6

บทที่ 6


บทที่ ๖ 

 

 หนึ่งวันหลังการข่มขู่

มีคนบอกว่าหลังดื่มเหล้าหนักมักจะปวดศีรษะเหมือนหัวจะแตก แต่สิ่งที่ภูรินทร์จำได้ในเช้าวันนั้นมีแค่มธุรินอ้างว่าถูกใส่ร้าย หล่อนถูกเพื่อนนักศึกษาแอบถ่ายรูปแต่ที่จริงไม่ได้สนิทสนมกับปฐวี หญิงสาวบีบน้ำตารวมถึงขู่ว่าจะฆ่าตัวตายหากเขาไม่ยอมเชื่อ

“ภูต้องเชื่อมิวนะคะ มิวกับคุณปฐวีไม่ได้มีอะไรกัน มิวสาบานได้”

“แต่ผมเห็นรูป”

“รูปนั่นไม่จริง ต้องมีใครแกล้งมิว มันเป็นแค่มุมกล้อง ภูต้องเข้าใจนะคะ”

“แล้วคุณจะอธิบายที่มีคนเห็นคุณพาปฐวีขึ้นห้องว่ายังไง”

“ต้องเป็นนังผู้หญิงข้างห้องแน่ๆ ภูจำได้นี่คะ ที่มิวเคยบอกว่านักศึกษาข้างห้องแอบเหล่คุณ สองคนนั้นคงจะหาเรื่องใส่ร้ายมิว”

“แต่มีพยานอีกหลายคนยืนยัน รวมถึงรูปที่ผมเห็นว่าคุณสองคนไปไหนมาไหนด้วยกัน”

“นี่ภูไม่เชื่อใจมิวแล้วใช่ไหมคะ ภูคงเบื่อมิวแล้ว” หล่อนบีบน้ำตา ร้องไห้ 

ภูรินทร์เป็นนักธุรกิจที่เก่งฉกาจก็จริง แต่พอเห็นน้ำตาผู้หญิงก็หวั่นไหว ถึงอย่างนั้นพอนึกถึงภาพของหล่อนกับผู้ชายอีกคน หัวใจก็ยอกแปลบ

“เราห่างกันสักพักเถอะนะมิว”

“ไม่นะคะ...มิวไม่ยอม มิวรักภูนะคะ นี่ใจคอภูจะไม่ยอมให้โอกาสมิวเลยหรือคะ ที่ผ่านมาเราสองคนรักกันมากไม่ใช่หรือคะ แต่ภูกลับหูเบาเชื่อคำพูดของคนอื่น”

ภูรินทร์กัดกรามแน่น เขาไม่ใช่คนหูเบา แต่หลักฐานตำตาทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลย พอได้ยินสาวคนรักร้องไห้ปานจะขาดใจ ก็ตัดสินใจพูดแค่ว่า 

“เราสองคนยังไม่ได้เลิกกัน ผมแค่อยากให้คุณมีเวลาทบทวนตัวเองว่ารักผมจริงหรือเปล่า”

“มิวรักคุณค่ะ รักมาก ให้มิวตายตอนนี้เพื่อพิสูจน์ก็ยังได้”

“ผมอยากให้คุณมีเวลาคิด คุณยังมีสิทธิ์เลือก”

มธุรินปาดน้ำตา มองเขาอย่างตัดพ้อ “ที่พูดนู่นพูดนี่เพราะจะหาเรื่องทิ้งมิวใช่ไหมคะ บอกมาตรงๆ เถอะค่ะ”

“ผมไม่ได้ทิ้ง แต่ที่บอกให้เราห่างกันก็เพราะคุณจะได้มีโอกาสทบทวนว่าที่จริงแล้วคุณรู้สึกยังไงกับผมกันแน่”

“ก็มิวบอกแล้วไงคะว่ารักคุณ เอาอย่างนี้นะคะ มิวขอเวลาพิสูจน์ว่ารักคุณมากแค่ไหน ตอนนี้คุณจะให้ใครตามดูมิวก็ได้นะคะ ว่ามิวซื่อสัตย์ต่อคุณไหม มิวจะทำให้คุณเห็นว่าคุณคือสุดที่รักของมิว”

 

ชายหนุ่มมองแก้วน้ำในมือ เพื่อเห็นแก่ความรักที่ผ่านมา จึงยอมให้โอกาส แม้ลึกๆ ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะคบกับหล่อนได้สนิทใจหรือเปล่า ความรักลงว่าระแวงกันแล้วก็เปรียบเหมือนแก้วร้าวยากที่จะประสาน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นภูรินทร์ก็ยังไม่อยากตัดสัมพันธ์ เขาคบมธุรินแค่เพื่อน ทั้งคู่ยังคงติดต่อกันทางไลน์ ระหว่างนั้นก็ให้คนแอบสืบข่าวเป็นระยะๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องหล่อนก็ไม่ไปไหนมาไหนกับปฐวีอีก 

มธุรินหันมาตั้งใจเรียน ชายหนุ่มเคยถามตัวเองว่าจะยกโทษให้ได้หรือไม่ เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ครั้งนี้เขากลับเป็นฝ่ายทำผิดเสียเอง หากมธุรินรู้ว่าเขาพลาดทำผู้หญิงท้องคงจะอาละวาดเป็นแน่ ลวิตราไม่ต้องการเงิน แต่ต้องการบังคับให้แต่งงาน ถ้าปฏิเสธ สองตระกูลก็บาดหมางมากยิ่งขึ้น เขาตัดสินใจจ้างนักสืบเอกชนเพราะต้องการรู้ข้อมูลหญิงสาวมากขึ้น 

บานประตูร้านอาหารถูกผลักเข้ามาพร้อมกับชายร่างหนา สวมเสื้อสีดำกางเกงยีน เมื่อเห็นภูรินทร์ก็จำได้ ยกมือไหว้

 “รอผมนานไหมครับ”

 “ไม่นาน คุณคือคุณศุภกิจใช่ไหม”

 “ครับ คุณภูรินทร์มีอะไรให้ผมรับใช้”

 เขาเลื่อนรูปถ่ายไปให้ดู แม้จะเป็นน้องสาวคนเล็กแต่ลวิตรามีภาพออกสื่อนับรูปได้ รูปส่วนใหญ่เป็นของลวัศกร  เพราะเป็นนักธุรกิจดาวรุ่งผู้กุมบังเหียนของบริษัท ยิ่งกระแสอนุรักษ์พลังงานและไอเดียโลกสีเขียวกำลังมาแรงทำให้ลวัศกรชนะการประมูลหลายต่อหลายครั้ง 

ภูรินทร์รู้แค่ลวิตราจบมัธยมที่เมืองไทย หลังจากนั้นไปเรียนต่อต่างประเทศ มีรูปถ่ายในเฟซบุ๊กของลวัศกรตอนไปส่งน้องสาวเพื่อเรียนต่อ นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย 

“ผมต้องการรู้ข้อมูลของผู้หญิงคนนี้โดยละเอียด”

 “เธอคนที่กำลังมีข่าวตัวอักษรย่อกับคุณ ใช่ไหมครับ”

 ไม่น่าแปลกใจเพราะศุภกิจคือมืออาชีพ เพื่อนหลายคนแนะนำตรงกันว่าฝีมือดี ทำงานดีสมราคา ที่สำคัญคือเก็บความลับได้ดีเยี่ยม เขาต้องการรู้ความเป็นไปของครอบครัวนั้นอย่างละเอียดที่สุด แม้ตัวเองจะเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันกับลวัศกรมาก่อนแต่กลับรู้จักฝ่ายนั้นน้อยมาก จำได้รางๆ ว่ามีน้องสาวแต่เพิ่งเคยเจอตัวจริงตอนนี้นี่เอง อาจเพราะลวิตราอายุห่างจากเขาถึงแปดปี

 “ผมต้องการรู้ว่าเธอสนิทกับใคร ทำอะไร ยังเรียนอยู่หรือว่าจบแล้ว คณะอะไร ที่สำคัญคือผมต้องการรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีแฟนหรือยัง”

“ครับ เรื่องนั้นไม่ยาก ขอเวลาสามวัน แล้วจะเอาข้อมูลทั้งหมดมาให้คุณภู”

“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ผมอยากรู้ว่าที่บ้านเธอรู้เรื่องข่าวลือมากน้อยแค่ไหน ก่อนที่ผมจะดำเนินการขั้นต่อไป”

เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่ถูกลวิตราบังคับให้แต่งงาน อย่างน้อยทั้งหมดนี้ก็จะเป็นข้อมูลให้ศุภกิจรู้ว่าเขาต้องการทำอะไร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าลวิตราทำเช่นนี้ไปทำไม หล่อนอาจจะทะเลาะกับที่บ้าน และหาเรื่องให้ตัวเองเป็นอิสระ หรืออาจจะทะเลาะกับแฟนและหาทางออกไม่ได้ 

“ไม่มีปัญหา มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว การที่ฝ่ายนั้นมีข่าวลือ คงต้องการกดดันคุณภูให้รีบตัดสินใจ”

“ผมไม่อยากเพิ่มความบาดหมางระหว่างสามตระกูล แต่ผมก็ไม่พร้อมจะแต่งงาน ถ้าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง”

การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกับคนที่ไม่คุ้นเคยด้วยแล้วไม่เคยอยู่ในหัวของภูรินทร์เลยแม้แต่น้อย เขาเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านการคลุมถุงชน ดังนั้นการถูกมัดมือชกให้แต่งงานจึงเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มรับไม่ได้เช่นเดียวกัน

“คุณภูไม่รู้ว่าทำไมถึงตื่นขึ้นในโรงแรมใช่ไหมครับ”

“ใช่...ผมจำได้ว่านั่งดื่มอยู่ที่ผับ หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีก”

“คุณภูอาจถูกวางยา สมัยนี้มียาหลายตัวที่ผสมในเหล้า เธออาจใส่มันในเครื่องดื่มตอนคุณลุกไปเข้าห้องน้ำ”

ภูรินทร์ไม่ได้ระแวงหญิงสาวเลยด้วยซ้ำ เขาจำได้แค่หล่อนสวมชุดแดงเพลิงที่ดูเซ็กซี่และเย้ายวนเท่านั้น ที่มีก็เพียงว่าวันนั้นลวิตราแต่งหน้าจัดแถมยังใส่วิกผมสั้น ดังนั้นตอนที่เห็นหล่อนในสภาพนักศึกษาจึงจำไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ผมถึงต้องให้คุณช่วย ผมอยากได้หลักฐานว่าถูกวางยา”

โชคร้ายที่วันนั้นภูรินทร์มัวแต่ตกใจ เขาจึงไม่ได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเพื่อหาสารเสพติดหรือยาในกระแสเลือด และไม่คิดว่าความผิดพลาดในวันนั้นทำให้ต้องเสียเปรียบในตอนนี้

“ครับ ผมจะนำข้อมูลทั้งหมดมาให้โดยเร็วที่สุด ถ้าเป็นการแบล็กเมล์จริง เราคงต้องหาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดในผับ เผื่อมีกรณีแจ้งความหรือฟ้องร้องกันขึ้นมา”

ศุภกิจพอมีเส้นสายอยู่ พอเอ่ยชื่อผับไปเขาก็อ้างว่าสามารถนำกล้องวงจรปิดมาตรวจสอบด้วย

“ผมอยากรู้เร็วที่สุด แล้วก็เป็นความลับด้วยนะ”

“แน่นอนครับ ผมเปิดบริษัทมาห้าปีแล้ว ความลับของคุณก็คือความลับของพวกเรา เชื่อว่าเพื่อนๆ คุณที่เคยใช้บริการคงเล่าให้ฟังแล้ว”

“เพราะอย่างนี้ผมถึงจ้างคุณ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากสะสางเรื่องทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”

 

 ขณะที่คนหนึ่งกำลังหาทางดิ้นรนให้พ้นจากการแต่งงาน แต่หญิงสาวกลับกำลังทรมานเพราะความว้าวุ่นใจ นับตั้งแต่ยื่นข้อเสนอในวันนั้น ลวิตราก็นั่งแทบไม่ติด หล่อนมองหน้าจอโทรศัพท์วันละหลายครั้ง ได้แต่ภาวนาว่าจะมีเสียงดังเกิดขึ้นในวันหนึ่ง

 “นะแนนซี่ ช่วยฉันหน่อย ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”

“ไม่เอาอะ วันนี้ฉันไม่อยากดูไพ่ ฉันอยากนอนตีพุงสบายๆ แกไม่เข้าใจหรือ”

 ทั้งสามขลุกอยู่ที่คอนโดมิเนียมสุดหรูของกานต์รวี ขณะที่เจ้าของห้องนั่งเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่ แต่ลวิตรากระวนกระวายใจมาก

 “เอาน่า แกก็ดูให้มันหน่อยเถอะ ตาลจะได้เลิกเซ้าซี้เสียที”

 “แต่แกเพิ่งดูไปเมื่อสามวันก่อนเองนะ ไพ่ยิปซีดูบ่อยๆ ไม่ขลังกันพอดี”

 “ก็วันนั้นดูเรื่องเนื้อคู่ไม่ใช่หรือ แต่วันนี้ฉันอยากดูว่าพี่ภูจะตอบตกลงหรือเปล่า”

 “ไม่...ฉันขี้เกียจ อยากดูก็ดูเองสิ ไพ่อยู่บนโต๊ะ จัดการไปเลย”

 ณัทกรกระเด้งตัวไปนั่งบนอีกโซฟา ทิ้งให้ลวิตราทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ 

กานต์รวีอดรนทนไม่ไหว เอ่ยขึ้น “นี่แกอย่าดรามาให้มันมากหน่อยเลยตาล พี่ภูจะตกลงหรือเปล่า แต่แกก็ยังมีไม้ตายอยู่อีกไม่ใช่หรือ”

 สิ่งที่สามสาววางแผนไว้ก็คือหากภูรินทร์ไม่ตกลง หล่อนจะส่งรูปให้ลวัศกรผู้เป็นพี่ชายดู เนื่องจากเขาเป็นคนใจร้อน คงไม่ยอมเป็นแน่ และภูรินทร์ก็จะถูกจับแต่งงาน

 “แต่ฉันกลัว พี่ต้นดุจะตาย”

พี่ชายหล่อนอาจจะดูขี้เล่นสำหรับคนอื่น แต่เรื่องหวงน้องสาวแล้วถือว่าขึ้นชื่อเลยทีเดียว สมัยเรียนมัธยมลวัศกรเคยอาละวาดใส่รุ่นเดียวกันที่ริอ่านมาจีบ แม้ว่าตอนนั้นหล่อนจะเป็นแค่เด็กประถมก็ตาม 

 “แต่เขาก็รักแกมาก เพราะฉะนั้นเลิกคิดมากแล้วเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวจะดีกว่า แทนที่จะเอาเวลามานั่งดูไพ่ยิปซี ควรจะเตรียมตัวเป็นแม่บ้านแม่เรือนไม่ดีกว่าหรือ เช่นไปเรียนทำอาหารกับคุณย่า หรือไม่ก็เข้าคอร์สอาบน้ำแร่แช่น้ำนมให้ผิวเนียนเด้ง พี่ภูจะได้ทั้งรักทั้งหลงเวลาเข้าหอไงล่ะ”

 “เฮ้ย...ไม่เอา ฉันไม่อยากคิดข้ามขั้นไปจุดนั้น” ทุกครั้งที่คิดถึงตอนแต่งาน ลวิตราก็เสียวสันหลังวาบ หล่อนมั่นใจว่าเส้นทางคงเต็มไปด้วยอุปสรรคแน่ๆ ว่าที่เจ้าบ่าวจำเป็นคงขู่ฟ่อๆ จนวินาทีสุดท้าย เพราะถูกบังคับให้แต่งงาน

 “ไม่บ้าล่ะ มีอะไรอีกตั้งเยอะที่เจ้าสาวควรจะทำ คอร์สเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวมีล้านเจ็ด แกก็เลือกเอาสักอัน หรือว่าไปทำบิกินีแวกซ์ก็น่าจะดีนะ จะได้ใส่จีสตริงเข้าหอวันแต่งงานไปเลย”

 “ทุเรศที่สุด แนะนำแต่ละอย่างลามกทั้งนั้น”

 “ฉันเห็นด้วยกับแนนซี่นะ เลิกคิดมาก นั่งขมวดคิ้วทุกวันประเดี๋ยวก็ต้องไปโบทอกซ์ก่อนแต่งหรอก”

 “นี่กานต์ก็เห็นด้วยงั้นหรือ ทำไมไม่มีใครเข้าใจฉันเลยว่าฉันกลุ้ม”

 “เข้าใจสิ แค่ไม่อยากให้ผุดลุกผุดนั่งแบบนี้ จะประสาทเอา”

 “แกสองคนเป็นเพื่อนประสาอะไร คนหนึ่งก็เอาแต่นั่งดูทีวี ส่วนอีกคนก็นอนเอกเขนกสบายใจเฉิบ ทั้งที่เพื่อนมีแต่ความทุกข์”

 ลวิตราหลั่งน้ำตาออกมา ยิ่งคิดถึงใบหน้าของเขาในวันนั้นหัวใจก็ยิ่งห่อเหี่ยว ป่านนี้เขาคงแช่งชักหักกระดูกหล่อนหรือไม่ก็อาจจะเผาพริกเผาเกลือเพื่อแช่งก็เป็นได้

 “เฮ้ย...ร้องไห้เลยหรือไอ้ตาล ต่อมน้ำตาตื้นไปหรือเปล่า”

 สภาพของเพื่อนรักที่ตาแดงก่ำทำให้ณัทกรเริ่มสงสาร เขากระเถิบมานั่งข้างๆ แล้วโอบบ่าเพื่อนเอาไว้ กานต์รวีก็มานั่งอีกฝั่ง โอบเพื่อน

 “ฉันเครียด แกเข้าใจบ้างไหม พี่ภูต้องเกลียดฉันมาก”

 “เชื่อฉันสิว่าเขาไม่ได้เกลียดแกหรอก เขาคงกำลังตัดสินใจ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ฉันจะยกเว้นให้สักวัน”

 ณัทกรหยิบไพ่ยิปซีบนโต๊ะขึ้นมา สับแล้ววางลงตรงหน้าลวิตรา 

 “ถ้าการดูไพ่จะทำให้แกหายเครียด ฉันก็จะสงเคราะห์ให้ แกก็อธิษฐานแล้วเลือกไพ่มาหนึ่งใบ ตอนนี้ละ เราสองคนจะได้รู้กันว่าพี่ภูคิดยังไงกับแก”

 ลวิตราหันไปมองเพื่อนรักตาปรอย ก่อนโผไปกอด

 “เฮ้ย...พอ อย่ากอดมาก เสียของหมด ฉันจะเก็บไว้รอชายในฝัน นี่กำลังทำบุญทำทานให้ลูกหมาตาดำๆ”

 “แหม...แกอะ”

 “จะหยิบไพ่หรือเปล่า ถ้าชักช้า...ฉันจะเก็บแล้วนะ”

 ณัทกรทำเหมือนจะเก็บไพ่ ลวิตราจึงรีบโผจับเอาไว้ หล่อนคุกเข่าลงกับพื้น แล้วประนมมืออธิษฐาน ก่อนจะหยิบไพ่ขึ้นมาหนึ่งใบ...

 

 หญิงสาวกะพริบตามองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง นี่คือภูรินทร์ตัวเป็นๆ และบัดนี้เขาที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าก็มีสีหน้าบึ้งตึงเพราะความโกรธ

 “คิดหรือว่าฉันจะยอมแต่งงานกับเธอ ไม่มีวันเสียหรอก”

 “อะไรนะคะพี่ภู”

 “ลูกไม้ตื้นๆ เหมือนเด็กอมมือ คิดว่าจะหลอกฉันได้หรือ”

 “ตะ...แต่ตาลไม่ได้หลอกนะคะ” ลวิตราละล่ำละลัก หรือว่าภูรินทร์จะรู้ว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริง เป็นไปไม่ได้ ไหนจะรูปถ่าย ไหนจะหลักฐาน รวมถึงใบรับรองแพทย์ว่าตั้งครรภ์นั่นอีกต่างหาก ทั้งหมดเป็นฝีมือของกานต์รวีเพื่อนรักจัดหามาด้วยอำนาจเงิน

 “ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องพิสูจน์ว่าที่เธอพูดมาทั้งหมดล้วนโกหก เธอมันจอมลวงโลก”

 “ไม่นะ ตาลไม่ใช่”

 “สายเกินไปแล้วลวิตรา ถึงเวลาที่ฉันจะทำให้เธอยอมรับความจริง”

 ชายหนุ่มที่ย่างสามขุมเข้ามาหา ทำเอาลวิตราถอยกรูด ใบหน้าของภูรินทร์ตอนนี้น่ากลัวมาก แถมยังแววตาดุดันนั่นอีก หญิงสาวถอยไปจนชนผนัง

 “พี่ภูจะทำอะไร”

 “ก็จับโกหก ผู้หญิงตอแหลอย่างเธอยังไงล่ะ ไหนบอกว่าฉันกับเธอมีอะไรกันใช่ไหม แล้วเธอก็ท้อง ถ้างั้น...”

 สายตาที่จ้องมองตรงเนินอกทำให้ลวิตราตกใจสุดขีด นี่คือสิ่งที่หล่อนกลัวมาตลอด หากว่าภูรินทร์รู้ว่าหล่อนยังเป็นสาวซิงคนท้ายๆ ของโลก คงเป็นเรื่องน่าอายมากแน่ๆ 

 “ไม่นะคะพี่ภู...ตาลกำลังท้องลูกพี่ภูอยู่นะ”

 “ท้องก็ไม่เห็นเป็นไรนี่....หมอไม่ห้าม”

 ใบหน้าดุดันผนวกกับแววตาโลมเลียม ทำให้เอาสาวจิ้นอย่างลวิตราหน้าซีดเผือด แผ่นหลังที่ชนกับผนังเย็นเฉียบก่อนที่ใบหน้าคมสันจะโน้มต่ำลงมาและมอบจุมพิตอันดุดันให้ ริมฝีปากของเขานุ่มไม่ต่างจากหล่อน แต่ให้สัมผัสแข็งแกร่ง กลิ่นของลมหายใจที่ผสมผสานผนวกกับแรงที่อีกฝ่ายกดลงมาทำให้หญิงสาวอึดอัดหายใจไม่ออก 

 หล่อนกำลังจะตายเมื่อภูรินทร์บดขยี้ริมฝีปาก ก่อนที่อุ้งมือใหญ่จะคืบขึ้นสูง กอบกุมอกคู่งามที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัส หูสองข้างอื้ออึง ตาลายเมื่อเขาไล้มือไปถ้วนทั่ว ความร้อนที่ก่อตัวจากท้องน้อยขึ้นมาถึงกลางอก ความรู้สึกซ่านสยิวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนทำให้แข้งขาสั่น มือเล็กๆ พยายามผลักไสเขาออกไป 

 “ไม่นะคะพี่ภู อย่าทำแบบนี้”

 มือหนาจับมือหล่อนและตรึงขึ้นด้านบนพันธนาการหล่อนเอาไว้ ขณะที่ใบหน้าคมสันโน้มต่ำลงไปซุกหน้าลงกลางเนินอกบดขยี้ ลวิตราหน้าร้อนวูบ เอ่ยห้ามเสียงแหบพร่า

 “ทำไมล่ะ ก็ไหนเธอบอกว่าเราสองคนไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจะทำอย่างนี้ไม่ได้”

 เขารวบมือหล่อนไว้ด้วยมือเดียว ใช้ร่างแข็งแรงตรึงหญิงสาวไว้กับผนัง ก่อนที่อุ้งมือร้อนผ่าวจะสอดเข้ามาใต้เสื้ออย่างถือวิสาสะ ลวิตราหน้ามืดคล้ายเป็นลม เมื่อมือร้อนจัดเลิกบราตัวสวยขึ้นสัมผัสเสื้อแท้ 

 “พี่ภู...อย่า”

 “อย่าหยุดใช่ไหม..”

 “ไม่...ต้องไม่ใช่แบบนี้”

 ปากประกบเพื่อหยุดคำพูดทักท้วงนั้นไว้ ก่อนที่มือซุกซนของเขาจะไล้ไปทั่วผิวกายบอบบาง ลวิตราหูอื้อตาลาย เสียงอู้อี้เมื่อหล่อนขัดขืนสุดกำลัง แต่ยิ่งเขาสัมผัสแข้งขาของหล่อนก็ยิ่งอ่อนยวบจนแทบจะยืนไม่อยู่ หล่อนกระซิบเสียงแหบพร่า

 “ตาลรักพี่ภู”

 ลวิตราชะงัก ตาสองข้างเบิกกว้างเมื่อสติสัมปชัญญะกลับคืนมา สมองก่นด่าตัวเองที่บอกรักผู้ชายตรงหน้า แต่แล้วก็รู้สึกวูบเหมือนตกจากที่สูงตามด้วยเสียงกระแทกจนจุกแอ้กเมื่อเจ้าตัวหล่นจากเตียง

 ร่างบางนอนกะพริบตาถี่ๆ มองเพดาน ก่อนจะเริ่มระลึกได้ว่าไม่ได้กำลังอยู่ในห้องกับภูรินทร์สองต่อสอง แต่กำลังอยู่บนพื้นห้องนอนต่างหาก...บานประตูถูกผลักเข้ามา คงเพราะหล่อนลืมล็อกประตูเมื่อคืนนี้

 “ตายแล้ว...ตาลเป็นอะไรหรือเปล่าลูก”

 คนที่เข้ามาคือวรดานั่นเอง เมื่อเห็นสภาพของลูกสาวที่นอนกอดหมอนข้างอยู่บนพื้นก็ตกใจสุดขีด 

 “เอ่อ...คือ...ตาล...”

 “ลูกตกเตียงหรือ...ตายแล้ว มา...แม่ช่วย”

 ลวิตรามองไปรอบๆ อย่างสำรวจ ที่แท้พี่ภูที่โรมรันพันตูกับหล่อนเมื่อครู่ก็คือหมอนข้างใบโปรดนั่นเอง ใบหน้านวลแดงก่ำด้วยความเขินอาย นี่หล่อนฝันลามกได้ขนาดนี้เชียวหรือ ต้องเป็นเพราะไพ่ใบนั้นของณัทกรแน่ๆ หล่อนยื่นมือไปเพื่อให้มารดาฉุดลุกขึ้นยืน

 “เจ็บมากหรือเปล่าตาล”

 “ไม่ค่ะ แค่ระบมนิดหน่อย แต่ตาลไม่เป็นไร”

 “โตป่านนี้แล้วยังตกเตียงอีก อายเขานะลูก”

 “แหม...คุณแม่ก็ ตาลนอนดิ้น คุณแม่ก็รู้”

 หญิงสาวก้มหน้าซ่อนความอาย ขืนให้มารดารู้ว่าหล่อนฝันติดเรตถึงผู้ชายมีหวังท่านคงรับไม่ได้แน่ๆ 

 “ถ้าไม่เป็นไรแล้วก็รีบแต่งตัวนะตาล พ่ออยากคุยด้วย ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้คุยกันเลย แม่ให้เวลาสิบห้านาที เพราะพ่อกับแม่ต้องออกไปข้างนอก”

 

 ลวิตราเดินโขยกเขยกลงมายังห้องอาหารที่อยู่ชั้นล่าง บิดาก็เอ่ยทักขึ้น 

“เป็นไง ได้ข่าวว่าตกเตียงหรือเรา”

 น้ำเสียงกลั้วหัวเราะทำให้หญิงสาวแก้มร้อนผ่าว การตกเตียงในวัยยี่สิบเอ็ดกลายเป็นเรื่องขำขันของครอบครัวในยามเช้าไปเลยทีเดียว ต้องโทษไพ่ยิปซีใบนั้นที่ณัทกรทำนายออกมาติดเรตทำให้ลวิตราเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะ ยิ่งคิดก็ยิ่งอาย

 “คุณแม่คะ ทำไมต้องเล่าให้คุณพ่อฟังด้วย ตาลอาย” หล่อนหันไปประท้วงมารดา หน้างอง้ำ 

 “ก็เราครอบครัวเดียวกันนี่ตาล แม่ว่าน่ารักดีออก”

 “น่ารักตรงไหนคะ ก้นตาลระบมไปหมดแล้ว”

หญิงสาวหน้ามุ่ย แม้จะอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว แถมยังเพิ่งกลับจากต่างประเทศ แต่ลวิตราก็ยังเป็นเด็กน้อยในครอบครัวอยู่ดี หล่อนถูกเลี้ยงดูแบบไข่ในหิน ตั้งแต่เล็กจนโต ยามไปโรงเรียนมีคนขับรถไปส่ง วรดามักจะนั่งรถไปด้วยทุกครั้ง เช่นเดียวกับตอนเลิกเรียนที่มีรถมารับ ต่างกับลวัศกรที่โหนรถเมล์กลับบ้าน เพราะคิดว่าหล่อนเป็นลูกสาว และเมื่อหญิงสาวไปเรียนต่างประเทศ ลวัศกรก็เฟซไทม์มาคุยแทบทุกวันเพื่อเช็กว่าหล่อนกลับถึงห้องพักตรงเวลาหรือเปล่า หากวันไหนลวิตราต้องออกไปกับเพื่อนก็จะต้องรายงานให้มารดาและพี่ชายฟังเสมอ 

 “แม่เตรียมยาไว้ให้ตรงหน้าห้องแล้ว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จอย่าลืมทานะ ตาลจะได้ไม่เป็นแผลเป็น”            

“สายแล้ว รีบกินกันดีกว่า พ่อต้องออกไปที่บริษัท ป่านนี้พี่ชายเราขี่จักรยานไปถึงแล้ว”

ลวิตราเพิ่งสังเกตว่าเก้าอี้ของลวัศกรว่าง แถมอุปกรณ์จานชามก็ถูกเก็บไปเรียบร้อยแล้ว 

“พี่ต้นยังขี่จักรยานไปทำงานอยู่หรือคะ”

พี่ชายของหล่อนเป็นหนุ่มอนุรักษ์ เริ่มจากปั่นจักรยานไปทำงานแทนการนั่งรถยนต์ ลวัศกรมักจะสวมชุดกีฬากางเกงยืดผ้ากระชับ สะพายเป้ไว้ด้านหลัง เมื่อไปถึงที่ทำงานถึงจะเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ในเป้ 

“ใช่จ้ะ เห็นว่าวันนี้ต้องออกแต่เช้าเพราะมีงานที่บริษัท ความจริงต้นก็อยากคุยกับตาลนะ เห็นบอกว่าตั้งแต่กลับมานี่ ยังไม่ได้คุยจริงจังเลย”

“แหม...คุณแม่คะ ทำอย่างกับว่าสมัยอยู่มหาวิทยาลัยพี่ต้นไม่โทร. เช็กตาลอย่างนั้นละ”

สำหรับคนอื่นพี่ชายหล่อนอาจจะเป็นหนุ่มอารมณ์ดีช่างยั่วช่างแหย่ แต่ลวิตรารู้ดีว่าพี่ชายหวงน้องสาวมากเลยทีเดียว ทุกครั้งที่มีเพื่อนชายมาวอแว ลวัศกรก็จะแสร้งขู่จนทุกคนหนีหายไปหมด แต่ความลับที่พี่ชายไม่เคยรู้ก็คือหญิงสาวแอบปลื้มคู่แข่งอย่างภูรินทร์มาตั้งแต่หล่อนอยู่ประถม

“ต้นโทร. ก็เพราะเป็นห่วง เพราะว่าตาลของแม่เป็นผู้หญิง”

“ตาลทราบค่ะคุณแม่ ตาลก็กลับมานี่แล้วไงคะ จะได้มาอยู่ใกล้คุณพ่อกับคุณแม่ ต่อไปทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอีก”

เลิศพงศ์ซึ่งนั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น เหลือบมองลูกสาว “กลับมาพักหนึ่งแล้ว คิดไว้หรือยังว่าจะทำงานอะไร”

ลวิตราเรียนจบด้านบริหารธุรกิจมา ผลการเรียนระดับมหาวิทยาลัยดีเยี่ยม ตอนแรกหญิงสาวอ้างว่าจะขอเรียนต่อ แต่แล้วจู่ๆ ทางครอบครัวก็ได้รับโทรศัพท์ว่าเจ้าตัวตัดสินใจจะกลับเมืองไทย  

“ตาลขอเวลาสักนิดได้ไหมคะคุณพ่อ รอให้อะไรๆ ลงตัวกว่านี้ก่อน”

“ที่ว่าลงตัวคืออะไร พ่อไม่เข้าใจ”

“ตาลยังมีงานที่ทำไว้กับกานต์แล้วก็นนท์ค่ะ”

“ก็ตามใจแล้วกัน แต่จะนั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้นะ พ่อไม่เห็นด้วย อุตส่าห์จบจากเมืองนอกทั้งที ต้องรู้จักใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์”

บิดาย้ำเสมอว่าลูกทุกคนต้องทำงาน แม้ตระกูลเลอเลิศพงศ์จะติดอันดับหนึ่งในสิบของตระกูลที่รวยที่สุด แต่บิดาก็คิดว่าการทำงานจะทำให้ทุกคนแอกทิฟ นอกจากนั้นงานจะทำให้ทุกคนรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง ตั้งแต่เล็กจนโต ครอบครัวหล่อนไม่เคยสปอยล์ลูก หากลวิตราอยากได้อะไรจะต้องรู้จักเก็บหอมรอมริบ ช่วงที่ไปต่างประเทศหล่อนก็ใช้จ่ายอย่างประหยัด 

“ตาลรู้ค่ะ ตาลเล็งๆ เอาไว้สองสามที่แล้ว ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ตาลจะออกไปสมัครงานทันที”

“บริษัทอะไรหรือที่ลูกเล็งเอาไว้ งานเกี่ยวกับอะไร”

“เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นี่ละค่ะคุณแม่ ตาลถนัดด้านนี้”

“อ้าว ถ้าอย่างนี้ทำไมไม่ทำงานกับต้นล่ะ ให้พี่เขาฝากให้ดีไหม” วรดาเสนอ 

ลวิตราส่ายหน้า “ไม่เอาหรอกค่ะ เดี๋ยวทุกคนจะหาว่าตาลใช้เส้น อีกอย่างพอทุกคนเห็นนามสกุลก็รู้ว่าตาลเป็นใคร ถ้าแบบนี้ตาลจะเรียนรู้งานได้ยังไงกันคะ”

เลิศพงศ์กินอาหารเสร็จพอดี เขาหันมาหาลูกสาว เอ่ยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เราจะสมัครงานบริษัทไหนก็ได้พ่อไม่ว่าแต่ห้ามทำงานกับคู่แข่งเด็ดขาด ขืนคุณปู่รู้เข้าคงไม่พอใจแน่ๆ”

เลิศพงศ์หมายถึงบริษัทพีพีเรียลเอสเตต รวมถึงบริษัทซีเคพีคอนสตรักชันนั่นเอง ทั้งสามเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่รุ่นปู่แล้ว

“โธ่...คุณคะ จนป่านนี้แล้วคุณพ่อยังไม่ลืมเรื่องบาดหมางในอดีตอีกหรือคะ”

ปีนี้ประมุขของบ้านอายุเจ็ดสิบปลายแล้ว ร่างกายร่วงโรยไปตามเวลา แต่ความแค้นในใจยังไม่จางหาย โดยเฉพาะความแคลงใจเรื่องเงินยี่สิบล้านที่ถูกโกงไปในตอนนั้น

“เรื่องแบบนี้มันลืมได้ง่ายๆ ที่ไหนคุณ ไม่อย่างนั้นจะได้ยินคุณพ่อบ่นอยู่ทุกวันหรือ พักนี้พีพีเรียลเอสเตตออกโทรทัศน์ไม่เว้นแต่ละวัน น่าหมั่นไส้ชะมัดเห็นว่าจะขยายโครงการสองสาม ราคาคุยหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“คุณก็...เขาทำธุรกิจก็ต้องออกสื่อเป็นธรรมดา”

“ผู้หญิงไม่เข้าใจหรอก มีแต่คุณแม่กับคุณที่พยายามจะบอกให้เราเลิกคิดมาก”

ลลนาคือภรรยาของเลอสรรค์ ปีนี้อายุเจ็ดสิบปลายเช่นเดียวกัน ลลนากับปราณปรียาสนิทกันมากเพราะเรียนคณะอักษรศาสตร์มาด้วยกัน ช่วงแรกตอนเกิดเรื่อง ฝ่ายหญิงทั้งคู่ก็พลอยมองหน้ากันไม่ติด แต่หลังจากเพื่อนรักเสียชีวิตลง ลลนาก็เสียใจที่ไม่ได้มีโอกาสปรับความเข้าใจ ทุกเช้าจึงตักบาตรและกรวดน้ำให้อีกฝ่ายอยู่เสมอๆ 

“ฉันเห็นด้วยกับคุณแม่นะคะ เราทุกคนก็อายุมากแล้ว”

“เรื่องนี้คุณกับตาลอย่ายุ่งดีกว่า ดีไม่ดีคุณพ่อท่านจะเคืองเอา ผมเองก็ไม่ได้แค้นฝ่ายนู้น แต่รู้สึกหมั่นไส้ ตอนที่มันโฆษณาเสียเว่อร์ บอกว่าโครงการพันล้านแบบนี้ไม่มีใครทำได้ ชิ!”

“คุณก็...”

“นี่ก็สายมากแล้ว ผมจะเข้าบริษัท คุณจะออกไปพร้อมกันเลยหรือเปล่า”

วรดาเหลือบมองนาฬิกาเหมือนนึกขึ้นได้ ก่อนจะรีบรวบช้อนส้อมและลุกขึ้นจากเก้าอี้ 

“ตายจริง แม่ต้องไปแล้วนะตาล แม่มีธุระ ว่าจะออกไปพร้อมคุณพ่อเลย ตาลอยู่บ้านอย่าลืมทายาตรงที่ช้ำนะจ๊ะ แล้วถ้ามีเวลาว่างอย่าลืมแวะไปหาปู่กับย่าด้วย ท่านบ่นคิดถึง”

ลวิตราประนมมือไหว้บุพการีทั้งสอง หล่อนเดินไปส่งท่านหน้าบ้าน คนขับรถเอารถมาจอดรออยู่แล้ว เมื่อรถเคลื่อนตัวออกไป ใบหน้ารูปไข่ก็หม่นเศร้า หล่อนพึมพำกับตัวเอง

“เฮ้อ...แค่เริ่มก็ยากแล้ว ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่รู้เรื่องละก็...ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะวุ่นวายขนาดไหน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น