8
"ในโอกาสนี้ผมขอเชิญคุณรณพลขึ้นกล่าวอวยพรแก่ท่านปองพลด้วยครับ" เสียงพิธีกรประกาศดังกึกก้องทั่วพื้นที่กว้างกว่าสี่ไร่ที่ใช้ในการจัดงานวันนี้เหมือนที่เคยจัดทุกปี มีคนมาร่วมงานหนับหมื่นคน
รณพลสวมสูทสั่งตัดสีน้ำเงินเข้ม เสื้อตัวในเป็นเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ผมหยักศกนิดๆ ที่มีสีเทาแซมบางๆ ถูกเซตด้วยเจลเสยไปด้านบนอย่างดี ส่งให้หน้าผากกว้างโดดเด่นรับกับคิ้วหนา ตาเรียว เรียกว่าหล่อแบบตี๋ๆ ถึงแม้จะอยู่ในวัยสี่สิบเศษๆ แต่เขาก็ยังดูดี ราศรีของความมีอำนาจเพิ่มพูนขึ้นตามวัย
หนุ่มใหญ่ลุกขึ้นจากโต๊ะวีไอพีด้านหน้าตามเสียงเรียกขึ้นเวทีเพื่อกล่าวอวยพรบิดาผู้เป็นเจ้าของพรรคการเมืองใหญ่ให้มีสุขภาพแข็งแรง ขอบคุณแขกเหรื่อในงาน ประชาชนที่สนับสนุนพรรค ส.ส. ในสังกัดที่ช่วยสร้างผลงาน รวมถึงทิ้งท้ายว่าให้ทุกคนอิ่มหนำกับเครื่องดื่มและอาหารจากทั่วสารทิศกว่าสี่สิบร้านที่มาออกร้านที่นี่ ก่อนที่จะมีการแจกรางวัลในช่วงท้ายของงาน ด้วยเสียงดังกังวาน ท่วงท่าสง่างาม ทำให้รณพลในความสูงร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรบนเวทีดูน่าเกรงขามไม่น้อย
“นั่นไงคะแซนดี้ คุณรณพลที่หนูต้องขึ้นไปช่วยท่านแจกรางวัล” ลักษณ์ชี้ให้สัณฑิตารู้จักหน้านายจ้างในงานวันนี้
"ยังหนุ่มอยู่เลยนิคะ แซนดี้นึกว่าจะแก่ หัวล้าน ลงพุง ขากถุยๆ ซะอีก"
"แหมมม หนูก็พูดเกินไป...คุณรณพลนี่เป็นลูกชายเจ้าของพรรคค่ะ สี่สิบกว่าๆ แต่คงดูแลตัวเองดีละ คนพ่อเจ้าของวันเกิดนั่งอยู่โน่น" ลักษณ์ทำปากยื่นไปทางชายชราวัยเกือบเจ็ดสิบที่นั่งอยู่หน้าเวที "ไปค่ะๆ พี่พาไปกราบท่าน"
สัณฑิตาได้ยินแบบนั้น จากที่ไม่อยากจะมางานนี้ก็ยอมเดินตามผู้จัดการส่วนตัวไปอย่างว่าง่าย ไม่นานก็มาถึงโต๊ะเป้าหมาย แล้วยื่นของขวัญให้เจ้าของวันเกิดในวันนี้ ระหว่างนั้นก็จีบปากจีบคออวยพร
“ท่านขาาา ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง มีอำนาจบารมีแผ่ไพศาล อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ทุกคนนานๆ นะคะ นี่ค่ะ ลักษณ์กะน้องแซนดี้สั่งโสมมาให้ท่านไว้บำรุงร่างกาย...อ้อ นี่น้องแซนดี้ที่จะมาช่วยคุณพลบนเวทีวันนี้ค่ะ”
สัณฑิตาพนมมือไหว้ปองพลอย่างชดช้อยเมื่อถึงคิวของตัวเอง พอดีกับที่รณพลเดินลงมาจากเวที นางแบบสาวก็หันไปสบตา ยิ้มหวานแพรวพราวมากกว่าปกติ ก่อนยกมือไหว้ลูกชายเจ้าของงาน ทำตัวนอบน้อมกว่าเดิมอีกครั้งเมื่อผู้จัดการแนะนำให้รู้จักคนที่เคยติดต่องานกินข้าวเย็นเข้ามา หากรู้ว่าทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งเรืองอำนาจแบบนี้ หล่อนคงไม่มัวแต่งมงายอยู่กับพ่อค้าต่างจังหวัดอย่างศุภโชคหรอก
“อ้าว คุณพลมาพอดี นี่น้องแซนดี้ค่ะ ที่จะช่วยคุณพลวันนี้”
รณพลรับไหว้พลางมองร่างอวบอิ่มตาเป็นประกาย ทิ้งสายตาไว้ที่อกอวบขาวนานกว่าปกติเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มจนตาหยี "ดีจังเลยครับ ได้แซนดี้มาช่วย ผมมีกำลังใจในการแจกของขึ้นเยอะ"
"แซนดี้ดีใจค่ะที่ช่วยท่านได้ ถ้าท่านเหนื่อย จะให้แซนดี้ช่วยผ่อนคลายอะไรก็บอกนะคะ"
ปองพลอ่านเกมบุตรชายออกก็ได้แต่มองอย่างระอา ถึงแม้ว่ารณพลจะคบกับภัสสรมานานและรักหญิงสาวมาก แต่ตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ก็ยังหาเศษหาเลยกับดารานางแบบอยู่เป็นประจำ ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ในเมื่อลูกก็โตอายุสี่สิบกว่าแล้ว ผิดชอบชั่วดีต้องสำนึกได้ด้วยตัวเอง คนเป็นพ่อเหลือบเห็นว่าที่ลูกสะใภ้เดินเข้ามาทางหางตาจึงอ้าแขนออกรับ ให้รู้กันไปว่าไม่ว่ารณพลจะไปฟันใครที่ไหน แต่คนที่เขาพร้อมจะตบแต่งให้มีเพียงภัสสรคนเดียวเท่านั้น
"คุณแพท ไปไหนมาลูก ทำไมไม่นั่งกับป๋า" ปองพลกอดลูกสะใภ้ที่เข้ามากราบแทบอก เขาเอ็นดูสตรีคนนี้เหลือเกิน กิริยามารยาทงดงาม ไม่เปิ๊ดสะก๊าดเหมือนสาวสมัยใหม่ที่รณพลชอบหิ้วมานอนที่บ้านนี้
"แพทไปดูความเรียบร้อยให้พี่ๆ นักข่าวมาค่ะ คุณป๋าทานอะไรหรือยังคะ แพทจัดให้ไหม" หญิงสาวตอบเสียงหวานพลางหันซ้ายขวา หวังจะหาเด็กให้ตามไปถืออาหารสักสองคน แต่สายตาสะดุดอยู่ที่นางแบบหน้าใหม่ที่หล่อนเพิ่งเห็นลงนิตยสารวันก่อน มีเพียงชุดว่ายน้ำแบบสองชิ้นรูปสามเหลี่ยมแปะท่อนบนและท่อนล่าง สาวสวยตรงหน้าคงเด็กกว่าเธอหลายปี หน้าตาสดสวยแบบพอดูออกว่างัดดั้ง กรีดตา แต่ทำออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ฝ่ายนั้นกำลังมองสวนกลับมาจึงยิ้มให้ตามมารยาท เพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่รณพลแนะนำหล่อนออกมา
" นี่ภัสสร ว่าที่ภรรยาผมครับ"
หนุ่มใหญ่แนะนำหญิงสาวด้วยตำแหน่งนี้กับทุกคนมาตลอดอย่างให้เกียรติ แม้จะสานสัมพันธ์สวาทกับใครๆ อีกมากมาย แต่คนพวกนั้นต้องรู้ว่าจะไม่ได้อะไรจากเขา นอกจากเงินและสิ่งของเท่านั้น
“คุณแพท นี่แซนดี้ค่ะ พี่จ้างมาโชว์ตัววันนี้” รณพลบอกคนรัก วาดมือขึ้นโอบไหล่ว่าที่ภรรยาคนสวยไว้หลวมๆ ทำเอาสัณฑิตาถึงกับหันไปมองสบตากับลักษณ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมายิ้ม ยกไม้ยกมือสวัสดีว่าที่มาดาม
ภัสสรวางตัวเป็นเจ้าภาพที่ดี เอ่ยชมอีกคนก่อนจะเลี่ยงเดินไปบริเวณอื่นของงาน เพราะแค่มองก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างผู้ชายที่ยืนข้างหล่อนกับสาวงามตรงหน้าคนนี้ “สวยจังค่ะ เพิ่งเห็นน้องแซนดี้ในหนังสือวันก่อนเอง มีไรขาดเหลือบอกพี่นะคะ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปดูความเรียบร้อยทางโน้นก่อน คุณพลมีอะไรโทร. หาแพทแล้วกันค่ะ
พอคล้อยหลังหญิงสาวผู้สวยสง่า สัณฑิตาที่ตั้งสติได้ก็หันมาแยกเขี้ยวใส่ลักษณ์ กระซิบเสียงเขียวทันที “ไหนว่าแฟนไงพี่ลักษณ์ แนะนำขนาดนี้ไม่ใช่ละมั้ง”
“ว่าที่เมียค่ะคุณน้อง ยังไม่แต่ง แต่ไม่ใช่แม่ของลูกนะคะ ถ้าถูกใจ คุณพลนี่ตบรางวัลไม่อั้นเลยนะคะ เชื่อพี่"
“หืม ลูก ลูกใคร มีลูกด้วยเหรอคะ” คราวนี้สัณฑิตาทำหน้าตกใจเพิ่มอีกสเตปหนึ่ง ตาเบิกกว้าง ไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้องหรือไม่
“ค่ะ ลูกคุณพลนั่นแหละ ทำใครท้องตอนเรียนสักอย่างนี่แหละค่ะ โตแล้ว ยี่สิบกว่าแล้ว” ลักษณ์ลูบแขนสัณฑิตา เดี๋ยวค่อยกล่อมกันอีกที เพราะตอนแจ้งเลขาฯ ของรณพลว่าเด็กในสังกัดรับงานนี้ ทางนั้นก็บอกกลับว่ามาเจ้านายเขาอยากให้สัณฑิตารับงานอื่นเพิ่ม "เชื่อพี่ค่ะ ไป ไปนั่งข้างๆ คุณพล ดูแลท่านดีๆ นะคะ เดี๋ยวพี่มา”
สิ้นคำนั้นสัณฑิตาก็ถูกผู้จัดการส่วนตัวดันให้นั่งลงข้างรณพลที่ทำหูตาแพรวพราวไม่เก็บอาการ เพราะว่าที่เมียเดินลิ่วหายวับไปกับตา มีนางแบบสาวบริการอาหารเครื่องดื่มอยู่ข้างๆ แทน
“แซนดี้อยู่อย่างนี้ แฟนคุณพลจะไม่ว่าเหรอคะ” หญิงสาวส่งเสียงออดอ้อนเหมือนเกรงใจว่าที่เมียแต่ง ทั้งๆ ที่ตอนทิ้งตัวลงนั่งก็แทบจะเกยขึ้นไปบนตักรณพลแล้ว
“คุณแพทคงดูแลพวกภรรยา ส.ส. อยู่ คุณแซนดี้ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ช่วยผมดูแลหน้างานตรงนี้ดีกว่า” รณพลพร้อมหันไปพยักหน้าเรียกคนสนิทเข้ามาใกล้
“เชิญไปเซฟเฮาส์คืนนี้ไหมครับ” ประเสริฐ คนสนิทของรณพลถามขึ้นข้างหูอย่างรู้ใจ
“ไว้อาทิตย์หน้า คุณแพทจะลงไปภูเก็ตกับเพื่อนหลายวัน” เจ้านายสั่งคนสนิทต่ออย่างอารมณ์ดี สีหน้าเปื้อนยิ้มที่จะได้ของกินใหม่ ไม่วายกำชับต่อ “ดูแลคุณแพทดีๆ นะ”
“ครับ ผมสั่งทีมโน้นไว้เหมือนเคยแล้วครับ ถ้าคุณแพทมาในรัศมีสิบเมตรมันจะวอมาแจ้งครับ" ประเสริฐรายงานอย่างรู้ใจนายอีกที เพื่อให้รณพลได้กินของว่างเล็กๆ น้อยๆ ตามใจปาก พอใจมากขึ้นเมื่อนายของตนที่แม้จะไม่ใช่นายใหญ่สุดอย่างปองพล แต่ก็เป็นสายบังคับบัญชาโดยตรงยื่นเงินสดเรือนหมื่นให้เป็นการตบรางวัลเหมือนทุกครั้งที่เขาทำอะไรเป็นที่พอใจ
"ดีมาก"
เจติยามาถึงงานหลังรณพลขึ้นเวทีแจกรางวัลไปได้สักพักแล้ว แม้จะพยายามรีบแค่ไหน แต่ก็สู้สภาพการจราจรในกรุงเทพฯ ไม่ไหว เพราะออกเดินทางผิดเวลาจากที่คิดไว้ทีแรก ดังนั้นเมื่อก้าวขาเข้างาน สาวสวยก็รีบวิ่งเข้ามาหอมแก้มผู้เป็นปู่ซ้ายขวาอย่างน่าเอ็นดู จนปองพลกลั้นหัวเราะไม่ได้
“พอแล้วๆ แก้มปู่ช้ำหมดแล้ว” ปองพลลูบหัวหลานสาวที่คุกเข่ากอดเอวเขาอยู่
“ก็ตีญ่าคิดถึงคุณปู่นี่คะ เจติยาอ้อนชายชรา ไม่วายหอมอีกที พอใจมากขึ้นเมื่อคุณปู่หอมหล่อนกลับมา
“คิดถึงแล้วทำไมเพิ่งมา ปู่รอตั้งแต่เย็นแล้ว”
“รถติดมากเลยค่ะ ตีญ่ารีบที่สุดในสามโลก ตั้งใจจะมาแย่งคุณปู่เป่าเค้ก ยังเก็บเค้กไว้ให้ตีญ่าช่วยเป่าใช่ไหมคะ” หญิงสาวทำท่าสอดส่องซ้ายขวาขณะเอ่ยถึงกิจกรรมที่หล่อนได้ทำแทนคุณปู่ในวันเกิดทุกปี ทั้งๆ ที่จริงๆ หล่อนมัวแต่กินข้าวกับศุภโชคอยู่เลยทำให้ออกมาช้า ก่อนจะหันไปสวัสดีภัสสรที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างๆ ปองพล ถัดจากภัสสรก็เป็นบิดาหล่อนที่มีนางแบบคนหนึ่งนั่งประกบข้างอยู่
"คุณแพทสวัสดีค่ะ" เจติยายืนอยู่ระหว่างกลางที่นั่งของภัสสรกับรณพล เหลือบตามองผู้ให้กำเนิดอีกที แม้จะรักพ่อ แต่ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่บิดาทำอยู่เป็นเรื่องน่ายินดี
“คุณพ่อเถิบไปหน่อยสิคะ”
“เอ๊ะ ที่ข้างคุณแซนดี้ก็ว่าง ตีญ่าไปนั่งตรงโน้นสิลูก” รณพลได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้ามองบุตรสาวที่ค้อนเขา พลางบอกให้นั่งที่ที่นั่งถัดจากสัณฑิตาไป
“ไม่เอา ตีญ่าจะนั่งข้างแม่เลี้ยงตีญ่ากับคุณพ่อ รบกวนให้แขกคุณพ่อเถิบไป” คนไม่เคยงอนเริ่มจะงอแง ปรายตาค้อนนางแบบที่หล่อนได้ข่าวว่าไม่ได้รับงานแสดงแต่อย่างเดียว
ภัสสรเห็นสถานการณ์แบบนั้นก็ไม่อยากให้พ่อลูกกระทบใจกัน ได้แต่บอกเสียงหวานตามสไตล์ ตัวหล่อนเองก็ลุกขึ้น โอบบ่าเจติยาไว้ด้วยความรักใคร่ เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เอ็นดูไม่เหมือนลูกก็เหมือนน้องแท้ๆ
“ทานข้าวมาหรือยังคะ เอาอะไรไหมคะ เดี๋ยวพี่ให้เขาเตรียมให้ หรือจะไปเดินดูกันเอง กว่าเขาจะเอามาส่งก็พอดีเราถ่ายรูปเสร็จ”
“อะไรก็ได้ค่ะ ตีญ่าทานได้หมด" พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง พิธีกรบนเวทีก็เชิญคุณปองพล เจ้าของวันเกิด ภัสสรว่าที่สะใภ้ และเจติยาหลานสาวคนเดียวขึ้นถ่ายรูป
ภาพถ่ายงานวันนี้คงจะดูดี อบอุ่นเหมือนทุกปีไม่น้อย ถ้าหากนางแบบสาวจะไม่ส่งเสียงแหลมขึ้นมาระหว่างจัดที่ถ่ายภาพ
“ให้แซนดี้ถ่ายด้วยนะคะ” พูดจบสัณฑิตาก็กอดแขนขวารณพล เอียงใบหน้าเข้ามาชิด
ภัสสรเห็นเข้าจึงหันมามองหน้าคนรัก ที่หันมายิ้มกับหล่อนพร้อมแก้ตัวว่า
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ พวกดาราเขาชอบถ่ายรูปแบบสนิทสนม”
เมื่อได้ยินดังนั้นภัสสรที่หน้าชาวาบตั้งแต่เห็นกิริยาของสัณฑิตาจึงได้แต่ฝืนยิ้มเหมือนไม่รู้ ไม่เห็น ไม่คิดอะไร เหมือนตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่หล่อนรู้อยู่ลึกๆ ว่ารณพลไม่เคยมีหล่อนคนเดียว แต่ยังไม่เคยจับได้คาหนังคาเขา แล้วรณพลก็ไม่เคยควงใครออกหน้า ไม่ยกย่องให้เกียรติเหนือหล่อน มีแต่เพียงสัมพันธ์ลับๆ ชั่วข้ามคืน
เจติยาชะโงกหน้ามามองจากอีกฟากเพราะได้ยินเสียงสัณทิตา มองกิริยาของคนทั้งสามก่อนจะสบตาภัสสรอย่างเห็นใจ ถึงจะไม่เคยเปิดใจคุยกัน แต่หล่อนรู้ว่าภัสสรทราบพฤติกรรมของผู้เป็นพ่อมาโดยตลอด หล่อนเห็นคนรักของพ่อแอบปาดน้ำตาหลายครั้งเวลาบิดาบอกว่าจะไปค้างคืนที่เซฟเฮาส์ แต่ก็ไม่เคยเห็นรณพลและภัสสรทะเลาะเบาะแว้งกันจริงจังเสียที เลยได้แต่ถอนใจ ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขาเคลียร์กันไปก็แล้วกัน
“คุณแพทขับรถไหวไหมคะ” หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดลูบแขนว่าที่แม่เลี้ยงให้กำลังใจขณะหญิงสาวกำลังเดินไปเอากระเป๋าในห้องนั่งเล่นในบ้านของปองพล
ภัสสรหันหน้ามาหา นัยน์ตาแดงๆ ก่อนจะยิ้มหวานให้เหมือนเคย พยักหน้าราวกับไม่มีอะไรให้ต้องทนไม่ไหว “ไหวสิคะ ตีญ่าไม่ต้องห่วงพี่หรอกค่ะ”
เสียงเตือนจากแอปพลิเคชันสนทนาในมือถือของภัสสรดังขึ้นขัดจังหวะพูดคุย คืนนี้งานเลี้ยงจัดที่บ้านใหญ่ ไม่ใช่บ้านของรณพลที่หล่อนมีห้องพักส่วนตัว ดังนั้นเสร็จงานเลี้ยงจึงแยกย้ายกันกลับบ้านตัวเอง ตาหวานที่สบตากับเจติยาเมื่อครู่หลุบลงอ่านข้อความที่ทำให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้า โดยที่ภัสสรเองก็ไม่รู้ตัว
ตั้งแต่วันที่ไปงานเลี้ยงรุ่นวันนั้น กรุ๊ปสนทนาก็ดูจะมีการพูดคุยกันมากขึ้นแทบจะทั้งวัน ราวกับว่าทุกคนสแตนด์บายรอคุยกับเพื่อนๆ อยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ต่างคนต่างมีหน้าที่การงานความรับผิดชอบมากมาย แวววรรณผู้เปรียบเสมือนกาวของกลุ่มเป็นตัวริเริ่มในการจัดทริปย้อนความหลัง เลือกปลายทางเป็นจังหวัดภูเก็ต โดยมีศุภโชคเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ การติดต่ออย่างสม่ำเสมอของเพื่อนกลุ่มนี้สร้างความสดชื่นให้ภัสสรไม่น้อย และมากขึ้นไปอีกเมื่อมีอีกคนแทรกซึมมาเงียบๆ หลังจากได้เพิ่มหล่อนเป็นเพื่อนไปตั้งนานก่อนเจอกันที่งานเลี้ยงรุ่น และส่งข้อความมาขอความเห็นเรื่องธุรกิจบ้าง ส่งภาพวิวมาบ้างลอยๆ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
Superchoke : ในกรุ๊ปคนเยอะ...โชคกำลังจะทำห้าง เผื่อถามแพท จะได้ไม่รบกวนใคร
ภัสสรนิ่งไปพักใหญ่ กว่าจะบอกตัวเองว่าศุภโชคคงไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเขาก็ไม่เคยส่งข้อความล่อแหลมมา มีเพียงส่งรูปถ่ายกิจกรรมที่กำลังทำกับข้อความสั้นๆ ว่าอยู่ที่ไหน อย่างไร จนเมื่อครู่ภัสสรได้รับรูปที่เขากำลังนั่งดินเนอร์อยู่ที่ระเบียงเพนต์เฮ้าส์พร้อมข้อความว่า
Superchoke : คงจะดีถ้ามีคนมากินด้วย
Pat : สาวๆ โชคเยอะแยะมั้ง? >.<
Superchoke : แต่ไม่มีใครเหมือนแพท
ภัสสรชะงักไป ความรู้สึกไม่มั่นคงที่มีมาตลอดในความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างหล่อนกับคนรักปะทุหนักขึ้นเรื่อยๆ จนแทบระเบิดเมื่อเห็นท่าทีของรณพลและสัณฑิตาเมื่อครู่ ความคิดเก่าๆ ที่เคยทบทวนในหัวมาตลอดว่าควรจะเดินออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่ซื่อสัตย์ยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อศุภโชคกลับมาทำให้หัวใจหวั่นไหว และเมื่อใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล หญิงสาวจึงส่งข้อความตอบศุภโชคออกไป
Pat : ไม่มีใครเหมือนโชคเหมือนกัน T.T
ชายหนุ่มเห็นข้อความทันทีที่ภัสสรส่งกลับมา เพราะยังเปิดหน้าจอสนทนาค้างไว้ระหว่างรับประทานอาหาร ใจที่คิดว่าควบคุมได้แกว่งไปนิดหนึ่ง ไม่คิดว่าหญิงสาวจะตอบกลับมาแบบนี้ เพราะตัวเขาแทบชกหัวที่ส่งข้อความเปิดเผยความรู้สึกในใจที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นไปให้หญิงสาว ก่อนจะกดโทรศัพท์โทร. ออกหาเบอร์ที่บันทึกไว้ตั้งแต่วันที่เจอหล่อนที่ร้านตัดผม
“ทำอะไรอยู่ครับ” ศุภโชคถาม มั่นใจว่าภัสสรต้องทราบว่าปลายสายคือใคร หลับตาแหงนหน้าพิงพนักเก้าอี้ที่ระเบียง ลุ้นในใจว่าอีกฝ่ายจะตอบเขาอย่างไร
“โชคเหรอคะ...แพทกำลังออกจากงานเลี้ยงค่ะ” ภัสสรเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบคู่สนทนา หลังหันไปมองเจติยาที่ยืนห่างออกไป เมื่อมั่นใจว่าคนที่อยู่ในรัศมีห้าเมตรไม่รู้ว่าหล่อนคุยกับใครจึงได้เปิดปากตอบ
“ยังไม่ดึกเลย เดี๋ยวนี้แพทแขวนนวมแล้วเหรอ” ชายหนุ่มเย้า ต่อให้หล่อนไม่ใช่สายปาร์ตี แต่ก็ไม่เคยงอแงทำตัวเป็นภาระของกลุ่ม อยู่ร่วมทุกงานจนทุกคนกลับหมดด้วยซ้ำ
“ไม่ค่อยสนุกแบบที่ทานกับเพื่อนๆ นิคะ งานผู้ใหญ่ ทานข้าวเสร็จแล้วเหรอคะ” หล่อนตอบกำกวม ไม่อยากเอ่ยว่าตอนนี้อยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดบิดาของรณพล
“แวะเจอกันหน่อยไหม โชคมีธุระจะคุยด้วย แฟนแพทจะว่าหรือเปล่า”
ได้ยินแบบนั้นหล่อนก็วูบในใจ เป็นห่วงคนที่เคยคบว่ามีเรื่องอะไรหนักหนาไม่สบายใจหรือเปล่า “เรื่องสำคัญเหรอโชค ได้นะ คุณพลไม่ว่าอะไรหรอก เขานอนบ้านพ่อเขา”
ภัสสรพูดไปตามความจริง รณพลบอกก่อนหล่อนขับรถออกมาว่าพรุ่งนี้เช้าต้องลงพื้นที่กับผู้เป็นบิดา เลยไม่อยากย้อนไปย้อนมาจึงตัดสินใจนอนที่บ้านของปองพลเพื่อลดระยะเวลาการเดินทาง
“งั้นแวะมาเจอกันที่...ได้ไหม โชคมีเอกสารสำคัญจะฝากให้วีวี่ด้วย” ศุภโชคบอกชื่อร้านที่อยู่ด้านล่างล็อบบีเพนต์เฮาส์ไป เหมือนเป็นการวัดใจว่าอีกฝ่ายจะยอมมาอยู่ใต้ที่พักเขาหรือเปล่า แล้วก็ยกยิ้มแบบสมใจ ไม่ใช่เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เตรียมไว้ แต่เพราะอยู่ดีๆ เขาก็จะได้อยู่ใกล้ๆ หัวใจของเขาอีกครั้ง
สิบห้านาทีก่อนถึงเวลานัด ชายหนุ่มก็วางแปรงที่เพิ่งใช้เซตผมลงหน้าโต๊ะแต่งตัว มองดูตัวเองในกระจก สับสนไม่น้อย ความรู้สึกในใจปนเปกันไปหมด ทั้งอาวรณ์ แค้นเคือง คิดถึง สารพัด ยอมรับว่าสายใยที่มีต่อภัสสรยังมีอยู่มาก แต่ที่ไม่แน่ใจคือทุกครั้งที่ได้ยินข่าวไม่ดีของรณพล เขากลับดีใจ เหมือนสะใจอยู่ลึกๆ ที่แท้ที่จริงแล้วภัสสรก็ไม่ได้หาใครได้ดีไปกว่าเขา การกลับมาคุยกันคราวนี้เพราะรอยยิ้มวันนั้นทีเดียวที่ทำให้ศุภโชคหวั่นไหวจนต้องสั่งให้ตัวเองเอาคืนผู้หญิงคนนี้ให้หลาบจำ
ใจหนึ่งเขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเสียงภัสสร ได้เจอ ได้สบตา ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหัวเราะของภัสสร ศุภโชครู้สึกเหมือนอยากหยุดเวลาไว้แค่นั้น อยากลืมเรื่องแก้แค้น อยากให้มีแค่หล่อนกับเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่แล้วคนที่สับสนในตัวเองและ ยังหาคำตอบไม่ได้ก็ตัดสินใจพักสิ่งที่ค้างคาในหัวไว้ แล้วลงมายืนรอภัสสรบริเวณหน้าคอนโด ระหว่างรอก็ต่อสายหาเจติยา สาวน้อยที่เขาเพียรโทร. หาทุกวันมาเกือบสามเดือนแล้ว เพราะคนอย่างศุภโชคหากตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด
“นอนหรือยังครับ” เนื้อเสียงเขาไม่ได้มีรอยยิ้มแบบที่คุยกับภัสสรเมื่อครู่ แต่ยังมีแก่ใจพูดเสียงอ่อนใส่สาวที่อ่อนวัยกว่า
“ยังเลยค่ะ เพิ่งถึงบ้านเอง”
เจติยาตอบเสียงใส ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับศุภโชคไม่ได้มีคำนิยามชัดเจน ทว่าการคุยกันทุกวันทั้งทางโทรศัพท์และข้อความ การพบกันทุกครั้งที่ชายหนุ่มขึ้นมากรุงเทพฯ ก็ทำให้ทั้งสองมีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง อย่างน้อยหล่อนก็คิดว่าที่เป็นกันอยู่ตอนนี้มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน
“งั้นพรุ่งนี้ทานข้าวกลางวันกันไหม พี่จะกลับไฟลต์ดึก พอมีเวลาได้เจอตีญ่าก่อนกลับไปทำงาน” ศุภโชคออกปากชวนเจติยา ทั้งที่ใจจริๆอยากหาเรื่องชวนภัสสรทำอะไรกันสบายๆ มากกว่า แต่ก็รู้ดีว่าคนที่ยังไม่เลิกกับคนรักเด็ดขาดอย่างภัสสรจะไม่มีทางมาสานสัมพันธ์กับเขาอย่างเปิดเผยแน่
“ทำไมรอบนี้ตีญ่าได้รับเกียรติเจอตั้งสามรอบคะ มาอาทิตย์เดียวแท้ๆ”
“ก็ตีญ่าเป็นคนพิเศษ”
หญิงสาวได้ยินประโยคชวนฝันแบบนั้นก็อดหน้าแดงตามประสาเด็กสาวไม่ได้ ศุภโชคมีชั้นเชิงมากกว่าเจติยาหลายขุม ด้วยความที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาสามสิบกว่าปี ทำให้ชายหนุ่มรู้วิธีเอาใจผู้หญิงเป็นอย่างดี
“ไปนะครับ ถ้าขี้เกียจขับรถ พี่ไปรับก็ได้” ศุภโชคแสร้งทำเสียงอ่อนออด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจติยาไม่ยอมให้เขาไปรับหรอก เจติยามักรักษาระยะห่างกับชายหนุ่มเสมอ เหมือนกำลังเล่นเกมว่าใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อน
“อย่าเลยค่ะ ลำบากพี่โชคเปล่าๆ ตีญ่าไปเจอที่ร้านสะดวกดี”
นั่นไง ผิดจากที่คิดไว้ที่ไหน
“ตามใจตีญ่า...งั้นพรุ่งนี้เจอกันครับ กูดไนต์” ชายหนุ่มบอกราตรีสวัสดิ์ รอจนอีกฝ่ายตอบกลับมาเช่นเดียวกันแล้วจึงวางสาย แววตาบ่งบอกการเป็นผู้ควบคุม ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ ว่า
“แล้วกูจะทำลายหัวใจมึงเหมือนที่มึงทำกับกู ไอ้รณพล” แววตาเคียดแค้นฉายแววโมโหก่อนเขาจะรีบปรับให้เป็นปกติ เมื่อเห็นภัสสรก้าวลงจากรถยนต์คันหรู
สีหน้าที่ดูเหนื่อยนิดๆ กับตาแดงๆ เหมือนคนผ่านการร้องไห้ทำให้ศุภโชคอดถามคนเคยรักที่ไม่แน่ใจว่ายังรักอยู่หรือเปล่าด้วยความห่วงใยออกไปไม่ได้
“แพทเป็นอะไร ง่วงหรือเปล่าครับ ไว้คุยกันวันหลังก็ได้นะ”
ชายหนุ่มยื่นมือไปลูบหัวหญิงสาวด้วยกิริยาเคยชิน ทำให้ภัสสรชะงัก ก่อนจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติ เขาอาจจะเป็นห่วงแบบเพื่อน เอ็นดูแบบน้อง ดังนั้นเป็นหน้าที่หล่อนนี่ละที่ต้องตีกรอบทุกอย่างไว้แค่นั้น
“เหนื่อยค่ะ บางทีอะไรๆ ก็ไม่ง่ายแบบที่โชคคิดหรอกนะ” ภัสสรเอ่ยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก แต่ยังพยายามทำหน้าตาให้สดใส
“ผมมีเวลาให้แพททั้งคืน ถ้าแพทอยากระบาย”
ศุภโชคสบตาภัสสรด้วยสายตาชวนฝัน สายตาแบบที่ทำให้ผู้หญิงทั้งโลกหลงใหล สายตาแบบที่ภัสสรเองก็เคยตกหลุมรักมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าเขามองคนตรงหน้าด้วยอารมณ์แบบไหน เพราะยังคิดไม่ตกเลยว่าควรวางภัสสรไว้ตรงไหน ควรให้เธอเป็นหมากตัวสำคัญอย่างที่คิดไว้ หรือแค่ใช้เจติยาเป็นเครื่องมือทำลายรณพลก็เพียงพอแล้ว ความรักที่เขารู้ แต่ไม่ยอมรับว่ามันมีอยู่ผสมกับความแค้นที่โดนสลัดทิ้งแบบไร้เยื่อใยทำให้ศุภโชคตอบคำถามตัวเองไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้อารมณ์ชักนำไป อย่างน้อยขอแค่คืนนี้ก็ยังดี เมื่อคิดได้แบบนั้นชายหนุ่มก็ผายมือให้ภัสสรออกเดินนำเข้าร้านที่เขาจองโต๊ะไว้ โดยไม่ได้แตะต้องตัวหล่อนแม้แต่น้อย
เครื่องดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าถูกนำมาบริการแขกทั้งสองขณะที่ทั้งคู่พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตช่วงที่แยกย้ายกันไป และปรึกษากันเรื่องธุรกิจกันหลายแง่มุม จนตอนนี้กลายเป็นว่าหญิงสาวหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
“แพทขับรถไหวไหม” ศุภโชคถามขณะประคองหญิงสาวออกจากร้าน นี่ก็ล่วงไปจนเกือบตีหนึ่งแล้ว แต่เรื่องที่อยากคุยยังมีอีกมาก ถ้าไม่ติดว่าถึงเวลาปิดให้บริการก็คงยังนั่งกันต่อ
“ฮือ ไหว...หนักกว่านี้แพทยังไหวเลย” ภัสสรที่เริ่มพูดจาอ้อแอ้บอกศุภโชค ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง หล่อนโตพอที่จะต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้แล้ว
“แต่ผมว่าแพทไม่ไหว ขึ้นไปพักบนห้องก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น เพราะเหมือนหญิงสาวจะเริ่มทรงตัวไม่อยู่ ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกิน แต่เป็นเพราะห่วงคนตรงหน้าจริงๆ
“จา-ดี-เหรอ-โชค เดี๋ยว-โคน-มอง-ม่าย-ดี” ภัสสรซึ่งพูดจายานคางดึงดันจะกลับบ้านให้ได้ ไม่คิดว่าเมาขนาดขับรถไม่ไหวแม้แต่น้อย ในหัวตอนนี้คิดว่าหล่อนไม่ควรมาหาเขาด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ขึ้นไปพักบนคอนโดเขาเลย
“ก็ดีกว่าขับออกไปแบบนี้ ไม่รู้ละ ผมไม่ให้แพทกลับ อย่างน้อยก็นั่งให้สร่างสักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี” ศุภโชคล็อกแขนภัสสรแน่นก่อนจะอุ้มหญิงสาวขึ้นไว้ในอ้อมแขนด้วยเหตุผลของความห่วงใย ไม่ฟังคนตัวบางที่งอแงส่งเสียงงุ้งงิ้ง เดินรี่ไปกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนสุดของคอนโดหรู
ฝ่ายภัสสรเองก็หมดแรงต่อต้านในที่สุด เพราะเริ่มจะเวียนหัวขึ้นมาจริงๆ ผสมกับความเสียใจที่ความรักของตนไม่ดีเหมือนภาพที่คนอื่นเห็น ทำให้สติส่วนดีปิดทำการ ปล่อยให้ศุภโชคพาขึ้นมาวางลงบนเตียงเพราะหล่อนหลับไปตั้งแต่อยู่ในลิฟต์
ชายหนุ่มเกลี่ยผมที่ปรกใบหน้างามออก เผยให้เห็นดวงหน้ากระจ่างที่แม้จะดูมีอายุขึ้น แต่กลับทำให้ความสวยของภัสสรผุดผาดเย้ายวนใจมากกว่าสมัยเป็นวัยรุ่น จนเขาแทบจะห้ามตัวเองไม่ไหว บอกสติฝ่ายดีให้ดึงขาผลักตัวเองออกมา แต่อีกคนที่กำลังไม่มีสติยกมือขึ้นจับมือแกร่งของศุภโชคไว้ ก่อนจะนำมาวางไว้บนอกแบบไม่มีนัยแอบแฝง เป็นทำนองว่าหาหลักยึดมากกว่าที่จะประพฤติผิดประเวณี
“ถ้าแพทรอ รอโชคพูด เราจะยังรักกันอยู่ใช่ไหม” หญิงสาวบีบมือศุภโชคแน่นทั้งๆ ที่ไม่ลืมตา เสียงสั่นเครือเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ น้ำตาไหลรินออกมาจากตาเรียวที่ปิดไปแล้ว
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรออกไป นอกจากใช้มือที่ว่างอยู่อีกมือประคองใบหน้าหญิงสาว แล้วจุมพิตหนักๆ ลงที่หน้าผากสวย ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างภัสสร ปล่อยให้ความรู้สึกต่างๆ ตีกันอยู่ในหัวใจ แล้วบอกตัวเองด้วยประโยคเดิมอีกครั้งว่าขอแค่คืนนี้ แค่คืนนี้ที่จะวางความคั่งแค้นใจ แล้วกอดหัวใจเขาไว้ในอกอย่างเดิม
เช้าวันต่อมา
คนที่หลับไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ขยับเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นอย่างยากลำบาก แต่ก็ฝืนตัวเองเพราะอยากเข้าห้องน้ำ ภาพแรกที่กระทบตาคือเพดานห้องที่ไม่เคยเห็น จนหล่อนต้องนอนนิ่งทบทวนความทรงจำอยู่พักใหญ่ ก่อนจะนึกออกว่าความทรงจำสุดท้ายคืออะไร จึงรีบทะลึ่งตัวขึ้น ก่อนจะหันไปเห็นศุภโชคนอนคว่ำหันหน้ามาทางตน ตอนนี้ชายหนุ่มเปลือยท่อนบน แต่ท่อนล่างนุ่งกางเกงนอนขายาว ผมเผ้าปรกหน้า
เขาดูเหมือนผู้ชายคนเดิมที่หล่อนรู้จัก ความอบอุ่นหวามวาบซ่านขึ้นมาในจิตใจจนภัสสรอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าคมเข้มนั้น แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่กำลังไหลบ่าเข้ามาทำให้หญิงสาวชะงักมือ แล้วรีบลุกขึ้นจากเตียง จนทำให้ชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆ รู้สึกตัวตามไปด้วย และเขาก็ได้แต่มองมานิ่งๆ
หญิงสาวก้มมองตัวเองที่ยังมีเสื้อผ้าครบถ้วน หล่อนถอนหายใจโล่งออกที่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปอย่างที่ตกใจตอนแรก ศุภโชคเลยตัดสินใจพูดออกไปให้อีกคนสบายใจ ทั้งๆ ที่หากเขาลอกคราบหล่อนจนหมดโดยไม่ทำอะไรก็คงสร้างความเข้าใจผิดได้ไม่น้อย
“แพทเมา ผมเป็นห่วงเลยพามาพักข้างบน แต่คงเหนื่อยมากเหมือนกันเลยหลับไปไม่ทันได้ปลุก” ศุภโชคขยับตัวพิงพนักหัวเตียงด้วยท่าทีสบายๆ ชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น ขาอีกข้างทอดยาวไปกับเตียงนุ่ม ก่อนที่มือแกร่งจะเสยผมให้เข้าที่เข้าทาง
เขาโกหกหน้าตาย เพราะเอาจริงๆ กว่าชายหนุ่มจะข่มตาหลับได้ก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปหลายชั่วโมงแล้ว ลุกขึ้นไปอาบน้ำก็หลายหนเพื่อลดความร้อนรุ่มของร่างกายและจิตใจ เดินออกไปนอนห้องรับแขกก็หลายครั้ง แต่ใจก็หวนที่จะมาสูดกลิ่นหอมของสาวตรงหน้า
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราหรอกแพท”
น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้ทำให้ภัสสรเกิดความโล่งใจ เพราะมันออกจะแง่งอน หญิงสาวหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างจับผิด แต่ก็พยายามพูดให้สถานการณ์กระอักกระอ่วนดีขึ้น
“แน่นะ ถ้าแพทรู้ว่าโชคแอบจุ๊บแพท แพทเอาตายตริงๆ ด้วยนะคะ”
น้ำเสียงทีเล่นทีจริงของภัสสรทำให้ชายหนุ่มลืมทุกอย่าง อดใจไม่ไหวต้องดึงหญิงสาวเข้ามากอดด้วยใจปรารถนา จนเมื่อเวลาผ่านไปเกือบห้านาทีสติจึงเริ่มกลับคืน ยอมรับกับตัวเองแล้วว่าตัดผู้หญิงคนนี้ไม่ขาด ที่ทำไปทุกอย่างคงเพราะอยากได้หล่อนคืนมาจริงๆ มากกว่าต้องการจะแก้แค้นเหมือนแรกเริ่ม
“ถึงผมอยากทำ...แพทจะยอมเหรอ”
ภัสสรทั้งงงทั้งสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงคำพูดที่กระแทกใจเมื่อครู่ จึงขืนตัวออกจากอ้อมแขนชายหนุ่ม สบตาคู่เดิมที่เคยทำให้หัวใจเด็กสาวสั่นไหว
“โชค...” เสียงแหบพร่าที่ออกมาจากลำคอทำให้ภัสสรเองยังแปลกใจ ทำไมมันไม่แข็งกร้าว แต่กลับดูโอนอ่อนต่อชายหนุ่ม
“เขาไม่ได้มีแพทคนเดียว แพทจะทนอยู่ทำไม”
ศุภโชคแสร้งมองไปทางอื่นเหมือนไม่ใส่ใจ ยอม...ยอมเลิกแก้แค้น ทิ้งความเจ็บทุกอย่างถ้าวันนี้ภัสสรกลับมาหาเขา
“แพทคบกับเขานะโชค คบมาเจ็ดปี ยังไงแพทก็คงต้องแต่งกับเขาสักวัน คุณแม่บอกว่าเรื่องแบบนี้เป็นธรรมชาติของผู้ชาย แล้วคุณพลเขาก็ไม่เคยหยามเกียรติแพท เขารักแพท” ภัสสรหลุบตาลงต่ำ แก้ตัวข้างๆ คูๆ แทนว่าที่สามีที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่อย่างน้อยเขาก็แสดงออกทุกอย่างว่ารักและเทิดทูนหล่อน ในขณะที่คนตรงหน้าไม่เคยขอเป็นแฟน ไม่เคยบอกรัก ไม่เคยพูดกับใคร ที่เพื่อนๆ ทราบก็เพราะบางทีหล่อนเอาไปปรึกษา หรือสังเกตท่าทีกันเองทั้งนั้น
เมื่อชายหนุ่มได้ยินแบบนั้น ความอ่อนหวานที่อุ่นซ่านในหัวใจก็หายวับไปในพริบตา ศุภโชคดีดตัวขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ หันหลังให้ภัสสรที่ยืนนิ่งแบบไม่รู้ว่าควรจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน มองออกไปนอกหน้าต่างยาวข้างเตียงฝั่งเขา มื้อซ้ายเท้าเอวสอบ ส่วนมือขวายกขึ้นขยำผมสองสามที ก่อนจะส่ายหัวเหมือนคนปลงไม่ตก
“แค่เพราะมันบอกว่ารัก แพทเลยยอมถูกสวมเขาแบบนี้ใช่ไหม” อารมณ์ส่วนตัวล้วนๆ ที่ทำให้ศุภโชคเอ่ยปากออกไปแบบนั้น หางเสียงสะบัดแบบคนควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ภัสสรเจ็บแปลบเพราะคำพูดของคนรักเก่า ก่อนจะตัดสินใจลุกจากเตียงเดินอ้อมมาหาชายหนุ่ม แตะนิ้วเรียวลงบนท่อนแขนแกร่งเบาๆ หล่อนเองก็สับสนกับท่าทีของเขาไม่น้อย
“แพทกลับก่อนนะโชค หายมาทั้งคืน” น้ำเสียงหล่อนไม่ได้ดีไปกว่าเขา เพราะคุกรุ่นที่ศุภโชคตบหน้าหล่อนด้วยคำพูดเมื่อครู่ ภัสสรไม่รอจนชายหนุ่มตอบรับ หมุนตัวกลับทันทีที่พูดจบ ก่อนจะสัมผัสถึงไออุ่นที่โอบล้อมมาจากด้านหลัง
“โชค!!!” หญิงสาวตกใจเมื่อได้รับสัมผัสจาบจ้วง ดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนแกร่งที่ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเธอไปง่ายๆ
“อาทิตย์หน้าแพทไปคนละไฟลต์กับพวกวีวี่นะ ผมจะส่งตั๋วแยกมาให้” ศุภโชคกระซิบอยู่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ ทำเอาภัสสรหวั่นไหว ไม่พูดว่าที่ทำอยู่เพราะอะไร ไม่บอกด้วยว่าประโยคที่เอ่ยออกไปนั้นเกิดจากเหตุผลแบบไหน
“ปล่อยก่อนค่ะ พูดกันดีๆ ก็ได้ แพทไม่ได้อาบน้ำ”
“ไม่...ตกลงนะ ผมกลับภูเก็ตคืนนี้แล้ว” ศุภโชคสวนกลับ อยากให้หญิงสาวเปิดโอกาสให้ตนช่วงชิงพื้นที่หัวใจคืนบ้าง เพราะรู้ตัวแล้วว่าจะเอาของของตัวเองคืน รักก็ส่วนรัก แค้นก็ส่วนแค้น
“ทำไมต้องไปก่อน”
“จะได้อยู่ด้วยกันก่อน...”
ชายหนุ่มยอมคลายวงแขนเพื่อหมุนตัวภัสสรกลับมาเผชิญหน้ากัน แววตาเต็มไปด้วยคำถามของภัสสรทำให้เขายอมบอกความในใจไป เป็นครั้งแรกละมั้งที่เขาพูดอย่างที่ใจตัวเองต้องการ
“ผมยังเหมือนเดิม...อยากให้แพทเปิดใจบ้าง”
ได้ยินแบบนั้นคนที่ยังมีสถานะเป็นแฟนคนอื่นอย่างภัสสรก็ยกมือขึ้นปิดปาก ตกใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มเพิ่งพูดออกมา
“มันผิดนะโชค...โชคต้องการอะไร ทำแบบนี้ทำไม” หญิงสาวส่ายหน้า ก้มศีรษะมองปลายเท้าตัวเองเพื่อหลบสายตาเขา กลัวแสดงความหวั่นไหวให้ชายหนุ่มตรงหน้าเห็น
“ให้เวลาเป็นคำตอบดีกว่าแพท”
ศุภโชคจบความในใจไว้แค่นั้น ไม่มีคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติมให้ภัสสรที่สับสนกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ปล่อยให้หล่อนได้กลับบ้านตามต้องการ
จนหญิงสาวขับรถกลับมาถึงบ้านได้ทั้งๆ ที่สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดินขึ้นห้องนอนอาบน้ำ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งโดยไม่ได้พูดคุยกับใครทั้งสิ้น
ฝั่งศุภโชคหลังจากแยกกับภัสสรแล้วก็ไปตามนัดที่นัดกับเจติยาไว้ ก่อนจะพบว่าหญิงสาวนั่งอ่านหนังสือเล่มเล็กรอเขาอยู่พร้อมกาแฟหนึ่งแก้ว ชายหนุ่มดูนาฬิกาแล้วพบว่าเขาก็ไม่ได้มาถึงช้ากว่าเวลานัดแต่อย่างใด
“พี่ไม่ได้มาช้าใช่ไหม” เขาถามขณะรับไหว้เจติยาที่กำลังวางหนังสือลง ยิ้มหวานตามแบบฉบับของหล่อน
“ไม่เลยค่ะ ตีญ่าตื่นมาไม่เจอใครที่บ้าน เลยออกมานั่งแก้เหงา”
“คุณพ่อไม่อยู่บ้านเหรอครับ”
“นอนบ้านคุณปู่ค่ะ” อีกฝ่ายก็เล่าเจื้อยแจ้ว ก่อนจะหันไปเรียกบริกรมารับออร์เดอร์จากชายหนุ่ม
ได้อาหารว่างมาคนละจานกับของกินเล่นอีกสองอย่าง จัดการกันเกือบหมด เจติยาก็เอ่ยปากถามขึ้นมาเมื่อหล่อนกลืนอาหารคำสุดท้ายลงคอไปแล้ว
“พี่โชคกลับไฟลต์กี่โมงค่ะ”
“ไฟลต์สุดท้าย พี่ต้องสรุปงานตอนเย็นๆ กับลูกค้านิดหน่อยครับ”
ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็พยักหน้ารับรู้ เอื้อมมือไปหยิบมือถือที่วางไว้บนโต๊ะ ทว่าชายหนุ่มกลับเกาะกุมมือเรียวเล็กแบบชิดเชื้อทันทีจนเจติยาตกใจ ไม่ใช่ไม่เคยโดนผู้ชายจับมือ แต่คนคนนี้ยังไม่ได้มีสถานะที่จะทำแบบนั้น
“คนเยอะค่ะ ปล่อยตีญ่าเถอะ”
“รอบหน้าพี่จะได้มีโอกาสพบคุณพ่อตีญ่าไหม”
ศุภโชคถามแบบกำกวมพลางบีบมือคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่บอกให้เขาปล่อย แต่ตัวเองก็ไม่มีทีท่าจะดึงมือออกแม้แต่น้อย ผิดกับผู้หญิงคนที่เขาอยู่ด้วยเมื่อเช้า คนนั้นแค่เขากอดไม่ให้รู้ตัวจากด้านหลังก็บิดตัวหนีราวกับโดนไฟ
“ไม่ได้เป็นอะไรกัน จะไปทำไมคะ”
“ถึงขนาดนี้ยังจะบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันอีกเหรอ”
“บ้า โมเม”
เจติยาไม่รู้จะตอบโต้อะไรกับชายหนุ่มจึงได้แต่แสร้งต่อว่า ทั้งที่ใจเต้นจนนับจังหวะไม่ทัน ถึงแม้จะเคยมีแฟน แต่เขาก็เป็นคนที่เธอวาดฝันจะแต่งงานด้วย หญิงสาวเลยดีใจไม่น้อยที่ชายหนุ่มพูดจาสื่อความหมายถึงการขยับความสัมพันธ์ไปอีกขั้น ได้แต่พยักหน้าไปเรื่อยเพราะยังตั้งสติไม่ถูก ไม่รู้จะตอบอย่างไร อีกทั้งความสัมพันธ์ของหล่อนกับวินวัฒน์ก็ยังคาราคาซัง แม้จะไม่ได้เจอกันมาหลายวัน แต่ก็ยังไม่ได้เลิกรากันอย่างเป็นทางการ เพราะหล่อนเองก็ยังไม่รู้ว่าศุภโชคจะเอาอย่างไรกับหล่อนกันแน่ เลยเหยียบเรือสองแคมอยู่แบบนี้
“ไว้พี่ขึ้นมารอบหน้าจะไปขออนุญาตคุณพ่อพาตีญ่าลงภูเก็ตไปหาพี่บ้างดีไหม จากนี้จะไม่ได้ขึ้นมาบ่อยๆ แล้วนะ” ศุภโชคยืนเท้ากรอบประตูรถที่หญิงสาวเข้าไปนั่งเรียบร้อยพลางหยอดคำหวานใส่หล่อน
“เดี๋ยวคุณพ่อยิงเอานะคะ พ่อตีญ่าโหดน้า...”
“พี่ไม่กลัวหรอก พี่จับแฟนพ่อเราเป็นตัวประกันดีไหม เอาไว้แลกกับเรา เห็นเขาว่าสวยอย่างกับอะไร” นัยน์ตาวับวาวทำเอาเจติยาสะเทิ้นอาย ไม่ได้รู้เลยว่าความปรีดาที่ปรากฏตรงหน้าเกิดขึ้นเพราะชายหนุ่มเอ่ยถึงผู้หญิงอีกคนที่เป็นเจ้าของหัวใจ
“โห...คุณพ่อคงรีบส่งตีญ่าให้เลยค่ะ หวงคุณแพทจะตาย” หญิงสาวหัวเราะร่า ไม่รู้ถึงความในที่ชายหนุ่มพยายามสื่อ
“ไม่รู้ละ งานนี้ถ้าไม่ยอมกันได้มีฉุดแน่ๆ” ศุภโชคเย้าอีกที ก่อนจะตัดบทเพราะเห็นเวลาที่ปรากฏบนคอนโซลรถของหญิงสาว “ขับรถกลับดีๆ เดี๋ยวพี่รีบไปประชุมก่อน ถึงภูเก็ตแล้วพี่เท็กซ์บอกครับ”
รุ่งขึ้นเจติยาที่นอนฝันหวานมาตลอดคืนกลับต้องตกใจตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือที่แผดร้องอยู่หัวเตียง เลยกดรับสายตัดรำคาญทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
“ฮัลโหล” เสียงเจติยางัวเงียเต็มที เพราะเสียงริงโทนที่ดังขึ้นตั้งไว้เฉพาะสายของเพื่อนสนิทที่มีไม่กี่คน
“แก!!!” จริงดังคาด อนุวัตแผดเสียงร้องดังไม่ต่างจากโทรศัพท์
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะนังตีญ่า แกกินคุณโชคแล้วใช่ไหม”
“บ้า! เอาที่ไหนมาพูด”
คนเพิ่งตื่นตอบเสียงไม่ใสเลยแม้แต่น้อย แต่ยังลืมตาขึ้นมา เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ล่วงเข้าวันใหม่ไปแล้ว เพราะมัวแต่ฝันหวานถึงความสัมพันธ์ใหม่ และคิดหาทางจบความสัมพันธ์เก่า
“ที่นี่ไง เพื่อนฉันเขาบอกแกนั่งกุมมือกับคุณโชคในร้านกาแฟตั้งนาน โอ๊ย อกอีแป้นจะแตก” อนุวัตบรรยายเหตุการณ์ที่รับรู้มาอีกต่อหนึ่ง “นี่เป็นแฟนกันละเหรอ”
“อือ” เจติยารับคำแค่นั้น ตีความเอาจากทั้งคำพูดและการกระทำของชายหนุ่ม แต่แทนที่ตอบเพื่อนแล้วเรื่องจะจบไป อนุวัตกลับใส่อารมณ์ตื่นเต้นมากขึ้น
“นังตีญ่า! มึงไม่รอจนท้องก่อนล่ะค่อยเล่าให้กูฟัง”
“ก็แหม เพิ่งเมื่อวาน วันนี้เจอกันก็ตั้งใจจะเล่าให้ฟังอยู่แล้ว” เจติยาบ่นอุบอิบ “แก...ฉันนอนต่อก่อนได้ไหม เดี๋ยวเจอกันตอนเที่ยง สัญญาว่าจะเล่าให้ฟังหมดทุกอย่างนะ”
อนุวัตบ่นอะไรอยู่อีกสองสามคำก่อนจะยอมล่าถอยให้เจติยาวางสายด้วยดี แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้เข้าสู่นิทราอีกรอบ โทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้นอีก คราวนี้เจ้าของเครื่องลืมตาเต็มที่ ปรับเสียงให้หวาน แม้จะไม่เช้ามาก แต่ก็สายสำหรับคนทำงานอย่างศุภโชคไม่อยากให้เขาคิดว่าหล่อนเป็นคนขี้เกียจ ไม่เอาอ่าวแต่อย่างใด
“ขา”
“ตื่นหรือยังคนสวย”
“ตื่นแล้วค่ะ” เจติยาถึงกับตาสว่างแบบไม่ต้องแสร้งทำเมื่อได้ยินคำทักทายยามเช้าของชายหนุ่ม
“ไหนบอกพี่สิวันนี้มีคิวไปไหนบ้าง”
ได้รับคำถามแบบนั้น หญิงสาวก็เต็มใจที่จะร่ายยาวกิจกรรมวันนี้ที่หล่อนจะออกไปทำในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ในขณะที่ศุภโชคเปิดสปีกเกอร์โฟน วางโทรศัพท์ไว้กับโต๊ะ ไม่ได้ใส่ใจอะไรที่หญิงสาวพูดมาทั้งสิ้น
“เดี๋ยวเสร็จธุระครบทุกอย่าง ถึงบ้านแล้วตีญ่าจะไลน์บอกนะคะ จะไม่ให้ต้องเป็นห่วง พี่โชคไปทำงานเถอะค่ะ”
“ครับ ถ้าว่างก็โทร. หาพี่บ้าง ขับรถดีๆ ครับ”
ศุภโชควางสายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากสิ้นการสนทนา แทนที่เขาจะนึกถึงเจ้าของเสียงหวาน ในหัวกลับมีแต่ใบหน้าสวยของภัสสรผุดขึ้นมา ราวกับจะเตือนสติให้เขาปล่อยวางสิ่งที่จะตั้งใจทำ เขาควรจะรามือเรื่องนี้ แล้วมุ่งทำความดีให้ภัสสรเห็นใจจนเลิกรากลับทางโน้น
แต่คนที่เก่งทุกอย่างยกเว้นเข้าใจตัวเองอย่างศุภโชคกลับพยายามเอาเรื่องในอดีตมาย้ำตัวเองซ้ำๆ ว่ารณพลเอาหัวใจเขาไปกระทืบจนจมดินเมื่อเจ็ดปีก่อน และเขาจะทำร้ายหัวใจไอ้รณพลคืนให้มันเจ็บเหมือนที่เขาเคยเจ็บ ถึงแม้ตอนนี้จะรู้ว่าอยากได้ภัสสรกลับมาเพราะความรู้สึกส่วนตัวมากกว่าต้องการจะแก้แค้น แต่ความต้องการทำลายรณพลก็ยังคับอกอยู่ โดยลืมคิดไปว่าหากวันหนึ่งภัสสรรู้เข้าว่าหล่อนเป็นหมากตัวหนึ่งที่เขาใช้แก้แค้นรณพล หญิงสาวจะเสียใจขนาดไหน แต่ก็เอาเถอะ เขาบอกตัวเองแล้วไงว่ารักก็ส่วนรัก แค้นก็ส่วนแค้น
ความคิดเห็น |
---|