เช้าวันนี้สดใสกว่าเช้าวันไหนในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเช้าที่ภัทรียาตื่นขึ้นพร้อมด้วยแรงกายแรงใจเต็มเปี่ยม เธอแต่งตัวด้วยกางเกงผ้าสีเขียวเข้มกับเสื้อยืดแขนยาวสีครีม ดูสว่างสดใสชวนมอง หวังให้เป็นที่น่าประทับใจกับเพื่อนร่วมงานใหม่ หญิงสาวเดินทางถึงร้านอาหารตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงเช้าเพื่อรอคอยชายหนุ่มที่นัดหมายไว้ เพียงแต่หม่อมหลวงนิสัยไม่ดีกลับเดินทางมาถึงร้านก่อนหน้า แถมยังทำหน้าตาน่าหมั่นไส้ยั่วโมโหเธอ
“ผมมาเร็วกว่า” ผู้ชายสุดหล่อบอก พลางหยิบกาแฟร้อนจิบสบายอารมณ์
“แต่ฉันมาตรงเวลาค่ะ” เธอตอบ สายตามองบรรยากาศภายในร้านอาหารที่พนักงานสองคนกำลังจัดขนมวางบนเคาน์เตอร์เบเกอรี่ ใจที่ตื่นเต้นยิ่งโลดแล่น อยากลงมือทำงานเสียเดี๋ยวนี้ “จะให้ฉันเริ่มงานเลยไหมคะ”
“เดี๋ยวก่อน รอคุณอรวสาก่อน เธอเป็นผู้จัดการร้าน น้ำผึ้งกินอะไรมาหรือยัง”
“กินแล้วค่ะ” หญิงสาวแทบนั่งไม่ติด มองพนักงานที่กำลังทำงานไม่วางตา “ฉันอยากทำงานแล้ว”
“ไฟแรงนะเรา” เขาบอก ชอบที่หญิงสาวยิ้มกว้างจนแก้มปริ เธอดูเปล่งประกายกว่าปกติจนเขารู้สึกเจริญอาหาร ชายหนุ่มยักคิ้วยั่วเย้าเธอแล้วจึงรับประทานอาหารเช้าตรงหน้า
“คุณมารับประทานมื้อเช้าที่ร้านทุกวันเลยหรือคะ” ภัทรียาถาม อารมณ์ดีจนลืมไปว่าหมั่นไส้เขา
“เปล่า วันนี้มาเพราะน้ำผึ้งนั่นแหละ”
“เพราะคุณลุงคุณชายสั่งเหรอคะ” หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
“ใช่ คุณลุงสั่งมา” แต่เขาก็เต็มใจ เพราะทำให้ได้เห็นรอยยิ้มของผู้หญิงตรงหน้า บางทีเขาอาจจะต้องรุกจีบเธอมากขึ้น ให้เธอรู้ไปว่าผู้ชายอย่างเขาวอแวเธอเพราะอะไร
ภัทรียาเกือบหลุดปากย้อนคำชายหนุ่มไปแล้ว เพียงแต่เธอเห็นหญิงสาวผมยาว ตาโต จมูกโด่ง ใบหน้าได้รูปสวยจัด รูปร่างทรงนาฬิกาทรายสุดเซ็กซี่ผลักประตูเข้ามาภายในร้านอาหาร ดวงตากลมมองมาที่เธอแล้วจึงละไปทางชายหนุ่ม
“คุณภาคย์มาแต่เช้าเชียวนะคะ” หญิงสาวคนนั้นส่งเสียงหวานใสทักทายชายหนุ่มแต่ไกล
ภัทรียารู้สึกเหมือนถูกผู้หญิงคนนั้นกลอกตาใสตอนที่หล่อนมองเธอ ก่อนหันกลับไปส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้หม่อมหลวงภาคย์ขณะที่ร่างอวบนั่งลงด้านข้างชายหนุ่ม
มองด้วยสายตาแบบนี้...ชอบเขาอยู่แน่ ๆ ภัทรียาคิดสงสัย
“ครับอร นี่น้ำผึ้งครับ ที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าเธอจะมาทำงานตำแหน่งเชฟเบเกอรี่ น้ำผึ้งนี่พี่อร อรวสา เป็นผู้จัดการร้าน”
ภัทรียายกมือไหว้ผู้หญิงตรงหน้า แต่อรวสากลับทำเป็นเมินไม่สนใจแม้จะเหลียวมองเธอด้วยซ้ำ
“ค่ะ คุณภาคย์ อรจะดูแลให้”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มบอก “น้ำผึ้งเองก็ตั้งใจทำงานนะครับ”
“ค่ะ ฉันจะตั้งใจทำงาน แค่คุณภาคย์มาส่งทำงานวันแรก ฉันก็มีกำลังใจทำงานไปทั้งวันแล้วค่ะ” ภัทรียาแกล้งหยอกเขากลับ
“ดีมากทำหน้าแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” ชายหนุ่มยิ้ม ดีใจที่หญิงสาวกระตือรือร้น ถ้าไม่มีคนอื่นนั่งอยู่ด้วยเขาคงยกมือจับศีรษะเธอเขย่าแล้ว
น่ารัก หญิงสาวคิดใจสั่นเมื่อได้รับคำชมจากผู้ชายนิสัยไม่ดี เธอพยายามตั้งสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว อยากสร้างระยะห่างกับเขาไว้ ไม่เช่นนั้นอาการตื่นเต้นมือไม้สั่น หายใจไม่ออก แปลกประหลาดในอกจะกลับคืนจนยากจะควบคุม หญิงสาวหุบยิ้มแล้วจึงมองไปยังคุณผู้จัดการร้านคนสวยที่นั่งหลังตรงคอตั้ง มองเธอด้วยหางตา
“เดี๋ยวร้านจะเปิดแปดโมง อรต้องพาน้องคนนี้ไปแนะนำงานแล้วค่ะ”
“งั้นไปเลยค่ะ” ภัทรียาเห็นด้วยกับคุณผู้จัดการ หากนั่งอยู่นานกว่านี้คงได้ปะทะคารมกับชายหนุ่มอีกยก
“คุณภาคย์คะ ถึงน้องเขาจะเป็นคนของคุณแต่ฉันก็ต้องให้เธอทำงานตามกฎของร้านนะคะ” ผู้จัดการสาวคุยกับชายหนุ่มโดยที่ไม่สนใจภัทรียาสักนิด
เหมือนคุณอรวสากลอกตาอีกแล้ว ภัทรียานิ่วหน้า ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหล่อนจึงมีทีท่าแข็งกระด้างนัก “น้ำผึ้งทำงานได้ทุกอย่างค่ะ”
ครั้งนี้คุณผู้จัดการถอนหายใจแรงเหมือนรำคาญก่อนตอบตัดบท “ค่ะ”
“อดทนทำงานนะน้ำผึ้ง ผมเป็นกำลังใจให้”
ชายหนุ่มทำให้ภัทรียายิ้มกว้าง หัวใจเต้นแรง ความรู้สึกปะปนระหว่างจะได้เริ่มทำงาน และตื่นเต้นที่เจ้าของดวงตาหวานหยอดให้กำลังใจ
“ขอบคุณค่ะ”
อรวสาจับตามองหญิงสาวรูปร่างผอม ใบหน้าสวยน่ารัก เสียงใสเหมือนใส่จริตทำให้ผู้หญิงวัยสามสิบสี่ที่ผ่านการหย่าร้างรู้สึกหมั่นไส้ ยิ่งท่าทางกระตือรือร้นจนเกินเหตุต่อหน้าหม่อมหลวงภาคย์ อีกทั้งคำฝากฝังของบุรุษผู้เป็นขวัญใจมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้อรวสารู้สึกเหมือนมีปลายเข็มหมุดเล็ก ๆ มาสะกิดเบา ๆ ที่ตรงหัวใจ เหมือนเขาตั้งใจให้หล่อนถอดใจจากความภักดีที่มีให้เสมอมา โดยเฉพาะสายตาที่เขามองเธอช่างแตกต่างกับสายตาที่มองเด็กคนนี้ยิ่งนัก
“มาทำงานร้านนี้เธอต้องตั้งใจทำงาน อย่าคิดว่าตัวเองเส้นใหญ่” อรวสาบอกภัทรียาที่เดินตามหลัง โดยไม่คิดจะมอง
“ค่ะ แต่ฉันไม่มีเส้นอะไรหรอกค่ะ” หญิงสาวที่ปกติจะถูกชะตากับเพศเดียวกันมากกว่าเพศชายตอบ ใจคอเริ่มหวั่นว่าคนตรงหน้าคงไม่ชอบขี้หน้าเธอนัก พยายามท่องนะโมสามจบ เมื่อคิดว่าต้องร่วมงานกับผู้หญิงไร้มนุษยสัมพันธ์ตรงหน้าไประยะใหญ่
“คิดแบบนี้ก็ดีแล้ว ตามฉันมาในครัว เดี๋ยวฉันจะแนะนำคนอื่น ๆ ให้รู้จัก”
พนักงานกว่าสิบชีวิตต่างมองภัทรียาเป็นตาเดียว เมื่อหญิงสาวก้าวขาผ่านประตูเข้าสู่ครัวใหญ่สีขาวสะอาดซึ่งอยู่ด้านหลังของห้องอาหาร คนเหล่านั้นซุบซิบกันเล็กน้อยเมื่ออรวสาแนะนำชื่อและตำแหน่งที่เธอจะเข้ามาร่วมงาน ก่อนจะแนะนำบรรดาพนักงานเสิร์ฟมากประสบการณ์ ตั้งแต่ ป้าสมร กับลูกสาวรุ่นเดียวกับเธอชื่อเอ๋ อีกทั้งพี่นิด และพี่ฤดี พนักงานวัยกว่าสี่สิบซึ่งเคยพบเธอเมื่อวันก่อน ดูเหมือนทั้งสองจะจำได้ว่าภัทรียาคือคนที่สาดน้ำส้มใส่คุณหม่อมหลวงสุดหล่อของพวกเขา จนถึงเชฟคาวหวานมือฉมังที่อายุรวมกันเกือบห้าร้อยปีอย่างป้าลี่ ป้าฉิง ป้าตุ่ม และเชฟอัฐ ซึ่งเป็นชายเดียวในห้องครัว ทั้งพนักงานอื่น ๆ ที่ภัทรียาเองก็ยากจะจำชื่อได้ในคราวเดียวอีกหลายคน
“สวัสดีค่ะทุกคน น้ำผึ้งนะคะ ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยค่ะ” หญิงสาวกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม ซึ่งทุกคนตรงหน้าต่างยิ้มแย้มเป็นการต้อนรับเช่นกัน
ยกเว้นอรวสาที่ปล่อยลมหายใจคล้ายรำคาญ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันยังไม่ให้เธอเข้าครัว เป็นกฎของร้านเรา พนักงานใหม่ทุกคนต้องเริ่มงานทำความสะอาดก่อนวันนี้ไปล้างจานกับนายอ่อน ถ้าทำได้ดีเมื่อไหร่ฉันจะให้เธอไปเรียนรู้งานอื่น” เจ้าของสายตาเฉยเมยบอก แล้วหมุนตัวไปหยิบถุงมือยางสีส้มคู่ใหญ่ส่งให้ภัทรียา
“แต่ว่า...” อยากจะเถียงกลับไปว่าเธอเป็นเชฟ ไม่ใช่พนักงานทำความสะอาด แต่คำพูดของบิดาที่เคยกล่าวหาว่าเธอหยิบโหย่ง ไม่สู้งานยังดังก้องในหัว ทำให้หญิงสาวยั้งปาก และรับถุงมือมากอดไว้อย่างเสียไม่ได้ “...ค่ะ”
“แต่น้ำผึ้งเป็นคนของคุณชายเชียวนะพี่อร จะให้คุณเขาล้างจานเหรอ” เอ๋ถาม จับความรู้สึกได้เช่นกันว่าอรวสาไม่ชอบภัทรียา
“ไม่เป็นไรฉันทำได้ค่ะ” เธอรีบบอก ไม่อยากมีปัญหาตั้งแต่ทำงานวันแรก
“ดีแล้ว กฎย่อมเป็นกฎ ไม่มียกเว้น ถ้าเอ๋จะช่วยก็เข้ามาช่วยแล้วกัน แต่เธอก็มีงานเยอะไม่ใช่เหรอเอ๋”
เหมือนมีก้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาจุกที่ลำคอภัทรียา เธอได้แต่ยิ้มเจื่อนให้เพื่อนร่วมงานใหม่ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกลับไปทำงานตามหน้าที่เมื่อถึงเวลาเปิดร้าน เหลือเพียงหญิงสาวกับเด็กหนุ่มวัยรุ่นตัวผอมแห้ง บุคลิกเหมือนเด็กแว้นซึ่งรับหน้าที่ทำความสะอาด
“หวัดดีเจ๊ ผมชื่ออ่อน แต่จริง ๆ ไม่ได้อ่อนนะครับ ฝีมือถูพื้น กับล้างจานของผมไม่มีใครเทียบติด เดี๋ยวผมสอนงานให้เจ๊เอง” เขาแนะนำตัวเสียงขึ้นจมูก ดูภาคภูมิใจกับหน้าที่สำคัญ
“จ้ะ” เธอตอบ รู้สึกขนลุกเมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้
นายอ่อนยังคงโม้วิธีการถูพื้น และล้างจานชามอย่างมืออาชีพ ตั้งแต่การแยะเศษอาหารลงถังขยะ การผสมน้ำยาล้างจาน ชนิดฟองน้ำที่ใช้ในการล้างแก้ว ล้างจาน ไปจนถึงการล้างกระทะใบโต เพียงไม่นานหญิงสาวก็สามารถหัวเราะกับลีลาการล้างจานของเด็กหนุ่มได้ เธอรับอาสาล้างจานชามด้วยตนเอง แม้ช่วงเช้างานที่ทำจะมีไม่มากนัก แต่เมื่อผ่านช่วงสิบเอ็ดโมงไปแล้ว มือสองข้างของภัทรียาแทบมิว่างเว้นจากอ่างล้างจาน ส่วนเด็กหนุ่มจึงรับหน้าที่ทำความสะอาดพื้นไปอย่างสบายอารมณ์ จนกระทั่งเกือบหนึ่งทุ่มที่จานทุกใบถูกจัดวางเตรียมใช้งานวันรุ่งขึ้น
“เรียบร้อย” หญิงสาวยืนเท้าเอวมองกองจานสีขาวสะอาดที่ซ้อนกันสวยงาม ภูมิใจเล็ก ๆ ที่สามารถผ่านวันอันยาวนานมาได้โดยไม่มีอะไรแตกหัก
“เก่งมากเลยเจ๊” เด็กหนุ่มผู้ทำงานอยู่ด้วยกันทั้งวันเอ่ยปาก “เดี๋ยวผมกลับบ้านก่อนนะเจ๊ ต้องไปกินข้าวพร้อมเมียกับลูก”
“อ่อนมีลูกแล้วเหรอ” ภัทรียาทำตาโตประหลาดใจ
“จะขวบแล้วเจ๊”
โห...ทำไมมีลูกเร็วจัง หญิงสาวได้แต่คิด มองเด็กหนุ่มนำอาหารสำหรับพนักงานที่เหลือในถาดใส่กล่องพลาสติก
“เดี๋ยวพี่ล้างให้ อ่อนไปเถอะ” อย่างน้อยเธอก็ไม่มีใครรอคอยให้กลับบ้าน
“ขอบใจนะเจ๊”
เมื่อหนุ่มตัวผอมแห้งกลับไป หญิงสาวจึงเก็บกวาดของที่เหลืออยู่รอบ ๆ อ่างล้างจานใส่ถุงขยะอีกครั้ง และล้างถุงมือยางที่สวมมาตลอดวันตาก เรียบร้อยแล้วเธอจึงออกมาจากห้องเก็บจานไปยังครัวเบเกอรี่ที่อยู่ติดกัน ซึ่งป้าลี่ กับเชฟอัฐ กำลังเตรียมแป้งขนมปังที่นวดเสร็จใส่อ่างสแตนเลสเพื่อหมักไว้ใช้วันรุ่งขึ้น
“ให้หนูช่วยได้ไหมคะป้า” คนเห็นงานโปรดถามเสียงใส ลืมความอ่อนล้าที่ผ่านมาทั้งวัน
“ไม่เป็นไรจ้ะ เรียบร้อยแล้ว” ป้าลี่ที่เพิงนำผ้าขาวบางสะอาดคลุมบนอ่างตอบ ใบหน้าอวบมีรอยยิ้ม “ถ้าอยากมาลองฝีมือ พรุ่งเช้ารีบมานะหนู”
“ค่ะป้า” เธอตอบกระตือรือร้น
“พี่ก็อยากชิมฝีมือทำขนมของน้องผึ้งเหมือนกัน ไม่รู้คุณอรจะตั้งแง่อะไรนักหนา ทั้งที่รู้ว่าป้าลี่สุขภาพไม่ค่อยดี อยากได้คนมาช่วยเพิ่ม ทำไมต้องไปทำอะไรไร้สาระนั่นด้วย” อัฐ เชฟหนุ่มร่างสูงใหญ่วัยสามสิบบ่นอุบ มือก็จัดเก็บของใส่ตู้เย็นไปเรื่อย ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าน้ำผึ้งจะรีบมาช่วยนะคะ” หญิงสาวตอบตาวาว
กำลังใจภัทรียาขยับขึ้นมาอีกหลายระดับ เมื่อเพื่อนร่วมงานต่างมีไมตรี ยอมให้เธอช่วยงานที่ถนัด หญิงสาวช่วยทั้งสองเก็บของและทำความสะอาด ปิดครัวอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะขอตัวกลับตามเส้นทางรถไฟฟ้า แม้งานวันแรกจะค่อนข้างหนัก แต่นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเธอนัก หากไม่ได้หม่อมหลวงตาหวาน เธอคงไม่ได้มายืนยิ้มอยู่แบบนี้ หญิงสาวอารมณ์ดีคิด หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้น ส่งข้อความไปยังหมายเลขผู้มีพระคุณเบอร์หนึ่งที่ช่วยเหลือ
ขอบคุณนะคะคุณภาคย์...แม้เป็นข้อความสั้น ๆ แต่หญิงสาวกลับรู้สึกกังวลเมื่อหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นสัญลักษณ์ว่าปลายทางได้อ่านแล้ว เพียงแต่ไม่มีสัญญาณใดว่าชายหนุ่มจะตอบกลับมา
“ช่างเขา จะไม่ตอบก็เรื่องของเขา” เธอบ่นขัดใจ
กลางอกรู้สึกวูบไหวคล้ายใจหาย แต่พยายามข่มอารมณ์ไว้ไม่ให้เข้ามาขัดขวางความสัมพันธ์ที่มีฉันท์เพื่อนกับชายหนุ่ม ที่เขายั่วเย้าหยอดคำหวานทุกครั้งที่พบกัน คงเป็นเพราะนิสัยชอบกระเซ้าเย้าแหย่ เกิดความสนิทสนมง่ายดาย เพื่อให้เธอยินดีรับงานที่เขาเสนอ
ภัทรียาเดินเหม่อ ๆ จนกระทั่งถึงห้องพัก อาบน้ำสระผมให้ร่างกายผ่อนคลาย ความเหงาหงอยเมื่อต้องอยู่ตามลำพังถูกความเหนื่อยกายเข้ากลบเกลื่อนจนเกือบผล่อยหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน แต่ก่อนที่หญิงสาวจะหลับตาลงเสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชื่อหม่อมหลวงหนุ่มปรากฏขึ้นให้เธอมีรอยยิ้ม เหมือนหัวใจถูกเปิดแง้มให้มีพลัง
“สวัสดีค่ะ” เธอตอบรับ มองเพดานภายในห้องที่มืดสนิท
“หลับไปหรือยัง” คนปลายสายถาม น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลเช่นเดิม
“กำลังจะนอนแล้วค่ะ”
“เมื่อหัวค่ำผมยังติดประชุมเลยไม่ได้ตอบข้อความ วันนี้ทำงานเป็นไงบ้างครับ”
ชวนให้คนฟังหวั่นไหว เมื่อรับรู้ถึงห่วงใยจากชายหนุ่ม “ก็ดีค่ะ แต่เหนื่อยเหมือนกัน ร้านคนเยอะมาก”
“ต่างจากที่ร้านเก่าที่เจ๊งใช่ไหม”
“คุณภาคย์! อย่าตอกย้ำสิ” แต่ครั้งนี้เธอกลับหัวเราะไปกับชายหนุ่มได้โดยไม่นึกเจ็บปวด “ฉันไม่น่าส่งข้อความไปเลย”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ทำให้คุณมาพูดตอกย้ำฉันได้ไง”
“แต่ผมดีใจนะ”
“ดีใจอะไร”
“เพราะร้านเจ๊ง ถึงทำให้ผมได้อยู่ใกล้กับน้ำผึ้งไง”
“บ้า...” อยู่ดี ๆ เขาเล่นมาหยอดคำหวาน หัวใจเธอก็พานสั่นได้เหมือนกัน
“ว่าผมบ้าเหรอ เดี๋ยวจะโดน”
“บ้า ๆ ทำอะไรฉันได้” เขาทำให้เธอหัวเราะได้ น้ำเสียงอบอุ่นแฝงเย้าหยอกกำลังมีผลกับความรู้สึก แต่เธอต้องยับยั้งไว้...เพิ่งอกหักไปไม่นาน ไม่เข็ดหรือไง หญิงสาวหยุดหัวเราะก่อนตัดบทสนทนา “คุณทำอะไรอยู่ ฉันจะนอนแล้ว”
“ผมกำลังขับรถกลับบ้าน แต่เดี๋ยวจะถึงแล้วล่ะ น้ำผึ้งนอนเถอะครับ”
อยากถามต่อไปว่าเขาพักอยู่ที่ใด ทำงานอะไรนักหนา เหนื่อยไหม ทำไมต้องกลับดึกดื่นถึงเพียงนี้ แต่ภัทรียาตอบกลับได้เพียง “ค่ะ ขับรถดี ๆ นะคะ”
“ครับ นอนหลับฝันดี”
เท่านี้หญิงสาวผู้เหนื่อยเพียงกายก็พลันอมยิ้ม เลือดจากหัวใจสูบฉีดขึ้นจนแก้มแดงร้อนผ่าว แม้สัญญาณโทรศัพท์จะตัดไปแล้ว แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มยังคงดังก้องอยู่ในห้วงฝัน
ถ้าเจอแบบนี้ทุกวันเธอคงใจละลาย
คนพร้อมฝันดีนอนยิ้มกรุ้มกริ่ม มีแรงพร้อมทำงานวันรุ่งขึ้นอีกเหลือเฟือ
วันรุ่งขึ้นภัทรียารีบตื่นแต่เช้า เดินทางไปร้านอาหารตั้งแต่ก่อนเจ็ดนาฬิกาเพื่อช่วยเป็นลูกมือกับสองเชฟตามที่สัญญาไว้ กลิ่นหอมของเนย วนิลา ช่วยให้เช้าวันใหม่ของหญิงสาวกระชุ่มกระชวย เป็นกำลังให้เธอพอจะกลับไปทำหน้าที่ทำความสะอาดได้ อีกทั้งคำชมเชยจากป้าลี่ก็พอทำให้เธออดทนกับวาจาของอรวสา ซึ่งเข้ามาค่อนขอดหาว่าเธอทิ้งงานที่ได้รับมอบหมาย ผ่านช่วงสายหญิงสาวจึงกลับไปยังห้องซักล้าง ซึ่งจานชามเริ่มกองรวม รอคอยให้ทำความสะอาด
เพียงแต่ถุงมือที่เธอพาดไว้ข้างอ่างล้างจานกลับหายไป แม้แต่อ่อนก็ปฏิเสธว่าไม่เห็นมันวางไว้ตั้งแต่ช่วงเช้า นั่นทำให้ภัทรียาจำต้องใช้มือเปล่าทำความสะอาดเครื่องใช้ในครัวเหล่านั้น แม้จะเป็นวันธรรมดา แต่พอถึงช่วงเที่ยงวัน จานชามก็ยังคงมากมาย มือที่ไม่เคยต้องสารเคมีทั้งแสบทั้งระคาย แต่อย่างไรเธอย่อมท่องคำว่าอดทนไว้ในใจ
เพล้ง
“โอ้ย!”
เสียงบางอย่างตก ตามด้วยเสียงร้องของภัทรียา เมื่อแก้วทรงสูงที่เธอกำลังล้าง ลื่นหลุดมือไปกระแทกกับแก้วอีกใบในอ่างใหญ่ ทำให้เศษแก้วที่แตกออกกระเด็นบาดฝ่ามือ เลือดแดงจากรอยแผลยาวกว่าหนึ่งเซนติเมตรไหลออกมาตามน้ำที่ไหลผ่าน
“เจ๊ เป็นอะไรหรือเปล่า” เด็กหนุ่มที่กำลังขัดกระทะรีบปิดน้ำและเข้ามาถามด้วยอาการตกใจ
“แก้วบาดนิดหน่อยอ่อน” เธอกำมือแน่น แต่เลือดยังคงไหลออกมาให้ใจหาย
“เจ๊ล้างมือ ไปนั่งก่อนเดี๋ยวผมเก็บเศษแก้วให้”
“ขอบใจอ่อน พี่นี่ซุ่มซ่ามชะมัด” หญิงสาวแบมือดูบาดแผลที่อยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง เลือดแดงยังไหลชวนให้ใจหวิว ก่อนดึงกระดาษชำระจากม้วนมาพันไว้ หวังให้เลือดหยุดไหลเอง
“เจ๊ไปนั่งเลย” เด็กหนุ่มคะยั้นคะยอเธอ
ภัทรียาพยักหน้ารับ ปลีกตัวนั่งลงที่เก้าอี้หน้าห้องซักล้าง กัดฟันอดทนกับความเจ็บแสบที่เกิดขึ้นบนฝ่ามือ “ซุ่มซ่ามจริงฉัน” เธอบ่น กดแผลไว้แน่น
“มานั่งอู้อะไรตรงนี้” ผู้จัดการร้านหน้าตาสวยเดินเข้ามาถามด้วยท่าทางดุจนางพญา จ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา ริมฝีปากแดงเหยียดตรงเหมือนไม่พอใจ
“ฉันออกมานั่งพักค่ะ”
“ยังไม่ถึงเวลาพัก ฉันต้องจับตาดูเธอไว้ ทำงานไม่คุ้มเวลาแบบนี้ฉันก็ไม่อยากให้คุณชายจ้างเธอมาเป็นภาระหรอก” อรวสาส่งเสียงแหลมดังลั่น
โอ๊ย...นี่มันวันซวยหรือไง ภัทรียาถอนหายใจ ยกมือข้างที่เลือดออกขึ้นมาให้คนที่ยืนเท้าเอวจ้องตาเห็น “ฉันถูกเศษแก้วบาดค่ะ เดี๋ยวเลือดหยุดไหลเมื่อไหร่จะกลับเข้าไปทำงานต่อ”
“เธอทำแก้วแตกเหรอ แก้วมีก้านหรือเปล่า แบบนี้ฉันต้องหักเงินเธอ” อรวสาถามหาเรื่อง “ของเสียหายแบบนี้ มันน่าจ้างไหมเนี่ย”
ฟังแล้วภัทรียายิ่งใจสั่น ท่าทีของอรวสาชัดเจนว่ารังเกียจเธอจนต้องยอมรับว่าถูกเกลียดขี้หน้าโดยไม่รู้สาเหตุ
“ก็หักเงินไปค่ะ” เธอตอบ
“ฉันหักอยู่แล้ว ร้านจะไม่ยอมเสียประโยชน์เพราะเด็กไม่เป็นงานอย่างเธอหรอก แล้วไปทำแผลซะ เลือดหยุดไหลเมื่อไหร่ก็กลับไปทำงาน” หญิงสาววัยสามสิบสี่บอกเสียงแข็ง ไม่ชอบแววตาใสกระจ่างดุงกวางซื่อไร้เดียงสาของภัทรียา อีกทั้งท่าทางมั่นใจแบบคนหยิ่งยโสยิ่งทำให้อยากกดหัวเด็กตรงหน้าให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ค่ะ” หญิงสาวก้มมองกระดาษที่ซับเลือด ดูเหมือนบาดแผลจะไม่สมานตัวง่าย ๆ เพราะเลือดยังคงซึมออกมาจากแนวเล็ก ความปวดระบมทำให้อารมณ์ชักหงุดหงิด ไม่อยากมองหน้าคนหาเรื่อง
อรวสาเบะปากก่อนสะบัดหน้าใส่หญิงสาว ชะโงกหน้าเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังเก็บเศษแก้วใส่ถังขยะ “อ่อน เธอจดไว้ด้วยนะว่าเขาทำอะไรแตก เสียหายไว้บ้าง”
ภัทรียาได้แต่นั่งกลอกตา ไม่อยากฟัง ไม่อยากมองผู้จัดการร้านจอมเผด็จการ และเมื่ออรวสาเดินไปหาเรื่องคนอื่น ๆ ในห้องครัว อ่อนจึงออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“เจ๊ ไปทำแผลกัน วันนี้ไม่ต้องล้างจานแล้วนะเจ๊ เจ๊อรเหมือนคนบ้า แต่อย่าไปถือสาอะไรแกเลย แกเป็นหม้ายผัวทิ้ง หวังจับคุณภาคย์แต่คุณภาคย์ไม่สนใจแก ยิ่งเจ๊มาทำงานที่นี่ด้วย เจ๊อรเลยรู้สึกว่าเจ๊เป็นคู่แข่ง”
“ฉันเนี่ยนะเป็นคู่แข่ง”
“เออสิ เจ๊เด็กกว่า สวยกว่า เจ๊อรเป็นไหน ๆ แถมยังเป็นเด็กเส้นคุณชาย แบบนี้เจ๊อรก็ต้องคิดแหละว่าเจ๊ตั้งใจเข้ามาแข่ง แต่ผมเชียร์เจ๊นะ” เด็กหนุ่มตัวผอมบอก “ผมบอกเจ๊เอ๋ไว้แล้ว เจ๊เข้าไปทำแผลเถอะ”
หญิงสาวหัวเราะกับการคาดเดาไปเองของเพื่อนร่วมงาน เธอไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพนักงานตามที่เพื่อนร่วมงานวัยรุ่นบอก ในห้องมีหญิงวัยเดียวกับเธอนั่งอยู่ข้างกล่องพยาบาล
“โดนแก้วบาดตรงไหนคะคุณผึ้ง” เอ๋ พนักงานเสิร์ฟลูกสาวของป้าสมรถาม “เมื่อกี้อ่อนวิ่งมาบอกให้ฉันทำแผลให้คุณ”
“ที่ฝ่ามือค่ะ นิดหน่อยเอง ใส่ยาแปะพลาสเตอร์ก็หาย” เธอนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามเอ๋ ส่งมือให้เพื่อนร่วมงานผิวขาวที่มีรอยยิ้มบนใบหน้ากลม
“จ้ะ แผลไม่ยาวแต่เหมือนจะลึกนะคะคุณผึ้ง แน่ใจนะว่าแค่ปิดพลาสเตอร์พอ เดี๋ยวฉันพันผ้าก๊อชไว้ให้ดีกว่า”
“แต่ถ้าพันผ้าฉันก็จะทำงานไม่สะดวกนะ” คนกังวลแย้ง ไม่อยากให้ใครมองว่าเธออ่อนแอ
“ไม่สะดวกก็ไม่สะดวกสิ คนเจ็บจะทำงานได้ไง อย่าบอกนะว่าคุณอรสั่งให้ทำงานต่อ” คนเคยผ่านประสบการณ์แย่ ๆ กับอรวสามาก่อนถาม
ภัทรียาส่ายศีรษะ มองเอ๋ที่จัดการนำสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดรอบบาดแผลอย่างหวาดเสียว และเมื่อความแสบระคายจากฤทธิ์ยาลดลงเธอจึงอธิบายความตั้งใจ “ฉันเกรงใจ เพิ่งมาทำงานวันที่สองก็เรื่องมากแล้ว อีกอย่างฉันอยากให้คุณอรยอมให้ฉันเข้าไปทำขนมเสียที ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะต้องล้างจานไปอีกนาน”
“แล้วทำไมคุณผึ้งไม่บอกคุณภาคย์ล่ะ ว่าคุณอรให้คุณผึ้งล้างจาน ไม่ยอมให้ทำงานเชฟ คุณอรเผด็จการ ชอบกดหัวคนอื่น ถือว่าตัวเองเป็นเพื่อนคุณภาคย์ ไม่รู้ซะแล้วว่าคุณผึ้งเป็นถึงแฟนคุณภาคย์”
“ไม่ใช่แล้วเอ๋ ฉันไม่ได้เป็นแฟนคุณภาคย์” ภัทรียารีบเถียง ไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจผิด
“อ้าว แล้ววันนั้นที่เอ๋เห็นคุณผึ้งสาดน้ำใส่หน้าคุณภาคย์ ไม่ใช่เพราะทะเลาะกันเหรอ”
“ก็...” เธอไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์เหล่านั้นได้อย่างไร อีกทั้งคนนั่งตรงข้ามยังเสริมเติมแต่งจินตนาการต่อไปอย่างบรรเจิด
“เอ๋จำคุณผึ้งได้ วันรุ่งขึ้นคุณยังมาพบคุณชาย ถ้าคุณไม่ใช่คนพิเศษแล้วจะเรียกอะไร แต่ไม่เป็นไรถ้าคุณผึ้งเขิน ฉันก็จะไม่ถามอีก” เอ๋หัวเราะร่วน แก้มกลมแดงอย่างอารมณ์ดี
แต่เธอจะปล่อยให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจผิดไปอย่างนั้นเหรอ? หญิงสาวพยายามหาจังหวะแก้ไข แต่เอ๋ที่ปิดบาดแผลให้ยังคงพูดจาต่อไม่เว้นช่องให้เธอแก้ตัว
“แล้วทำไมคุณผึ้งไม่ใส่ถุงมือ” เอ๋ถามต่อไป
“มันหายไปไหนไม่รู้”
“อ้าว ใครเอาไปล่ะ เอาอย่างนี้เดี๋ยวฉันไปบอกแม่ให้ อย่างน้อยทำงานต้องมีถุงมือ ไม่อย่างนั้นมือพังก่อนได้ทำงานจริง ๆ”
“ขอบใจจ้ะเอ๋” หญิงสาวบอก รู้สึกดีที่อย่างน้อยยังมีเพื่อนร่วมงานที่ต้อนรับพนักงานใหม่เช่นเธอ
ดังนั้นเอ๋จึงวิ่งไปบอกกับป้าสมรเพื่อเบิกถุงมือยางอันใหม่ให้กับภัทรียา เพื่อเธอจะได้ใช้ทำงานต่อไปได้ ถึงได้ถุงมืออันใหม่มาแล้ว แต่อ่อนกลับไม่ยอมให้เธอแตะต้องฟองน้ำล้างจานอีก เด็กหนุ่มยังคงยืนยันให้หญิงสาวทำเพียงเท แยกเศษอาหารลงถังขยะเท่านั้น โดยที่เขารับอาสาจัดการล้างจานเองทั้งหมด
“โธ่เจ๊ ก่อนเจ๊มาผมก็ทำเองทั้งหมด แค่นี้ผมทำได้ เจ๊แยกขยะเสร็จผมให้เจ๊กลับบ้านได้” เธอถูกเด็กหนุ่มวัยละอ่อนสั่ง
นั่นทำให้ภัทรียาคอตก แต่เรื่องอะไรเธอจะกลับห้องพักนั่งหง่าวให้เสียเวลา หญิงสาวจึงเสนอหน้าเข้าไปขอช่วยป้าลี่ กับเชฟอัฐ หยิบนู่นหยิบนี่ ดีกว่ารอคอยเวลาโดยเปล่าประโยชน์
“หนูน้ำผึ้งนี่ขยันจริง ๆ ขนาดมือเจ็บยังอุตส่าห์มาช่วยป้า” เชฟวัยกว่าหกสิบเอ่ยปากชม “นี่ถ้าคุณอรให้หนูเลื่อนมาช่วยป้าได้เมื่อไหร่ ป้ากับอัฐคงสบายขึ้นเยอะ”
“ใช่ครับ คุณน้ำผึ้งคล่องแคล่วกว่าเชฟรุ่นเดียวกันที่เคยเข้ามาฝึกงานตั้งเยอะ ไม่รู้ทำไมคุณอรถึงดูไม่ออก” เชฟวัยสามสิบปีเสริม แม้เขาร่วมงานกับป้าลี่มากว่าสามปี แต่ถ้าผู้อาวุโสจะเกษียณออกไป เหลือเพียงเขาเป็นเชฟเบเกอรี่เพียงลำพังคงเจองานหนักมิใช่น้อย
“น้ำผึ้งยังต้องฝึกอีกเยอะค่ะ คุณอรคงอยากให้น้ำผึ้งฝึกงานหลาย ๆ ตำแหน่ง จะได้มองเห็นภาพรวมของร้าน” หญิงสาวตอบในแง่ดี แม้ในใจคิดว่าอรวสาไม่ชื่นชอบตัวเธอนัก
“คงใช่ครับ ก่อนหน้าที่พี่จะได้เข้ามาเป็นเชฟเต็มตัว คุณอรก็ให้พี่เริ่มต้นที่ทำความสะอาดเหมือนกัน” เชฟอัฐเสริม
“ค่ะ น้ำผึ้งเองก็จะพยายาม” ถึงเธอจะเป็นพนักงานหน้าใหม่ แต่เมื่อได้กำลังใจมากมายจากเพื่อนร่วมงาน ความมั่นใจที่เคยหดหายกลับเพิ่มมากขึ้น
ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองเก่ง แข็งแรง แต่ภัทรียาก็มีความรู้สึก อาการระบมบาดแผลที่ฝ่ามือไม่ทุเลาลงสักนิด จนกระทั่งเลิกงานภัทรียาจึงหย่อนตัวลงนั่งพักบนม้านั่งตัวยาวใต้ต้นราชพฤกษ์ใหญ่ ตั้งใจนั่งผ่อนคลายอาการตึงที่ต้นขาและน่อง ก่อนขึ้นรถไฟฟ้าไปหาหมอเพื่อดูบาดแผล และเผื่อจะได้ยาแก้ปวดมารับประทานก่อนนอนคืนนี้
“ทำไมยังเจ็บนักนะ” บ่นไปก็แตะผ้าพันแผลสกปรกที่เกิดจากงานตลอดวัน หญิงสาวค่อย ๆ แกะเทปที่ยึดผ้าไว้ออกทีละน้อย ดูสภาพบาดแผลที่แม้จะเล็กน้อย แต่ด้วยไม่ได้ผ่อนคลาย รอยแดงจากแก้วบาดจึงยังไม่สมานตัว เลือดสีแดงยังคงซึมออกมาให้ใจหาย “โห แล้วพรุ่งนี้จะทำไง”
“บ่นอะไรน้ำผึ้ง” ชายหนุ่มที่โผล่ออกมาจากทางเดินใต้ซุ้มการะเวกเอ่ยถาม
ทำเอาคนนั่งจดจ้องกับฝ่ามืออยู่ถึงกับสะดุ้ง “คุณ! ตกใจหมด โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”
“จะให้ผมเดินตะโกนมาหรือไง เห็นคุณนั่งหน้ามุ่ยอยู่เลยมาทักทาย” เจ้าของดวงตาหวานซึ้งที่สวมเสื้อสีครีมกับกางเกงสแล็กสีน้ำเงินพอดีตัวนั่งลงด้านข้าง “แล้วมือไปโดนอะไรมา ทำไมเลือดออก”
“แค่แก้วบาดค่ะ เดี๋ยวจะไปหาหมอทำแผล” เธอตอบ พันผ้าพันแผลกลับ กลิ่นน้ำหอมเจือจางจางร่างใหญ่ทำให้เธอเผลอตัวเม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นแรงจนกระวนกระวาย
“ไม่ต้องพันหรอก ผ้ามันสกปรกแล้ว เอาอย่างนี้เดี๋ยวผมพาไปหาหมอ” คนเห็นรอยเลือดบอก คว้ามือหญิงสาวด้านที่เจ็บมาประคองไว้ ก้มมองแล้วส่ายศีรษะบ่น “ไปซุ่มซ่ามยังไงถึงได้แผล แบบนี้พรุ่งนี้หยุดงานไหม ผมบอกคุณอรให้”
คนถูกจับมือไม่ทันได้ฟังคำพูดของชายหนุ่ม เธอมัวแต่ตาตื่นเมื่อถูกมือใหญ่สัมผัส หัวใจหญิงสาวเต้นแรงขึ้น ความกังวลเมื่อได้สัมผัสเพศตรงข้ามกำลังทำให้เธอหลงลืมความเจ็บปวด มือเขากำลังจับมือเธอ มือใหญ่ อุ่นนุ่มนวล ตอนนี้สมองภัทรียาคิดเรื่องอื่นไม่ได้นอกจากเรื่องนี้เรื่องเดียว ความรู้สึกกระอักกระอ่วนเมื่อใกล้ชิดเพศชายยังคงสะกิดให้เธอระแวดระวังตัว
“คุณภาคย์คะ ไม่เป็นไรค่ะ” เธอรีบชักมือออกจากการจับต้อง
“ไปทำแผลกันเถอะ เดี๋ยวจะดึก”
“ค่ะ” หญิงสาวตกลงแต่โดยดี หวังว่าเขาจะมองไม่เห็นใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอายของเธอ
ร่างใหญ่ส่งยิ้ม ดวงตาเป็นประกายขณะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาให้ “ลุกสิ”
“ค่ะ ไม่เป็นไร” ภัทรียาค่อยขยับยืนด้วยตนเอง ไม่เก่งกล้าพอจะตอบรับจับมือเพศชาย โดยเฉพาะกับชายหนุ่มตรงหน้า ที่กำลังมีผลให้หัวใจเธอรู้สึกสับสนแปลกประหลาด
หม่อมหลวงภาคย์ กำมือที่ส่งค้างก่อนกลับมาล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นนิ่งขึง “งั้นน้ำผึ้งยืนรอผมตรงนี้ เดี๋ยวผมเลื่อนรถมารับ”
“ค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดไม่รู้เลยหรืออย่างไรว่าเขากำลังจีบเธออีกทั้งสีหน้าอวดเก่งไร้อารมณ์ ทั้งที่บาดแผลบนฝ่ามือบวมแดง เหมือนแก้มสองข้างตอนที่เขาสัมผัสมือเล็กนั่น
“ประหลาดคน แฟนก็เคยมีแล้ว ยังทำท่าเหมือนไม่เคยถูกผู้ชายจับมือ” หม่อมหลวงภาคย์บ่นกับตัวเองไปอย่างนั้น แต่ใจคิดเอ็นดูหญิงสาวที่ยืนรออยู่ข้างทาง ร่างเล็กเข้ามานั่งภายในรถยนต์ด้วยท่าทางเอี้ยมเฟี้ยมเรียบร้อย และยังคงหลบสายตาเขาอยู่เช่นเดิม
“กินอะไรมาหรือยัง” ชายหนุ่มชวนคุย
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เมื่อกี้ฉันกินข้าวสำหรับพนักงานก่อนออกมา”
“งั้นเหรอ” เขาตอบ นึกโมโหตัวเองที่ไม่นัดเธอไว้ตั้งแต่แรก
“คุณภาคย์กินอะไรหรือยังคะ”
อย่างน้อยเธอก็ยังพอมีน้ำใจถามไถ่ ชายหนุ่มคิดยิ้ม “ยังครับ ไปหาหมอก่อน ถ้าไม่ลำบากน้ำผึ้งไปนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนผมได้ไหม”
ภัทรียาพยักหน้าเป็นการตอบรับ นั่นก็เพียงพอให้ชายหนุ่มอมยิ้มได้
ระยะทางเพียงสองร้อยเมตรจากร้านอาหารไปยังโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ แต่ด้วยการจราจรที่หนาแน่นบนถนนสีลม ทำให้กว่าหญิงสาวจะได้พบแพทย์และทำแผลเสร็จ ก็กินเวลาไปเกือบสามทุ่ม ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงชวนเธอรับประทานข้าวมันไก่ในห้องอาหารโรงพยาบาล
“ไว้คราวหน้าให้ฉันเลี้ยงข้าวตอบแทนคุณภาคย์นะคะ”
คนเพิ่งเคลื่อนรถยนต์ออกจากที่จอดรถโรงพยาบาลยิ้ม พร้อมพยักหน้ารับ “เดี๋ยวผมจะไปคิดไว้ล่วงหน้าเลย”
“ค่ะ คุณภาคย์ ทำไมคุณใจดีกับฉันจังเลย” เจ้าของมือที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าขาวเอ่ยถาม
“ทำไมผมจะใจดีกับน้ำผึ้งไม่ได้ล่ะ” เขาถามกลับ นึกขันผู้หญิงตัวเล็กที่ขมวดคิ้วสงสัย
“ก็คุณช่วยเหลือฉันตั้งเยอะ ทั้งที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันเลย” เธอบอกเสียงอ่อย ขนาดคนรักเก่ายังไม่เคยใจดีกับเธอขนาดนี้
“อ้าว เราไม่ได้เป็นอะไรกันได้ไง อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนกันไงครับ หรือน้ำผึ้งอยากเป็นอย่างอื่น”
“คุณภาคย์ พูดเล่นอีกแล้ว เพื่อนกันก็เพื่อนกันค่ะ ฉันดีใจนะคะที่ฉันได้มีเพื่อน มีพี่ชายที่ดีอย่างคุณ” ภัทรียาพยายามยับยั้งความรู้สึกในหัวใจ เธอไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหนอย่างที่รู้สึกกับคนด้านข้างมาก่อน
ว่าแต่...ทำไมคำพูดเธอทำให้หัวใจเขาโหวง ๆ หน่วงแปลก ๆ ชายหนุ่มคิด แต่พยักหน้าเอื้อมมือไปแตะศีรษะหญิงสาว “แล้วเป็นเด็กดี เชื่อฟังพี่ชายคนนี้ด้วยล่ะ”
“ค่ะ” แม้สัมผัสผ่านฝ่ามืออบอุ่นจะทำให้หญิงสาวไหวหวั่น แต่แววตาและท่าทางที่ล้วนแสดงความจริงใจจึงทำให้เธอยิ้มได้ “ฉันจะเชื่อฟังทุกอย่าง”
“ดีมาก แล้วอย่าลืมกินยา พรุ่งนี้ทำงานไหวไหม ถ้าไม่ไหวจะโทร. ลางานให้”
“ไหวค่ะ พรุ่งนี้แผลคงแห้งแล้ว เพิ่งเริ่มทำงานยังไม่อยากลาหยุดด้วย”
“เก่งนะเรา”
คำชื่นชมจากชายหนุ่มทำให้ใบหน้าภัทรียาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ไม่เคยมีใครชื่นชมเธอเช่นนี้มานานแล้ว หัวใจหญิงสาวโลดแล่นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน และเมื่อรถยนต์คันใหญ่จอดสนิทหน้าคอนโดมิเนียมสูง หญิงสาวจึงส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอีกครั้ง
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะคุณภาคย์ คุณเป็นพี่ชายที่ดีมากเลย”
ก่อนที่ร่างเล็กจะออกไปจากรถยนต์ ผ่านเข้าไปยังด้านในของตึกสูง ปล่อยให้ชายหนุ่มได้แต่นั่งตบปากตัวเองอยู่ในรถยนต์
“ไหงเป็นแบบนี้ไปได้วะเนี่ย” เขาไม่ได้ต้องการเป็นพี่ชายนี่หว่า
ความคิดเห็น |
---|