เช้าตรู่ของวันต่อมา สิรดารีบตื่นขึ้นมาแต่เช้า และแต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่เธอจำเป็นต้องสวมใส่ หญิงสาวก้มลงมองกระโปรงที่ยาวแค่เข่าของตนเองแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะต้องรีบออกไปปฏิบัติภารกิจก่อนที่คนอื่นๆ จะไหวตัวทัน
สิรดาเดินเข้าไปในห้องครัว ภายในห้องครัวมีแม่ครัวอยู่เพียงสองสามคน เธออาสาช่วยแม่ครัวล้างผัก และพอได้จังหวะก็รีบจัดการทำในสิ่งที่ตนเองหมายใจไว้ทันที
ช่วงสายๆ นางเพตราเดินหมดเรี่ยวแรงหน้าตาซีดเซียวเข้ามาในห้องครัว
“ป้าเพตราทำไมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะคะ” ซาร่าถามพร้อมกับรีบเข้าไปประคองนางเพตรา เมื่อเห็นสีหน้าของนางเพตราซีดขาว
“ไม่สบาย ท้องเสีย” นางเพตราตอบเสียงเบา
สิรดาลอบยิ้ม แผนขั้นที่หนึ่งผ่านฉลุย เธอจัดการใส่ยาถ่ายลงไปในอาหารเช้าของนางเพตรานิดหน่อย แม้จะรู้สึกผิดไปบ้างที่ทำแบบนั้นกับคนสูงวัย แต่เพื่องานระดับชาติ จำต้องมีคนเสียสละ และถ้านางเพตรารู้ว่าเธอมุ่งมั่นทำเพื่อชาวอัลบาเรีย รวมทั้งรู้สึกผิดแค่ไหนที่ทำแบบนี้กับนาง นางเพตราจะต้องเข้าใจและเห็นด้วยกับเธออย่างแน่นอน
“ป้าหยุดพักสักวันหนึ่งเถอะค่ะ ท่าทางหมดแรงแบบนี้คงทำอะไรไม่ไหวแน่” สิรดาบอกนางเพตราอย่างคนหวังดี และรอดูทีท่าของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ
“นั่นสิคะป้า พักเถอะ” ซาร่าสนับสนุนคำพูดของสิรดา รวมทั้งคนในห้องครัวทั้งหมดต่างก็พยักหน้าสนับสนุนให้ไปนอนพัก
นางเพตราส่ายหน้า “ไม่ได้ ยังไม่ได้ไปดูห้องคุณชามาล์เลย หยุดพักไม่ได้หรอก”
“โธ่ป้าคะ เรื่องงานปล่อยให้คนอื่นทำก็ได้ วันเดียวเอง รักษาสุขภาพให้แข็งแรงก่อนเถอะค่ะ สุขภาพของป้าสำคัญกว่างานไหนๆ ทั้งหมด คุณชามาล์คงไม่ว่าหรอก ถ้ารู้ว่าป้าไม่สบาย” สิรดาพูดย้ำ
“นั่นสิป้า พักเถอะ” คนในครัวที่เห็นด้วยช่วยพูดอีกแรง
นางเพตราถอนใจ รู้ดีว่าตนเองทำงานในวันนี้ไม่ไหวแน่ แต่ติดที่จะให้ใครไปทำความสะอาดห้องของคุณชามาล์แทนตนเท่านั้นเอง นางเพตรากวาดสายตามองหาคนที่จะได้รับหน้าที่ในเช้าวันนี้แทนตนเอง
“ซาร่า เช้าวันนี้เข้าไปทำความสะอาดในห้องคุณชามาล์แทนป้าด้วย” นางเพตรามอบหมายให้ซาร่า เพราะคิดว่าเด็กสาวเรียบร้อย ทำงานดี จึงไม่น่าจะสร้างปัญหาอะไร
สิรดาใจหายวาบ พังหมดแล้วแผนการเธอ
ซาร่าหน้าเสียไปเล็กน้อย “ค่ะป้า เดี๋ยวหนูจะขึ้นไปทำความสะอาดห้องคุณชามาล์แทนป้าเอง”
“ดี ทำความสะอาดให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็ไปทำความสะอาดในห้องทำงานต่อ แต่อย่าเคลื่อนย้ายอะไรเด็ดขาด เข้าใจใช่ไหม” นางเพตราสำทับซาร่า “เอาละรีบไปทำความสะอาดห้องนอนคุณชามาล์ ป่านนี้คุณชามาล์คงออกไปทำงานแล้ว”
“ค่ะ” ซาร่าพยักหน้ารับคำ แล้วเดินหงอยๆ ออกไป
สิรดาสังเกตเห็นอาการของเด็กสาวดูท่าจะไม่เต็มใจรับงานนี้นัก ลับหลังที่นางเพตราเดินออกไปจากห้องครัว สิรดาจึงรีบปลีกตัวออกมาและเดินตามซาร่าไปทันที
“ซาร่า เป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าแบบนั้น” สิรดาถามเมื่อเห็นหน้าหมองๆ เหมือนคนจะร้องไห้ของเด็กสาวที่กำลังจะเดินขึ้นไปยังชั้นบน
“เปล่า ไม่มีอะไร” ซาร่าเสียงสั่น ความหวังของเธอกำลังหลุดลอยไป
“มีอะไรก็บอกมาเถอะ จะได้ช่วยกันแก้ไข” สิรดาบอกอย่างจริงใจ เพราะท่าทางซาร่าดูแย่เอามากๆ
“เช้านี้ซาร่าต้องไปสอบ ซาร่าอยากเรียนต่อ ตั้งใจจะขอป้าเพตรา แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นก่อน” ซาร่าก้มหน้าพูด
“โธ่ เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวฉันไปทำความสะอาดแทนเธอให้เอง เธอไปสอบเถอะ” สิรดารีบเอ่ยปาก ทั้งยังแอบดีใจอยู่ลึกๆ ที่โชคเข้าข้าง
“ไม่ได้หรอก ถ้าป้าเพตรารู้ ต้องโดนไล่ออกแน่ที่ทิ้งงาน” ซาร่าพูด น้ำตาเริ่มร่วง
“ป้าเพตรากลับเข้าไปนอนในห้องแกแล้ว วันนี้คงนอนทั้งวัน รับรองแกไม่มีทางรู้หรอก เธอไม่พูด ฉันไม่บอก จะมีใครรู้มั้ย รีบไปเถอะน่า การสอบมีปีละครั้งไม่ใช่หรือ พลาดปีนี้ รอไปอีกตั้งหนึ่งปี ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” สิรดาพยายามโน้มน้าวให้ซาร่าเปลี่ยนใจไปสอบ
ซาร่าหยุดคิด เธออยากเรียนต่อมาก ตั้งใจว่าจะเรียนให้สูงที่สุด เพราะมันเป็นความใฝ่ฝันเพียงอย่างเดียวในชีวิตของเธอ “ขอบคุณ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้ของเธอเลย”
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน” พูดจบสิรดาก็เอื้อมมือออกไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดที่อยู่ในมือของซาร่ามาถือไว้ กันเด็กสาวเปลี่ยนใจ
“ขอบคุณนะ” ซาร่ากล่าวขอบคุณสิรดาอีกครั้ง และเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มที่มาแทนคราบน้ำตาบนใบหน้า
“เฮ่อ...” คล้อยหลังซาร่า สิรดาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ในที่สุดแผนลำดับที่หนึ่งก็สำเร็จลุล่วง
คนมีเป้าหมายในใจรีบเดินขึ้นไปยังชั้นบน เมื่อมาถึงจุดหมายแรกก็นำกุญแจที่ได้มาจากซาร่าไขประตูและเปิดมันออก ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในด้วยท่วงท่ามั่นใจเต็มเปี่ยมว่าวันนี้จะเป็นวันดีของตนเอง
“โหย...ห้องนอนหรือเนี่ย ใหญ่กว่าบ้านทั้งหลังของเราอีก” สิรดากวาดตามองไปโดยรอบอย่างตะลึงนิดๆ กับความหรูหราที่ไม่เหมาะจะนำมาบรรยายเป็นคำพูดสละสลวย นอกจากคำค่อนขอดแกมประชดประชันกับความรวยล้น “รวยมันเข้าไป ฉาบผนังทองมันซะเลยสิ จะได้หรูเลิศมีหนึ่งเดียวบนโลก”
หลังจากประเมินความโอ่อ่าของห้องนอนเรียบร้อย สิรดาก็มองหากล้องที่อาจซ่อนอยู่ตามมุมห้องก่อนเป็นอันดับแรก จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าในห้องปลอดภัยไม่มีกล้องวงจรปิดสักตัว เธอจึงทิ้งอุปกรณ์ต่างๆ ไว้บนพื้น และเป้าหมายแรกที่ถูกเลือกสรรในการสำรวจคือ เดินเข้าไปดูเตียงนอนใกล้ๆ
“แม่เจ้าโว้ย เตียงยักษ์ชัดๆ” สิรดาตาโต มองเตียงขนาดใหญ่ที่สามารถเอาคนมานอนเกลือกกลิ้งกันได้สามสี่คนอย่างสบายๆ
“เฮอะ เวลาจะนอนยังต้องทำตัวยิ่งใหญ่อลังการไว้ก่อน เว่อร์จริงๆ นายชามาล์คนนี้” พูดจบก็ส่ายหน้าเอือมๆ กับความรวยจัดของเจ้าของห้อง
จากนั้นคนที่กำลังเอือมๆ คนรวยจัดก็เดินไปสำรวจข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในห้อง โดยเฉพาะตามโต๊ะตามลิ้นชักต่างๆ ที่ไล่เปิดออกมาดูทีละชั้น เพื่อตรวจหาว่าจะมีของที่ต้องการแอบซ่อนอยู่หรือไม่
“อี๋! อี๋! อี๋!”
เมื่อลิ้นชักบนสุดของโต๊ะที่ตั้งอยู่ริมห้องถูกเปิดออก เสียงร้องของสิรดาก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับสายตารังเกียจเมื่อเห็นของภายในลิ้นชัก ที่วางเรียงรายเต็มพรืดไปหมด
“คนอะไรเนี่ย มักมากในกาม ตุนไว้เพียบเต็มสต๊อก น่าเกลียด น่าขนลุก อี๋...รับไม่ได้” สิรดาเบ้หน้าอย่างรังเกียจกับอุปกรณ์ป้องกันตัวจากกิจกรรมยามค่ำคืนของเจ้าของห้อง
“เอ๊ะ...หรือว่าจะเป็นแผนลวง ทำให้ไขว้เขวว่าไม่มีอะไรในลิ้นชักนี้” สิรดาหรี่ตาครุ่นคิด มองจำนวนกล่องที่อัดแน่นเต็มลิ้นชักแล้วเห็นถึงความไม่ชอบมาพากล...คนบ้าอะไรจะหมกมุ่นกับเรื่องนี้ได้ทุกวัน ซึ่งจากการคำนวณจำนวนกล่องคร่าวๆ แล้วอาจมีมากกว่าร้อยชิ้น มันมากเกินปกติสำหรับคนธรรมดา
เมื่อเห็นถึงข้อพิรุธ สิรดาจึงไม่รีรอรีบไล่สำรวจกล่องต่างๆ เพื่อค้นหาว่ามีเบาะแสที่ตนเองต้องการหรือไม่ แต่เพียงแค่อึดใจต่อมาก็ต้องปิดลิ้นชักด้วยสีหน้าสุดจะทนจริงๆ
“อย่างนี้เรียกว่าหมกมุ่นทุกวันยังน้อยไป...ผู้ชายบ้า” สิรดาบ่นกระปอดกระแปดอย่างหัวเสีย เมื่อในลิ้นชักไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย เพราะในนั้นเต็มไปด้วยเชิงชายอัดแน่นล้วนๆ อย่างไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปนแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ไหว” สิรดาส่ายหัวส่งท้ายแล้วรีบเดินไปสำรวจส่วนอื่นๆ ต่อ ด้วยไม่อยากเสียเวลาที่มีค่าไปกับเรื่องความชอบส่วนบุคคลของเจ้าของห้องไปมากกว่านี้
หลังจากสิรดาเดินสำรวจไปทั่วห้องได้สักพักก็บ่นออกมาอีกครั้งด้วยความผิดหวังที่ไม่พบสิ่งที่ต้องการ “เฮ้อ...น่าเบื่อจริงๆ ท่าทางนายชามาล์นั่นจะไม่ได้เอามาไว้ในห้องนอนแน่”
เมื่อรู้ว่าในห้องนอนไม่มีอะไรที่น่าค้นหาอีก สิรดาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปค้นที่ห้องทำงานแทน แต่ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง เมื่อเดินผ่านเตียงนอนขนาดใหญ่คนอดใจไม่ไหวก็ขอเดินเข้าไปดูเต็มๆ ตาอีกสักหน
“เวลานอนมันจะนุ่มละมุน ต่างจากฟูกบ้านเราหรือเปล่าเนี่ย ไหนขอพิสูจน์หน่อยซิ”
คนอยากพิสูจน์หย่อนตัวลงนั่งอย่างแรง พร้อมทั้งขย่มตัวพิสูจน์ความนุ่มของเตียง
“เจ๋งเหมือนกัน ขอลองนอนเตียงอภิมหาเศรษฐีหน่อยดีกว่า เผื่อจะรวยกับเขามั่ง” พูดจบสิรดาก็ล้มตัวลงนอนเกลือกกลิ้งไปมา พร้อมทั้งเอามือตีเบาๆ ไปตามแขน คล้ายจะเอาฤกษ์เอาชัย
“รวย รวย รวย ฉันจะรวย!” เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นด้วยความถูกใจ
ดวงตาคมเข้มจ้องมองร่างบนเตียงผ่านกระจกในห้องแต่งตัวด้วยแววตาโกรธจัด ผู้หญิงคนนั้นกล้าดียังไง เป็นแค่เด็กรับใช้ แต่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กลับหาญกล้าขึ้นมานอนบนเตียงของเขา ทั้งๆ ที่เตียงหลังนี้ไม่เคยอนุญาตให้ผู้หญิงคนไหนได้แตะต้องด้วยซ้ำ
สายตาแผดเผาของคนที่ยังไม่ได้ออกไปทำงานจ้องเขม็งไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียงของตนเองอย่างไม่พอใจ เมื่อคืนที่ผ่านมาเขามีประชุมด่วนและใช้เวลาเกือบค่อนคืนถึงเสร็จสิ้นการประชุม ดังนั้นในเช้าวันนี้จึงออกไปทำงานสายกว่าปกติ และเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ซึ่งในทันทีที่เดินออกมาจากห้องน้ำที่อยู่ติดกับห้องแต่งตัว ภาพเด็กรับใช้กำลังหัวเราะคิกคักนอนเล่นอยู่บนเตียง ก็ทำให้ดวงตาของเขาลุกเป็นไฟ
สิรดาชักสนุกกับการนอนกลิ้งไปมาจนกระโปรงที่สั้นแค่เข่าถลกขึ้นมาจนแลดูน่าหวาดเสียว แต่เจ้าตัวไม่สนใจกลับยกแข้งยกขา แถมยังกระดิกเท้าเล่นด้วยความเมามันในอารมณ์
“นอนเตียงคนรวยมันสบายอย่างนี้นี่เอง นิ่มเข้าไปถึงใจ” สิรดาหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ
ชามาล์ชะงัก จากที่คิดจะเดินออกไปเอาเรื่องกลับหยุดยืนนิ่งไม่ขยับ พร้อมๆ กับที่สายตาถูกตรึงให้เอาแต่จ้องมองช่วงขาเรียวขาวที่เย้ายวนอยู่เบื้องหน้า ผู้หญิงคนนี้ขาสวยมาก สวยจริงๆ สวยจนหัวใจรู้สึกกระตุกแปลกๆ
“ไปสำรวจห้องทำงานต่อดีกว่า” สิรดาพึมพำ ลุกพรวดจากเตียงแล้วเดินจ้ำออกไปจากห้องที่หมดความหมายแล้วอย่างรวดเร็ว
ชามาล์เกือบจะเดินออกไปรั้งคนขาสวยไว้ ก่อนจะนึกได้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของตนเองมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวที่ใช้ปกปิดร่างกาย และที่สำคัญผู้หญิงคนนั้นก็เป็นแค่เด็กรับใช้ภายในบ้าน
“บ้าเอ๊ย! แค่คนใช้ท่าทางบ้าๆ บอๆ ไร้การอบรม...”
พูดยังไม่ทันจบประโยค ชามาล์ที่เหลียวมองตามติดแผ่นหลังของคนที่เป็นแค่เด็กรับใช้ถึงกับชะงักอึ้ง ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดมุ่นอย่างคนใช้ความคิดหนัก และค่อยๆ คลายออกกลายเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเข้ามาแทน
“เจอกันอีกจนได้ ครั้งนี้เธอไม่รอดแน่ ยายตัวแสบ” น้ำเสียงดุดันดังขึ้นอย่างมาดร้าย แววตาคนพูดเต็มไปด้วยความพอใจ เมื่ออยู่ๆ ผู้หญิงที่กล้าปากดีใส่เขาได้กลายมาเป็นเด็กรับใช้ภายในบ้าน และนั่นมันก็หมายถึงลูกไก่ที่อยู่ในกำมือ ถ้าเขาคลายเจ้าหล่อนก็รอด แต่ถ้าเขาขยี้เจ้าหล่อนก็ต้องแหลก
ชามาล์หยิบเสื้อผ้ามาแต่งตัวช้าๆ รอยยิ้มเย็นเยียบยังคงระบายจับตามใบหน้าคมสัน เวลานี้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เพราะนึกไม่ถึงว่าผู้หญิงที่ทำให้เขาหงุดหงิดมาตลอดสองวันจนอยากเจออีกสักครั้งเพื่อสะสางบัญชี จู่ๆ กลับมาปรากฏตัวภายในบ้านอย่างไม่ต้องลงแรงอะไร สงสัยเบื้องบนคงรู้ใจเขา ถึงส่งยายนั่นมาให้เขาจัดการถึงที่
สิรดาไม่ปล่อยเวลาอันมีค่าให้สูญเสียเปล่าประโยชน์ ทันทีที่ออกจากห้องนอนของชามาล์ ก็เดินตรงเข้าไปในห้องทำงานที่อยู่ไม่ไกลจากห้องเดิมนัก ภายในห้องทำงาน สิรดากวาดสายตามองความโอ่อ่าเรียบหรูของเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่งภายในห้องแล้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ อีกรอบ
เสียงเปิดประตูดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้สิรดารีบหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะพบกับความแปลกใจ เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาช่างคุ้นหน้าคุ้นตาเสียเหลือเกิน
“โอ๊ะโอ นึกว่าใคร ที่แท้ก็คนกันเองนี่เอง” สิรดาฉีกยิ้มกวนโทสะ และไม่รอช้าที่จะเปิดฉากใส่อีกฝ่ายก่อน
ชามาล์เหยียดยิ้ม จ้องหน้าสิรดา แต่ยังไม่พูดอะไรออกมา
“มาหาคนคุยด้วยหรือ” สิรดาพูดกลั้วหัวเราะ
“ขอโทษที วันนี้คงมาเสียเที่ยว มาใหม่วันหลังแล้วกัน” น้ำเสียงคนพูดข่มฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย
ชามาล์ขบฟันจนกรามเป็นสันนูน แต่ยังไม่ปริปากพูด
“อ้าว ยังไม่กลับอีก ท่าจะอยากหาคนคุยด้วยจริงๆ เอาเถอะ ฉันเข้าใจ เดี๋ยวฉันขอไปจัดการธุระก่อน แล้วจะกลับมาคุยด้วย แต่หนนี้สองหมื่นนะ พอดีช่วงนี้ฉันธุระเยอะ เวลาค่อนข้างเป็นเงินเป็นทอง” แววตาสิรดาแวววาว รู้สึกสะใจและอารมณ์ดีขึ้นมาเป็นกอง เมื่อเห็นสีหน้าอยากฆ่าคนของคนที่อยู่ตรงหน้า
“เอาละ ออกไปได้แล้ว” คนธุระเยอะสั่งห้วนๆ ทิ้งท้าย
ชามาล์ยังยืนนิ่งไม่ขยับ สิรดาเงยหน้าขึ้นมามองอดีตคู่กรณีอีกครั้ง พร้อมกับทำท่าไม่ชอบใจ “กลับไปได้แล้วคุณ จะยืนให้ขางอกออกมาเป็นหินย้อยหรือไง ไปได้แล้ว แล้วค่อยมาใหม่วันหลัง วันนี้เจ้านายฉันไม่อยู่ ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว”
“หรือ...” ชามาล์คำรามในลำคอ ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงห้วนสนิท “แล้วเธอเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านายเธอทำไม”
สิรดาจ้องหน้าคนถาม “ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย คุณเป็นเจ้านายฉันหรือไง”
“ถ้าฉันบอกว่าใช่ ฉันเป็นเจ้านายของเธอ...” ชามาล์พูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงพูดแทรกก็ดังขัดขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นห้าม
“หยุด! อย่าโม้! อย่าโกหก! อย่ามั่ว! หน้าตาแบบคุณ ถึงจะพอดูได้ แต่ไม่มีทางเป็นเจ้านายฉันแน่นอน”
คนที่ไม่มีทางได้เป็นเจ้านายขมวดคิ้วจนแทบเป็นปม ย้อนถามเสียงเข้ม “ทำไม?”
“ตกลงคุณไม่รู้จักเจ้านายฉันใช่มั้ย ถึงได้ถามอะไรเหมือนคนไม่รู้เรื่องแบบนี้” สิรดามองคนตรงหน้าอย่างเอือมระอา “เอาเถอะ ถ้าไม่รู้ฉันจะบอกให้เอาบุญ เจ้านายของฉันหน้าตาคมคาย ความหล่อเป็นหนึ่งไม่มีสอง บอกแค่นี้เข้าใจใช่ไหม” น้ำเสียงดูแคลนเย้ยปิดท้าย ให้คนฟังไปตีความเอาเองว่าหน้าตนเองควรจัดอยู่ในหมวดคมคาย หล่อเป็นหนึ่งไม่มีสองหรือไม่
ชามาล์หน้าตึง มองหญิงสาวที่กล้าพูดอย่างไร้ความคิดด้วยแววตาไม่พอใจ
สิรดาเห็นอีกฝ่ายทำหน้าไม่พอใจจึงอดค่อนขอดต่อไม่ได้ “หัดยอมรับความจริงซะบ้าง คนเขาพูดความจริง ทำเป็นโมโห”
“ฉันชื่อชามาล์ อัลบารอม” ชามาล์ประกาศตัวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
สิรดาส่ายหน้าหัวเราะขำ “ขอบอกว่าอย่ามาอำกัน เจียมตัวหน่อย หน้าตาแบบนี้ คิดจะมาเทียบกับเจ้านายสุดหล่อล้ำของฉัน”
คนไม่เชื่อกวาดตาไล่มองตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าของผู้ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า “ถ้าคุณชื่อชามาล์ได้ ฉันว่า...ฉันก็ อืม...นางงามจักรวาลปีล่าสุด และรั้งตำแหน่งว่าที่นายหญิงของที่นี่ด้วยอีกหนึ่งตำแหน่ง” พูดจบก็ยืดตัวขึ้นด้วยท่าทางโอ่ๆ เล็กน้อย
ชายหนุ่มผู้ถูกบอกให้เจียมตัวหายใจแรง กระชากเสียงห้วนตอบ “ไม่มีทางที่ฉันจะตาต่ำ คว้าเด็กรับใช้ขึ้นมาเป็นนายหญิงของอัลบารอม”
สิรดาเบ้ปาก มองคนกล้าพูดแบบนี้ออกมาด้วยแววตาถากถาง “จ้า พ่อชามาล์ อัลบารอม พ่อคนตาสูงคิ้วเสียดฟ้า พ่อหล่อเลือกได้ คัดทิ้งได้ แต่ลองส่องกระจกดูสภาพตัวเองก่อนดีมั้ย ว่าหน้าตาเป็นยังไง แค่เอาหน้าคุณกับหน้าฉันมาเทียบสัดส่วนโครงหน้ากันชอตต่อชอต ใครๆ ก็ดูออกว่าฉันกินขาดคุณหลายช่วงตัว ฉะนั้นถ้าคุณเป็นนายชามาล์นั่นได้ แล้วทำไมฉันจะเป็นนายหญิงของที่นี่ไม่ได้”
ท้ายเสียงสิรดาออกแนวโมโหที่โดนอีกฝ่ายดูแคลน ไม่รู้ว่าเธอกับเขาจะมาเจอะเจอกันอีกเป็นครั้งที่สามทำไมให้เสียอารมณ์
“เธอ! อย่าคิดหวังสูง แล้วหยุดพูดจาไร้สาระ ทำตัวให้เหมาะสมกับการเป็นคนรับใช้ภายในคฤหาสน์อัลบารอม ไม่อย่างนั้นก็ออกไป ที่นี่ไม่ต้อนรับ” แววตาคนพูดโกรธจัด
“หึ” เสียงหึดังเย้ยอย่างไม่กลัว “คิดการใหญ่นะ ถึงขนาดจะไล่ฉันออก ไม่รู้จักฉันซะแล้ว ว่าฉันเป็นใคร” สิรดาเชิดหน้าท้าทาย ขอยืมวลีนี้จากพวกชอบเบ่งที่เมืองไทยมาใช้จัดการกับชายตรงหน้า
“เธอจะเป็นใครมันเรื่องของเธอ ฉันรู้แต่ว่าตอนนี้เธอเป็นคนรับใช้” ชามาล์พูดเสียงห้วน
สิรดาทำหน้าไม่ชอบใจ เมื่อเบ่งให้อีกฝ่ายหงอไม่ได้ ซ้ำยังโดนตอกย้ำว่าเป็นคนรับใช้ให้ตนเองต้องมาเจ็บใจเล่นอีก “เป็นเด็กรับใช้แล้วเป็นไง ก็ทำงานแลกเงินเหมือนกันนั่นแหละ ทำมาเป็นดูถูกว่าฉันเป็นคนใช้ แล้วคุณดีกว่านักหรือไง มันก็รับใช้เจ้านายฉันเหมือนๆ กัน ยังจะมีหน้ามาพูดอีก ระวังตัวไว้เถอะ ถ้าคุณชามาล์รู้ว่ามีลูกน้องที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาทำตัวกร่างในห้องทำงาน รับรองได้เลยโดนดีแน่ คุณไม่รู้หรือไง เจ้านายฉันถือตัวขนาดไหน เขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายในห้องทำงาน รู้หรือเปล่า”
ชามาล์เหยียดยิ้ม จ้องสิรดาเขม็งด้วยสายตาวาววับ เหมือนจะประกาศคำเตือนต่อคนตรงหน้าเอาไว้ล่วงหน้า “ฉันรู้แน่ มีแต่เธอเท่านั้นที่ไม่รู้”
“โอเค โอเค ฉันไม่รู้ก็ได้” สิรดาเพิ่งคิดได้ว่า ขืนเธอทำดึงดันขับไล่นายภาพอุจาดคนนี้ออกไป แล้วถ้าหมอนี่เกิดแค้นเธอเข้า เอาไปฟ้องนายชามาล์ว่าเธอเข้ามาในห้องนี้ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนเล่นงานก่อนใครเพื่อน ดังนั้นเธอจึงต้องยอมจำใจอ่อนข้อให้ก่อน ไม่เช่นนั้นแผนการทุกอย่างอาจพังทลายลงได้
ชามาล์หรี่ตา เมื่อจู่ๆ ผู้หญิงตรงหน้ากลับเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน “เธอ ต้องการอะไรกันแน่”
สิรดาคิดในใจ ท่าทางหมอนี่ก็ฉลาดไม่เบา “เปล่าหรอก ฉันก็แค่คิดว่าไหนๆ เราก็มีเจ้านายคนเดียวกัน ดีต่อกันไว้ก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือ คนเราน่ะ ไม่ควรทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงแต่ก่อนเราจะไม่ค่อยพอใจซึ่งกันและกันนัก แต่ตอนนี้เราไม่ควรเก็บเรื่องเล็กน้อยมาคิดให้เสียเวลาทำมาหากิน จริงไหม”
หญิงสาวเหลือบมองหน้า เห็นท่าทางของอดีตคู่แค้นที่ยังนิ่งไม่ยอมตอบรับ จึงรีบพูดเสริม “เอาเป็น ฉันไม่พูด คุณไม่พูด แบบนี้แล้วกัน ตกลงมั้ย”
“ทำไมฉันต้องตกลงกับเธอ” ชามาล์พูดเสียงเย็น ความโกรธเริ่มทุเลาเบาบางลง เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่ายอมแพ้
“อ้าว คุณไม่กลัวเจ้านายหรือไง” สิรดาทึกทักเอาเองว่าชายหนุ่มน่าจะเป็นหนึ่งในลูกน้องของชามาล์ มิฉะนั้นคงไม่เดินเข้ามาถึงในห้องทำงานนี้ได้
“ฉันจะไปกลัวตัวเองทำไม” ชามาล์ตอบเสียงแข็ง แววตาเริ่มกรุ่นโกรธขึ้นมาอีกครั้งที่ดูแล้วอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีเชื่อในคำพูดของเขาแม้แต่น้อย
“เออดี” สิรดาทำหน้าหน่ายใจ ป้าเพตราเป็นคนบอกเองด้วยซ้ำว่านายชามาล์ออกไปทำงานแล้ว แต่หมอนี่ก็ยังตอกย้ำไม่เลิกราอยู่ได้ว่าตนเองเป็นนายชามาล์ ท่าจะบ้าไปกันใหญ่ สติไม่ดีหรือเปล่าก็ไม่รู้นายคนนี้ หัวสูงจริงๆ เป็นคนธรรมดาไม่ชอบ ดันอยากเป็นนายชามาล์จอมเจ้ากี้เจ้าการ
“โอเค คุณชื่อชามาล์ อัลบารอม ก็ได้ ถ้ายังไงก็ช่วยเก็บเรื่องฉันเข้ามาในห้องนี้เป็นความลับด้วยแล้วกัน ยังไงซะ คุณก็เป็นนายชามาล์อยู่แล้วนี่ รู้กันสองคนคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ชามาล์ขมวดคิ้ว นึกอยากจับผู้หญิงตรงหน้ามาเขย่าหัวให้หายตาต่ำนัก ถึงมองไม่ออกว่าเขาเป็นใคร
“เธอเข้ามาในห้องนี้ทำไม” ชามาล์ถามเสียงห้วน สายตามีแววจับผิดชัดเจน
“ฉันเป็นคนใช้ ก็ต้องเข้ามาทำความสะอาดสิ ถามมาได้” สิรดามองตอบ ไม่คิดหลบสายตาให้โดนจับผิดได้โดยง่าย
“ไหนอุปกรณ์ทำความสะอาดของเธอ” ชามาล์ยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยเสียงหยัน เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าหล่อนวิ่งปร๋อลงจากเตียง แล้วทิ้งอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ในห้องนอนของเขา
สิรดาชะงัก แต่อึดใจต่อมาก่อนที่เจ้าตัวจะเผยพิรุธก็รีบปรับเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อย และเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายเพื่อปกปิดความเผอเรอของตนเอง
“นี่คุณ จะมาซักอะไรฉันนักนะ ตกลงฉันก็เชื่อแล้วไงว่าคุณเป็นนายชามาล์นั่น ยังจะมาถามเอาอะไรอีก และถ้าคุณเป็นนายชามาล์จริง ฉันว่าคุณควรรีบไปทำงานก่อนดีกว่าไหม เวลาของคุณเป็นเงินเป็นทองไม่ใช่หรือ จะมาวุ่นวายอะไรกับเด็กรับใช้ภายในบ้าน”
“ก็ถ้าเด็กรับใช้ไม่ทำตัวมีพิรุธ ลับๆ ล่อๆ ฉันคงไม่เสียเวลามาทำเรื่องไร้สาระอย่างนี้”
“บ้าน่ะสิ ฉันเนี่ยนะทำตัวมีพิรุธ ลับๆ ล่อๆ” สิรดาใจเต้นตึกตัก แต่ก็ยังพยายามหาเหตุผลมาเถียงเข้าไว้เพราะกลัวโดนจับได้ “เอาเถอะ ฉันยอมรับก็ได้ว่าฉันทำตัวลับๆ ล่อๆ แต่คุณต้องเข้าใจนะ ฉันมันคนจน ไม่เคยเห็นความอลังการเลิศหรูที่ไหนมาก่อน พอมาเจอความวิจิตรบรรจงของคฤหาสน์คุณ ฉันก็ต้องเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก อาจจะดูลับๆ ล่อๆ ไปบ้าง แต่นั่นมันเป็นอาการเห่อของคนที่ไม่เคยเห็น เดี๋ยวพอผ่านไปหลายวันเข้า ฉันก็จะชินกับมันไปเองนั่นแหละ”
สิรดาพ่นลมหายใจออกมาหลังอธิบายจบ เธอหวังว่าผู้ชายตรงหน้าจะไม่เรื่องมาก และเข้าใจในสิ่งที่เธอบอก
“แน่ใจหรือ” ชามาล์ถามเสียงคาดคั้นเหมือนคนไม่เชื่อ พร้อมทั้งก้าวเดินช้าๆ เข้าหาสิรดา
“เดินเข้ามาทำไม คุณคิดจะทำอะไรฉัน” สิรดาถามเสียงแข็ง แววตาจับจ้องคนที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาหาตนเอง
“ตอบมา เธอคิดจะทำอะไร” ชามาล์คาดคั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งชีวิต ผู้หญิงคนนี้ต้องคิดจะทำอะไรบางอย่าง ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าบุกรุกเข้าห้องนอนและห้องทำงานของเขา ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าสองห้องนี้ ห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาวุ่นวาย
“ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไร วันนี้ป้าเพตราไม่สบาย ฉันขึ้นมาทำงานแทน มันผิดตรงไหน” สิรดาตอบเสียงดัง แสดงท่าทางจริงจังเพื่อย้ำจุดยืนให้ตนเองดูบริสุทธิ์ใจ
“ผิดแน่ เพราะป้าเพตราของเธอ ไม่มีทางให้เธอขึ้นมาทำงานในห้องนี้แทนแน่นอน” ชามาล์ยิ้มเหยียด ทำไมเขาจะไม่รู้ นางเพตราไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทำงานแทนข้างบนนี้แน่
สิรดาเม้มปาก สมองถูกใช้งานอย่างหนัก “ใช่ ป้าเพตราไม่ได้ให้ฉันขึ้นมาทำงานแทนหรอก แต่คนที่ป้าเพตราใช้ให้มาทำมีธุระด่วน มาทำไม่ได้ ฉันจึงต้องมาแทน”
“คนรับใช้บ้านนี้มีธุระด่วนกันด้วยหรือ” น้ำเสียงของชามาล์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อถ้อยคำที่สิรดาพูดแม้แต่น้อย
“นี่คุณ” หญิงสาวชักเริ่มโมโหที่โดนผู้ชายตรงหน้าพูดเสียงเหยียดๆ ใส่ “การที่คนรับใช้คิดจะเรียนต่อเพื่อหาความก้าวหน้าในชีวิตมันไม่ได้ใช่มั้ย หรือว่าการเป็นคนใช้จะต้องถูกกดขี่ไปตลอดชีวิต จะหาความรู้ใส่ตัวมันผิด จะไปสอบก็ทำไม่ได้ แล้วฉันมันผิดมากนักใช่ไหม ที่ยอมขึ้นมาทำงานแทนคนที่เขาต้องไปสอบ และถ้าฉันมันผิดมากผิดมาย ฉันจะได้จำไว้ ว่าต่อไปอย่าหวังดี อย่าไปจุ้นกับเรื่องของคนอื่น น้ำจงน้ำใจไม่ต้องมีให้กันแล้ว ใครจะเป็นจะตายก็ช่างหัวมัน”
สิรดาโวยวายใส่เป็นชุด หวังกลบเกลื่อนและหลอกด่าฝ่ายตรงข้ามว่าแล้งน้ำใจไปพร้อมกัน
ชามาล์นิ่งไป แต่สายตายังคงจับผิดกับอากัปกิริยาของผู้หญิงตรงหน้า
สิรดารู้ตัว ถ้าเธอทำพลาดแสดงพิรุธออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ภารกิจเพื่อชาติในครั้งนี้คงล้มเหลว หญิงสาวจึงเชิดหน้าขึ้นอย่างผู้กล้าหาญ และใช้ท่าทีจริงจังสยบความคิดจับผิดของชายหนุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นนายชามาล์อภิมหาเศรษฐี
“ที่เธอมาทำงานแทน ต้องการมาอ่อยฉันหรือเปล่า” คนที่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาอ่อยถามเสียงห้วน ภาพเรียวขาขาวๆ แวบเข้ามาในความคิด
“แค็กๆๆ” สิรดาสำลักกับคำถามยอดแย่ไร้ความจริงในรอบสิบปี “ฉันเนี่ยนะคิดอ่อยคุณ ถ้าฉันจะอ่อยจริง อ่อยเจ้านายฉันไม่ดีกว่าหรือ ทั้งหล่อทั้งรวย คุณมันก็แค่คนหน้าตาธรรมดา”
แววตาของคนที่โดนบอกว่าหน้าตาแค่ธรรมดาไม่พอใจ ทำให้สิรดาต้องรีบกลับคำเพราะกลัวเสียแผน “ก็ได้ ก็ได้ ดีกว่าคนธรรมดา เอาเป็นขึ้นหน้าปกแมกาซีนได้ พอใจหรือยัง”
เสียงค่อนขอดในใจสิรดาดังลั่นเมื่อตนเองพูดจบ ยิ่งเห็นสีหน้าดูพออกพอใจยามเธอบอกว่าขึ้นหน้าปกแมกาซีนได้ ก็ยิ่งทำให้สิรดาต้องเบี่ยงหน้าหนีแอบมาเบ้ปาก ก่อนจะทนไม่ไหวต้องระบายออกด้วยการบ่นงึมงำอยู่คนเดียว “จะบ้าตาย คนอะไรนอกจากนึกว่าตัวเองเป็นนายชามาล์นั่นแล้ว ยังหลงตัวเองได้อีก ท่าจะบ้า เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นคนอยากมีหาง เอาไว้ถือ อย่างนี้มันบ้าเข้าขั้นเบอร์ห้าแท้ๆ”
“เธอพูดอะไร” ชามาล์ตวัดถามเสียงเข้ม
“อ๋อ” สิรดารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “ฉันแค่อยากบอกคุณว่า คุณออกไปจากห้องก่อนดีกว่ามั้ย ฉันจะได้ทำความสะอาดห้อง เดี๋ยวฝุ่นมันจะกระจาย มันจะไม่ดีต่อสุขภาพใบหน้าของคุณผู้เป็นเจ้าของบ้านนะ”
“เธอต้องการอะไรกันแน่” ชามาล์จ้องหน้าสิรดาด้วยความไม่เชื่อใจ ถึงเจ้าหล่อนจะไม่แสดงพิรุธใดๆ ให้เห็น แต่จากการพูดจาโต้ตอบ ยิ่งบ่งชัดว่าเจ้าหล่อนไม่ธรรมดา
“โธ่ คนรับใช้อย่างฉันจะต้องการอะไรได้ นอกจากอยากทำงานให้มันเสร็จๆ ไป” สิรดาตอบเสียงขุ่น
“อย่าคิดว่าเธอจะมาตบตาฉันได้ง่ายๆ” ชามาล์ก้าวเข้ามาประชิดตัวสิรดา มือหนาใหญ่เอื้อมมาคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็ว
“จะทำอะไร ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ!” สิรดาร้องเสียงดัง พร้อมทั้งออกแรงสะบัด
“พูดมา เธอต้องการอะไรถึงเข้ามาในห้องนี้” ชามาล์ออกแรงบีบข้อมือของสิรดา เพื่อให้หญิงสาวยอมเปิดปาก
“จะต้องให้บอกกี่ครั้ง ว่าฉันเข้ามาทำความสะอาด แล้วก็ปล่อยมือฉันได้แล้ว” สิรดาพยายามสะบัดข้อมืออีกครั้ง แต่มือของคนตัวสูงใหญ่ก็จับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“จะปล่อยหรือไม่ปล่อย” สิรดากระชากเสียงถาม หน้าตาเอาเรื่อง
“เธอต้องการอะไร บอกมา”
“ได้...ฉันบอกก็ได้ ฉันต้องการทำอย่างนี้ยังไงล่ะ” สิรดาพูดเสียงโหดยังไม่ทันจบดี มือขวาข้างที่ว่างก็สวนเข้าไปที่ใบหน้าของคนที่จ้องจะเอาคำตอบ
ชามาล์รู้ทันเบี่ยงตัวหนี และอาศัยความชำนาญในการต่อสู้จับมือเล็กๆ ที่หมายจะชกหน้าตนเองไว้ พร้อมกับบิดข้อมือนั้นไปไขว้ไว้ที่ด้านหลัง ก่อนจะกระชากร่างของอีกฝ่ายเข้ามาแนบลำตัว และล็อกร่างนั้นไว้ด้วยพละกำลังที่มีเหนือกว่า
“โอ๊ย!” สิรดาหน้าตาเหยเก ดิ้นสะบัดร้องเสียงหลง “ปล่อยฉัน ปล่อยฉันนะ”
“ลอบกัด” ชามาล์พูดเสียงเหยียดใส่ร่างบอบบางที่กำลังจะหมดทางสู้
“ปล่อยฉัน เจ้านายฉันจะต้องไม่ชอบใจแน่ ถ้ารู้ว่าคุณคิดจะรังแกฉันในห้องทำงานของเขา” สิรดาเชิดหน้าพูดขู่ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด
“ฉันว่า...เขาน่าจะพอใจมากกว่า” ชามาล์ยิ้มเย็น เลิกคิ้วช้าๆ แล้วจ้องนิ่งไปยังใบหน้าแดงจัดของอีกฝ่าย ก่อนจะไล่สายตาลงไปมองความแนบชิดของกันและกันด้วยแววตาแพรวพราว
“ไอ้บ้า! ไอ้คนโรคจิต!” สิรดาตะโกนด่าเสียงดัง ดิ้นสะบัดอย่างแรงหวังให้หลุดจากสภาวะล่อแหลมที่ตนเองกำลังประสบอยู่ในขณะนี้
ชามาล์หน้าตึง กี่ครั้งแล้วที่ผู้หญิงคนนี้กล้าใช้ถ้อยคำแบบนี้กับเขา และครั้งนี้เขาคงไม่ปล่อยให้เจ้าหล่อนเดินลอยนวลหนีไปได้ง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาแน่ “เข้าไปอ่อยฉันถึงในห้องนอน ซ้ำยังกล้ามายั่วยวนฉันด้วยขาขาวๆ ของเธอ แล้วจะให้ฉันคิดว่าเธอมีเจตนาดีใช่ไหม”
สิรดาหน้าเหวอ อ้าปากค้าง เมื่อรู้ตัวว่าเมื่อสักครู่ในห้องนอนนั้น เธอไม่ได้อยู่คนเดียว
“ถึงกับพูดไม่ออกเชียวหรือ” ชามาล์แสยะยิ้ม ก้มหน้าลงไปจนใกล้ใบหน้าของสิรดา “พูดมา เธอต้องการอะไรกันแน่ หรือว่าอยากเสนอตัวให้ฉัน”
“ความคิดต่ำช้า” สิรดากัดฟันพูด เงยหน้าขึ้นจ้องมองผู้ชายตรงหน้าด้วยแววตากรุ่นโกรธที่โดนอีกฝ่ายดูถูก
“เธอ!” ชามาล์ตะคอกเสียงต่ำ ออกแรงรัดร่างอีกฝ่ายเข้ามาอีกจนแนบแน่นไปทั้งตัว
“ใครกันแน่ ที่เป็นคนอยากเสนอตัว” สิรดาทำเสียงเยาะ พูดโต้ตอบ “ฉันอยู่ของฉันดีๆ ก็มาจับตัวฉันไว้ แล้วไอ้ที่มากอดมารัดกัน ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหมายความว่าอะไร คุณน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ และฉันขอบอกคุณไว้ตรงนี้เลยว่า คุณไม่ใช่สเปกฉัน ไอ้หน้าขาวจั๊วะ ตาโตๆ จมูกโด่งๆ ปากบางๆ แบบนี้ ฉันไม่ชอบ หน้ามันเหมือนเกย์ จำเอาไว้ด้วย”
สิรดาได้ยินเสียงคำรามลั่นดังลอดออกมาจากลำคอของคนที่เธอปรามาสว่าไม่ใช่สเปก
“เธอกล้ามาก!” ชามาล์พูดเสียงลอดไรฟัน ก่อนจะก้มหน้าลงไปอีก จนจมูกแทบจดกับใบหน้าของคนที่ไม่ชอบคนตาโต จมูกโด่ง ปากบาง หน้าเหมือนเกย์
“จะ...จะ...ทำอะไร” สิรดาขืนตัวออกห่างจากใบหน้าของคนที่เธอบอกว่าไม่ชอบ
“ทำในสิ่งที่เธอไม่ชอบ” คำตอบนิ่มๆ เชือดใส่คนที่เหมือนตกอยู่ในอ้อมกอด ชามาล์ตั้งใจสั่งสอนหญิงสาวที่กล้าปากดีใส่เขา
“คนเลว รังแกผู้หญิงได้หน้าด้านๆ”
“ช่วยไม่ได้ เพราะผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาให้รังแกด้วยตัวเอง” จมูกคนพูดจดจ่ออยู่ที่แก้มนวลขาว ก่อนจะกดลงแรงๆ หนึ่งครั้ง เสมือนประกาศชัยชนะที่มีต่อฝ่ายตรงข้าม
สิรดาเบิกตาโตกับการกระทำของชายหนุ่ม และพยายามสะบัดหน้าดิ้นหนี พร้อมทั้งด่าสวนกลับอย่างไม่เกรงกลัว “ไอ้คนบ้า ไอ้คนฉวยโอกาส อย่าให้ฉันหลุดไปได้นะ ไม่อย่างนั้นนายตายแน่!”
“ฉันเป็นนักธุรกิจ ถ้าเธอถึงกับจะเอากันให้ตาย ฉันว่าฉันควรจะจัดการเธอให้หนัก เอาให้คุ้มดีกว่า” ชามาล์ออกแรงรัดร่างของสิรดาเพิ่มขึ้นอีก เสมือนเป็นการบอกอ้อมๆ ว่าการเอาให้คุ้มนั้นจะคุ้มแบบไหน
“ไอ้...ไอ้...ไอ้คน...” สิรดาโกรธจนพูดไม่ออก
“จะกลับเข้าไปในห้องนอน หรือในห้องนี้ดี” ปากคนพูดเลื่อนมาจ่อแถวเรียวปากอิ่มแดง ชามาล์มองหน้าคนที่ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำอย่างชอบใจ และยิ่งสะใจหนักยิ่งขึ้น เมื่อเห็นแววตาตื่นตระหนกในดวงตาคู่นั้น
“ไม่ตอบ แสดงว่าห้องไหนก็ได้ เธอไม่เกี่ยง” เขายิ้มร้ายกาจใส่ตาอีกฝ่าย
สิรดาหายใจแรง ดวงตาทั้งสองข้างเขียวปั๊ด จ้องกลับตาแทบถลน
“เอาเป็นฉันเลือกเอง ในห้องนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปเดินมา ยังไงซะ บทสรุปมันก็ไม่ต่างกัน” ชามาล์พูดเสียงเย้ย
สิรดาขบฟันแน่น ความโกรธพุ่งปี๊ดจนเกือบควบคุมสติไม่ได้ ดีที่เธอเคยรับมือกับเหล่าบรรดาเพื่อนผู้ชายปากเสียมานักต่อนัก จึงพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้
“วันนี้ฉันก็แค่เสียตัว แต่คุณในวันข้างหน้า...ตาย! คิดให้ดีก่อนลงมือแล้วกัน ถ้าคุณคิดว่าตลอดชีวิตนี้จะไม่เผลอก็เอาซิ ตามสบาย แต่จำไว้...ความตายจะมาเยือนคุณเร็วๆ นี้แน่!” สิรดาขู่เสียงเข้มจัด หน้าตาเอาจริงทำจริง
ชามาล์เลิกคิ้ว ภายในใจรู้สึกขบขันที่ตนเองถูกผู้หญิงคนหนึ่งขู่ใส่ ทั้งๆ ที่ปกติหญิงสาวทั้งหลายต่างยอมเต็มใจพลีกายให้เขา แม้เพียงช่วงคืนเดียวก็ตาม
“เรื่องเผลอฉันไม่เคยกลัว แต่ฉันกลัวจะมีคนติดใจมากกว่า” แววตาคนพูดแพรวพราว นึกสนุกไปกับการต่อล้อต่อเถียงที่ตนเองไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหน
สิรดาเม้มปากแน่น ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโต จ้องหน้าชายหนุ่มราวกับจะแผดเผาให้มอดไหม้
“เชื่อฉัน แล้วเธอจะติดใจ ชื่นชอบจนลืมว่าวันนี้เธอเคยพูดอะไรเอาไว้บ้าง” น้ำเสียงหยอกเย้ากระซิบชิดริมใบหูของสิรดา จมูกของคนกระซิบคลอเคลียอยู่แถวๆ แก้มนวลขาว
“ทนไม่ไหวแล้วโว้ย! ไอ้คนลามกตัณหาจัด! ตายซะ! อย่าอยู่ให้ตัวตัณหาล้นโลกเลยวะ!” หญิงสาวตะโกนก้อง สติแตกกระเจิง ออกแรงดิ้นสะบัดตัวอย่างสุดแรง แต่ไม่ว่าจะดิ้นหรือสะบัดด้วยแรงมากมายมากแค่ไหนก็ไม่สามารถหลุดจากวงแขนแข็งแรงที่จับกดติดแนบแน่นได้
“ปล่อยฉัน! ปล่อยซิวะ! ไอ้บ้า!” สิรดาหายใจฟืดฟาดเดือดระอุ
“เป็นผู้หญิงอะไร พูดจาไม่เพราะ” ชามาล์รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งร่างนุ่มนิ่มดิ้นไปมา ก็ยิ่งอารมณ์ดีไปกันใหญ่ “เห็นเธอผอมๆ ตัวบางๆ นึกไม่ถึงจะมีเนื้อมีหนังพอสมควร ค่อยยังชั่ว อย่างนี้ฉันจะได้ไม่ต้องฝืนใจมากนัก ดูแล้วเธอก็มีดีพอตัว”
“นายตาย...!” เสียงตะโกนดังลั่นห้อง สิรดาหูอื้อโมโหเดือด ก่อนจะอ้าปากกว้าง ก้มหน้าลงไปงับหัวไหล่ของคนปากเสียอย่างรวดเร็ว
“งั่ม!”
“ผู้หญิงบ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้!” ชามาล์ตวาดลั่น นึกไม่ถึงว่าตนเองจะมาเจอผู้หญิงบ้าที่กล้ากัดเขาแบบนี้
สิรดาไม่สนใจ ยิ่งได้ยินคู่แค้นบอกให้ปล่อย ปากก็ยิ่งออกแรงกัดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
“ปล่อย!” ชามาล์ตะคอกเสียงเข้ม
“มื่อ” สิรดาร้องตอบในลำคอ ปากยังกัดจิกแน่นไม่ปล่อยง่ายๆ
“ไม่ปล่อยใช่ไหม” ชามาล์ถามเสียงห้วนซ้ำอีกครั้ง
“มื่อ” คำตอบยังคงเป็นเสียงเดิม
ชามาล์คำรามลั่นในลำคอ ร่างสองร่างเริ่มนัวเนียพันตูเกยกันเป็นพัลวันจนแทบเกะไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายหนึ่งเลือดเข้าตา จ้องแต่จะกัดให้หายแค้นโดยไม่สนใครหน้าไหน ส่วนอีกฝ่ายได้รอยฟันที่ถูกจารึกไว้ที่ผิวเนื้อบนหัวไหล่เป็นของกำนัล พร้อมกับเสียงคำรามลั่นเกือบตลอดเวลา
ขณะที่เหตุการณ์ภายในห้องกำลังสับสนอลหม่าน จู่ๆ ประตูหน้าห้องก็เปิดออก ร่างเล็กๆ วิ่งตึงๆ เข้ามาโดยไม่สนใจว่าข้างในห้องจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
“พ่อครับ” เด็กชายตัวเล็กเรียกคนเป็นพ่อดังลั่น
ซาอิมที่เดินตามนายน้อยของตระกูลอัลบารอมเข้ามาถึงกับทำหน้าจืดเจื่อน หลังจากเห็นสภาพของเจ้านายตนเองกับหญิงสาวอีกคนภายในห้อง ซึ่งถ้าประเมินด้วยสายตา ช่วงเวลาเมื่อสักครู่น่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ธรรมดาขึ้น
ชามาล์ได้สติ รีบปล่อยมือพร้อมกับผลักร่างที่ตนเองกำลังกึ่งรัดกึ่งขยำให้ออกห่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงรีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนสิรดา แม้ในใจจะโล่งอกที่ตัวเองปลอดภัย แต่จากภาพแย่ๆ ที่เธอกับผู้ชายลามกเกาะติดกันอยู่ ทำให้หน้าถึงกับเห่อแดง และเริ่มออกอาการโมโหฟึดฟัด จ้องหน้าผู้ชายตรงหน้าอย่างแค้นๆ ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดก้าวถอยหลังไปยืนห่างๆ ด้วยสีหน้ารังเกียจ พร้อมกับแสดงท่าปัดเนื้อตัวสองสามครั้งตอกย้ำความรังเกียจให้เพิ่มมากขึ้น
คนถูกรังเกียจหน้าตึง สายตาคมตวัดมองร่างที่รีบถอยหนีด้วยแววตาเคืองๆ
สิรดาร้องหึ ไม่รีรอรีบพลิกสถานการณ์ขอตัวช่วย “คุณ...คุณ...ช่วยฉันด้วย นายคนนี้จะข่ม...” คำพูดของเธอขาดหายไปในลำคอ จากที่คิดจะขอความช่วยเหลือกลับต้องมาขวัญหายกันอีกรอบ เพราะผู้มาใหม่ก็เป็นลูกน้องของนายบ้ากามนั่น และถ้าสองคนนี้ร่วมมือกัน ชีวิตเธอในวันนี้คงต้องดับสูญไปแน่
“เล่นอะไรกันอยู่ครับพ่อ ถึงกอดกันแน่นขนาดนั้น” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นมา เด็กชายขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจที่เห็นพ่อของตนเองกำลังสนใจผู้หญิงคนอื่น
“ไม่ได้กอด แต่นายคนนี้กำลังคิดจะฆ่าฉันต่างหาก” สิรดาตอบคำถามของเสียงเล็กๆ แต่ครั้นก้มลงมองหน้าคนถามตรงๆ ก็พบกับความแปลกใจ
“โอ๊ะ...” เด็กชายร้องขึ้น หลังจากเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหญิงสาวที่กอดกับพ่อตนเอง
สิรดาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอเด็กชายที่นี่ แต่ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่มีติดตัว ทำให้เธอรีบขยิบตาเป็นสัญญาณรู้กัน และเริ่มรู้สึกว่าวันนี้น่าจะเป็นวันแห่งความหายนะของตนเอง หรือนั่นอาจจะเป็นผลกรรมที่เธอได้รับ จากการที่แอบเอายาถ่ายไปใส่ให้นางเพตรากิน
“ชาจีฟ ลูกมีอะไรหรือเปล่า” ชามาล์ถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
สิรดาแอบหมั่นไส้คนที่ปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วปานพายุ เพราะเมื่อสักครู่ยังคำรามดังลั่น ซ้ำยังตวาดเธอจนสะเทือนไปทั่วทั้งห้อง แล้วทีอย่างนี้กลับพูดเสียงทุ้มนุ่ม จนดูเหมือนคนอบอุ่นจิตใจดี ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ซาตานอวตารกลับชาติมาเกิดชัดๆ
“ไม่มีครับ” เด็กชายตอบเสียงใส แววตาเปล่งประกายดีใจ เหมือนเด็กที่กำลังสมหวังได้ของที่อยากได้มานาน
ชามาล์เลิกคิ้ว รู้สึกเหมือนลูกชายของเขามีท่าทีแปลกๆ ไป
“พ่อครับ” เด็กชายส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ “คนรับใช้คนนี้มาใหม่เหรอครับ”
ชามาล์พยักหน้า เหลียวไปมองหน้าคนรับใช้ที่มาใหม่ที่บัดนี้ถอยห่างออกไปไกล และถลึงตามองตอบอย่างอยากจะฆ่าเขาให้ตายคามือ
“ถ้าพ่อจะฆ่าเขา พ่อยกให้ชาจีฟแทนเถอะนะครับ” เสียงเด็กชายเว้าวอน แววตาละห้อยอยากได้
ชายหนุ่มถอนสายตากลับมามองหน้าลูกชาย รู้สึกแปลกใจเป็นทวีคูณ เพราะตามปกติลูกชายของเขามักแสดงกิริยาไม่ชอบใจผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาใกล้หรือมาพัวพันกับเขา แต่ผู้หญิงคนนี้ถึงกับทำให้ลูกชายของเขาเอ่ยปากขอดื้อๆ
“พ่อไม่ฆ่าคนรับใช้คนใหม่คนนี้หรอก ไม่มีเหตุผลที่พ่อจะฆ่าคนไม่มีความผิด ยกเว้นเสียแต่เขาคิดจะทำอะไรที่ไม่ดีต่ออัลบารอมของเรา” ประโยคสุดท้ายชามาล์จงใจเน้นเสียงเหี้ยม หวังให้คนที่ยืนห่างออกไปได้ยินด้วย
“ถึงจะมีเหตุผลก็จัดการไม่ได้ รู้จักคำว่ากฎหมายมั้ย คนทำผิดต้องให้รัฐใช้กฎหมายลงโทษ ไม่ใช่มาชี้ว่าผิดแล้วใช้กฎหมู่ลงโทษเอาเอง” สิรดาที่ได้ยินทุกคำพูดก็เถียงสวนทันที
เด็กชายทำตาโต เพิ่งเคยเห็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับพ่อของตนเอง “จริงหรือเปล่าครับพ่อ”
“จริงแน่นอน ถ้าทุกคนคิดจะตัดสินกันเอง โลกคงสับสน บ้านเมืองคงวุ่นวายพิลึก” สิรดาตอบแทน
เด็กชายพยักหน้าแรงๆ เป็นเชิงเข้าใจ ผิดกับคนเป็นพ่อที่ตวัดสายตาจ้องนิ่งไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่กล้าพูดสอดขึ้น
“แต่บางครั้งเราต้องกำจัดคนจุ้นจ้าน ไม่รู้จักกาลเทศะ เพื่อความสงบสุขในชีวิตของเรา” ชามาล์พูดเสียงเย็น
“ฮึ สอนลูกผิดๆ...” สิรดาเบ้ปากบ่นงึมงำ ก่อนจะเริ่มเอะใจ เมื่อเค้าลางบางอย่างกระแทกโดนใจเธออย่างจัง ชามาล์ อัลบารอม มีลูกชายหนึ่งคนชื่อชาจีฟ แล้วนายบ้ากามจิตต่ำคนนี้ก็มีลูกชาย ซ้ำยังชอบประกาศตัวว่าชื่อชามาล์ สิรดาเหงื่อแตกไปหมดทั้งตัว และพยายามนึกทบทวนชื่อของเด็กชายบนแผ่นกระดาษ
วันนี้มันช่างเป็นวันแห่งความหายนะซับซ้อนของแท้...สิรดาร่ำร้องตะโกนในใจอย่างคนหมดอนาคต แผนการของเธอพังยับเยินไม่เป็นท่า เธอคงต้องโดนไล่ออกตั้งแต่วันแรกของการทำงาน ในตอนนี้หญิงสาวไม่คิดสนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากรีบลงมือคว้าความหวังสุดท้ายที่จะทำให้ตนเองไม่โดนไล่ออก ด้วยการมอบรอยยิ้มเรี่ยราดให้แก่บุคคลที่อยู่ภายในห้อง โดยเฉพาะเขา... ชามาล์ อัลบารอม ตัวจริง
“รู้แล้วใช่ไหม ว่าฉันเป็นใคร” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของชามาล์ตัวจริงเอ่ยถามช้าๆ หมดเวลาล้อเล่นอีกต่อไป
สิรดาพยักหน้างึกๆ ส่งยิ้มจืดเจื่อนสู้ไม่ถอย เธอต้องทำหน้าด้านหน้าทนเข้าไว้ เพื่อแผนการ เพื่อชาติ เพื่อความอยู่รอด
“ฉัน! ไล่! เธอ! ออก!”
ความคิดเห็น |
---|