เขาทราบข่าวจริงๆ ว่าเจติยาเป็นผลพวงของไอ้รณพลกับผอร อดขอบคุณคนบนฟ้าไม่ได้ที่ดลใจให้ผอรพาลูกสาวมาด้วย ทำให้อะไรๆ ที่ศุภโชคคิดไว้ในหัวน่าจะเป็นความจริงได้ง่ายขึ้น
เจติยาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกค้าของแม่ หล่อนจำได้ว่าเขาคือผู้ชายคนที่อนุวัตกรี๊ดหนักหนา ผู้ชายคนที่ยิ้มให้หล่อนในสเต็กเฮาส์เมื่อสามวันก่อน หญิงสาวกระตุกยิ้มส่งสายตาเบาๆ ให้ชายหนุ่มอย่างเป็นมิตร เชิญชวน แต่สงวนกิริยาอยู่ในที คิดเอาเองว่านี่คือพรหมลิขิตชัดๆ
ผอรเองก็แอบอมยิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาของศุภโชคต่อเจติยา หล่อนอาบน้ำร้อนมาก่อน แถมยังผ่านโลกมามาก ทำไมจะมองไม่ออกว่าอาการที่ศุภโชคเป็นอยู่คือสนใจลูกสาวหล่อน แต่หารู้ไม่ว่าความสนใจที่ศุภโชคมีให้นั้นห่างไกลจากความรักมากพอตัว
“คุณโชค ดีใจที่ได้เจอดิฉันถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอคะ” ผอรลุกขึ้นเพื่อให้เกียรติลูกค้าใหญ่ ในขณะที่เจติยายกมือไหว้บุรุษที่บัดนี้นั่งลงในเก้าอี้ตัวตรงข้ามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ศุภโชครับไหว้สาวน้อยโดยไม่สบตา
“นี่เจติยา ลูกสาวดิฉัน เพิ่งเรียนปริญญาโทจบจากอังกฤษ กลับมายังไม่ถึงอาทิตย์เลย ขออนุญาตพามาดูวิธีการเจรจากับลูกค้าหน่อยนะคะ อีกหน่อยก็คงเข้ามาช่วยกันนี่แหละ”
“จบที่ไหนครับคุณอร ผมก็จบอังกฤษ” ศุภโชคตั้งคำถามตอบง่ายแก่ผอร แต่สายตาจับจ้องอยู่ที่สาวน้อยตรงหน้า
ผอรเล่าคร่าวๆ ถึงสถาบันและสาขาวิชาที่เจติยาร่ำเรียนมา ในขณะที่ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ อมยิ้มเป็นเชิงพอใจกับเรื่องที่ได้ยิน ก่อนจะชมออกมาตรงๆ แกมขายขนมจีบใส่หญิงสาว
“สวยแล้วยังเก่ง...” ชายหนุ่มหยอด ทำเอาเจิตยาผยอง คนตรงหน้าคงสนใจตัวเองไม่น้อย เพราะปกติหล่อนก็ได้รับความสนใจจากเพศตรงข้ามเสมอๆ อยู่แล้ว
จากที่เจติยาคิดว่าการต้องมานั่งฟังมารดาเจรจาธุรกิจเป็นเรื่องน่าเบื่อ กลับกลายเป็นว่าหญิงสาวกลับนั่งฟังเพลิน รู้ตัวอีกทีบริกรก็กำลังนำของหวานมาเสิร์ฟ ซึ่งประจวบเหมาะกับที่ผู้ใหญ่ทั้งคู่ตกลงความต้องการร่วมกันได้ หัวข้อสนทนาเลยเบนมาหาคนที่นั่งเงียบมาตลอดมื้ออาหาร เพื่อเปิดโอกาสให้เจติยามีส่วนร่วมหลังจากนั่งยิ้มอยู่เกือบชั่วโมง เนื่องจากไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจของมารดาเลย
“คิดหรือยังครับว่าจะทำงานที่ไหน” เป็นครั้งแรกที่ศุภโชคพูดกับเจติยาตรงๆ หลังจากที่ถามไถ่ผ่านผอรมาตลอด
“คงช่วยคุณแม่ค่ะ เพิ่งตกลงกันเสร็จก่อนมานี่เอง” หญิงสาวยิ้มหวาน ก่อนตักพุดดิงมะม่วงเข้าปาก ใจจริงไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น บิดาหล่อนรวยล้นฟ้า นั่งๆ นอนๆ ยังไงเงินก็ไม่หมด แต่ดูท่าทางผู้ชายคนนี้จะให้ความสำคัญกับแก่การทำงาน
“แบบนี้อีกหน่อยบริษัทคุณผอรคงยิ่งรวยไปกันใหญ่ เพราะถ้าตีญ่าเป็นคนขาย พี่ว่าใครๆ ก็ทุ่มซื้อ” ศุภโชคบอกหน้านิ่งเสียงเรียบ แต่แววตาเป็นประกายฉายชัด และเจติยาคงเป็นผู้หญิงสมองทึบความรู้สึกช้าที่สุดในสามโลกถ้าไม่รับรู้ว่าศุภโชคต้องการจะสื่ออะไรจากคำพูด
“ใครซื้อ ตีญ่าก็ไม่สนหรอกค่ะ ขายเฉพาะรายเท่านั้น” สายตาเชิญชวนเปิดโอกาสให้ศุภโชครู้ว่าคนสวยตรงหน้าคง ‘ไม่ยาก’
ส่วนผอรได้แต่ยินเสียงเพราะมัวแต่เขียนรายละเอียดที่ชายหนุ่มต้องการเพิ่มเติมในกรมธรรม์ เลยเข้าใจไปเองว่าศุภโชคน่าจะถูกใจลูกสาวหล่อนเข้าแล้ว แต่หากเพียงเงยหน้าขึ้นมาสบตาก็คงได้เห็นประกายไม่น่าไว้ใจบางอย่างที่จะทำให้หล่อนจะเตือนภัยเจติยาได้ทัน
อาหารกลางวันมื้อนั้นจบลงด้วยดี ศุภโชคพอใจกับข้อเสนอที่ผอรทำมาให้จนถึงขั้นตกลงซื้อกรมธรรม์เรียบร้อย นัดจ่ายเงินในอีกสามวันข้างหน้า เนื่องจากต้องมีการเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องในรายละเอียด รวมถึงรูปแบบของการจ่ายเงินที่ชายหนุ่มต้องการชำระเป็นทั้งเงินสด แคชเชียร์เช็ค และโอนเข้าบัญชีบริษัท
นอกจากปิดการขายกรมธรรม์มูลค่าสูงได้ ศุภโชคยังสนใจที่จะให้บริษัทของผอรเป็นผู้รับผิดชอบประกันวินาศภัยของท่าเรือและเรือในกรรมสิทธิ์ของเขาอีกด้วย
“ยังไงอาทิตย์ไหนคุณอรว่างลงไปดูนะครับ ของอย่างนี้ต้องเห็นด้วยตา พี่เชิญตีญ่าด้วย ถือว่าลงไปเรียนงานนะครับ” ศุภโชคยิ้มในหน้าให้เจติยา
สาวน้อยยกมือไหว้ขอบคุณเขาที่เชื้อเชิญให้ไปเยี่ยมชมกิจการที่ภูเก็ต นึกพอใจว่าได้นกทีเดียวหลายตัว
“ใจดีจังค่ะ ตีญ่ากลัวแต่ไปแล้วจะทำให้คุณแม่กับคุณโชควุ่นวายสิคะ” ปากบอกเกรงใจ แต่ในใจกระหยิ่มที่ชายหนุ่มให้ความสนใจตัวเองไม่น้อย โปรยยิ้มหว่านเสน่ห์แบบคนมั่นใจในตัวเองให้อีกที พอใจมากขึ้นไปอีกเมื่อฝ่ายชายสำทับว่ายินดีที่จะรับรองหล่อนเหลือเกิน
“ไม่หรอกครับ คุณอร ขอบคุณมากสำหรับอาหารกลางวันนะครับ พรุ่งนี้ผมจะให้เลขาฯ ติดต่อไปเรื่องรายละเอียด” ศุภโชคหันไปขอบคุณผอรอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันมาสบตาหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งด้วยท่าทีเจ้าเสน่ห์ เห็นเขานิ่งๆ ไม่พูดแบบนี้ แต่หากจะต้องใช้มารยาชาย เจ้าตัวก็ทำผู้หญิงหลงมาหลายรายแล้ว
"ยินดีค่ะคุณโชค ตีญ่า งั้นเราแยกกันตรงนี้นะลูก แล้วไว้อาทิตย์หน้าเจอกัน คุณโชค ดิฉันฝากตีญ่าลงไปข้างล่างด้วยนะคะ” ผอรยิ้มมุมปากให้ชายหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าเกือบรอบ แล้วปลีกตัวไปในทันที ไม่รอให้มีจังหวะล่ำลาเกิดขึ้นอีก
เจติยางงๆ กับมารดาที่อยู่ดีๆ ก็เหมือนจะทิ้งทุ่นหล่อน แต่พอใจไม่น้อยที่จะได้ใช้เวลากับศุภโชคสองต่อสองมากขึ้นอีกนิด จึงเดินลงบันไดมากับชายหนุ่มที่ใช้บริการจอดรถของโรงแรมเหมือนกัน
“ตีญ่าไม่ได้อยู่กับคุณแม่เหรอครับ ”
“ตีญ่าอยู่กับคุณพ่อค่ะ แต่เจอคุณแม่อาทิตย์ละสามครั้ง และวันเสาร์ต้องทานข้าวกลางวันด้วยกันทุกสัปดาห์ถ้าตีญ่าอยู่เมืองไทยหรือคุณแม่ไม่เดินทาง”
หญิงสาวอธิบายเสียงใส เอียงหน้ามองตาคนถามแบบผู้หญิงอ่อนต่อโลก ทว่ามีลีลาที่ศุภโชคมองออกว่าเด็กคนนี้ไม่ใสแบบที่เห็น
“แล้วนี่ไปไหนต่อครับ”
ศุภโชคหาเรื่องคุย อีกไม่กี่นาทีก็จะเดินถึงหน้าโรงแรม จึงพยายามหลอกล่อเหยื่อให้ได้มากที่สุด ทั้งๆ ที่ค่อนข้างมั่นใจว่าง่ายกว่าที่คิด ก็สกิลอ่อยแบบนี้เขาเห็นมานักต่อนัก พะงาบๆ เจียนตายตอนเขาเขี่ยทิ้งมาก็หลายราย แต่ถามว่าชายหนุ่มเห็นใจไหมก็ไม่ เพราะความอ่อนไหวของเขาไม่เหลือไว้ให้ใครอีกต่อไปแล้ว
“ยังไม่รู้เลยค่ะ คนว่างงานแบบตีญ่านี่ไร้สาระนะคะ ใช้ชีวิตไร้แก่นสาร” หมากตัวสำคัญในเกมของเขาหัวเราะโชว์ฟันขาวที่เรียงตัวเป็นระเบียบ คิดเอาเองว่าที่เขาถามเพราะอยากชวนหล่อนไปไหนต่อไหน แต่ถึงผลลัพท์จะไม่เป็นแบบที่คาดก็ไม่พลาดไปจากที่หวังสักเท่าไร
“งั้นพี่ขอเบอร์ตีญ่าไว้หน่อยสิครับ ไว้พี่จะชวนทานข้าว เสียดายวันนี้มีนัดต่อ ไม่งั้นจะรบกวนไปนั่งดื่มกาแฟเป็นเพื่อนสักหน่อย”
ศุภโชคขอเบอร์โทรศัพท์หญิงสาวหน้าตาเฉย รู้อยู่ว่าคนตรงหน้าคงพร้อมเล่นด้วย จึงเจรจาไปแบบตรงๆ ซึ่งก็จริงดังคาดที่สาวน้อยหน้าตาน่ารักไม่ปฏิเสธ รีบบอกเบอร์โทรศัพท์ให้เขาบันทึกไว้ในมือถือ
“ไว้วันไหนสะดวกโทร. มาหาตีญ่านะคะ ตอนนี้รถตีญ่ามาแล้ว ไปก่อนค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้แบบทิ้งสายตา ก็ในเมื่อเขาไม่ได้ชวนวันนี้ หล่อนก็ต้องเล่นเกมกลับไปบ้างเหมือนกันไม่ให้เสียศักดิ์ศรี
“ครับ”
ศุภโชครับไหว้ ยิ้มให้น้อยๆ แต่ก็มากเกินกว่าปริมาณที่เคยยิ้มมาในแต่ละวัน จนรถของเจติยาเลี้ยวพ้นโรงแรมไป เจ้าตัวถึงได้หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าด้านในสูท ตาฉายแววเจ้าเล่ห์
หญิงสาวที่เพิ่งขับรถออกไปก็กระตุกยิ้มร้ายเป็นเชิงพอใจที่อ่อยเหยื่อตัวโตมากสำเร็จ ลงเจติยาหมายตาใคร ก็ไม่รอดเงื้อมมือหล่อนนักหรอก
“พี่โชคไม่รอดแน่...”
เจติยาพูดกับตัวเองระหว่างมองกระจกหลัง ยิ่งเห็นชายหนุ่มยังมองตามท้ายรถหล่อนมายิ่งพอใจ อารมณ์ขุ่นมัวที่ต้องตามมารดามาหาลูกค้าหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อพบว่าลูกค้าของแม่น่าบริการแค่ไหน
ความคิดเห็น |
---|