4

บทที่ ๔

บทที่ ๔

 

แวะส่งภรรยากับลูกเรียบร้อย ไผทก็มุ่งหน้าไปที่ออฟฟิศของวิศรุต เพื่อนสนิทผู้ร่วมก่อตั้งแลนด์สเคป ดีเวลอปเมนต์ หลังผลการดำเนินงานของแลนด์สเคปฯ เป็นไปอย่างก้าวกระโดด วิศรุตตัดสินใจขายหุ้นเกือบทั้งหมดให้ไผทและเปิดบริษัทรับตกแต่งภายในเพื่อรองรับงานให้ครอบคลุมทุกด้าน ผ่านมาสามปีบริษัทของวิศรุตยังคงก้าวต่อไป ต่างกับแลนด์สเคปฯ ที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ วิศรุตแทบไม่เชื่อหูในวันที่เพื่อนรักโทร. มาบอกข่าวร้าย ทิศทางคอนโดใจกลางเมืองอาจชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจ แต่บ้านจัดสรรตามต่างจังหวัดไม่น่าส่งผลกระทบกระเทือนขนาดต้องปิดบริษัท หรือบางทีเขากับไผทอาจฝืนกระโดดในขณะยังเดินไม่คล่อง

อดีตหุ้นส่วนเป็นชายรูปร่างสันทัด ผิวขาวค่อนไปทางเหลือง ท่าทางเฉลียวฉลาด ดวงตาเรียวเล็กและคิ้วหนาดกแอบอยู่หลังกรอบแว่นกลมใส หนวดที่ผ่านการโกนจนเขียวครึ้มทำให้หน้าที่ดูอ่อนเยาว์ขรึมขึ้น วิศรุตเป็นเพื่อนสนิทของไผท ทั้งคู่จบจากมหา’ลัยเดียวกัน เริ่มทำงานที่เดียวกัน ร่วมก่อตั้งบริษัทมาด้วยกัน และยังเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้าช่วยในขณะที่คนอื่นพากันรุมทึ้ง

เมื่อทราบสาเหตุที่เพื่อนสนิทมาเยือนถึงออฟฟิศ วิศรุตต้องย่นคิ้ว “ญาติเกนเนี่ยนะช่วยแก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ”

“เออ ฉันก็ยังแปลกใจอยู่”

“คงไม่ใช่แม่ยายสุดที่รักของแกใช่ไหม”

“แกก็พูดไม่คิด รายนั้นต่อให้เอาเงินมากองตรงหน้าฉันก็ไม่รับหรอกเว้ย เออ รุต เรื่องเงินฉันไม่ต้องยืมแกแล้วนะ”

“ก็ดีแล้ว แต่แกห้ามแคนเซิลงานนะ ฉันเสนอราคาไปเรียบร้อย เห็นบอกว่าจะเซ็นกลับมาภายในวันสองวันนี้ละ พูดก็พูดเถอะ ลูกค้ารายนี้นอกจากกระเป๋าหนักแล้วยังสวยอีกต่างหาก บ้านทำธุรกิจค้าเพชร มีโรงงานอยู่แถวพระรามสอง ที่สำคัญยังโสดด้วยนะเว้ย เห็นแล้วอยากมีครอบครัวขึ้นมาเลย เฮ้ยๆ แต่แกห้ามนะ ฉันไม่อยากถูกเกนแหกอกเอา” วิศรุตพูดติดตลก

“ฉันไม่สนหรอก แล้วนี่ต้องเข้าไปคุยกับเขาเมื่อไหร่ พอดีอาทิตย์นี้ฉันอาจจะยุ่งๆ เรื่องย้ายข้าวของ ยังแปลกใจอยู่ คุณลุงของเกนดันมีเงื่อนไขแปลกๆ อยากให้ฉันกับเกนย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น”

“บ้านที่เขาจ้างแกรีโนเวตน่ะเหรอ มันจะอยู่ได้เหรอวะ” วิศรุตสงสัย

“ว่างๆ แกต้องเข้าไปดู เดี๋ยวแชร์โล’ ให้ สภาพดีมากอยู่แถวสี่พระยา ฉันเห็นครั้งแรกก็ถูกใจเลยว่ะ นี่ถ้ามีเงินว่าจะลองแย็บๆ ดูเผื่อเขาจะขาย”

“ระวังไว้บ้างนะเพื่อน”

ไผทขมวดคิ้ว “ระวังอะไรวะ”

“ลองคิดดูสิบ้านโบราณใจกลางเมืองแต่กลับไม่มีคนอยู่ บางทีอาจจะมีอย่างอื่นอยู่ก็ได้นะโว้ย” วิศรุตกดเสียงต่ำ ถลึงตามอง

“อะ...ไอ้บ้ารุต แกก็พูดไปเรื่อย”

วิศรุตฉีกยิ้ม หัวเราะร่วน “ก่อนด่าฉันแกน่าจะได้เห็นหน้าตัวเองนะ ซีดเป็นไก่ต้มเลยว่ะ”

 

ข้าวของที่จำเป็นถูกนำมารวมอยู่กลางบ้าน เป็นสัมภาระของวินน์เสียส่วนใหญ่ ช่วยไม่ได้ที่เสี้ยวหนึ่งของหญิงสาวซึ่งถูกฟูมฟักมาตั้งแต่เกิดอย่างเกนนิษฐาคิดว่าชีวิตช่วงนี้ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ก็ตัดความคิดนั้นออกจากหัวก่อนลุกลามไปไกล

หันมองลูกชาย ความซุกซนของวินน์ทำให้แม่บ้านอย่างบัวปวดหัวตามเคย เกนนิษฐาฉุกนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนสาย และยังติดค้างในใจจนถึงตอนนี้ ลูกชายของเธอไม่ใช่เด็กขี้กลัวและยังห่างไกลจากคำว่าขี้อาย วันแรกที่ต้องไปโรงเรียน ในขณะที่เด็กๆ คนอื่นน้ำตารินอาบแก้มไม่ยอมห่างพ่อแม่ วินน์กลับเริงร่าในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เสริมทักษะ หรือครั้งหนึ่งคุณครูประจำชั้นเคยโทร. มาแจ้งข่าวที่ทำให้เกนนิษฐาใจเสีย เธอบอกว่าวินน์วิ่งหกล้มจนเลือดกบปาก แทนที่จะร้องเด็กน้อยกลับยิ้ม จนบางครั้งคนเป็นแม่ก็แอบคิดว่าลูกของตนเข้มแข็งเกินไป ดังนั้นอย่างน้อยเหตุการณ์เมื่อช่วงสายก็ทำให้รู้ว่าลูกชายร้องไห้เป็น

คืนนั้นกว่าสามีและลูกจะหลับก็เกือบสี่ทุ่ม เกนนิษฐาสำรวจของใช้ส่วนตัวที่ต้องนำไปบ้านหลังใหม่อีกครั้งก่อนเข้านอน หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าเงื้อมเงาอันลี้ลับกำลังกล้ำกรายในทุกราตรีนับจากนี้

 อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ ชายสูงวัยกำลังละเลียดบรั่นดีอย่างสุขสมอยู่บนเก้าอี้นวดไฟฟ้า เวียงมักใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้านอนฝังตัวอยู่บนเก้าอี้บุนวมที่บีบคลึงได้เสมือนมีชีวิตตัวนี้ จากนั้นหลับตาปล่อยอารมณ์โจนทะยานสู่ห้วงมืดไร้ขอบเขต ความสุขเล็กๆ บนโลกฟอนเฟะของชายวัยหกสิบคือหวนสู่อดีตอันขมขื่น แต่ถึงขมขื่นก็สุขซ่าน เขาเผลอยิ้มทั้งที่เปลือกตายังแนบชิด แต่ก็หุบยิ้มแทบทันทีที่โทรศัพท์สั่นกึกกักขัดช่วงเวลาพักผ่อน คราแรกคิดว่าเป็นสายด่วนจากลูกน้องคนสนิท ครั้นหยิบดูพบว่าไม่ใช่ เขารีบกดรับ

“สวัสดีครับ” หลังจากเอ่ยทักทายเวียงไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากคำว่าครับ สลับพยักหน้า บทสนทนาสั้นๆ ไม่เกินครึ่งนาทียุติลงเมื่อเวียงพูดว่า “รับทราบครับ ผมจะรีบจัดการให้ทันที”

หลังวางสายเวียงกระดกบรั่นดีที่เหลือก้นแก้วจนหมดแล้วโทร. หาใครอีกคน

 

“ใช่...เลี้ยวเข้ามาเลยครับ อยู่ท้ายซอย” ไผทวางสายพนักงานขนของ แล้วเดินตามทุกคนเข้าไปในบ้านโบราณบนพื้นที่กว่าร้อยตารางวา 

มารินทร์อ้าปากค้างเมื่อเห็นครั้งแรก แม้กระทั่งวิมวัชร์ยังมิวายทึ่ง เขาไปหยิบกล้องในรถ ลั่นชัตเตอร์เก็บความวิจิตรของเรือนหลังงามไปหลายสิบรูป ไผทเห็นจึงเดินมาสมทบ

“เป็นไงก้อง”

“โห สวยมากครับพี่ ไม่น่าเชื่อว่ายังมีบ้านโบราณสภาพดีขนาดนี้อยู่ก้นซอย”

“พี่ก็แปลกใจเหมือนกัน สงสัยพวกพลชีวันจะเส้นใหญ่พอตัว ไม่งั้นบ้านหลังนี้ได้ตกเป็นของหลวงตั้งแต่เจ็ดแปดสิบปีก่อนแล้ว”

“อืม...ถ้าได้จัดงานที่นี่คงดีแฮะ” รำพึงกับตัวเองเบาๆ ไฮโซหนุ่มวาดฝันถึงวันวิวาห์ระหว่างตัวเองกับมารินทร์ แต่คงเบาไม่พอ ไผทถึงหันมามองตาขุ่น

“จัดงาน? งานอะไรวะก้อง”

“เออ งะ งาน...ก็งานทำบุญบ้านไงครับ ถึงจะมาอาศัยชั่วคราว แต่เราก็ควรทำบุญให้เจ้าที่เจ้าทางนะพี่”

วิมวัชร์พยายามกลบเกลื่อน ไผทก็พยายามซ่อนยิ้ม...

บ้านพลชีวันสร้างขึ้นแบบผสมผสานในยุคที่ความเจริญทางสถาปัตยกรรมตะวันตกกำลังลามไหลเข้าสู่ประเทศ โครงสร้างเป็นเรือนประยุกต์สูงสองชั้นมุงกระเบื้องว่าว มีกลิ่นอายวิกตอเรียแซมอยู่ตามเสา วงกบหน้าต่าง และแนวคิ้ว ด้านหน้ามีสนามหญ้าขนาดพอเหมาะ รายล้อมตัวบ้านด้วยไม้ใหญ่อย่างมะฮอกกานี มะเดื่อ มะขาม รวมถึงชมนาด เมื่อเข้ามายืนอยู่ในอาณาบริเวณเหมือนถูกตัดขาดจากความวุ่นวายภายนอก ทุกคนต่างชื่นชมความงาม ยกเว้นเกนนิษฐาเพียงคนเดียว

แรกย่างเท้าเข้ามาหญิงสาวใจเต้นแรงพิกล ลำคอตีบตัน ผ่อนลมหายใจไม่คล่องอย่างเคย พยายามคิดว่าเป็นเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้

ความวังเวงก่อตัวเมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน เธอไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้

เดินสำรวจห้องหับ ชั้นล่างแบ่งเป็นสัดส่วน ห้องรับแขกติดกับห้องทำงาน เยื้องไปทางปีกขวาของอาคารเป็นห้องนอนใหญ่ ถัดไปเป็นห้องเก็บของ และตรงข้ามคือห้องอาหาร บันไดไม้สักทอดตัวสูงสู่ชั้นสองที่มืดสนิท

ความอยากรู้สั่งให้นักสำรวจสาววางเท้าบนบันไดทีละขั้น บางขั้นลั่นรับเสมือนไม่ผ่านการใช้งานเป็นเวลานาน

เอี๊ยด...

ทั้งที่ยังไม่สิบโมงเช้าแต่บรรยากาศที่ชั้นสองมืดมิดอย่างกับกลางคืน เหตุเพราะหน้าต่างทุกบานปิดสนิทและคลุมทับด้วยผ้าสีดำ เกนนิษฐาใช้สมาร์ตโฟนต่างไฟฉายเพ่งหาสวิตช์ไฟ กวาดตาอยู่อึดใจเห็นว่าฝังตัวบนเสาปูนห่างไปในระยะสามก้าว ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวแรก เธอได้ยินเสียงอึกอักคล้ายคนกลืนน้ำดังมาจากด้านหลัง

หญิงสาวพุ่งตัวไปสับก้านสวิตช์ แล้วตัดสินใจหันกลับไปมอง ขณะที่ดวงไฟซึ่งไม่เคยเปิดใช้งานติดๆ ดับๆ เกนนิษฐาเห็นเงาดำรูปร่างคล้ายมนุษย์ย่างเท้าเข้ามาช้าๆ ดวงตาแดงก่ำจดจ้อง เธอตกใจร้องเสียงดัง

“กรี๊ด!”

ไผทวิ่งพรวดจากชั้นล่างขึ้นมาตามเสียงร้อง เห็นภรรยาทรุดตัวอยู่กับพื้นก็เข้าไปถามด้วยความตกใจ “เกน เกิดอะไรขึ้น!”

หญิงสาวละล่ำละลั่ก “เกนเห็น...”

“เห็น? เห็นอะไร” ไผทกวาดตามองไปรอบๆ ไม่มีความผิดปกติใดนอกจากตู้ไม้เก่าๆ สองตู้ สูงเหนือตู้มีกรอบรูปที่ไร้รูปติดอยู่บนผนัง

มารินทร์กับวิมวัชร์วิ่งตามติดขึ้นมาสีหน้าตื่น

“พี่เกนเป็นอะไร” มารินทร์ทิ้งตัวลงข้างๆ

หัวใจเต้นตึ้กตั้กเหมือนจะทะลุออกจากอก เกนนิษฐาปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ชะเง้อมองข้ามไหล่สามีไปยังตู้โชว์โบราณ...ไม่มีอะไรอยู่บริเวณนั้น หรือบางทีสิ่งที่เห็นอาจเป็นเงาตัวเองที่สะท้อนกระจก และดวงไฟสีแดงคล้ายดวงตาคู่นั้นเกิดจากลำแสงตกกระทบ หญิงสาวสูดลมหายใจลึก และเลือกที่จะส่ายหน้า

“ไม่มีอะไรจ้ะ พี่คงตกใจเงาตัวเองที่สะท้อนในกระจก”

“โธ่ ขวัญอ่อนจริงๆ แม่คุณเอ๊ย” วิมวัชร์ยียวน

มารินทร์ได้ยินชายหนุ่มพ่นคำก็เปลี่ยนบทบาทจากน้องสามีเป็นองครักษ์สาว

“นี่ๆ ใครถามความเห็นนายไม่ทราบ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” หญิงสาวกวาดสายตาสำรวจ ห้องทุกห้องถูกล็อกไว้ด้วยแม่กุญแจอันโต “ถ้าไม่มีอะไรเราลงไปข้างล่างกันเถอะพี่เกน บนนี้มันหลอนๆ ยังไงไม่รู้”

ไผทโคลงหัวก่อนเดินตามภรรยาและน้องสาวลงไปชั้นล่าง วิมวัชร์อมยิ้ม เขาชอบเวลาที่มารินทร์เหน็บแนม เพราะทำให้รู้สึกว่าเธอให้ความสำคัญ

ก่อนก้าวตามลงไปชายหนุ่มชะงักฝีเท้า ตัดสินใจยกกล้องเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกหลายใบ...

 

พนักงานขนของทยอยลำเลียงข้าวของเข้ามาในบ้าน กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่พิเศษสามใบใส่เสื้อผ้าสองแม่ลูกจนเบียดแน่น ไม่นับของเล่นเสริมทักษะที่ช้องเหมามาให้หลานรักอีกพะเรอเกวียน ที่เหลือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านพักตากอากาศกลางกรุงหลังนี้ไม่มีบริการ เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร ชุดคอมพิวเตอร์พร้อมเครื่องพิมพ์แบบยี่ห้อฮิวเลตต์ แพคการ์ด และอุปกรณ์ส่วนตัวของไผทซึ่งบรรจุใส่กล่องเหล็กใบใหญ่

สถาปนิกหนุ่มสั่งให้ขนของเข้าไปในห้องนอนใหญ่ชั้นล่าง คาดว่าเขาและครอบครัวต้องอยู่ในบ้านหลังนี้อย่างน้อยห้าสัปดาห์ หรือช้าสุดไม่เกินสองเดือน อันที่จริงงานซ่อมแซมเก็บสีและปรับภูมิทัศน์รอบบ้านให้เป็นสวนสวยใช้เวลาไม่เกินสามสัปดาห์ อย่างไรก็ตามไผทคิดว่าต้องไล่เช็กห้องหับต่างๆ ให้ละเอียด โดยเฉพาะชั้นสองที่ยังไม่มีเวลาตรวจสอบ เมื่อคิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็หันกลับไปมองภรรยาสาวที่นั่งหน้าซีดอยู่ที่โต๊ะรับแขก

“คุณครับ” เสียงพนักงานคนหนึ่งเรียก “ให้เอาคอมกับพรินเตอร์ไว้ตรงไหนครับ”

“เอ่อ...เอาไปไว้ในห้องนั้นก่อนละกัน” ไผทเดินนำเข้าไปห้องทำงาน ภายในตกแต่งไว้อย่างสวยงาม โต๊ะไม้สักสีเข้มตัวใหญ่วางอยู่กึ่งกลาง ด้านหลังเป็นตู้โชว์สูงชิดเพดาน ภายในมีเครื่องเบญจรงค์ เครื่องกระเบื้องลายคราม ม้าสำริดตัวใหญ่สูงฟุตเศษ แต่ที่เด่นสะดุดตาเมื่อก้าวเข้ามาในห้องคือภาพวาดสีน้ำมันที่แขวนอยู่บนผนัง ภาพพระยาพิทยบริบาลในเครื่องแบบข้าราชการเต็มยศ พระยาพิทฯ มีผิวกร้านแดดอมแดง ใบหน้าเล็กแต่โหนกแก้มค่อนข้างใหญ่ หนวดเป็นแพทำให้แลน่าเกรงขามทั้งที่เป็นคนรูปร่างสันทัด แม้เป็นเพียงภาพวาด แต่สัมผัสได้ถึงยศถาบารมี

ขณะพิเคราะห์ชายสูงวัยจากปลายพู่กัน ไผทได้ยินเสียงโครมใหญ่ดังมาจากด้านนอกจึงวิ่งออกมาดู เห็นพนักงานสองคนยืนหน้าเสีย ข้างๆ กันมีเครื่องซักผ้าฝาหน้ากองอยู่บนพื้น มุมด้านหนึ่งทะลุเข้าไปในพื้นปาร์เกต์

“ขอโทษครับ พอดีน้องเขาเสียหลักก็เลย...” คนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ารีบออกรับ ส่วนอีกคนเป็นวัยรุ่นยืนหน้าเซียว เหมือนไร้เลือดขึ้นไปหล่อเลี้ยง สะบัดหัวและกะพริบตาหลายครั้งก่อนยกมือไหว้ปลกๆ

 “อะๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมซ่อมเอง” ไผทตัดบท “คราวหน้าคราวหลังก็ระวังหน่อยนะน้อง”

หลังพนักงานยกเครื่องซักผ้าออกไปแล้ว ไผทงัดแผ่นไม้ที่ชำรุดออก แรงกระแทกไม่เพียงทำให้ปาร์เกต์แตกหัก ผิวปูนข้างใต้ก็เป็นรอยร้าว ไผทกะเทาะซีเมนต์ขนาดเท่ากำปั้นทารกออกมาจากพื้นผิว เห็นบางอย่างอยู่ก้นหลุม บางอย่างที่สะดุดตาจนเขาต้องก้มมอง

สิ่งนั้นคือด้ายสีแดงยาวประมาณครึ่งนิ้ว

คิ้วเขาขมวดเป็นปมเหนือดวงตา รอยแตกไม่ตรงตำแหน่งสำคัญที่เกี่ยวพันกับความเชื่อของคนโบราณ มิหนำซ้ำยังตื้นเกินกว่าจะฝังมวลสารหรือวัตถุมงคล

“มีอะไรเหรอพี่ดิน” มารินทร์ชะโงกมองจากด้านหลัง

ไผทไม่ตอบคำถาม จ้องอยู่ครู่ใหญ่ก่อนตัดสินใจจับปลายด้ายแล้วออกแรงกระตุกเบาๆ  ด้ายสีแดงขาดผึงติดมือ ชั่วพริบตาบางอย่างแล่นวาบเข้ามาในหัว...

ภาพสตรีนั่งหันหลังอยู่ในห้องมืดทึม ไหล่ขาวเปลือยของเธอคลุมไว้ด้วยแพรสีแดงฉาน เลือดไหลอาบแผ่นหลัง ย้อมผมสยายกลายเป็นสีแดง!

 

นายทหารวัยเกษียณนายหนึ่งออกมาเดินรับลมอยู่นอกบ้าน ใช้ไม้เท้าพยุงร่างเดินเตาะแตะขึ้นไปยังชั้นสอง เขาพาร่างไปนั่งเก้าอี้โยกตัวโปรดริมระเบียง บรรยากาศช่วงค่ำหวนให้นึกถึงความทรงจำสมัยยังฉกรรจ์กว่านี้ ทอดตามองฟ้าในวันที่ถูกตึกสูงทับซ้อน ย่านนี้เปลี่ยนแปลงไปมากจากวันที่เข้ารับราชการประจำกรมทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ตามอย่างบรรพบุรุษ โชคดีพื้นที่บริเวณนี้ยังไม่ถูกแปรสภาพเป็นคอมมูนิตีมอลล์หรือคอนโดกลางกรุงไปเสียหมด

ออกแรงเล็กน้อยเก้าอี้โยกตัวโปรดเริ่มทำงาน แต่โยกไปมาได้สักพักคนนั่งก็ขืนให้หยุด ทิวทัศน์เบื้องหน้าต่างไปจากเดิม ก้นซอยที่เคยมืดสนิทมีแสงสว่างพราวเป็นหย่อมเล็กๆ กระจายอยู่ ดวงตานายทหารนอกราชการเบิกค้าง ขนทั่วร่างลุกชัน คืนสุดท้ายที่บ้านหลังนั้นส่องสว่างเกิดเหตุสุดสะพรึงโจษจันไปทั่ว

เขากลับเข้าบ้าน ปิดประตูแน่นหนา พยายามข่มตาหลับ แต่กลับพบว่าทำได้ยาก

 

บรรยากาศท้ายซอยยามค่ำสงบเงียบ ลมเยือกปลายฤดูฝนหอบดอกชมนาดขาวหม่นหล่นเกลื่อนแปลงหญ้า กลิ่นหอมรวยรินฟุ้งไปทั่ว ดวงไฟที่ประดับตามขอบรั้วหัวเสาส่องสว่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ซ้ำยังเป็นครั้งแรกในรอบค่อนศตวรรษที่มีผู้อาศัยใต้ชายคาเรือนพลชีวันหลังตะวันตกดิน

บริเวณห้องรับแขก เกนนิษฐานั่งทำงานอยู่เงียบๆ โทรทัศน์เก่าที่ตั้งบนชั้นสูงยังใช้งานได้ปกติ เสียแต่ว่าภาพที่อยู่หลังจอแก้วเป็นขาวดำ ดูไม่เข้ากันกับข่าวพยากรณ์อากาศที่เต็มไปด้วยสเปเชียลเอฟเฟกต์ เธอละสายตาจากคอมพิวเตอร์เหลือบมองทีวีเมื่อได้ยินผู้ประกาศสาวรายงานว่ากรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเข้าสู่ฤดูหนาวเร็วกว่าปกติ เธอยิ้ม 

กรุงเทพมีหน้าหนาวด้วยเหรอ

ขณะถอดแว่นตาวางบนแผงคีย์บอร์ดนวดคลึงดวงตา แม่บ้านก็ยกถาดของว่างเข้ามาเสิร์ฟ

“ของว่างค่ะคุณเกน”

“ขอบใจมากบัว อื้ม น้องวินน์หลับไปแล้วเหรอ”

“หลับไปตะกี้เองค่ะ” แม่บ้านชาวพม่าวัยยี่สิบต้นตอบกลับ

“งั้นบัวก็ไปนอนเถอะ ฉันจะนั่งทำงานอีกพักหนึ่ง อ้อ ก่อนนอนอย่าลืมปิดประตูหน้าต่างให้เรียบร้อยล่ะ” กำชับเสร็จก็มุ่งความสนใจไปที่บทความซึ่งเขียนค้างอยู่ แต่เมื่อเห็นบัวยังนั่งอยู่ท่าเดิมก็แปลกใจ “มีอะไรรึเปล่า”

แม่บ้านสาวขยับตัวเข้าใกล้ หันรีหันขวางผิดบุคลิกส่วนตัวซึ่งเป็นคนนิ่งๆ

“หนูก็บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ แค่รู้สึกว่า...”

“รู้สึก? รู้สึกอะไรเหรอ”

บัวอึกอัก “ปละ...เปล่าค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วบัวขอตัวก่อนนะคะ”

ฝ่ายนายจ้างโคลงหัวน้อยๆ หลังแม่บ้านเดินลับเหลี่ยมห้องจึงบรรจงจิ้มนิ้วบนคีย์บอร์ดอีกครั้ง งานอดิเรกของเธอคือการเป็นที่ปรึกษาด้านดิจิทัลมีเดีย เวลาว่างเพียงสองสามชั่วโมงสร้างเม็ดเงินให้เธอไม่น้อยกว่าพนักงานประจำทั่วไป ทว่าตั้งแต่หัวค่ำจนนาฬิกาโบราณกลางบ้านบอกเวลาสี่ทุ่ม งานกลับไม่คืบเท่าที่ควร ใจของเธอหวิววาบ ความรู้สึกผิดแผกเกิดขึ้นเมื่อย่างเท้าเข้ามาใต้ชายคาแห่งนี้ หรือบางทีความอ่อนเพลียทางกายอาจส่งผลต่อจิตใจ

เกนนิษฐารามือจากงานที่ค้าง พับแลปทอปแล้วลุกไปปิดทีวีโบราณ เมื่อนั้นบ้านทั้งหลังก็เงียบสงัด

สำรวจบ้านใหม่ด้วยสองตา มันทั้งเงียบและวังเวงจนไม่น่าเชื่อว่าอยู่กลางกรุง ความมืดเข้าครอบคลุมเมื่อปิดไฟ ภาพทุกอย่างในสายตากลายเป็นสีดำ เกนนิษฐาพาร่างสะโอดสะองไปตามทางสลัว ตรงไปยังห้องนอนชั้นล่างที่อยู่อีกฝั่งของโถงใหญ่ แสงจันทร์ซีดที่ทอผ่านหน้าต่างและม่านลูกไม้สะกดให้หญิงสาวต้องหยุดยืนเขม้นมองแสงรำไรที่ลอดเข้ามาในตัวบ้านด้วยความแปลกใจ

ละอองที่ควรเป็นสีเหลืองกลับเป็นสีแดง

ไม่ทันได้คิดอะไรต่อก็มีเสียงแว่วเข้ามาในโสต เสียงนั้นดังมาจากมุมมืดบริเวณบันได คล้ายคนเดินลงส้น

ตึ้ก...ตึ้ก...ตึ้ก

สมองสั่งให้ถอยหลัง แต่ความสงสัยกระตุ้นให้ก้าวย้อนกลับไปทางเดิม โถงกลางบ้านไม่ต่างจากตอนที่เธอเดินออกมาเมื่อสักครู่ เว้นเสียก็แต่เสียงบางอย่างที่ดังมาจากชั้นบน

หลอดไส้คายแสงสีส้มนวลอีกครั้ง แต่ความสว่างสาดถึงแค่ชานพักบันได ถัดจากนั้นเงื้อมทะมึนย้อมทุกส่วนของชั้นสองให้กลายเป็นสีดำสนิท เกนนิษฐาหยุดยืนตรงชานพัก ใช้สายตาสำรวจ ท่ามกลางความมืด เธอเห็นแสงไฟแดงเรื่อสองจุดเล็กขนาดเท่าเถ้าไฟจากปลายธูปสะท้อนมาจากบางสิ่งที่กำลังพ้นเหลี่ยมเงา เกนนิษฐาตาเบิกโพลงขณะจ้องเท้าใครบางคนที่อยู่สูงกว่า ทันทีที่กระทบแสงไฟ เท้าคู่นั้นก็กลายเป็นเงาดำ เดินกึ่งวิ่งพุ่งเข้าหา!

นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เกนนิษฐาเห็น กลางมวลมืดอนันต์หญิงสาวได้ยินเสียงก้องในหู

“กูรอวันนี้มานานแล้ว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น