5

บทที่ ๕

บทที่ ๕

 

ละอองสีแดงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นส้ม ขับความมืดรอบนัยน์ตาออกจนหมด เพดานสีครีมปรากฏอยู่เบื้องหน้าตัดกับหน้าต่างและประตูโทนเขียวตอง  สำเนียงแปร่งหูแว่วอยู่ใกล้ๆ ฟังดูอลหม่านวุ่นวาย เกนนิษฐายันตัวลุกจากเตียงไม้แข็งกระด้างหันไปมองฟ้าสีครามไม่คุ้นตา ลืมไปสนิทใจว่าไม่ได้นอนหลับใต้ชายคาเดิม เธอกับครอบครัวย้ายมาอยู่บ้านพลชีวันชั่วคราว อย่างไรก็ตามกลับรู้สึกว่าเตียงในห้องนอนเล็กผิดปกติ

สะบัดหน้าไล่ความง่วงซึมรู้สึกปวดหนึบที่หลังศีรษะ มองหานาฬิกาเป็นลำดับแรก เมื่อไม่เห็นจึงควานหาโทรศัพท์มือถือเป็นลำดับถัดไป แต่ของทั้งสองชิ้นกลับไม่อยู่ใกล้ตา หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ในห้องแคบๆ ที่ไร้ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ห้องนี้ 

เสียงเคาะประตูขัดห้วงคิด ครั้นเกนนิษฐาลุกขึ้นไปเปิดต้องเจอเรื่องฉงนอีกหน ประตูห้องไม่ได้ล็อกด้วยกลอนหรือลูกบิด แต่ขัดด้วยสลักขนาดไม้หน้าสาม เธอยกออกและเปิดประตู พบหญิงสาววัยกลางคนรูปร่างท้วม ดวงหน้ารูปไข่อิ่มเอิบ เธอพยายามตีหน้าดุ แต่เกนนิษฐารู้สึกว่าเป็นความถมึงทึงที่พยายามปรุงขึ้น

“ทำไมตื่นสายแบบนี้ ฮึ” หญิงคนนั้นเปิดหัวข้อสนทนา

เกนนิษฐาย่นคิ้ว “คุณพูดอะไร แล้วคุณเป็นใคร เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ยังไง”

“พอๆ หยุดพูดจาเหลวไหลซะที รีบไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงไปช่วยงานเร็วเข้า เตี่ยเขาถามหาหลายรอบแล้ว นี่ถ้ารู้ว่าลูกเพิ่งตื่นประเดี๋ยวก็บ้านแตกกันเท่านั้น”

“เตี่ย? เตี่ยไหน” หญิงสาวแปลกใจ พ่อของเธอจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว

“เอ...ลูกคนนี้ แม่ไม่เล่นด้วยแล้ว รีบๆ อาบน้ำแล้วลงไปเร็วๆ” บทสนทนายุติเมื่อประตูปิดปึงใส่หน้าเกนนิษฐา

“ลูก?...แม่? เฮ้ย เดี๋ยวสิ กลับมาคุยกันก่อน” เกนนิษฐาพุ่งเข้าใส่ แต่ประตูบานนั้นเป็นแบบรั้งเข้าหาตัว ผลคือหน้าผากกระแทกประตูโครมใหญ่

“โอ๊ย!”

หญิงสาวทรุดฮวบลงกับพื้น ค่อยๆ เอื้อมมือไปดึงประตูพร้อมกับมองออกไป สิ่งที่ปะทะสายตาคือผนังสีเขียวตองกับทางเดินแคบๆ ประมาณหนึ่งเมตร ความแปลกใจถาโถมเข้าใส่ เธอแน่ใจว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านศุภานุรักษ์ ไม่ใช่บ้านสามี และซอมซ่อเกินกว่าบ้านพลชีวัน แต่กระนั้นกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ส่วนลึกในใจบอกว่าถ้าเดินไปทางขวาจะพบระเบียงเล็กๆ และถ้าไปทางซ้ายจะพบบันไดพาลงสู่ชั้นล่าง ทว่าที่แปลกยิ่งกว่าคือภายในสมองดูขุ่นมัว และความขุ่นมัวนั้นบดบังความเป็นเหตุเป็นผลที่มนุษย์พึงมี เกนนิษฐาลุกขึ้นยืน หันไปมองท้องฟ้าที่ถูกจำกัดอยู่ภายในกรอบวงกบ ค่อยๆ ก้าวไปจนถึงหน้าต่าง ทิ้งสายตาลงด้านล่าง เสียงจอแจจับศัพท์ไม่ถนัดดังมาจากกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กำลังแบกกระสอบป่านเรียงเป็นแถว ความประหวั่นเพิ่มพูนเมื่อแลสูงขึ้นไปเจอแม่น้ำเจ้าพระยากว้างใหญ่เต็มตากว่าทุกครั้งที่เคยเห็น ทั้งยังไม่มีตึกสูงแทรกทัศนียภาพนั้น

เกนนิษฐาคิดว่าตัวเองอยู่ในความฝัน

 

รู้สึกตัวอีกทีพบตัวเองยืนอยู่กลางโถงซึ่งล้อมรอบด้วยผนังปูนเปลือยสีหม่น คานไม้เรียงเป็นแผงแทนเพดาน ฝาบ้านด้านหนึ่งประดับด้วยรูปภาพขาวดำนับสิบเรียงอย่างไร้ระเบียบ ข้างๆ หมู่รูปคือช่องหน้าต่างซึ่งมีเหล็กขนาดสี่หุนฝังอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนคุกมากกว่าที่พักอาศัย อย่างไรก็ตามของตกแต่งบ้านจำพวกเครื่องลายคราม เครื่องกระเบื้องที่วางตกแต่งอยู่โดยรอบพอคะเนได้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้มีฐานะร่ำรวย

เพ่งมองภาพชายหญิงวัยชราในกรอบรูป เครื่องหน้าทุกคนพะยี่ห้อชาวจีนโพ้นทะเล ตาตี่เรียว ปากเป็นกระจับบดเม้ม วางหน้าขรึม ไม่มีสักรายที่แทรกอยู่ในความทรงจำ หญิงสาวนิ่งนึก คลื่นความตระหนกที่ควรก่อตัวกลับสงบราบทั้งที่ยืนอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นตา ความรู้สึกดังกล่าวขาดหายไปพร้อมหลักคิดที่อิงตรรกะ

เดินผ่านมายังอีกห้องซึ่งกว้างกว่า เก้าอี้ไม้สักเลื่อมปลาบจัดวางอยู่กึ่งกลาง ด้านหน้าเป็นโต๊ะกระจกกลมขนาดเมตรคูณเมตร ขนาบข้างด้วยแผ่นป้ายแดงสดเขียนด้วยอักษรจีนสีทอง หญิงสาวแน่ใจว่าตนเองไม่เชี่ยวชาญภาษาจีน แต่กลับเข้าใจความหมายบนแผ่นป้ายทั้งสอง แผ่นแรกเขียนไว้ว่าการค้าเจริญรุ่งเรือง อีกแผ่นความหมายก้ำกึ่งว่าอยากมั่งมี อย่ามัวกลัวสกปรก

บริเวณลานในร่มด้านหน้าคลาคล่ำไปด้วยกลุ่มชายวัยฉกรรจ์ บ้างขะมักเขม้นขนข้าวสารใส่รถหกล้อบุโรทั่ง บ้างประคองเครื่องลายครามวางในลังไม้ ฉากที่อยู่ในสายตาคล้ายว่าที่นี่คือโกดังเก็บสินค้า

“อาอิง!” ใครคนหนึ่งแผดเสียง ดังจนเกนนิษฐาต้องหันมอง คนผู้นั้นเป็นชายวัยห้าสิบต้น ผิวออกเหลือง รูปร่างท้วมนิดๆ ผมดกดำหวีปัดเรียบร้อย ความฉลาดแทรกอยู่ทุกอณูเครื่องหน้า เขาดันแว่นกรอบกลมที่ไหลลงมาคาอยู่ตรงปลายจมูกกลับไปทับดวงตา คำพูดเสมือนสั่งลั่นออกจากปากอีกครั้ง “มานี่”

คนถูกเรียกหันรีหันขวาง “เรียกฉันเหรอ”

คำตอบกึ่งถามทำเอาชายคนนั้นถลึงตา “อ้าว ก็ลื้อน่ะสิ จะให้อั๊วเรียกใคร”

อะไรของเค้า

เกนนิษฐาบ่นอุบในใจขณะก้าวเข้าไปหาชายวัยกลางคน เขาไม่พูดอะไรสักคำ เลื่อนสมุดทรงยาวปกสีน้ำเงินให้แล้วลุกเดินไปสั่งงานกับกลุ่มกุลี เกนนิษฐาพลิกสมุด ด้านในเป็นบัญชีรายรับ-รายจ่าย เขียนด้วยภาษาไทยและจีนปะปนกัน เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวมองงบดุลที่จดไว้เพียงผิวเผิน ไม่ได้สังเกตสังกาเลยว่าราคาข้าวสารต่อกระสอบต่ำกว่าที่ควรร่วมร้อยเท่า

แต่ถึงตรรกะจะถูกบดบังด้วยอำนาจบางอย่าง แต่ตัวเลขชุดหนึ่งสามารถตรึงตาคู่สวยให้ต้องมอง

๑๒ กันยายน ๒๔๘๑

สิบสองกันยา สองสี่แปดหนึ่ง?

เธอทวนตัวเลขชุดนั้น แล้วเผลอยิ้ม “เฮ้อ ฝันเป็นตุเป็นตะ”

เกนนิษฐาหลับตาพริ้ม ผ่อนลมหายใจเข้า-ออกเนิบช้า ฝันคืนนี้พิสดารน่าดำเนินต่อ แต่เธอรู้สึกอยากพักผ่อนจริงๆ มากกว่าเป็นตัวละครในฝันย้อนยุค แน่ใจว่าเมื่อลืมตาอีกครั้งตัวเองคงอยู่ในวงแขนสามี หรือไม่ก็เป็นสามีที่อยู่ในอ้อมกอดเธอ เสียงกระซิบกระซาบข้างหูนั่นไงยืนยันว่าคิดถูก

“คุณอิง คุณอิงคะ”

‘อิง?’ เกนนิษฐาทวนชื่อนั้นในใจอีกหนก่อนเปิดเปลือกตาขึ้น สมุดปกน้ำเงินยังกางอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม เช่นเดียวกับตัวเลขมุมขวายังเด่นชัด ๑๒ กันยายน ๒๔๘๑ ความพิศวงยังโจมตีไม่หยุดเมื่อเกนนิษฐาหันไปมองหญิงสาววัยเบญจเพสที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ถึงจะไม่เหมือนไปทุกกระเบียด แต่ใบหน้าสตรีคนนั้นราวกับถอดพิมพ์มาจากน้องสามีของเธอ

 “เดือน?!”

อีกฝ่ายผงะถอย “อะไรนะคะ”

เกนนิษฐารู้ว่าตัวเองยังไม่หลุดจากภวังค์ คนที่เธอคิดว่าเป็นน้องสามีใบหน้าเหมือนมารินทร์ราวกับแฝด แต่รสนิยมการแต่งกายต่างกันอย่างฟ้ากับเหว มารินทร์เป็นแฟชันนิสตา เลือกเสื้อผ้าที่เสริมบุคลิกให้ดูโดดเด่น แต่กับสตรีตรงหน้า อาภรณ์ที่สวมเข้าขั้นเชยสะบัด เสื้อคอกระเช้าย้วยยานกับผ้าซิ่นสีขาบทอนความงามไปจนหมด

แต่จะว่าไปเกนนิษฐาก็เพิ่งเคยฝันแบบนี้เป็นครั้งแรก และเธอไม่ปฏิเสธว่าเริ่มสนุก คนท่องฝันส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้

 “อะ...เอ่อ ชื่ออะไรล่ะเรา”

“เอมค่ะ”

“เอมเป็น...แม่บ้านเหรอ”

 “แม่บ้าน? พวกผู้ลากมากดีเขาเรียกกันอย่างนั้นหรือคะ เอมไม่ชินหูเอาเสียเลย เรียกขี้ข้าอย่างเดิมดีกว่า ฮิๆ”

“ตายแล้ว ไม่สุภาพเลย ประเทศไทยเลิกทาสไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ”

 ราวกับได้ยินคำกล่าวที่ร้ายแรง อีกฝ่ายส่งภาษามือเป็นนัยให้เกนนิษฐาหยุดพูด หรืออย่างน้อยก็ออมเสียงไว้บ้าง “เบาๆ สิคะคุณอิงก็รู้อยู่ว่าเจ้าสัวไม่นิยมท่านผู้นั้น”

“ท่านผู้นั้น? ใคร” เกนนิษฐาข้องใจ

อีกฝ่ายทำหน้าบอกบุญไม่รับ จะว่าไปนอกจากเครื่องแต่งกาย อากัปกิริยาของเอมก็มีส่วนคล้ายมารินทร์ไม่น้อย บ่าวสาวกระซิบ 

“ก็ท่านรัฐมนตรีไงคะ ลือกันว่าก๊กเขาชังเจ๊ก คิดจะเปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ตามอย่างฝรั่ง เอมเคยเห็นนายทหารมาคุยกับเจ้าสัว พูดกันว่าอนาคตจะไม่เรียกประเทศเราว่าสยามแล้วนะ” คนพูดปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนบอกต่อ “แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะค่ะ เจ้าสัวสั่งให้เอมมาบอกคุณอิงว่าให้รีบทำบัญชีด่วนที่สุด เห็นบอกว่าช่วงบ่ายแก่จะไปคุยธุระกับเจ้าหน้าที่ทางการอะไรนี่ละ เอมก็ไม่ค่อยจะประสาแกบอกว่าจะพาคุณอิงไปด้วย”

ความฝันหนนี้ต่อเนื่องและยาวนานที่สุดเท่าที่เกนนิษฐาจำได้ เข็มนาฬิกาเดินเที่ยงเสมือนจริงราวกับไม่ได้หลับลึก ที่ต่างไปบ้าง คือภาพในคลองสายตาพร่าเลือนกว่าปรกติ

ใช้เวลาไม่นานก็เข้าใจบทบาทที่แสดงอยู่ เธอเป็นลูกสาวนายจิ้นนักธุรกิจชาวจีนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาลงหลักปักฐานที่เมืองไทย เขาพบรักกับผู้หญิงชื่อรื่น ซึ่งรับบทเป็นมารดาในห้วงฝันของเกนนิษฐา เกนเป็นชื่อยามตื่น แต่ในฝันย้อนยุคทุกคนเรียกเธอว่าอิง

 โกดังขนาดแปดห้อง ของเจ้าสัวจิ้นอยู่ย่านตลาดน้อย ห่างแม่น้ำเจ้าพระยาในระยะสายตามองเห็น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจ ประเทศชะลอตัว ธุรกิจของเขายังเติบโตเรื่อยๆ นั่นก็เพราะนายจิ้นมีเส้นสายในแวดวงราชการ เขารู้ตื้นลึกหนาบางว่าในไม่ช้าประเทศจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยหันเข้าหาทุนนิยมซึ่งจะเอื้อประโยชน์ให้นายทุนมากยิ่งขึ้น บรรดาเครื่องลายครามที่บรรจุในกล่องไม้ เป็นของกำนัลที่นายจิ้นนำเข้ามาจากปีนังเพื่อมอบให้เส้นสายซึ่งเป็นข้าหลวงใหญ่ในกระทรวง ทั้งสองรู้จักกันเมื่อสองปีก่อนที่ราชตฤณมัยสมาคม นอกจากชื่นชอบแข่งม้าเหมือนกันแล้ว ทัศนะทางการเมืองยังเป็นไปในทิศทางเดียว

เจ้าสัวสั่งลูกจ้างหนุ่มคนหนึ่งให้ขนของกำนัลมารอที่ท่าเรือ ลูกจ้างคนนี้อายุราวยี่สิบเจ็ด ตัวสูงใหญ่ ใบหน้าคมคาย คิ้วเป็นพุ่มดกดำ ดวงตาเป็นประกายสดใส ทว่าถึงมีใบหน้าหล่อเหลา แต่กิริยาท่าทางดูเงอะงะ เขาสวมหมวกสีครีม ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกลัดกระดุมถึงกระเดือก กางเกงขายาวสีกากีดึงสูงเหนือสะดือรัดด้วยเข็มขัดหนังสีน้ำตาลเส้นโต รั้งจนข้อเท้าโผล่ร่วมคืบ เกนนิษฐาประหลาดใจเมื่อพบเขาครั้งแรก ลูกจ้างหนุ่มคนนี้ใบหน้าคล้ายวิมวัชร์ราวกับฝาแฝด เสียแต่ว่าวิมวัชร์ในฝันนี้เป็นแค่จับกัง

แรกเริ่มเป็นความตระหนก แต่หลังจากนั้นเกนนิษฐาก็หัวเราะร่วน คิดอยู่ในใจ ก้อง...นี่นายก็มาโผล่ในฝันฉันด้วยเหรอ

ชายหนุ่มเห็นบุตรสาวนายจ้างยืนขำก็แปลกใจ “คุณอิงตลกอะไรหรือขอรับ”

“ขอรับ?” เธอขำก๊ากอีกครั้งแล้วป้อนคำถามต่อ “เปล่า ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอ”

เขานิ่งอยู่ครู่ รู้สึกคำถามของอีกฝ่ายแปลกพิกล แต่เพราะฐานะลูกจ้างค้ำคอ จำตอบไปไม่อิดออด “กระผมก็ไอ้แฟงคนเดิมสิขอรับ จะใครเล่า”

หญิงสาวหวนนึกถึงตากล้องหนุ่มจอมทะเล้น ครอบครัววิมวัชร์ทำธุรกิจผลิตยา มีรายได้ต่อปีหลายสิบล้านบาท แต่แทนที่จะนั่งเป็นผู้บริหารในธุรกิจยาและเวชภัณฑ์ของครอบครัว ชายหนุ่มเลือกเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ประจำเอเจนซีที่เธอเคยทำงาน แต่ในฝันวันนี้ ชายที่หน้าละม้ายวิมวัชร์ กลับเป็นลูกจ้างงกๆ เงิ่นๆ ท่าทางขี้เบื่อ

“คุณอิงดูแปลกพิกล ไม่สบายรึเปล่าขอรับ”

เกนนิษฐายังไม่ทันตอบ สามล้ออีกคันก็มาจอดข้างๆ นายจิ้นก้าวลงจากรถ ส่งสายตาเหี้ยมจัดให้ลูกจ้างในสังกัด

“ไอ้แฟง ทำไมลื้อไม่รีบขนของลงเรือ ประเดี๋ยวก็ไม่ทันกันพอดี ไป! รีบขนเร็วๆ ระวังอย่าให้หล่นเชียว”

 ระหว่างชายหนุ่มชื่อแฟงกุลีกุจอขนลังไม้ลงเรือ เกนนิษฐายืนมองเวิ้งเจ้าพระยา เรือหลายลำแล่นเอื่อยบนผิวน้ำ นานครั้งจะมีเรือสินค้าลำใหญ่ผ่านมา ฝั่งธนยังอุดมไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ตาลแทงต้นสูงประปราย หลังคาหลากสีแทรกอยู่ในดงไม้ มีทั้งสังกะสีและที่เป็นกระเบื้อง หน้าบ้านติดชายน้ำหลังหนึ่งมีเรือเทียบอยู่หลายสิบลำ แม้สมัยนั้นรถยนต์และรถไฟเริ่มมีบทบาทในการคมนาคมขนส่ง แต่ชาวบ้านส่วนมากยังคุ้นชินเดินทางด้วยเรือแจวอย่างแต่เก่า

ฝนเม็ดเล็กพรมไปทั่วเกิดเป็นฝ้าขาว ลมเย็นชื้นโชยปะทะให้ความรู้สึกสดชื่น คลื่นลูกเล็กส่งเรือกระเพื่อมน้อยๆ คนนั่งหัวท้ายดูไม่สนใจทิวทัศน์รอบข้าง ปล่อยให้หญิงสาวที่นั่งกลางลำเรือบันทึกความงามเต็มสองตา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเมื่อลืมตาตื่นภาพดังกล่าวก็จะเลือนไปจากความทรงจำ...

กลางฝอยฝนขาวละเอียด มีละอองสายหนึ่งเป็นสีแดง

 

ฝีพายบ่ายหัวเรือเข้าเทียบท่า เกนนิษฐาอุทานเบาๆ เมื่อเห็นอาคารสีครีมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านติดริมแม่น้ำ โครงสร้างเป็นตึกสองชั้น เหนือมุขกลางเขียนด้วยอักษรภาษาอังกฤษอ่านเป็นไทยว่า โอเรียนเต็ล โฮเทล จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ โอเรียนเต็ลคือหนึ่งในโรงแรมแห่งแรกๆ ของประเทศไทย

ขณะเดินผ่านสนามหญ้าหน้าโรงแรม นายจิ้นก็เดินเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบกับลูกสาว

“ประเดี๋ยวเข้าไปเจอผู้หลักผู้ใหญ่ลื้อก็นั่งเงียบๆ อย่าพูดจาซี้ซั้วเข้าใจไหม”

ฝ่ายลูกสมมุติพยักหน้ารับคำผ่านๆ เวลานี้เธอสนอกสนใจทัศนียภาพเมืองไทยในฝันมากกว่าคำพูดของบิดาอุปโลกน์

ภายในโรงแรมตกแต่งอย่างหรูหรา ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์นำเข้าจากต่างประเทศ เติมแต้มด้วยพันธุ์ไม้อย่างปาล์ม ไผ่จีน พนักงานคนหนึ่งเดินนำขึ้นไปชั้นสอง พาเลี้ยวไปทางปีกขวาของอาคาร บริเวณนั้นเป็นโถงห้องอาหาร มีโต๊ะจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ ที่ติดระเบียงและทางเดินเป็นโต๊ะสำหรับสองที่ แต่พนักงานพาไปยังโต๊ะกลมตรงกลางซึ่งจัดวางดอกไม้สดและชุดจานชามอย่างประณีต มีชายสองคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

เกนนิษฐาเพ่งมองชายคนแรกอย่างไม่เชื่อสายตา เขาอายุเลยวัยกลางคนไปพอสมควร ใบหน้าเล็กแต่โหนกแก้มค่อนข้างใหญ่ หนวดเป็นพุ่มทำให้แลน่าเกรงขามทั้งที่เป็นคนรูปร่างสันทัด…เกนนิษฐาเคยเห็นคนผู้นี้มาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เขาคือญาติผู้ใหญ่ของเธอ เชิด พลชีวัน หรือพระยาพิทยบริบาล

ชายหนุ่มอีกคนที่ร่วมโต๊ะเยาว์วัยกว่าพระยาพิทฯ สักสองรอบ เขามีดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ผิวละเอียดอย่างผู้หญิง คิ้วหนาดก ตาโต จมูกเรียวรับริมฝีปากบางเฉียบ คมคายกว่านายแฟงหลายเท่าตัว ทีแรกสีหน้าของเขาดูเรียบเฉย แต่เมื่อเห็นเกนนิษฐา ตาก็เกิดประกายระยิบราวกับดวงดาวนับร้อยแทรกอยู่ในนั้น สัมผัสของเกนนิษฐาบอกว่าชายที่อยู่ตรงหน้าสนใจเธอมากจนไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึก เขาตะลึงงันอยู่พักใหญ่ จนนายจิ้นโอภาปราศรัยกับพระยาพิทฯ เรียบร้อย ชายหนุ่มจึงหลุดจากภวังค์และแสดงความเป็นสุภาพบุรุษโดยเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาว...เลือกเอาตัวที่ชิดกับเก้าอี้ตัวเอง

แม้เป็นครั้งแรกที่พบกัน แต่เกนนิษฐากลับรู้สึกอึดอัดพิกล ต้นเหตุของความรู้สึกนั้นถูกคลี่เร็วกว่าที่คิด เมื่อพระยาพิทฯ แถลงว่าหนุ่มคนนี้ชื่อ ชิต พลชีวัน หรือ หลวงฉันทวณิช บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน

 “นี่เจ้าชิตลูกชายของฉัน กลับมาจากเมืองนอกได้ปีกว่า ตอนนี้รับราชการอยู่กรมศุลรู้จักกันไว้เสียซี่ ภายหน้าคงได้เจรจาธุรกิจกัน”

ท่าทีขึงขังคราวอยู่บ้านหายไปหมด นายจิ้นดูพินอบพิเทากับหนุ่มคราวลูกออกนอกหน้า ยิ่งเห็นว่าคุณหลวงรูปงามมองบุตรสาวตาเป็นมัน เจ้าสัวยิ่งฉีกยิ้ม “ได้ยินเจ้าคุณพูดถึงคุณหลวงอยู่หลายหน วันนี้มีโอกาสได้พบตัวจริงเสียที บุคลิกดีอย่างที่เขาลือกันจริงๆ”

แต่อีกฝ่ายไม่แลคนถาม เหมือนสายตาคู่นั้นมีไว้เพื่อสตรีคนข้างๆ นั่นยิ่งทำให้เกนนิษฐากระอักกระอ่วน เพราะถึงสมองขุ่นมัวเช่นคนที่หลงในแดนฝัน แต่การไล่สาแหรกไม่ใช่เรื่องยากเกินปฏิบัติ ผู้ชายที่จงใจส่งสายตาหยาดเยิ้มมาให้ แท้จริงก็คือคุณตาใหญ่ของเธอนั่นเอง!

“เธอชื่ออะไรรึ” หลวงฉันฯ ถามอย่างสุภาพ

“ดิฉันชื่อเกน เอ๊ย! ชื่ออิงค่ะ” หญิงสาวพยายามเล่นตามบท แต่พูดไม่ทันจบดีเสียงที่เจือด้วยความขุ่นเคืองก็ดังมาจากฝั่งตรงข้าม

“ดูซี ไปบอกชื่อเล่นแบบนั้นได้ยังไง ไม่สุภาพเลยลูกคนนี้” จิ้นลดระดับเสียง หันไปบอกหลวงฉันฯ “ต้องขอโทษคุณหลวงด้วย ลูกสาวผมไม่ค่อยประสา วันๆ ก็ขลุกอยู่แต่ในบ้าน อิงเป็นชื่อที่ผมกับภรรยาเรียก จริงๆ หล่อนชื่อลวาด”

ลวาด...เกนนิษฐาทวนคำ หญิงสาวไม่รู้เลยว่าชื่อนั้นคือปฐมบทสู่เหตุสะเทือนขวัญในกาลต่อมา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น