2

บังเอิญไม่รู้จบ


-๒- บังเอิญไม่รู้จบ

พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นจากริมขอบฟ้าทีละน้อย ลำแสงสีชมพูอ่อนทาบทาฟ้าที่เคยมืดดำให้กระจ่างแจ้งขึ้นอีกครั้ง

จากตรงนี้ โรงเรียนประถมประจำอำเภอยังห่างออกไปอีกหลายกิโลเมตร เด็กชายวัยเก้าขวบอยู่ในชุดนักเรียนประถมสะอาดสะอ้านด้วยผ่านฝีมือการซักรีดอย่างดีจากผู้เป็นแม่ ซึ่งมาบัดนี้เปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันและฝุ่นโคลนจนแทบไม่เหลือเค้าของความเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ ก้มมองสภาพจักรยานคู่ชีพของตัวเอง ก็ถึงกับต้องถอนใจออกมาอย่างสิ้นหวัง

“ท่าจะไปไม่รอด ทิ้งไว้ตรงนี้แหละ โรงเรียนเลิกค่อยกลับมาเอา”

เด็กชายละมือจากโซ่จักรยานที่หลุดกะรุ่งกะริ่งแล้วลุกขึ้น มือที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำมันเหนียวหนึบยกขึ้นปาดเหงื่อ โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าคราบดำจากน้ำมันได้เปรอะเปื้อนเป็นทางยาวไปแล้วทั้งหน้า

“พี่หมาดื้อหน้าดำปี๊ดปี๋เหมือนท่านเปาในหนังจีนเลยจ้ะ” เด็กหญิงผมเปียในชุดกระโปรงเอี๊ยมของนักเรียนชั้นอนุบาล หัวเราะจนตัวงอ สัมภาระที่เธอถืออยู่ในมือร่วงไปกองกับพื้น

คนโดนล้อส่งเสียงหัวเราะครื้นเครง เอามือเกาท้ายทอยแก้เขิน

“ส่งกระเป๋าของดอกรักมาสวมหลังพี่นี่” เด็กชายบอก ขณะส่งมือไปให้คนตัวเล็กกว่า

เด็กหญิงตัวเล็กส่ายหน้า ยิ้มจนแก้มป่อง ตอบด้วยเสียงอันสดใส

“ไม่เป็นไรจ้ะ ดอกรักถือไหว” แล้วก็ก้มลงเก็บกระเป๋าทั้งสองใบขึ้นจากพื้น ปัดฝุ่นทราย และเอามากอดไว้กับอก

กระเป๋าสีชมพูลายการ์ตูนของตัวเธอเองนั้นเบาหวิว เพราะบรรจุสมุด ดินสอ และขนมเล็กๆ น้อยๆ ผิดกับกระเป๋าสีดำใบใหญ่ของอีกคนซึ่งหนักเอาการ ก็ในนั้นบรรจุแน่นไปด้วยสารพัดของเล่น ที่พ่อช่างประดิษฐ์ของเด็กชายทำขึ้นจากวัสดุธรรมชาติ เด็กชายหอบมันไปเล่นกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนทุกวัน แต่เด็กหญิงไม่เล่นหรอก ของพิลึกๆ พวกนั้น

เด็กชายเมื่อยืนพิจารณาจนแน่ใจแล้วว่าดอกรักสามารถถือสัมภาระต่างๆ ด้วยตัวเองได้ เขาก็หันไปเอื้อมหยิบปิ่นโตสองเถาจากตะกร้าจักรยาน

“แล้วนี่เราจะต้องเดินไปจริงๆเหรอ โรงเรียนอยู่ตั้งไกลโน้นแน่ะ” เด็กหญิงเอ่ยถามหน้าม่อย ก้มลงมองขาสั้นๆ ของตัวเองอย่างถอดใจ

“ท่าจะไปต่อไม่ไหว” เด็กหญิงรำพึง เด็กชายหน้าดำผินหลังมาและบอกว่า

“เอางี้ ดอกรักขี่หลังพี่ไป”

“เอางั้นเหรอ”

“อื้อ เอางี้แหละ ขืนมัวแต่ลังเลอยู่แบบนี้ มีหวังไปโรงเรียนไม่ทัน”

ว่าแล้วก็กะน้ำหนักฝ่าเท้าทั้งสองข้าง ทรงตัวให้มั่น ย่อตัวลงหน่อยหนึ่ง แล้วก็ให้เด็กหญิงขึ้นขี่หลัง และหากใครบังเอิญผ่านมาในตอนนั้นคงต้องยิ้มให้กับภาพเด็กหญิงกระเป๋าพะรุงพะรัง ขี่หลังเด็กชายที่หิ้วปิ่นโตพะรุงพะรังไม่แพ้กัน เดินทางผ่านทุ่งนากว้างใหญ่สีทองอร่าม โดยมีเสียงใสๆ ของเด็กหญิงวัยห้าขวบร้องเพลงเชียร์ไปตลอดทาง...

‘พี่หมาดื้อสู้ๆ...’

“พี่...หมา...ดื้ออออ...”

รักเดียวส่งเสียงละเมอโดยที่ยังไม่รู้สึกตัว กระทั่งไอร้อนภายในห้องแผ่ซ่าน หญิงสาวจึงค่อยๆ พลิกตัวตื่น เหงื่อชุ่มโชกไปทั่วทุกรูขุมขน

“แอร์เสียอีกแล้ว คอนโดบ้าๆ นี่จะมีอะไรดีบ้างไหม เดี๋ยวโน่นเสีย เดี๋ยวนั่นพัง ทั้งปีเลย” หญิงสาวกะพริบตาปรือ มองนาฬิกา แล้วก็ต้องตกใจ

ตาย! มีนัดสัมภาษณ์ผู้สมัครตัวเต็ง ในงานราตรีสโมสรของพรรคไทยขยันเย็นนี้

สเต็ปแรกคือไปรับชุดเดรสสุดเซ็กซี่ที่จองเอาไว้ แล้วรีบกลับมาอั๊พหน้าเด้ง ที่ร้านเสริมสวยเจ้าประจำข้างคอนโด จากนั้นขับรถไปรับยัยหนอนด้วง เพื่อจะได้ผ่านเข้างานไปด้วยกัน เพราะบัตรเข้างานอยู่ที่เธอทั้งสองใบ แต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้มันบ่ายสามเข้าไปแล้วนะสิ!

จนแล้วจนรอด แผนที่วางเอาไว้อย่างเป็นลำดับขั้น ก็ผิดเพี้ยนไปหมด เนื่องจากมัวแต่นอนกินบ้านกินเมือง และแทนที่จะได้ไปอั๊พหน้าให้สวยเด้ง กลับต้องขับรถไปรับหนอนด้วงที่บ้านเป็นอันดับแรก เพราะเจ้าหล่อนโทรศัพท์มาโวยวายว่าอุปกรณ์ทำมาหากินทั้งหมด ติดมากับกระเป๋าของรักเดียว ตั้งแต่เลิกจากงานเลี้ยงเมื่อคืน

 

ช่วงบ่ายของวันที่หน่วยสืบสวนไม่วุ่นวายมากนัก ภพรักซึ่งอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดี ให้กับมะม่วงน้ำดอกไม้สุกปลั่งชะลอมใหญ่จากสวนของย่า ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่บนโต๊ะ มะม่วงนี้ทำให้ชายหนุ่มนึกไปถึงเรื่องราวเก่าๆ เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ใครแถวนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ย่าแป้นจอมโหด’ เจ้าของสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุด ในตำบลท่าดอกรัก ครั้นพอพูดถึงท่าดอกรัก เขาก็ต้องอมยิ้ม เพราะทำให้นึกไปถึงเด็กผมเปียขี้แย ที่ชื่อ ‘ดอกรัก’ ผู้เป็นต้นเหตุของฉายา ‘ไอ้หมาดื้อ’ ที่ย่าตั้งให้เขา จนเลื่องลือระบือไกลไปทั่วตำบล

‘ไอ้หมาดื้อ จะไม่ให้ย่าทำโทษเอ็งได้ยังไง ก็เอ็งมันทั้งซน ทั้งดื้อ เขย่ารังมดแดงใส่หัวหนูดอกรักแบบนั้นใครรู้เค้าจะหาว่าย่าไม่สั่งสอน เราเป็นผู้ชายต้องปกป้องดูแลผู้หญิง ไม่ใช่ไปทำร้ายเค้า เข้าใจไหม’ แล้วไม้ก้านมะยมก็หวดแรงๆ ลงบนแก้มก้นเขานับครั้งไม่ถ้วน จำได้ดีเลยว่าตอนนั้นก้นแตกจนนั่งไม่ได้ไปหลายวัน แต่ก็ไม่พ้นภาระคนเป็นย่า ที่ต้องอดตาหลับขับตานอน ทายาให้จนแผลเขาหายนั่นแหละ นึกถึงเรื่องนี้ทีไร เป็นต้องอมยิ้มอย่างสุขใจทุกคราวสิน่า

ว่าแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับลูกมะม่วงต่อไป โดยที่ไม่ทันได้ยินเสียงประตูห้องถูกเคาะดังก๊อกๆ อยู่หลายครั้ง จนสิบตำรวจชั้นผู้น้อยตัดสินใจผลักประตูเปิดเข้ามาทั้งที่ยังไม่ได้รับคำอนุญาต ในชุดหม้อห้อมซอมซ่อ สิบตำรวจเอกชาตรีก้าวเข้ามา พร้อมด้วยเสียงกล่าวทักทายอย่างแปลกใจ

“ผู้กอง เป็นอะไรไปครับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว”

“ยิ้มกับมะม่วงโว้ยไม่ได้ยิ้มคนเดียว”

“ไปใหญ่เลยลูกพี่ผม คนดีๆ ที่ไหนนั่งยิ้มกับลูกมะม่วง”

“หมู่! ใช่เพื่อนเล่นไหม” ผู้กองหนุ่มทำน้ำเสียงดุกลบเกลื่อนอารมณ์ขันไว้สนิท “ไอ้งานที่ให้สืบ สืบไปถึงไหน”

หมู่ต๋องเดินหน้าจ๋อยมานั่งยังเก้าอี้ว่างด้านหน้า “รู้รังของพวกมันแล้วครับ แต่จะให้ชัวร์ ทีมเราจะแฝงเข้าไปเก็บหลักฐานเพิ่มคืนนี้ครับ”

“ดี เจาะไปให้ถึงตัวคนบงการให้ได้ แล้วสายใหม่ของเราที่ชื่อโรส ทำงานเป็นไงบ้าง หวังว่าแกจะไม่มัวเกี้ยวหญิงจนเสียงานนะเว้ย”

หมู่ต๋องหูหด อย่างกับถูกจี้ใจดำ “แหม ก็มีบ้างแค่นิดหน่อยแหละครับผู้กอง คนเราต่อให้ตัวยุ่งยังไง แต่หัวใจมันก็ต้องมีอะไรมาเติมเต็ม ให้กระชุ่มกระชวยกันบ้าง เอาแต่ทำงานๆ เฉาตายพอดี ยิ่งเป็นตำรวจด้วยแล้ว ผมกลัวว่าจะตายก่อน

มีเมียนะสิครับ ว่าแต่ผู้กองของผมเถอะ เห็นสาวน้อยสาวใหญ่แวะเวียนมาจนกระไดหน่วยเราไม่เคยแห้ง เมื่อไหร่จะมีข่าวดีสักทีล่ะครับ”

“น้อยๆ หน่อยหมู่ อยากเปลี่ยนไปทำงานภารโรงไหม จะได้หมั่นเช็ดกระไดให้แห้งตลอดเวลา ว่าไง” ภพรักว่าทีเล่นทีจริง หมู่ต๋องรีบยกมือปฏิเสธทันควัน

“ไม่เอานะครับผู้กอง ผมอยู่หน่วยนี้ คอยเป็นสายลับเสี่ยงตายให้ทีม ดีที่สุดแล้วครับ และผมก็ยังได้อยู่ใกล้ชิดกับน้องโรสคนสวยด้วย ต่อให้ต้องตาย ผมก็ไม่มีวันย้ายไปไหนเด็ดขาด”

“เออดี แล้วก็อย่ามัวบ้าน้ำลาย เตรียมตัวทำตามแผนได้แล้ว” ผู้กองหนุ่มบอก ก่อนจะเพยิดปากไปที่ชะลอมใหญ่

“มะม่วงนั่น เอาไปแบ่งกันให้ทั่วๆ นะ” ก่อนจะลุกขึ้น หยิบเสื้อนอกสีดำตัวเก่ง เอ่ยปากสั่งกับหมู่ต๋องเพิ่มเติม

“ช่วงบ่ายฉันไม่เข้ามา มีธุระ ถ้ามีอะไร ติดต่อมือถือได้ตลอด”

“มีนัดกับคุณนางแบบคนนั้นใช่ไหมเล่า ถึงว่าสิ แต่งตัวซะหล่อ ระวังจะโดนเทนะครับ”

ภพรักสะดุดกับคำล้อเล่นอันไม่ตลกนั้น แต่ต้องทำทีเป็นตีหน้าเข้ม กลบเกลื่อน

“นางแบบอะไรของหมู่ อย่าพูดเพ้อเจ้อ”

“ฮั่นแน่ ... มีเขินๆ”

“หมู่! เตือนครั้งที่สอง ใช่เพื่อนเล่นไหม”

หมู่ต๋องแกล้งทำคอหด หน้าตาเศร้าสร้อย

“ผมพูดก็เพราะผมเป็นห่วง กลัวผู้กองของผม จะโดนสาวสวยเจ้าเล่ห์ ลวงไปกินตับ แล้วเททิ้ง ให้ใจระบม ผมเคยโดนมาแล้ว”

ภพรักส่ายหน้า

“ไร้สาระ คนอย่างฉัน ไม่เสียเวลาไปเปล่าๆ กับเรื่องผู้หญิงหรอกหมู่ ไปทำงานไป” เขาออกปากไล่รอบที่สอง

“งั้นก็... ระวังขึ้นคานนะครับผู้กอง” ว่าแล้วก็หัวเราะ

“ไม่จบ ไม่จบ หรือจะเอา ฮึหมู่!” แล้วท่าเตะสกายคิกส์ก็พุ่งแหน่วไปที่ก้นตึงๆ ของลูกน้องจอมทะลึ่ง แต่ฝ่ายนั้นอาศัยทักษะชั้นยอด เบี่ยงตัวหลบฉากได้อย่างว่องไว

 

บ่ายสาม แดดเปรี้ยง รถยนต์คันเท่ากระป๋องพารักเดียวออกจากคอนโดแล่นไปตามถนนสายยาว โดยมีบ้านของดวงฤดีเป็นจุดหมายปลายทาง และความที่ถนนโล่งสนิท เธอก็เลยยอมปล่อยให้ภาพความฝันเมื่อเช้าโผล่ขึ้นมาแบบจางๆ ในห้วงสมอง...

มันเป็นความฝันประเภทท้องไร่ท้องนา เด็กหญิงตัวเล็กผมเปียขี้แย กับเด็กชายตัวโตหน้าตามอมแมม ในความฝัน เธอได้ยินเด็กหญิงเรียกเด็กชายว่า 'พี่หมาดื้อ' ...

แม้ว่าเรื่องราวจะเลือนรางไม่ค่อยปะติดปะต่อ แต่รักเดียวชอบความฝันนี้ เธออิ่มเอมราวกับมันเป็นนิทานเรื่องแรกในชีวิต ที่ใครสักคนเล่าค้างไว้ แต่ท่ามกลางความอิ่มเอม เธอรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจเมื่อลืมตาตื่น

ในขณะที่ยังอยู่ในภวังค์ รักเดียวปล่อยรถของเธอให้แล่นฉิวไปบนถนนอันปลอดโปร่งโล่งสบาย ราวกับว่าวันนี้มีแต่รถของเธอเท่านั้นที่ขับอยู่บนถนนทั้งสาย จนกระทั่งกรรมเก่าจากชาติก่อน หรือจากไหนไม่รู้ จู่ๆ เจ้าหมาน้อยผอมโกรก ก็วิ่งพรวดตัดหน้ารถ รักเดียวตกใจ เหยียบเบรกจนตัวโก่ง เลียงห้ามล้อ ดังเอี๊ยดดดด... ลั่นไปทั่วทั้งถนน

แต่เคราะห์กรรมไม่ได้จบเพียงเท่านั้น ปาเจโร่สปอร์ตสีขาวมอมแมมที่ขับทะลุมิติจากมาไหนไม่รู้ ทะลึ่งจูบโครมเข้ามาที่บั้นท้ายรถเธอแบบไม่บันยะบันยัง รักเดียวสะบัดหัวไล่อาการมึน เปิดประตูก้าวฉับลงไป

ชายคู่กรณีลงจากรถ กล่าวขึงขัง

“ขับรถยังไงของคุณ นึกจะเบรกก็เบรก มีใบขับขี่ไหมเนี่ย”

น้ำเสียงของเขา ชวนให้นึกถึงใครคนหนึ่ง ที่เพิ่งเจอกันเมื่อเร็วๆ นี้

เขาเป็นผู้ชายตัวโต สวมเสื้อยีนหนา รักเดียวหยีตาผ่านแว่นกันแดด มองใบหน้าคมสันภายใต้แว่นตาดำของเขา ท่าทางแบบนี้ของเขา คล้ายกับว่าเธอเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

รักเดียวถอดแว่นกันแดดของตัวเองออก ตั้งใจจะมองหน้าเขาให้ชัดๆ แต่ปรากฏว่า หนุ่มคู่กรณี ถึงกับดีดนิ้วเปาะ

“คุณนั่นเอง!” เขาถอดแว่นกันแดดของตัวเองออกบ้าง

“คุณ!!” รักเดียวอุทานอย่างตกใจ

“นี่มันวันซวยอะไรของผม เจอคุณสองหน ก็เกิดเรื่องทั้งสองหน”

รักเดียวพ่นลมหายใจฉุนเฉียว

“คุณนั่นแหละ ตัวซวย ขับรถประสาอะไร ถนนตั้งกว้างชนมาได้ รถฉันเพิ่งทำสีมาหมาดๆ ดูสิยับเยินหมด” แล้วก็โถมตัวเข้าไปลูบคลำบั้นท้ายรถที่บุบบี้อย่างอาลัยอาวรณ์ ขณะที่รถของฝ่ายตรงข้ามแทบไม่ได้มีริ้วรอยใดๆ สักนิด

“ผมจะไปทันตั้งตัวเหรอ ก็คุณเล่นเบรกกะทันหันซะยังงั้น เอาเหอะๆ รถผมมีประกันชั้นหนึ่ง ซ่อมแป๊บเดียวก็เสร็จ ผมแถมทำสีให้ใหม่รอบคันเลยเอ้า”

“แต่ฉันไม่มีเวลาเอารถไปซ่อมตอนนี้หรอกนะ ฉันมีงานสำคัญต้องทำ”

“อ้าว มีงานก็ไปทำสิ รถคุณแค่ท้ายบุบ ใช่ว่ามันจะขับไม่ได้ซักหน่อย”

แค่ท้ายบุบ! หน็อย... พูดออกมาได้ จะให้นักข่าวสาวสุดเริ่ดอย่างรักเดียว ขับรถเยินๆ แบบนี้ไปไหนมาไหนนะเหรอ ใครเห็นเข้าได้หัวเราะกลิ้งกันพอดี

“งั้น เอานี่” ชายหนุ่มเดินไปคว้ากุญแจรถของตัวเอง ส่งมาให้ “เอารถผมไปใช้พลางๆ”

“รถคันบะเร่อบะร่าแบบนั้น ใครจะไปขับได้”

“โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง ผมก็มีธุระด่วนต้องไปทำเหมือนกัน” พูดไม่ทันขาดคำ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อยีนของเขาก็ดังขึ้น หน้าจอปรากฏเป็นชื่อ ‘ย่าแป้น’

โทรศัพท์ของรักเดียวดังขึ้นบ้าง ราวกับกลัวน้อยหน้า เจ้าของสายเรียกเข้าคือ ยัยหนอนด้วง รักเดียวเดินเลี่ยงนายตำรวจหน้าเข้มไปรับสายอย่างหงุดหงิดใจ

“อะไรนะ! ไม่ต้องไปรับ แกไปไม่ได้แล้ว กินส้มตำท้องเสีย!” รักเดียวแว้ดใส่ต้นสายอย่างมีน้ำโห

“แล้วจะให้ฉันไปเผชิญหน้ากับพี่เจนคนเดียวเนี่ยนะ”

ไม่ไหวแน่ๆ ขืนลุยเดี่ยว งานนี้มีหวังใบ้รับประทาน นึกบทสัมภาษณ์ไม่ถูก เพราะเจอหน้าพี่เจนทีไร เป็นต้องตัวชา ลิ้นแข็ง หน้าเมือก เหงื่อแตกพลั่ก โอยยย.. ตายๆ

รักเดียวเฉ่งเพื่อนในโทรศัพท์อยู่นานสองนาน พอวางสาย นายตำรวจหน้าเข้มก็เดินมาแถลงการณ์ว่า

“ผมโทรบอกลูกน้องแล้ว เดี๋ยวมันจะเอารถคุณไปจัดการให้ รับรองพรุ่งนี้กลับมาเช้งกระเด๊ะเหมือนเดิม”

“ไวขนาดนั้นเชียว เส้นใหญ่ว่างั้น” รักเดียวเชิดคอ “แล้วธุระด่วนที่ฉันต้องรีบไปทำตอนนี้ คุณจะแก้ปัญหายังไงไม่ทราบ”

“ไม่เห็นยาก” คู่กรณีหนุ่มยิ้ม ชี้มือไปกลางถนน “โน่นไง พูดถึงก็มาเลย.... แท็กซี่ๆ” แล้วยื่นมือใหญ่ๆ ไปกวักเรียกให้รถจอด รถจอดปุ๊บก็รีบยื่นหน้าบัญชาการกับคนขับทันควัน

“พาคุณผู้หญิงไปส่งทีนะครับ อ้อ เตือนไว้อย่างนะครับ ดูแลเธอให้ดีๆ สามีเธอเป็นนายตำรวจใหญ่” ว่าแล้วก็ควักธนบัตรหนึ่งพันบาทส่งให้คนขับและจัดแจงเปิดประตูให้เสร็จสรรพ

“เอ๊า!ที่รัก เร็วสิครับ ไหนว่ามีธุระด่วน”

โอยยย... จะมีผู้ชายคนไหน บ้า! ทุเรศ! กวนส้นทีนได้เท่านายคนนี้อีกไหมเนี่ย

รักเดียวโมโหจนควันพวยพุ่งออกสองหู เดินฉับๆ ไปหยิบกระเป๋าจากในรถ ก่อนจะทำหน้าบอกบุญไม่รับ เข้ามานั่งในรถแท็กซี่ ปิดประตูแท็กซี่ดังปึงอย่างลืมตัว นึกว่าเป็นรถตัวเอง นายตำรวจหน้ายียวน โบกมือหย็อยๆ ส่งท้าย

ตอนนั่งมาในแท็กซี่ โชว์เฟอร์วัยกลางคนพูดแซวเล่น อย่างกับเคยสนิทชิดเชื้อกันกับเธอ

“แฟนคุณนี่น่ารักจังเลยนะครับ เป็นตำรวจหรือครับ ระวังหน่อยนะ เขาว่าตำรวจที่ตลกขี้เล่น แถมหน้าตาดีด้วย มักจะเจ้าชู้” แล้วหัวเราะแหะๆ

ให้ตายเถอะ! ไม่รู้จะซวยอะไรนักหนา โดนทึกทักว่าเป็นเมียตำรวจถึงสองครั้งในวันเดียว ไม่หนำซ้ำรถก็มาเสีย จีรศักดิ์พี่ชายเธอ ดันมีไฟลท์บินยาวตลอดสัปดาห์ เลยไม่มีใครคอยรับส่ง เห็นทีต้องหาเวลาไปไหว้พระสักเก้าวัดบ้างแล้ว!

 

ภารกิจของนายตำรวจภพรักในช่วงบ่าย คือการพาย่าและพ่อกับแม่ ตระเวนหาซื้อของตามศูนย์การค้า ซึ่งแม้ว่าที่ท่าดอกรักจะอยู่ไกลไปจากกรุงเทพฯ เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ย่าและพ่อกับแม่ รวมถึงคนที่นั่น มักชอบคิดว่าตัวเองอยู่บ้านนอก ลงมากรุงเทพฯ ทีไร เป็นต้องหอบหิ้วของฝากพะรุงพะรังติดมือไปฝากญาติๆ กับคนละแวกบ้านเป็นประจำ

ตอนเดินเลือกซื้อแป้งผัดหน้า ตรงเคาน์เตอร์เครื่องสำอางชั้นนำ แม่เอ่ยขึ้นกับย่าว่า “สาวเมืองกรุงแบบแม่หนูรักเดียว ต้องแต่งหน้าแต่งตาสวยๆ ตาภพไม่ลองหาซื้อเครื่องสำอางดีๆ ไปฝากเมียมั่งล่ะลูก”

“ไม่ต้องหรอกครับ ของพวกนี้ เขาหาซื้อเองได้” ชายหนุ่มบอก แต่ย่าหันมาทำตาเขียว

“ฟังที่แม่เขาแนะนำ ก็ไม่เสียหายนี่เจ้าภพ” ย่าว่า พลางเดินไปที่เคาน์เตอร์ลิปสติก จดๆ จ้องๆ เพียงครู่หนึ่ง ก็จรดปลายนิ้วลงบนตู้กระจก โชว์เฉดสีอันหลากหลายของมัน

“ลองสีนี้” ย่าบอก พนักงานค่อยๆ เลื่อนเปิดตู้ และหยิบตัวอย่างสินค้าขึ้นมา

แม่รับมันไป ก่อนจะทาลงเบาๆ บนอุ้งมือ สีส้มอมชมพูของมัน ตัดกับสีของเนื้อผิว แม่ยิ้มและบอกกับเขาว่า “เอาสีนี้ไหมลูก แม่ว่าเข้ากับสีริมฝีปากหนูรักเดียวมากเลยนะ”

“หรือจะเอาสีแดงเลือดนก ไหนเอามาลองสิ ทาแล้วสวยไหม” ย่าเคาะกระจก ก่อนจะหันมาส่งเสียงเรียก อาการตื่นตาตื่นใจ “ปากนิดจมูกหน่อยอย่างเมียเอ็ง ทาแล้วน่าจะแลดูเซ็กซี่นะข้าว่า”

“เออ ฉันว่าก็จริงนะจ๊ะแม่” พ่อก็เอากับเขาด้วย คะยั้นคะยอบอก “แม่ปราณีลองซื้อไปใช้สักแท่ง เพิ่มความเซ็กซี่”

“ทะลึ่งน่าพ่อ” แม่หันไปตีแขนพ่อแก้เขิน ส่วนภพรักได้แต่พ่นลมหายใจเบาๆ แอบรู้สึกตงิด คล้ายมีลางสังหรณ์แปลกประหลาด ... ลองถ้าย่าหรือพ่อกับแม่ ฝังยายเบื๊อกนั่นเอาไว้ในใจแบบนี้แล้ว เรื่องที่เขาจะหาทางสารภาพความจริง ก็คงยากขึ้นอีกขั้นนะสิ


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น