สุดท้ายแล้วจริง ๆ ใช่ไหม
ภัทรียาใจหายวาบเมื่อกวาดสายตาไปโดยรอบร้านเบเกอรี่สีขาว โต๊ะเก้าอี้รูปทรงทันสมัยที่เพิ่งใช้งานเพียงหกเดือนยังใหม่เอี่ยมมันเงา รวมถึงผนังที่ตกแต่งด้วยภาพวาดลวดลายดอกไม้เล็ก ๆ ยังแดงสดใส ทุกอย่างช่างไม่แตกต่างจากวันแรกที่หญิงสาวเปิดร้านแห่งนี้ จะแตกต่างก็เพียงความเงียบเหงา ที่วันนี้ไม่มีใครสักคนเปิดประตูเข้ามารับประทานกาแฟ หรือขนมที่เธอตั้งใจทำสุดฝีมือ
เพียงสามเดือนแรกเท่านั้นที่ผู้คนในตัวเมืองเชียงใหม่ตื่นเต้นกับร้านกาแฟแสนสวย ขนมอร่อยแห่งนี้ แต่เมื่อย่างเข้าเดือนที่สี่ลูกค้าเหล่านั้นเหมือนลืมเลือนรสชาติที่เคยลิ้มลอง จวบจนเดือนที่ห้าที่ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ร้านที่เคยคึกคักซบเซาลงจนเห็นได้ชัด แม้มีเงินทุนหมุนเวียนอยู่บ้างแต่ก็ชักหน้าไม่ถึงหลังทุกเดือน จนบิดามารดาของเธอซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ตัดสินใจให้เลิกกิจการ จากร้านเบเกอรี่ที่เคยเป็นความฝันอันงดงาม กลับเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่เกิดจากภาระรายจ่ายที่ไม่มีรายรับเข้ามาให้เห็น
แต่ถึงวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย คนรักการทำขนมเช่นภัทรียาก็ยังคงทุ่มเทหัวใจกับเบเกอรี่สุดที่รัก เธอตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อลงมือทำขนมด้วยตนเองถึงสี่ชนิด ไม่ว่าจะเป็น เค้กวนิลา เค้กส้ม บราวนี่ บลูเบอร์รี่ชีสพาย อันเป็นสุดยอดเมนูที่แสนภาคภูมิใจ เธอจัดวางทุกอย่างในตู้กระจกควบคุมอุณหภูมิอย่างพิถีพิถัน ราวกับวันแรกที่ร้านในฝันแห่งนี้เปิดตัว วันนั้นลูกค้าทั้งนักท่องเที่ยว และคนท้องที่แวะเวียนมาอุดหนุนมิได้ขาด จนพนักงานหลายคนวิ่งวุ่นวาย ภาพเหล่านั้นคงเป็นได้เพียงแค่ความทรงจำ เพราะวันนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่ยังคงยืนรอคอยลูกค้าอยู่หลังเคาน์เตอร์อันเงียบเหงา
วันนี้ยังไม่มีลูกค้าสักคนคิดไปน้ำตาหญิงสาวพลันเอ่อขอบตา เธอไม่เคยคิดว่านี่คือภาพวันสุดท้ายของความฝันที่วาดไว้ตั้งแต่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ฝันที่ได้เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ อันงดงาม
ในระหว่างที่เฝ้าคำนึงถึงภาพวันเก่านั้นเสียงกระดิ่งหน้าประตูกระจกทำให้คนหมองเศร้าปาดน้ำตา เธอมองลูกค้ารายแรกของวัน และอาจจะเป็นรายสุดท้ายของร้าน
ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างผอมสูงในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว กับกางเกงสีน้ำเงินขาสั้นแค่เข่าวางกระเป๋าเป้ใบใหญ่และหมวกแก๊ปลงบนโต๊ะกลมตัวแรกที่อยู่ติดกับประตูกระจก เขาหันกลับมาอมยิ้มมุมปากให้เธออย่างเป็นมิตร ใบหน้าเรียวรูปไข่ จมูกโด่ง ดวงตาโตขนตายาวของเขาทำให้หญิงสาวชะงักเล็กน้อยกับความดูดีสะดุดตาผู้มาเยือนแปลกหน้ายังคงอมยิ้มตอนที่ก้าวเข้ามาที่เคาน์เตอร์
นักท่องเที่ยวเธอคิดแล้วยิ้ม
“รับอะไรดีคะ” แม้จะเป็นวันสุดท้าย แต่เธอพร้อมต้อนรับลูกค้าทุกคนอย่างเต็มที่
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแดงบางเฉียบคล้ายใช้ความคิด ดวงตากลมคมวาวจ้องมองขนมในตู้ ก่อนชี้นิ้วยาวที่ดูนุ่มนวลกว่ามือเธอที่กระจก
“ผมขอลองบราวนี่ กับคาปูชิโน่ร้อนก็แล้วกัน” เสียงทุ่มอ่อนโยนบอก พร้อมผงกศีรษะเล็กน้อย
“ได้ค่ะ เชิญนั่งก่อนนะคะ” เธอตอบ หันหลังให้ชายหนุ่มที่ยังคงยืนมองตู้ใส่ขนม แล้วลงมือชงกาแฟอย่างสุดฝีมือ
“คุณทำร้านนี้คนเดียวหรือครับ” ลูกค้าหนุ่มดวงตาโตถามเธอ สายตาเขากวาดมองโดยรอบ เหมือนจะสนใจและชื่นชมบรรยากาศร้านพอสมควร
“ค่ะ”
“ร้านคุณสวยดีนะครับ”
“ค่ะ”
“ไม่ทราบว่าขนมพวกนี้คุณทำเองด้วยหรือเปล่าครับ”
“ค่ะ” ภัทรียายังคงตอบเช่นเดิม
นั่นคงทำให้ลูกค้าคนเดียวของร้านถอดใจที่คิดชวนเธอคุย ชายหนุ่มกลับไปนั่งยังโต๊ะกลม หันหน้าเข้ามาทางด้านในของร้าน
“ทำไมคุณถึงจะปิดร้านเสียล่ะ” เขาถามอีกครั้งตอนที่เธอยกขนมและกาแฟวางลงตรงหน้า
“คุณรู้ได้ยังไงคะ”
“ก็คุณติดป้ายไว้หน้าร้านว่าเปิดวันสุดท้าย”
“ใช่สินะ” ภัทรียาจึงนึกขึ้นได้ เมื่อเช้าเธอเองแหละที่คิดประชดชีวิต อยากเขียนป่าวประกาศให้ใครต่อใครได้เห็นว่า ร้านกาแฟที่ดีที่สุดในเมืองกำลังจะเหลือเพียงความทรงจำ “ร้านเจ๊งค่ะ”
“เสียดายนะ” ชายหนุ่มบอก ขณะที่ตักบราวนี่อุ่นร้อนใส่ปาก และหลับตาลง ขนตายาว คิ้วเข้มของเขาตัดกับผิวขาวและริมฝีปากแดงที่กำลังลิ้มรสชาติหวานหอมภายในปาก
ใช่เธอเองก็เสียดาย
“ฉันคงต้องฝึกฝีมือมากกว่านี้ค่ะ สักวันฉันคงจะสามารถเปิดร้านได้อีก คนที่นี่เอาแต่บ่นว่าขนมที่ฉันทำแพงไป พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมของพวกนี้ถึงต้องราคาแพง เพราะฉันใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุด ฝีมือฉันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเชฟขนมในกรุงเทพฯ” เธอบอก อยากระบายความผิดหวังที่ผ่านมาให้ใครสักคนได้ฟัง
แต่ลูกค้าของเธอไม่ได้สนใจฟังสักนิด เขาจิบกาแฟ และวางลงแก้วพร้อมส่ายศีรษะ “รสชาติบราวนี่คุณเข้มไปนิดนะครับ คุณใช้ช็อคโกแลต 100% ใช่ไหม พอกินคู่กับกาแฟเลยทำให้รสชาติมันยิ่งขม ถ้าคุณแนะนำให้ผมกินคู่กับนมร้อน อาจจะเข้ากันมากกว่านี้”
คำวิจารณ์จากชายหนุ่มแปลกหน้าทำให้ภัทรียาถึงกับหน้าชา “นี่คุณหาว่าขนมของฉันไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ”
“เปล่าครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม “ผมแค่พูดไปตามความรู้สึก ปกติแล้วผมเป็นพวกชอบของหวานอยู่แล้ว”
“ขอโทษด้วยค่ะ ที่มันไม่หวาน” หญิงสาวกระชากเสียง “ถ้าคุณไม่ชอบ ฉันก็จะไม่คิดเงินคุณ ไหน ๆ วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของร้าน ฉันถือว่าคุณเตือนสติให้ฉันรู้ว่าทำไมร้านฉันถึงเจ๊งก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอกครับ ให้ผมจ่ายเงินเถอะ คุณทำขนมใช้ได้นะ อีกอย่างผมยังอยากลองชิมขนมชิ้นอื่นด้วย” ผู้ชายขนตายาวยังคงส่งยิ้มให้เธอ “ไหน ๆ ผมก็อาจจะเป็นลูกค้าคนสุดท้ายของร้าน คุณคิดว่าผมจะมีความสามารถชิมขนมทุกชนิดในตู้หมดไหมครับ”
“ทั้งหมดเลยหรือคะ” ภัทรียาถามเขาอย่างแปลกใจ
“ครับ ปกติผมไม่กินเยอะหรอก แต่ผมอยากลองชิมฝีมือคุณก่อน...” ชายหนุ่มหยุดพูดแล้วยิ้มมุมปาก
ภัทรียาจ้องชายหนุ่มผู้เสนอว่าต้องการรับประทานทุกอย่างในตู้นั้นอย่างประหลาดใจ ถึงไม่เข้าใจเขา แต่พอรู้ว่ามีคนต้องการชิมขนมฝีมือเธอ ก็ทำให้ดีใจแล้ว เธอผงกศีรษะรับคำ ก่อนนำขนมอีกสามชนิดใส่ถาดมาให้ พร้อมด้วยนมสดอุ่นร้อนตามคำขอของนักชิมคนสุดท้าย
คงจะดีถ้าเขาเข้ามาก่อนที่เธอคิดจะปิดร้าน เธอมองผู้ชายขนตายาวรับประทานขนมทุกชนิดไปอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งทุกอย่างตรงหน้าสะอาดหมดจด
“คุณมีฝีมือนะครับ” เขาบอก พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง ซับริมฝีปากอย่างสุภาพ
“ขอบคุณค่ะ” เพียงเท่านี้หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวก็กลับพองโต
“ว่าแต่ว่า เลิกทำร้านนี้ แล้วคุณจะทำอะไรต่อครับ” ลูกค้าหนุ่มถาม หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋าเป้ แสดงความหมายให้เธอเดินมาคิดเงิน
“คงไปสมัครงานเป็นเชฟขนมตามโรงแรมมั้งคะ” ใช่ว่าเธอจะทิ้งความฝันไปทั้งหมด ในเมื่อใจยังต้องการทำขนมเธอย่อมต้องพยายามไป ต่อให้เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกกี่ครั้งก็ตาม
“หรือครับ เอาอย่างนี้ไหม...” ว่าแล้วเขาจึงยื่นนามบัตรใบหนึ่งให้ “...ผมพอมีคนรู้จักเปิดร้านอาหารอยู่ที่กรุงเทพฯ เขากำลังต้องการเชฟเบเกอรี่อยู่พอดี ถ้าคุณสนใจลองโทร. ติดต่อผมตามเบอร์นี้”
“ขอบคุณค่ะ” ภัทรียาตอบรับตามมารยาท เพราะเธอไม่คิดจะกลับไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงอีก จากหลายปีที่เข้าไปเรียนและทำงาน ทำให้เธอเข็ดขยาดกับร้านอาหารในโรงแรมใหญ่ใจกลางเมือง ห้องครัวที่วุ่นวาย เชฟที่ตะโกนด่าทอกันตลอดวันทำให้คนเงียบ ๆ อย่างเธออึดอัดใจ อีกทั้งชีวิตในเชียงใหม่ทำให้เธอสงบสุขมากกว่า
“หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะครับ” ชายหนุ่มขนตายาวบอกกับเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกไปจากร้าน
ใบหน้าหล่อจัด กับรูปร่างสูงผอม อีกท่วงท่าอันเปี่ยมเสน่ห์ เกือบทำให้ภัทรียาส่งยิ้มตอบรับ เพียงแต่เมื่อประตูปิดลงเธอกลับถอดถอนลมหายใจ หญิงสาวทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตัวที่ชายหนุ่มเพิ่งนั่ง ปล่อยให้หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเร็วกว่าปกติได้ผ่อนคลาย
คงเพราะคำพูดหวานหู เธอคิดตัดอารมณ์ก่อนหยิบนามบัตรขึ้นมาอ่าน “หม่อมหลวงภาคย์ ภาคินัย...ร้านกิ่งราชพฤกษ์ สีลม” ภัทรียาเบะปาก เอาเข้าจริงเธอไม่นึกอยากกลับไปผจญภัยในเมืองหลวงซ้ำสอง
รวมทั้งไม่ชอบบุคลิกที่สงบนิ่งนุ่มนวลดุจคุณชายของลูกค้าตาหวานคนนั้น เขาทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้องตอนที่เขามองมาแล้วอมยิ้ม
คงเป็นข้อดีที่ร้านเจ๊ง เพราะเธอจะได้ไม่ต้องพบกับเขาอีก ไม่ต้องมองใบหน้าหวานกับดวงตาเป็นประกายสวยเกินชาย แวบหนึ่งตอนที่เขาก้มลงช่างงดงามเหมือนภาพวาดเทวทูตกรีกโบราณ แต่อีกมุมหนึ่งเธอกลับรู้สึกเหมือนเขามีบางอย่างแอบแฝงไว้ภายใน จนรู้สึกสั่นไหวที่กลางอก
แต่เธอคงคิดมากเพ้อเจ้อไปเอง ภัทรียาสะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกประหลาดนั้นออกไป ในเมื่อเธอมีคนรักเป็นผู้หญิงสุดเท่อยู่เป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว เธอจะรู้สึกอะไรกับผู้ชายได้อย่างไร
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงโยนนามบัตรชายหนุ่มใส่ลิ้นชักเก็บเงินอย่างลวก ๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขใครคนนั้น คนที่จะเป็นกำลังใจให้เธอได้เวลาที่คิดถึง
“ฮัลโหล พี่ปิ่นยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ” หญิงสาวส่งเสียงใส เวลานี้เธอต้องการกำลังใจจากคนปลายสาย
“ยุ่งอยู่ มีอะไร”
เสียงห้าวกับน้ำคำห้วนสั้นทำให้ภัทรียาชะงักเล็กน้อย แม้ระยะหลังเธอจะไม่ค่อยมีเวลาให้รุ่นพี่ที่คบกันมากว่าสองปี แต่เธอยังคงส่งข้อความหาเขาอยู่สม่ำเสมอ “เวลานี้พี่ปิ่นไม่ได้พักเที่ยงอยู่หรือคะ”
“ยุ่งอยู่ไม่เข้าใจหรือไง” คนปลายสายตะคอกซ้ำ
“น้ำผึ้งขอโทษ น้ำผึ้งแค่จะโทรมาบอกว่า วันนี้น้ำผึ้งจะปิดร้านแล้วนะ” เสียงเขาทำให้หัวใจเธอยิ่งสั่น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับปิลันธ์หรืออย่างไร
“เออ แล้วจะทำไปอะไรกิน พี่ไม่มีเงินเลี้ยงน้ำผึ้งหรอกนะ”
“น้ำผึ้งว่าจะถามพี่ปิ่นอยู่เหมือนกันค่ะที่โรงแรมที่พี่ทำงานพอมีตำแหน่งเชฟว่างหรือเปล่า น้ำผึ้งอยากทำงานที่เดียวกับพี่ปิ่น”
“ไม่มี ไปหางานที่อื่นสิน้ำผึ้ง คนเป็นแฟนกันทำงานที่เดียวกันมันน่าเกลียด”
“ทำไมละคะ”
“เซ้าซี้จริง ไว้เราค่อยคุยกันวันหลัง พี่กำลังยุ่ง”
ไม่ทันที่ภัทรียาจะตอบอะไรกลับไป ปลายสายก็ตัดสัญญาณทิ้งอย่างรวดเร็ว หัวใจที่เจ็บปวดเหมือนถูกตอกย้ำให้ช้ำกว่าเดิม เธอปาดน้ำตาแห่งความน้อยใจทิ้ง และพยายามคิดแง่บวกอย่างที่เป็นเสมอมา
“พี่ปิ่นคงกำลังยุ่งจริง ๆ ไม่เป็นไรหรอก เขายุ่ง ไอ้น้ำผึ้งและตอนนี้แกต้องเก็บร้าน แกเองก็ต้องยุ่งเหมือนกัน” หญิงสาวปลอบใจตัวเอง
ครึ่งวันบ่ายภัทรียาจึงได้แต่ระบายความเศร้าไปกับการเก็บทำความสะอาดถ้วยกาแฟและจานชาม เก็บเค้กที่ขายไปเพียงอย่างละชิ้นใส่ลงกล่องกระดาษ ตั้งใจนำกลับไปให้คนงานที่บ้านบิดามารดายกเก้าอี้ขึ้นวางบนโต๊ะ ปิดเครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในร้าน กวาดเศษเงินรวมทั้งนามบัตรของชายหนุ่มเมื่อครู่ลงกล่องพลาสติกใบใหญ่
สุดท้ายแล้วจริง ๆ
หญิงสาวมองร้านเบเกอรี่ที่รักเป็นครั้งสุดท้าย อยากจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่เริ่มต้นขึ้น และกำลังจะจบลงให้ครบถ้วน แล้วจึงเลื่อนฉากอลูมิเนียมลงมาปิดประตูกระจกด้วยน้ำตาจากนี้ไปความฝันที่เคยสดใสจะถูกฝังไว้กับที่แห่งนี้ ภัทรียาเก็บของใส่รถยนต์คันเล็กแล้วเคลื่อนที่ออกไปพร้อมน้ำตานองหน้า
ไม่รู้เลยสักนิดว่าพรุ่งนี้ โชคชะตาจะนำพาให้เธอเป็นเช่นไร
ความคิดเห็น |
---|