0

บทนำ


บทนำ

 

ค่ำคืนหนึ่งในยามอิ๋น1 ท้องฟ้าเหนือเมืองลั่วหยางยังคงมืดมิดไร้ซึ่งแสงตะวันและแสงจันทรา มีเพียงแสงไต้2 ตามบ้านเรือนเท่านั้นที่ส่องสว่างนำทางให้สตรีผู้สวมเสื้อคลุมยาวสีดำมุ่งหน้าสู่ประตูเมืองทางทิศใต้พร้อมด้วยบางสิ่งในอ้อมแขนท่ามกลางความเงียบสงัดของผู้คนที่กำลังหลับใหล

บุรุษร่างกำยำสูงใหญ่ราวหกฉื่อครึ่ง3 ในชุดเกราะถือง้าวอันมีส่วนหัวคล้ายลิ้นมังกรและมีส่วนโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ยืนปักหลักอยู่บนป้อมปราการเหนือซุ้มประตูก่ออิฐซึ่งเป็นทางผ่านเข้าออกเมืองลั่วหยาง บุรุษผู้นี้มีตำแหน่งเป็นเซียวเว่ย4 นามว่าหลี่เฉวียน

หลี่เฉวียนรู้สึกถึงปรากฏการณ์ผิดปกติในค่ำคืนนี้เมื่อเห็นสตรีนางหนึ่งสวมชุดอำพรางกายด้วยเสื้อคลุมสีดำยาวตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า วงแขนของนางโอบอุ้มห่อผ้าสีแดงที่มีลักษณะเป็นก้อนทรงกลมคล้ายท่อนไม้เล็กๆ ขณะเดินเร็วตรงมายังซุ้มประตูเมืองที่มีเหล่าทหารยามยืนประจำการอยู่หน้าประตู ด้วยความสงสัยขุนพลหลี่เฉวียนจึงลงไปด้านล่างเพื่อตรวจดูให้แน่ใจ

“แม่นาง ยามนี้มิใช่เวลาเปิดประตูเมือง เจ้ากลับเรือนไปก่อนเถิด รอให้พ้นยามอิ๋นเมื่อไรค่อยกลับมาที่นี่” ทหารยามนายหนึ่งกล่าวกับสตรีลึกลับผู้นั้น

“ข้าเพิ่งคลอดลูก แต่สามีข้าไปทำการค้าที่เมืองหยางโจว เขายังไม่ได้เห็นหน้าบุตรสาวเลย ได้โปรดเมตตาพวกเราสองแม่ลูกสักครั้ง ให้ข้าพาลูกไปหาเขาด้วยเถิดเจ้าค่ะ” มิเพียงแค่เอ่ยปากขอร้อง สตรีใต้เสื้อคลุมยังคุกเข่าลงกับพื้นดินแล้วก้มศีรษะลงคำนับหงกๆ

“อย่าทำเยี่ยงนี้สิแม่นาง มันเป็นคำบัญชาของท่านขุนพล ข้าฝ่าฝืนมิได้” ทหารยามมีสีหน้าหนักใจ

“มีเรื่องอะไรกัน”

“ท่านขุนพล!” ทหารยามสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงขุนพลหลี่เฉวียนดังมาจากด้านหลัง เขารีบหันไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาทันที “แม่นางผู้นี้ต้องการออกจากเมืองจึงขอร้องข้าให้เปิดประตูเมือง แต่ข้ามิอาจทำตามที่นางขอได้ขอรับ”

หลี่เฉวียนมิได้เอ่ยคำใด เขาเพียงแต่มองสตรีที่อุ้มทารกน้อยในผ้าห่อตัวขนแกะสีแดงตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์

‘นางสวมชุดฮั่นฝูที่ทำจากผ้าหยาบมิใช่ผ้าแพรต่วนอย่างผู้มีอันจะกิน แสดงว่านางมีฐานะยากจน แต่ผิวพรรณที่โผล่พ้นขอบเสื้อออกมา โดยเฉพาะดวงหน้าของนางนั้นขาวผุดผ่องราวกับหิมะ ไม่ต่างจากนางกำนัลในวังหลวง ช่างดูขัดแย้งจนน่าสงสัยยิ่งนัก’ ขุนพลหนุ่มคิด

จู่ๆ ทารกน้อยก็แผดเสียงร้องออกมาทำลายความเงียบงันในหมู่ผู้ใหญ่ สตรีผู้เป็นมารดาหมาดๆ รีบผุดลุกขึ้นกล่าวขอโทษแล้วเดินไปยังมุมมืดของกำแพงเมือง จากนั้นก็หันหลังให้เหล่าบุรุษเพื่อเปิดอกเสื้อให้น้ำนมแก่บุตรี

“ท่านขุนพล นางบอกว่าเพิ่งคลอดลูกมา น่าจะเป็นความจริงนะขอรับ มิเช่นนั้นนางคงไม่มีน้ำนมให้ทารกน้อยผู้นั้นดื่มเป็นแน่” ทหารยามกล่าว “อีกเพียงแค่หนึ่งก้านธูป5 ก็จะเข้าสู่ยามเหม่า6 แล้ว ท่านขุนพลจะอนุญาตให้นางผ่านออกไปได้หรือไม่ขอรับ”

“คำสั่งข้าถือเป็นประกาศิต แม้แต่ตัวข้าก็ยังต้องปฏิบัติตาม เจ้าบอกให้นางรอไปก่อน ถึงยามเหม่าเมื่อไรค่อยเปิดประตูให้นาง” หลี่เฉวียนสั่งเด็ดขาด พลางชำเลืองมองสตรีลึกลับแวบหนึ่ง ก่อนเดินขึ้นบันไดอิฐไปยืนบนป้อมสังเกตการณ์ดังเดิม

แม้นอกเมืองจะยังคงมืดสลัวอยู่ แต่สตรีลึกลับก็ดึงเสื้อคลุมส่วนศีรษะลงมาเพื่อปกปิดโฉมหน้าของตนขณะอุ้มทารกหญิงไปตามชายป่า โดยมีแสงจากโคมไฟที่ได้รับจากทหารผู้ใจดีส่องนำทางตรงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนางสังเกตเห็นดงหมู่ตาน7 ที่บานสะพรั่งสวยงามในยามค่ำคืน นางลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจเดินฝ่าเข้าไปในใจกลางดงบุปผา แล้ววางทารกน้อยลงบนพื้นดินใต้ต้นหมู่ตาน จากนั้นจึงดึงมีดสั้นออกจากฝักซึ่งเหน็บไว้ที่เอว ใช้ปลายมีดอันแหลมคมกรีดลงบนหลังฝ่ามือเล็กๆ ข้างซ้ายของทารกจนเกิดเป็นบาดแผลลึก เลือดสีแดงสดไหลอาบท่อนแขนและซึมเข้าเนื้อผ้าห่อตัวขนแกะจนเป็นสีแดงเข้ม ความเจ็บปวดทำให้ทารกน้อยร้องไห้เสียงดังลั่นดงหมู่ตาน

“นับว่าเจ้ายังมีบุญอยู่บ้างที่ข้าไม่คิดฆ่าเจ้า หวังว่าเราคงจะไม่เจอกันอีก มิเช่นนั้นอายุเจ้าคงไม่ยืนยาวเป็นแน่... ลาก่อน” พูดจบสตรีลึกลับก็เดินหายลับไปในความมืดมิดแห่งค่ำคืน

ในเวลาถัดมาไม่นานก็มีชายหนุ่มแข็งแรงสี่คนหามเกี้ยวผ่านมา โดยมีชายโพกผ้าสีเขียวบนศีรษะเดินถือโคมไฟนำหน้า เสียงเด็กร้องเป็นเหตุให้ชายโพกผ้าสีเขียวสั่งหยุดเกี้ยวและเข้ามารายงานต่อผู้เป็นเจ้านาย

“นายหญิง ข้าได้ยินเสียงเด็กร้อง”

“ข้าไม่ได้หูหนวก” สตรีภายในเกี้ยวเอ่ยเสียงห้วน “ไปดูสิว่าทารกเป็นเพศอะไร ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็ทิ้งไว้อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็นำตัวมาให้ข้ายลโฉมก่อน”

“ขอรับ” ชายโพกผ้าสีเขียวผงกศีรษะ แล้วเดินตามเสียงร้องเข้าไปในดงหมู่ตาน เมื่อเจอเด็กทารกเขากลับต้องตกใจที่เห็นบาดแผลฉกรรจ์บนหลังมือเด็ก เขารีบดึงผ้าโพกสีเขียวออกจากศีรษะมาพันแผลให้ทารกน้อย ก่อนนำตัวเด็กย้อนกลับมาหานายหญิงของตน เขาอุ้มทารกหญิงด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนแขนอีกข้างเอื้อมไปเปิดผ้าม่านเกี้ยว สตรีร่างท้วมแต่งหน้าจัดยื่นมือมารับตัวทารกไปดูใกล้ๆ

“ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสราวกับพระจันทร์ทรงกลด จมูกเชิดสูงรับกับปากเรียวบาง ผิวขาวผ่องดุจปุยเมฆ และยังจิ้มลิ้มน่ารัก ช่างเป็นเด็กทารกที่ถูกตาต้องใจข้ายิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่หลังฝ่ามือมีบาดแผลและมันคงกลายเป็นรอยตำหนิบนเรือนร่างอันงดงามนี้” สตรีท้วมรำพึงรำพัน

“นายหญิง ท่านจะตั้งชื่อเด็กน้อยผู้นี้ว่าอย่างไรดีขอรับ”

“นั่นสินะ...” สตรีร่างท้วมใช้ความคิด พลันสายตาเหลือบไปเห็นดงหมู่ตานก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ “เจ้าอยู่ท่ามกลางดงหมู่ตานที่เป็นราชาแห่งมวลบุปผา เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความมั่งมีศรีสุข และลาภยศอันยิ่งใหญ่ ฉะนั้นข้าจะตั้งชื่อเจ้าด้วยนามดั้งเดิมของบุปผาชนิดนี้”

“นามดั้งเดิม? นามว่าอะไรหรือขอรับ” ชายโพกผ้าสีเขียวสงสัย

“มู่สาวเย่า” สตรีร่างท้วมขนานนามนั้น ก่อนจะหัวเราะชอบใจ “มู่สาวเย่า เจ้าจะต้องเป็นตัวดูดทรัพย์แห่งหอคณิกาของข้าแน่ๆ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น