5

ช็อคโกแลตบราวนี่

แผลที่ฝ่ามือภัทรียาเกือบหายสนิทแล้ว ดังนั้นวันนี้หญิงสาวจึงต้องกลับมารับหน้าที่ล้างจาน หลังจากที่เปลี่ยนไปช่วยเสิร์ฟอาหารได้สามวัน แม้จะทำงานได้อย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง แต่ผู้จัดการยังไม่ยอมให้เธอเข้าไปช่วยทำเบเกอรี่เสียที ทั้งที่ป้าลี่และเชฟอัฐเอ่ยปากขอแรงเธอให้เข้าไป แต่อรวสายังยืนยันว่าต้องการให้เธอฝึกงานไปอีกสักระยะ ดังนั้นหญิงสาวจึงทำได้แค่แอบเข้าไปหยิบจับช่วยเหลือเชฟทั้งสองในช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากงานหลัก แต่ไม่ใช่ว่าได้เข้าไปบ่อย แม้แต่ตอนนี้ที่บ่ายกว่าไปแล้ว และงานในครัวเริ่มน้อยลงเธอก็ยังต้องยุ่งอยู่กับการจัดเก็บจานชาม

เสียงฝีเท้ารีบร้อนและจังหวะเปิดประตูดังลั่นก็ทำให้ภัทรียาที่กำลังเขย่งเก็บของเข้าตู้ต้องชูมือชะงัก

                “เจ๊ผึ้ง ๆ ทำอะไรอยู่ มานี่เร็ว คุณชายเรียกพบ” อ่อนบอกเสียงดังลั่น สีหน้าตื่นเต้น

                “หา! คุณชายเรียกพบ ฉันเนี่ยนะอ่อน” เธอถาม วางผ้าเช็ดจานที่พาดอยู่ที่ไหล่ลงบนเคาน์เตอร์ เหลือบมองบาดแผลในมือที่เหลือเพียงสะเก็ดสีเข้ม

                “ใช่ คุณชายถามหาเจ๊มากับป้าสมร รีบไปหาท่านเลย เดี๋ยวโดนดุเอา”

                “ทำไมต้องโดนดุ” เธอทำหน้างง ทิ้งงานตรงหน้าไว้ ปลดผ้ากันเปื้อนออก ก่อนเดินตามนายอ่อนออกไปนอกห้องครัว

                “เจ๊ไม่เคยได้ยินฉายาคุณชายหรือไง” อ่อนย้อนถาม เบาเสียงลงเกือบกระซิบ

                “อือ” ถึงเคยได้ยินฉายา คุณชายพริกสด มาบ้าง แต่หม่อมราชวงศ์ภาคิน ภาคินัย ที่เธอเคยพบช่างแตกต่างจากฉายาไร้สาระที่พวกข่าวซุบซิบเรียกขาน หญิงสาวเดินตามเด็กหนุ่มผ่านซุ้มการะเวกที่กั้นระหว่างส่วนร้านอาหารและเรือนปั้นหยาหลังใหญ่

                “เคยได้ยิน แล้วก็รีบไปเลยเจ๊ ผมส่งแค่นี้นะ” ว่าแล้วอ่อนก็รีบวิ่งตัวอ่อนสมชื่อไปอย่างรวดเร็ว

                ปล่อยให้ภัทรียายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าบันไดทางขึ้นเรือนเพียงลำพัง หญิงสาวนึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ไม่น้อยที่จู่ ๆ คุณชายจะเรียกพบ โดยไม่ทันได้ตั้งตัว เธอขยับเสื้อเชิ้ตสีดำตัวโคร่งให้เข้าทรงกับกางเกงยีนสีซีดเต็มไปด้วยรอยขาดตามแฟชั่น ซึ่งดูแล้วห่างไกลคำว่าเรียบร้อยนัก ก่อนเปิดประตูเรือนไม้เข้าไปยังห้องโถงกว้าง เชื่อมสู่ห้องนั่งเล่นที่ผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่สวมแว่นกำลังนั่งเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง

                หญิงสาวเคาะประตูกระจกส่งเป็นสัญญาณ “คุณลุงคุณชาย เรียกพบหนูเหรอคะ”

                “ใช่ เข้ามาสิหนูน้ำผึ้ง”

                ยากเย็นนักที่จะบังคับไม่ให้มือสั่น หญิงสาวค่อย ๆ เดินกระมิดกระเมี้ยนผ่านบานประตูสูง เข้ามายืนนิ่งตรงหน้าเจ้าของดวงตาอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยพลังและบารมี

                “ค่ะคุณลุง”

                “นั่งลงสิน้ำผึ้ง” เจ้าของผมสีดอกเลาชี้ปลายปากกาไปยังโซฟาที่อยู่เยื้องไม่ไกล

                “ขอบคุณค่ะ” เธอตอบ ค่อย ๆ ขยับนั่งด้วยอาการขัดเขิน แม้น้ำเสียงท่านจะยังคงนุ่มนวลชวนฝัน เช่นเดียวกับเมื่อครั้งแรกที่ได้ทำความรู้จัก แต่วันนี้ท่านมีศักดิ์เป็นเจ้านาย จึงทำให้เกิดอาการเกร็งยิ่งกว่าปกติ

                “เป็นยังไงบ้าง ทำงานครบอาทิตย์แล้วใช่ไหม”

                “ค่ะ สนุกดีค่ะคุณลุง เพื่อนร่วมงานใจดีกับน้ำผึ้งทั้งนั้นเลยค่ะ” หญิงสาวตอบในส่วนที่ประทับใจ

                “งั้นเหรอ สนุกก็ดีแล้ว ว่าแต่ทำไมไม่ขึ้นมาทักทายลุงบนตึกบ้าง”

                “อ้าว” ต้องขึ้นมาด้วยเหรอ...เธอคิดต่อ แต่ไม่กล้าเอ่ยออกไป

                “อ้าวทำไม งานยุ่งนักหรือไง ถึงไม่แวะเอาขนมที่ทำขึ้นมาให้คนแก่ลองชิม” หม่อมราชวงศ์ถาม ใบหน้าใจดีเปื้อนรอยยิ้ม

                “ไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอกค่ะคุณลุง แต่ตอนนี้น้ำผึ้งยังฝึกงานอยู่ในส่วนทำความสะอาด ยังไม่ได้เข้าครัวลงมือทำเบเกอรี่เลยค่ะ เดี๋ยวน้ำผึ้งได้ลงมือทำเค้กชิ้นแรกเมื่อไหร่ จะนำมาให้คุณลุงชิมคนแรกเลยค่ะ” เธออธิบายตามจริงอย่างอารมณ์ดี

                “ว่ายังไงนะ ทำไมยังไม่ได้ทำงานเชฟล่ะ” คราวนี้เจ้าของร้านอาหารร่างใหญ่ถึงกับวางปากกาลงบนโต๊ะ ถอดแว่นสายตาจ้องหน้าภัทรียาด้วยความประหลาดใจ

                “ก็...” เอาแล้วไง เธอจะอธิบายยังไงดี “...คือน้ำผึ้งยังไม่ผ่านช่วงทดลองงาน คุณอรวสาเลยยังไม่ให้น้ำผึ้งเข้าไปทำเบเกอรี่ค่ะ แต่ไม่เป็นนะคะคุณลุง”

                “เฮ้ย! ไม่เป็นไรได้ไง ฉันต้องการเชฟ ไม่ใช่ให้เชฟของฉันไปทำความสะอาด” ผู้อาวุโสตีตักตนเองและยืนขึ้น แสดงอาการหงุดหงิดอย่างชัดเจน “ตามฉันมาหนูน้ำผึ้ง ยายอรทำแบบนี้ได้ยังไง รู้อยู่แล้วว่าร้านต้องการเชฟด่วน”

                “ค่ะ” หญิงสาวได้แต่ตอบรับ และเดินตามลงจากเรือน ไปยังส่วนของร้านอาหาร ใจคอหวั่นหวาดกับสีหน้าของผู้อาวุโส ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านจึงต้องโกรธขนาดนี้

                การลงมาเยือนของหม่อมราชวงศ์ภาคิน ทำให้พนักงานทั้งหมดที่เห็นท่านรีบกระวีกระวาดทำงานกันจ้าละหวั่น ไม่มีใครคิดจะเงยหน้าขึ้นมาสบสายตา เจ้าของร่างใหญ่แข็งแรงกวาดสายตาคมไปทั่วร้าน ก่อนส่ายศีรษะ และขึ้นไปยังห้องทำงานของอรวสาซึ่งอยู่บนชั้นสองเหนือห้องอาหาร

                “อร ทำอะไรอยู่” ท่านส่งเสียงเป็นสัญญาณ ก่อนเปิดประตูโดยไม่ต้องรอให้คนด้านในตอบรับ

                “คุณชาย มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมมาถึงห้องทำงานอรได้”

                “มีสิ”

อรวสาผละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ รีบถลาตัวเข้ามาประชิดตัวหม่อมราชวงศ์ภาคิน ริมฝีปากแดงส่งยิ้มอ่อนหวาน แต่ทันทีที่สายตาหล่อนเหลือบมองภัทรียาที่เดินตามหลังผู้อาวุโส อรวสาก็หุบยิ้มและกลอกตาอย่างหงุดหงิด

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณชาย แล้วน้ำผึ้งตามคุณชายมาทำไมคะ”

“ทำไมอรถึงให้หนูน้ำผึ้งไปทำงานทำความสะอาด ทั้งที่รู้อยู่ว่าร้านเราต้องการเชฟเบเกอรี่ด่วน”

“อรก็ทำตามขั้นตอนเวลารับพนักงานใหม่นี่คะ” อรวสาตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แตกต่างจากดวงตาที่เหมือนลุกเป็นไฟขณะเหล่มองภัทรียา “ยายนี่เข้าไปฟ้องคุณลุงหรือคะ”

“เปล่า ลุงบังเอิญเรียกหนูน้ำผึ้งไปคุยด้วย ก็เลยรู้ แต่อรเองก็รู้ว่านางลี่มันป่วยจะแย่อยู่แล้ว ที่ทนทำงานอยู่ทุกวันก็เพราะลุงสัญญาว่าจะหาเชฟมาช่วย แล้วอรให้เชฟของลุงไปทำความสะอาดแบบนี้ อรจะให้นางลี่ตายคาครัวหรือไง” ผู้อาวุโสเสียงดัง

                ตายแล้ว...ทำไมคุณลุงคุณชายต้องเสียงดังด้วย ภัทรียาได้แต่ยืนคิดเท่านั้น แต่คำพูดของคุณชายกลับทำให้อรวสายิ่งส่งสายตาอาฆาตมาที่เธอ

                ผู้จัดการสาวสะบัดศีรษะกลับไปจ้องตาผู้อาวุโสอย่างอาจหาญ “แต่ป้าลี่ก็ยังทำงานได้ดีนี่คะ อีกอย่างอรยังไม่เคยเห็นฝีมือยายเด็กนี่แม้แต่นิดเดียว จะไว้ใจให้เข้าไปรับหน้าที่เชฟยังไงคะ”

                โอ้ย ทำไมสองคนนี้ต้องขึ้นเสียงใส่กันด้วย ภัทรียาคิด อยากเอาตัวไปหลบด้านหลังประตู แรงปะทะของทั้งสองเหมือนจะทำให้ตัวเธอปลิว

“อร ถึงลี่จะยังทำงานได้ แต่น้ำผึ้งก็ต้องฝึกฝีมือ เรียนรู้ทำขนมสูตรของร้าน ทำไมไม่ให้เข้าไปช่วยเป็นลูกมือ”

“ยายนี่ยังเด็ก แถมเป็นใครก็ไม่รู้ ประวัติผลงานก็อาจจะแต่งขึ้นมาเอง คุณชายเชื่อใจยายนี่ได้ยังไงคะ”

ยายนี่ทุกคำเลย ถึงกลัวแต่ภัทรียาก็นึกเถียงอยู่ในใจ เธอไม่ใช่เชฟขนมไก่กา สนามแข่งในประเทศนอกประเทศก็เคยผ่านมาหมดแล้ว เหรียญรางวัลก็มีแขวนประดับบ้านเยอะแยะ แต่ไม่ใช่คนขี้อวดที่ต้องให้คนอื่นรู้ไปด้วยเสียหน่อย

“นี่เธอหาว่าฉันโง่หรืออรวสา” ครั้งนี้คุณชายภาคินถึงกับยกมือขึ้นชี้หน้าหญิงสาว เสียงอันดังยิ่งดังขึ้นจนคนฟังเกือบหัวใจวาย

ใจเย็นกันดีกว่าค่ะ หญิงสาวคิดคอตก ไม่อยากให้ใครต้องมีปากเสียงกันเพราะเธอ

“เปล่าค่ะคุณชาย อรแค่คิดว่าคุณชายอาจจะไว้ใจเด็กนี่มากไป”

“อรวสา เธอกำลังคิดว่าฉันมองคนที่จะเป็นสะใภ้ของราชสกุลภาคินัยผิดไปหรือยังไง!”

“หา!” ภัทรียาเกือบปิดปากตนเองไว้ไม่ทัน เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณชายพูดเต็มสองหู

“อะไรนะคุณชาย” เช่นเดียวกับอรวสา หล่อนเบิกตาโตยิ่งกว่าผลส้ม แถมตวัดหางตามาที่ภัทรียา

หม่อมราชวงศ์เจ้าของฉายาคุณชายพริกสด ยังอธิบายต่อ “น้ำผึ้งไม่ใช่แค่เชฟธรรมดา แต่เป็นคนที่ฉันเล็งไว้ให้เป็นภรรยาของภาคย์ เพราะฉะนั้นเธออย่าปล่อยให้ว่าที่หลานสะใภ้ของฉันไปทำงานทำความสะอาดอีก นี่เป็นคำสั่ง เข้าใจไหม!” เสียงคุณชายดังสนั่น สะเทือนไปทั่วห้องทำงานสีครีม เครื่องปรับอากาศที่ว่าเย็นฉ่ำ กลับไม่สามารถดับอารมณ์ร้อนลุกเป็นไฟของผู้อาวุโสได้ ท่านชี้หน้าอรวสาค้างไว้อยู่ครู่หนึ่งก่อนลดมือลงมาใส่กระเป๋ากางเกง

                อะไรนะ หลานสะใภ้! ตลกแล้ว

                แต่ภัทรียาไม่กล้าเอาตัวเข้าไปขวางธารน้ำเชี่ยวระหว่างคนทั้งสอง เธอได้แต่ก้มหน้าฟังคำสั่งของผู้อาวุโสอารมณ์ร้อนเฉกเช่นฉายาคุณชายพริกสดเท่านั้น

                “ว่าที่หลานสะใภ้” อรวสาครางเหมือนกำลังตั้งสติว่าหูไม่ได้ฝาด

                “ใช่ เพราะฉะนั้นให้น้ำผึ้ง ว่าที่หลานสะใภ้ของฉันเข้าไปเรียนรู้งานเชฟเดี๋ยวนี้”

 

                 นี่เธอหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่านะ

                ภัทรียาคิดกังวลขณะปรับอุณหภูมิเตาอบให้เหมาะสมกับช็อคโกแลตบราวนี่ที่เพิ่งเทใส่พิมพ์เสร็จ แม้อรวสาจะทำตามคำสั่งของหม่อมราชวงศ์ภาคินทันที โดยให้เธอลงมาทำงานร่วมกับป้าลี่ และเชฟอัฐ ในฐานะผู้ช่วยเชฟ แต่สายตาของผู้จัดการสาวกลับไม่แสดงอาการเต็มใจเลยสักนิด

                “น้ำผึ้งทำอะไรครับเนี่ย หอมจัง” เชฟหนุ่มร่างสูงใบหน้าขาวที่ตอนนี้เปลี่ยนชุดกลับเป็นชุดลำลองเอ่ยถาม

                “ทำช็อคโกแลตบราวนี่ค่ะ ป้าลี่ให้น้ำผึ้งลองทำสูตรของป้าลี่ดูเปรียบเทียบกับสูตรของน้ำผึ้ง คุณอัฐสนใจอยู่ชิมไหมคะ”

                “เก็บไว้ให้ผมพรุ่งนี้ได้ไหมครับ วันนี้ผมต้องรีบกลับไปทำธุระกับที่บ้าน” ผู้ช่วยเชฟวัยสามสิบตอบด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวน้ำผึ้งทำเสร็จแล้ว ผมฝากปิดครัวด้วยนะครับ ป้าลี่แกกลับไปแล้ว”

                “ได้ค่ะ ว่าแต่...คุณอัฐคะ น้ำผึ้งถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”

                “อะไรเหรอครับ”

                “ป้าลี่ป่วยเป็นอะไรเหรอคะ เห็นคุณชายพูดว่าแกป่วยหนัก”

                “ครับ ป้าลี่แกเป็นโรคหัวใจ เดือนหน้าหมอจะนัดผ่าตัด คุณชายเลยไม่อยากให้ป้าแกทำงานหนัก”

                “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

                “ดีแล้วที่วันนี้คุณน้ำผึ้งขึ้นไปบอกคุณชาย ไม่อย่างนั้นคุณอรคงยังไม่ยอมให้คุณมาช่วยครัวเบเกอรี่ ผมนี่ยิ่งดีใจตอนได้ยินว่าคุณเป็นคู่หมั้นของคุณภาคย์”

                “เดี๋ยวค่ะคุณอัฐ น้ำผึ้งเปล่า...” ไม่ทันที่หญิงสาวจะปฏิเสธสถานะที่ถูกมัดมือชก เสียงกริ่งสัญญาณตู้อบก็ดังขึ้น

                “เดี๋ยวผมยกขนมเข้าตู้อบให้ครับ อย่าลืมเก็บไว้ให้ผมชิมพรุ่งนี้บ้างนะ”

                ภัทรียาได้แต่เผยอปากค้าง อยากอธิบายแก้ไขความเข้าใจผิดของเพื่อนร่วมงาน แต่เหมือนเขาไม่คิดจะฟัง และเมื่อเชฟอัฐโบกมืออำลา หญิงสาวจึงทรุดตัวนั่งเก้าอี้ข้างตู้อบ ที่ช็อคโกแลตบราวนี่กำลังส่งกลิ่นหอม แม้สายตาจะจับจ้องถาดขนมแต่ในใจกำลังกลุ้ม กุมศีรษะคิดหาทางออกของสิ่งยุ่งยากที่กำลังจะมาถึง

                ทำยังไงดี...ทำไมคุณลุงคุณชายถึงคิดว่าเธอเป็นแฟนหม่อมหลวงตาหวาน หรือเพราะวันที่เขาพาไปพบ ท่านถึงได้ทำท่าดีใจแปลก ๆ

                “โอ๊ย ไม่น่าเลย” หญิงสาวคราง

เห็นทีต้องให้คุณภาคย์ผู้ใจดีไปอธิบายให้คุณลุงคุณชายเข้าใจใหม่เสียแล้ว คิดได้ดังนั้นภัทรียาจึงรีบกดโทรศัพท์ไปหาชายหนุ่ม

“อ้าว ปิดเครื่อง ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ สงสัยแบตโทรศัพท์คงหมด ไว้เดี๋ยวเขามาค่อยคุยก็ได้ เขาคงไม่อยากให้คุณลุงเข้าใจผิดเหมือนกัน” เมื่อเข้าข้างตัวเองเป็นที่เรียบร้อย ภัทรียาจึงสบายใจขึ้นเล็กน้อย เธอเท้าคางมองขนมในตู้อบพร้อมสูดกลิ่นละมุนของส่วนผสม ทั้งช็อคโกแลต เนยและวนิลา ก่อเป็นความสุขหลังต้องผ่านความผิดหวังมาหลายต่อหลายครั้ง

และเมื่อบราวนี่ทั้งสองสูตรออกมาจากเตาอบเรียบร้อย หญิงสาวจึงตั้งพักไว้ให้เย็นตัว ก่อนหั่นแบ่งเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ แบ่งใส่กล่องกระดาษสูตรละสองสองชิ้น ตั้งใจนำขึ้นไปให้คุณชายภาคินทดลองชิม และทายว่าชิ้นใดคือชิ้นที่เธอทำ เพราะหากมองด้วยตาช็อคโกแลตบราวนี่อาจจะไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ภัทรียาสามารถจดจำได้แม่นยำว่าชิ้นไหนคือชิ้นที่เกิดจากสูตรและส่วนผสมที่เธอสร้างสรรค์ กับชิ้นไหนที่เป็นสูตรดั้งเดิมของร้านอาหาร

“เจ๊ ยังไม่กลับอีกเหรอ ผมจะกลับแล้วนะ” อ่อนชะโงกหน้าถาม

“เสร็จตรงนี้ก็จะกลับแล้วอ่อน”

“งั้นเหรอ ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหมเจ๊”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวคุณภาคย์ก็คงมา” เธอตอบตามอัตโนมัติ เพราะตั้งแต่เริ่มทำงานชายหนุ่มมักจะเดินทางมาตรงเวลาทุกวัน

“ฮั่นแน่ งั้นผมไปดีกว่า ไม่อยากเป็นก้าง” เด็กหนุ่มแซว

“ไม่ใช่อย่างนั้นอ่อน ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณภาคย์” หญิงสาวแทบวางมือจากขนม อยากแก้ข่าวลือให้ถูกต้อง

“ไม่เชื่อ วันนี้คุณชายลงมาสั่งให้เจ๊อรย้ายเจ๊เข้าครัวทันทีแบบนี้ แสดงว่าเจ๊ต้องไม่ธรรมดา”

“ไม่ใช่อย่างนั้น...”

“อย่าแก้ตัวเลยเจ๊ผึ้ง ผมอยู่ที่นี่มานาน ใครเป็นใครผมดูออก” อ่อนยังคงยืนยันความคิด พลางโบกมือให้ภัทรียา “ผมไปล่ะเจ๊ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

ให้ตายเถอะ...ถ้าทั้งเชฟอัฐ ทั้งอ่อน เข้าใจผิด มีหวังพนักงานในร้านทั้งหมดก็คงเข้าใจผิดเหมือนกันด้วยแน่ หญิงสาวอยากเอาหัวโขกตู้อบขนมให้รู้แล้วรู้รอด

แต่จนแล้วจนรอดผู้ชายที่หวังให้ช่วยเหลือก็ไม่โผล่มาเสียที จนกระทั่งเกือบสองทุ่มครึ่ง หญิงสาวจึงตัดสินใจเก็บขนมใส่ตู้เย็น เพื่อพรุ่งนี้เช้าจะนำขึ้นไปเสิร์ฟคุณชายภาคินบนเรือนใหญ่ และอีกส่วนหนึ่งเธอเก็บใส่กล่องใส่กระเป๋าถือ แม้อยากเก็บไว้ให้หม่อมหลวงภาคย์ แต่...

“ไม่มาก็ไม่ต้องชิม” บ่นไปด้วยน้อยใจที่ชายหนุ่มหายตัว ไม่แม้แต่ติดต่อผ่านข้อความ

เธอจะกินคนเดียวเสียให้หมด

ภัทรียากลับเข้าห้องพักอย่างเงียบเหงา ความสุขนิดหน่อยที่ได้กลับมาทำขนมถูกกลบด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า เมื่อใครบางคนที่เคยติดต่อได้กลับเงียบหายไป หญิงสาวได้แต่ทำกิจวัตรก่อนเข้านอนตามปกติ   จนกระทั่งเกือบสามทุ่มครึ่งชื่อชายหนุ่มจึงปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ เสียงสัญญาณทำให้ภัทรียาแทบกระโดดหยิบโทรศัพท์ตอบรับ

“สวัสดีค่ะ” เธอตอบรับชายหนุ่ม พยายามระงับความยินดีที่เกิดขึ้น

“ทำอะไรอยู่ครับ” คนปลายสายถาม น้ำเสียงชวนให้คนฟังหลอมละลาย

แต่เธอไม่หลอมละลายกับน้ำคำจากเพศชายหรอก “นั่งดูทีวีค่ะ”

“ครับ ผมเพิ่งออกมาจากออฟฟิศ เห็นน้ำผึ้งโทรมาเมื่อตอนสองทุ่ม คิดถึงผมเหรอ”

ถึงคำถามเขาจะทำให้เธอเขินจนหน้าแดง แต่คนเป็นพี่เป็นน้องต้องไม่รู้สึกอะไรเด็ดขาด “เปล่านะ ฉันแค่ทำช็อคโกแลตบราวนี่แล้วคิดว่าคุณอาจจะอยากชิม”

                “อยากสิ ชิมตอนนี้ได้ไหม”

                “หะ ตอนนี้เนี่ยนะ” หญิงสาวมองนาฬิกา แล้วมองไปยังกล่องขนมที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร ใจเต้นแรงอย่างแปลกประหลาด

                “ตอนนี้สิ อีกสิบนาทีผมจะถึงคอนโดน้ำผึ้ง” หม่อมหลวงภาคย์พูดเหมือนสั่ง และตัดสัญญาณไปทันที

            “คุณ!”ตายแล้วเขาจะมา

หญิงสาวมองชุดนอนเสื้อยืดสีชมพูตัวย้วยกับกางเกงขาสั้นของตนเอง กับหน้าสดไร้เครื่องสำอาง ที่อย่างไรก็ดูทรุดโทรมเหมือนขนมปังซีด แค่ใส่ชุดชั้นในกับเปลี่ยนกางเกงก็น่าจะพอ แต่ทำไมเธอต้องทาแป้งกับเติมลิปสติกด้วยเล่า ภัทรียามองภาพตัวเองในกระจก ขณะกดลิฟต์ลงมารับผู้ชายไม่รู้เวลา...แล้วทำไมเธอไม่ปฏิเสธเขาไป

                “เอาน่ะ ก็ไม่ได้ดึกมากเสียหน่อย” เธอบอกตัวเองเพื่อความสบายใจ

                

แต่พอได้เห็นหน้าผู้ชายที่ยืนอมยิ้มส่งสายตาหวานฉ่ำอยู่หน้าประตูลิฟต์บริเวณโถงล็อบบี้ ใจคอที่เคยผ่อนคลายก็เริ่มเกิดอาการอีกครั้ง ภัทรียาเม้มริมฝีปากอดกลั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่กลางอก ชักจะไม่ชอบการตัดสินใจของตนเองขึ้นมาตงิด

                “จะนอนแล้วเหรอน้ำผึ้ง” คนมาดึกถาม

                “ยังค่ะ” สายตาเขาทำให้เธอใจคอไม่ดีจริง ๆ ด้วย หญิงสาวรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องสักนิดตั้งแต่เห็นหน้าชายหนุ่ม

                “เย็นนี้ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยซื้อนี่มาด้วย” ชายหนุ่มยกถุงร้านสะดวกซื้อขึ้นอวด

                “อะไรเหรอคะ”

                “ของที่น้ำผึ้งไม่มี” ชายหนุ่มยักคิ้ว รอยยิ้มบนใบหน้าแฝงความเจ้าเล่ห์ แต่ท่าทีดูสบาย ๆ ตอนที่ขยับเข้ามาใกล้

                “หือ?”

                “นมไง” ชายหนุ่มนิสัยไม่ดีหัวเราะร่วน

                “คนปากเสีย งั้นไม่ต้องชิมขนมแล้ว”

                เธอคิดผิดจริง ๆ ที่ปล่อยให้เขามาหาที่คอนโดมิเนียม หัวใจภัทรียากำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ ชีวิตนี้ไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนแซวอย่างสนิทสนมอย่างนี้มาก่อน

                “ล้อเล่น ผมประชุมตลอดเย็น ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย” เขาบอก ทำท่าลูบหน้าท้องออดอ้อน

อย่าทำหน้าน่ารักไม่เหมาะกับบุคลิกอย่างนี้สิ ภัทรียาคิด หัวใจยังสั่นไหวกับความสนิทสนมที่ก่อตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ควรปล่อยให้เขาคืบเข้ามาในชีวิตมากเกินไป

“หิวขนาดนั้น ไปกินข้าวดีกว่าไหมคะ”

“ไม่ผมอยากชิมขนมน้ำผึ้ง” ชายหนุ่มตอบ แล้วโน้มใบหน้าเข้าใกล้เธอ

“ฉันเตือนคุณไว้ก่อน ห้ามเข้าใกล้ฉันเกินหนึ่งฟุต” คนจิตใจอ่อนไหวรีบปราม ยิ่งถูกคนที่ร้านเข้าใจผิดว่าเป็นคู่รักกันยิ่งทำให้เธอต้องเว้นระยะกับเขาให้มากขึ้น

“อย่างนั้นเชียว” เขาเลิกคิ้วสงสัย แต่ก็พยักหน้ายอมรับข้อตกลง “ผมแค่ปากเสีย แต่ผมก็เป็นสุภาพบุรุษนะน้ำผึ้ง”

“ก็อยากจะเชื่อค่ะ” หญิงสาวตอบ เผลอถอนหายใจก่อนนำหน้าชายหนุ่มเดินเข้าไปภายในลิฟต์แคบ

“คุณอยู่ชั้นอะไร” คนเดินตามถาม อาสากดหมายเลขชั้น

“สามสิบสอง” เธอตอบ มัวแต่คิดกังวลเมื่อต้องอยู่กับเขาตามลำพังในลิฟต์ที่ดูเล็กไปถนัดตา

ตัวเขาสูงใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก กล้ามเนื้อใต้เสื้อเชิ้ตแสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มดูแลสุขภาพและออกกำลังกายมากแค่ไหนในขณะที่ระดับสายตาเธออยู่เพียงปลายคางของเขาทำให้เห็นรอยเคราจางแสดงความอ่อนเพลียบนใบหน้าหล่อเหลา กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ผสมกลิ่นกายแบบผู้ชายแท้ ๆ ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกรังเกียจสักนิด

ทำไม? ทำไมช่องท้องเธอถึงได้ปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหน หัวใจเธอบอบบางเหลือเกินเวลาใกล้ชิดหม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย

ภัทรียาก้มหน้าพยายามเก็บอาการให้ดีที่สุด หวังไม่ให้เขาสังเกตว่าแก้มเธอกำลังร้อนผ่าวเพราะความคิดฟุ้งซ่าน และเมื่อตู้ลิฟต์เปิดออก หญิงสาวจึงรีบก้าวหนีชายหนุ่ม ปล่อยให้เขาเดินตามโดยไม่มีคำพูดใด

เธอคิดผิดแน่ ๆ ที่พาเขาขึ้นมาที่ห้องแต่คิดไปก็เท่านั้น สายไปเสียแล้วเมื่อเจ้าของร่างสูงดวงตาหวานกำลังยืนสำรวจห้องพักเธอ

“ห้องแคบหน่อยนะคะ” เธอบอก โดยเฉพาะเวลาที่มีเขาอยู่ด้วย

หม่อมหลวงหนุ่มส่ายศีรษะอมยิ้ม ยินดีที่ได้ผ่านประตูเข้ามาในโลกของหญิงสาว “ไม่เป็นไร ผมตัวเล็กนิดเดียว”

“เล็กตรงไหน” เอาเข้าจริงเขาตัวใหญ่กว่าเธอตั้งเยอะ

“จุ๊ ๆ เราจะไม่พูดเรื่องนั้น” คนคิดลึกแห่งปีตอบ แล้วเลื่อนเก้าอี้ข้างโต๊ะรับประทานอาหารออกมา “ให้ผมนั่งตรงนี้ได้ใช่ไหมน้ำผึ้ง”

“ค่ะ”

โต๊ะอาหารขนาดสองที่นั่งของเธอดูเล็กไปถนัดตาเมื่อชายหนุ่มพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเหนือข้อศอก แข้งขายาวดูไม่สะดวกสบายขณะหยิบเครื่องมือสื่อสาร กระเป๋าสตางค์ และกุญแจรถยนต์ออกมาวาง

“อยู่คนเดียวเหรอ”

“ค่ะ จะให้อยู่กับใครล่ะคะ”

“เผื่อว่าจะมีรูมเมท” ชายหนุ่มถาม แต่ดีใจที่หญิงสาวอยู่เพียงลำพัง

“ไม่มีหรอกค่ะ ฉันเป็นคนเข้ากับคนยาก เพื่อนสนิทที่เรียนก็มีไม่กี่คน” เธอตอบ เดินอ้อมชายหนุ่มไปยังตู้เย็น หยิบกล่องขนมออกมาวาง “คุณลองทายนะว่าอันไหนเป็นบราวนี่สูตรของร้านคุณ กับอันไหนเป็นสูตรของฉัน”

“เชื่อไหมว่าแค่เห็นผมก็ตอบได้” ภาคย์ยังคงจ้องหญิงสาวไม่วางตา

“เก่งขนาดนั้นเชียว ฉันไม่เชื่อหรอก” เธอตอบ จัดขนมใส่จาน ใส่ไมโครเวฟ รอคอยเพียงไม่นานก่อนที่ช็อคโกแลตบราวนี่หอมกรุ่นจะออกมาส่งให้ “ฉันเผลอใส่ตู้เย็นไป แต่ใส่เวฟแล้วรสสัมผัสจะเหมือนตอนออกมาจากเตาใหม่ ๆ แต่คุณต้องกินให้หมดนะคะ ไม่งั้นบราวนี่จะแข็งเก็บไม่ได้”

“ครับ แล้วถ้าผมทายถูกน้ำผึ้งจะให้รางวัลอะไร” คนท้าทายถาม เฝ้ามองหญิงสาวรูปร่างผอมที่ส่งแก้วใส่นมให้นั่งลงที่ตรงข้าม

“ไม่ให้ค่ะ” หญิงสาวสวนกลับทันมุกคนปากเร็ว “ทายถูกก็ถือว่าคุณเก่ง”

“เท่านั้นเหรอ”

“เท่านั้นแหละค่ะ” แค่นี้ใจคอเธอก็แทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เรื่องอะไรจะให้เขาเข้ามามีผลกับหัวใจกว่าเดิม

“ก็ได้” เขาตอบ ค่อย ๆ ตัดชิ้นช็อคโกแลตบราวนี่นุ่มขึ้นมาแตะริมฝีปาก หลับตาสูดกลิ่นหอมอย่างตั้งใจ

ภาพชายหนุ่มสุดหล่อกำลังนั่งรับประทานขนมอยู่ตรงหน้า กระชากสติภัทรียาออกจากตัวได้อย่างชะงัก เธอจ้องริมฝีปากแดงที่เผยอเล็กน้อยขณะชิมเนื้อช็อคโกแลต รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงนุ่มนวลของหม่อมหลวงหนุ่มคล้ายกำลังเคลิบเคลิ้มกับความฝัน ทำเอาเธอลืมหายใจ อยากลองชิมว่ารสชาติขนมเอร็ดอร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

เหมือนชายหนุ่มจะรู้ว่าภัทรียากำลังจับจ้องเขา หม่อมหลวงภาคย์ลืมตาขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนตัดชิ้นขนมยื่นให้ตรงหน้าเธอ

“น้ำผึ้งกินบ้างสิ ผมทายถูกไหมว่าอันนี้เป็นสูตรของน้ำผึ้ง”

“ฉันกินเยอะแล้ว...” เธออยากปฏิเสธ แต่ไม่อาจทัดทานเมื่อปลายช้อนขยับใกล้ริมฝีปาก “...ก็ได้”

รสหวานเจือขมของขนมชิ้นเล็กที่ละลายในปาก คุ้นเคยกับประสาทสัมผัสรับรส เพียงแต่แตกต่างที่ขนมคำนี้มีชายหนุ่มดวงตาเป็นประกายมอบให้ ภัทรียาเม้มริมฝีปากแน่น กลั้นลมหายใจไว้ในอก ไม่อยากปล่อยหัวใจให้เตลิดไปกับความหวานล้ำของสายตาที่กำลังจับจ้อง

“ช็อคโกแลตบราวนี่ฝีมือน้ำผึ้ง ขม แต่หวานหอม เนื้อสัมผัสก็นุ่มนวล ละลายในปาก” หม่อมหลวงหนุ่มอธิบาย วางช้อนเล็กลงในจานก่อนเอื้อมมือแตะริมฝีปากหญิงสาวแผ่วเบา

เขาทำจะอะไร! ภัทรียานั่งตัวเกร็ง สัมผัสจากปลายนิ้วที่ไล้บนมุมปากชวนให้ขนอ่อนทั้งกายเธอลุกชัน ช่องท้องวาบหวิวบิดตัว

“ปากเปื้อน” เขาบอก สายตาสื่อความหมายเกินกว่านั้น

                “ฉันเช็ดเองได้ค่ะ” ไม่รู้ว่าตัวเธอจะเอาหน้าไปซุกไว้ไหนได้แล้ว แค่อยู่ในห้องกันสองต่อสอง เธอก็ถูกพลังทำลายล้างจากดวงตาหวานซึ้งพุ่งกระทบหัวใจเกินทานทน “คุณภาคย์กินขนมให้หมดเถอะ”

                หม่อมหลวงเจ้าเสน่ห์ยังคงอมยิ้ม “เรียกพี่ภาคย์ได้ไหม”

                ภัทรียาส่ายศีรษะ “ไม่ค่ะ”

                “ตามใจครับ แต่น้ำผึ้งต้องแบ่งช็อคโกแลตบราวนี่กับผมคนละครึ่งนะ ตั้งสี่ชิ้นผมกินคนเดียวไม่หมดหรอก” ว่าแล้วเขาจึงเลื่อนจานขนมไว้ตรงกลางระหว่างกัน

                “ก็ได้ ถ้าคุณกินหมดนี่คงอ้วนแย่ น้ำตาลตั้งไม่รู้เท่าไหร่” หญิงสาวหยอก ใจหนึ่งก็อยากให้ขนมหมดโดยเร็ว เพื่อชายหนุ่มจะได้รีบกลับ แต่ใจหนึ่งเธอก็อยากให้เขานั่งเป็นเพื่อนคุยต่อไป

                “ไม่อ้วนหรอก ผมชอบออกกำลังกาย แต่น้ำผึ้งเถอะผอมแบบนี้วัน ๆ กินอะไรบ้างหรือเปล่า”

                “กินสิคะ ฉันเผาผลาญดีต่างหาก สมัยก่อนฉันผอมกว่านี้อีก นี่ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ คุณไม่เชื่อไปถามนิ้งเลยก็ได้” พูดไปหญิงสาวก็ตักขนมใส่ปากไป

                “เชื่อก็ได้ ว่าแต่น้ำผึ้งกับคุณนิ้งสนิทกันมานานแล้วหรือครับ”

                “ใช่ค่ะ ฉันบอกแล้วว่าฉันเข้ากับคนอื่นได้ยาก สมัยเรียนก็ไม่ค่อยคบใคร ส่วนใหญ่ก็ไปเรียนแล้วก็กลับบ้าน ฉันชอบทำขนมอยู่หน้าเตาอบมากกว่าไปสังสรรค์กับเพื่อน”

                “คุณเลยไม่ค่อยชอบสุงสิงกับผู้ชายด้วย”

                “ก็มีส่วนนะคะ ฉันแค่ไม่ชินเวลาอยู่ใกล้เพศตรงข้าม ก็คงเพราะตอนเด็ก ๆ ฉันเรียนโรงเรียนประจำ แถมหญิงล้วนมาตลอด กลับไปบ้านก็ไม่ค่อยถูกกับพี่ชาย พอนาน ๆ เข้าก็เลยรู้สึกว่าพวกผู้ชายเป็นเพศที่เข้าใจยาก เลยไม่อยากเข้าใกล้เท่านั้นเอง” เธออธิบาย

                “ผมด้วยเหรอ” ชายหนุ่มชี้นิ้วเข้าหาตนเอง

                “ค่ะ” เธอยอมรับ แต่ใบหน้าชายหนุ่มที่มีแววตาอยากรู้ทำให้หญิงสาวเผลอตัวหัวเราะออกมา “ตอนแรก ๆ คุณภาคย์ก็ทำให้ฉันกลัว”

                “แล้วตอนนี้ล่ะครับ”

                “ไม่แล้วค่ะ ฉันว่าคุณเหมือนช็อคโกแลต ตอนแรกที่เห็นก็คิดว่าจะขม ดูคุณนิ่งแต่ปากเสีย พอรู้จักมากขึ้น คุณอ่อนโยน ใจดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย”

                “ชมกันแบบนี้ผมเขินนะ ว่าแต่น้ำผึ้งรู้ไหมว่าถ้าผมเหมือนช็อคโกแลตอย่างที่น้ำผึ้งบอก ผมต้องมีคุณสมบัติมากกว่านั้น” หม่อมหลวงภาคย์เผยยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่สดใสจนคนนั่งตรงข้ามรู้สึกถึงความซาบซ่านไปทั้งหัวใจ

                “ยังไงคะ” หญิงสาวตักขนมชิ้นสุดท้ายใส่ปาก นึกอยากให้เขาเป็นช็อคโกแลตแสนอร่อยที่นุ่มนวลชวนฝันอยู่เหมือนกัน

                “เคยมีคนบอกว่ากินช็อคโกแลตแล้วช่วยกระตุ้นหัวใจ แต่ถ้าคุณกินผม รับรองว่าผมจะช่วยกระตุ้นอารมณ์คุณเอง”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น