6

บ้านท่านเรือนท่าน

บทที่ ๖

บ้านท่านเรือนท่าน

 

แม้ว่าเมื่อคืนจะถูกปลุกขึ้นมากลางดึก แต่ชวาลาก็สามารถหลับต่อได้สนิทและตื่นตามเวลาปกติได้อย่างแจ่มใส

เมื่อครั้งคุณหญิงดวงมาลย์ยังมีชีวิตอยู่ นางได้สอนบุตรีเรื่องงานบ้านงานเรือนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้ตอนอยู่ที่เรือนเล็กชวาลาทำทุกอย่างเองทั้งหมดได้ไม่ลำบาก และตอนนี้ก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรนักเมื่อพันแสงยื่นคำขาดว่าเธอพาละออมาด้วยได้แค่คนเดียว เขาไม่ใส่ใจขนบธรรมเนียมที่เวลาหญิงสูงศักดิ์ออกเรือนแล้วพ่อแม่มักให้บริวารตามไปใช้สอยจำนวนมากเลยสักนิด

นอกจากจะไม่ต้องการบ่าวรับใช้ ชวาลายังรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ตนในการดูแลเรือนใหญ่หลังนี้อีกด้วย

ดังนั้นเมื่อเด็กสาวก้าวออกจากห้องหอตอนรุ่งสางเพื่อเตรียมน้ำล้างหน้า เธอก็ต้องขมวดคิ้วกับพื้นไม้กระดานชั้นดีแต่เหยียบไปเจอฝุ่นจับเหนียวสกปรกหลายแห่ง พอสังเกตก็ยิ่งเห็นว่าบริเวณกว้างขวางแห่งนี้ขาดการดูแลจนทรุดโทรมเกินสภาพที่ควรเป็นไปมาก เมื่อคืนที่ประดับไฟ ทำความสะอาดชานเรือนให้พอทำเนา ก็เพราะมีงานเท่านั้นเอง

ขุนสุริยนหัสดีหายไปตั้งแต่เมื่อคืนป่านนี้ยังไม่กลับ ชวาลาอยากจะถามเขานักว่าอยู่ได้อย่างไร

ก็จริงอยู่ที่ในห้องนอนมีแค่สิ่งของจำเป็นวางเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน แต่ด้านนอกนี่ราวกับไม่ใช่เรือนเดียวกัน ชวาลารู้แก่ใจว่าเขาต้องไม่เคยเหลียวแล คงใช้ชีวิตเสมือนชายโสดอยู่กระท่อมฟากไม้ไผ่ หาใช่ท่านขุนครองเรือนใหญ่มีข้าทาสมากมายรายล้อมไม่ เห็นแล้วก็ให้เสียดายของ อยากพาน้องๆ มาอยู่ด้วยจับใจ

แล้วก็ไม่มีใครอยู่บนเรือนนี้เลยจริงๆ เสียด้วย เธอเดินหาไปทั่ว สุดท้ายเจอแต่ละออต้มน้ำอยู่ในครัวคนเดียว

“พี่วา” เด็กหญิงร้องทัก “ข้าหาใครมิเจอเลยจ้ะพี่ เขาไปไหนกันหมดหรือ”

“น่าจักมีแค่เรานะเจ้า ขอน้ำให้พี่ล้างหน้าล้างตาก่อนเสียหน่อยเถิด”

ชวาลาได้น้ำฝนล้างหน้าแล้วก็ยังทำหน้าพิกลอยู่ กวาดตามองไปรอบครัวก็เป็นไปตามคาด ครัวใหญ่นอกชานเรือนหลังบ้านนี้โอ่โถง จะใช้เป็นที่เตรียมอาหารให้ทหารทั้งกองทัพยังได้ ทว่าเตาวง๑๐ขนาดกลางสองลูกนี้คงมีละออใช้งานเป็นคนแรก และไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือใช้สอยอะไรเลยนอกจากจวักตักแกงเก่าๆ วางทิ้งไว้ให้เหงาเล่น

ไหนจะของสดเครื่องปรุงอีกเล่า ชวาลารื้อดูก็พบข้าวสารคุณภาพต่ำในกระสอบเล็ก กระเทียม พริกแห้ง น้ำตาลกับเกลืออีกนิดหน่อย เธอตรองดูแล้วก็คิดไม่ตกว่าเช้านี้จะทำอะไรกินได้

หนักกว่าเรือนสกปรกก็ครัวว่างเปล่านี่แล (เอียง) เด็กสาวรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาเอาเฉยๆ อาจเพราะยังไม่ได้กินข้าวด้วย เลยทำให้เสียกำลังใจได้ง่ายดาย

“แล้วท่านขุนเขาไปไหนตั้งแต่เมื่อคืนล่ะจ๊ะพี่” ละออมาเลียบๆ เคียงๆ ถาม ขณะเจ้าสาวหมาดๆ เริ่มใช้น้ำซาวข้าวเตรียมหุงทั้งที่อยู่ในเสื้อผ้าชุดเก่าไม่ได้ผลัด เพราะเห็นว่าถ้าชักช้าประเดี๋ยวน้องจะหิว

“ก็มิรู้ท่านซี นี่ก็ยังมิได้พูดกันเท่าไร”

เนื่องจากอยู่ด้วยกันมานาน มีเรื่องใดก็เล่าให้ฟังหมด ชวาลาจึงไม่ได้บ่ายเบี่ยงเมื่อถูกซักถามเรื่องส่วนตัว “แล้วเมื่อคืนนอนหลับดีฤๅไม่ พี่มิรู้ว่าเรือนนี้จักมีแค่เรา มิเช่นนั้นพี่มิยอมให้เจ้าไปนอนคนเดียวดอก”

“ข้าสิบสามสิบสี่แล้วนะพี่ หายห่วงเถิด พี่วาก็ต้องนอนกับท่านขุนสิ ให้มานอนกับละออ ท่านขุนเขาจักยอมฤๅ”

คราวนี้ชวาลาถอนหายใจดังเฮือก “ยอมมิยอมก็มิรู้แล้ว รายนั้นจักเอากระไรก็มิแจ้งมิบอก พี่ว่าจักทำกับข้าวเอาใจท่านหน่อยก็เจอแต่เกลือเสียอีก หึ ไปมิกลับเลยก็ดีเหมือนกัน”

เห็นพี่สาวผู้ใจเย็นกลายเป็นคนกระฟัดกระเฟียดในชั่วข้ามคืนละออก็หัวเราะคิก

“พี่วา ไยเช้ามาก็บ่นท่านขุน เมื่อคืนมิหวานฤๅ”

คนถูกเย้าหน้าขึ้นสีชวนมอง ไม่รู้เหตุใดจึงได้อายทั้งที่ก็ไม่มีอะไรลึกซึ้ง

“พูดเช่นนี้มิได้หนาละออ! เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก วันหน้าก็เป็นสาวเป็นแส้ มิงามเลย ห้ามพูดอีกรู้ไหม”

“จ้า ข้ารู้แล้วว่าประเดี๋ยวจักแก่แดด” เด็กหญิงเอี้ยวตัวหลบมือชวาลาที่ฟาดลงมาหยอกล้อ “แต่หมายความว่าเมื่อคืนท่านขุนเขาก็ยังมิได้หลับนอนกับพี่หรือ”

“ยังจักพูดอีก!” ครั้งนี้ชัดกว่าเดิม เธอไม่รู้จะโมโหก่อนหรือเขินก่อนดี

อากัปกิริยานั้นยืนยันว่าสิ่งที่ละออถามเป็นความจริง ทำให้เด็กหญิงออกจะหนักใจอยู่หน่อยๆ ที่แค่วันแรกก็ชัดแล้วว่าผู้เป็นพี่ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากสามีเลยแม้แต่น้อย หวั่นใจว่าไม่ช้าไม่นานขุนแสงผลาญจะทิ้งขว้างไม่ไยดี หรือที่ร้ายกว่านั้นคือออกขุนหนุ่มจะลงไม้ลงมือกับพี่ตนเหมือนหมื่นวรไชย

ส่วนชวาลาปากพร่ำสอนน้องไปก็ก้มรื้อของเก่าๆ ในครัวไปด้วย ทำให้ไม่ทันสังเกตว่าละออเงียบขรึมผิดปกติ

“ใครน่ะ”

ทั้งคู่เหลียวมองไปทางต้นเสียง ก็พบเด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบผอมกะหร่องผมเผ้ายุ่งเหยิง เนื้อตัวมอมแมมนุ่งผ้าผืนเดียวลวกๆ ยืนจังก้าจ้องมาอย่างไม่เป็นมิตร

“กูถามว่าใครไง”

ชวาลาตกใจ เด็กตัวน้อยแค่นี้ทำไมพูดจาห้าวเป้งกับคนแปลกหน้าที่อายุมากกว่าซ้ำยังเป็นผู้หญิงได้เสียงดังฟังชัด หันไปหาละออก็เห็นว่าฝ่ายนั้นไม่ชอบใจจนหน้าตูม จ้องตอบตาเขียว

“เอ๊ะ! เอ็งเป็นเจ้าของที่นี่รึถึงได้มาทำวางโต นี่พี่ข้าเป็นเมียท่านขุนนะ!”

น้องเราก็มิเบาเลย (เอียง) คงต้องจับมาอบรมทั้งคู่

“พอก่อนละออ น้องเขาคงอยู่ที่นี่ ชื่อกระไรหรือเจ้า”

“ชื่อเทียน” เด็กชายตอบห้วนๆ ยังมองทั้งสองตาขวาง “แล้วนี่เป็นเมียท่านขุนจริงเรอะ”

“พูดมิเพราะแน่ะ!” ละออสวนขวับ ถึงอยู่กับชวาลามานานมีแต่คำพูดไพเราะน่าฟัง แต่หลายครั้งถูกบ่าวไพร่เรือนใหญ่เยาะเย้ยถากถาง ทำให้เด็กหญิงมีที่ลับฝีปากจนคมกริบ “เขาเข้าหอกันเมื่อคืน เอ็งไปซุกหัวอยู่ที่ไหนมาเล่า มาถามว่าพี่วาเป็นเมียท่านขุนจริงฤๅไม่ รอท่านขุนกลับเรือนเถิดจักให้ไล่ไปเป็นทาส มาพูดจาสามหาวกับเมียท่านได้ไง”

ชวาลาจะเป็นลม “เอาละ พอก่อน ละออไปเอาน้ำมาเพิ่มที แล้วก็เทียน อยากมาช่วยพี่ทำกับข้าวไหมจ๊ะ”

เด็กหญิงส่งสายตาคาดโทษให้เทียน แต่ยอมคว้าถังไปหาบน้ำโดยดี พอละออไปแล้วเทียนก็ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ชวาลาจึงเห็นว่าเด็กชายหิ้วปลาแม่น้ำร้อยเชือกมาเต็มมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างถือชะลอมใส่ไข่ไก่ที่ยังเปื้อนขี้ไก่สดๆ

“นี่คือ...”

“เป็นเมียท่านขุนจริงรึ” เทียนถามซ้ำ

ชวาลาจำต้องพยักหน้ารับ “จริงจ้ะ”

เด็กชายยกมือไหว้ทั้งของพะรุงพะรังอย่างไม่อินังขังขอบ “เช่นนั้นก็เป็นเมียนาย สั่งข้าได้เหมือนกัน”

“อ้อ จ้ะ” แม่นายของเรือนรับคำ ทั้งขันทั้งเอ็นดูขณะมองร่างเล็กจ้อยเดินอาดๆ ผ่านหน้าไปเอาของสดวางบนตั่งไม้กลางครัว ฉวยมีดพร้าขึ้นสนิมมาจากแห่งไหนไม่ทราบได้แล้วเริ่มแล่ปลาอย่างชำนิชำนาญ

ชวาลานึกสนุกจึงไปนั่งดูเทียนใกล้ๆ พลางถาม “ปกติเจ้าทำอาหารกินเองหมดเลยฤๅ”

เขาพยักหน้า เอาจริงเอาจังกับการทำงาน แต่ใบหูเป็นสีเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพียงนี้เป็นครั้งแรก

“ทำให้ท่านขุนด้วยฤๅไม่”

เทียนพยักหน้าอีก

“แล้วจับปลาเองเลยไหม เลี้ยงไก่เองรึเปล่า”

“ปลาผมจับเอง แต่ไข่ไปขอเขาเก็บที่ตกมา”

แล่ปลาได้หนึ่งตัว ชวาลาก็ใช้ผ้าซับน้ำคาวเลือดหยิบปลาวางใส่จานให้ จากนั้นก็เอาไข่ไก่ในชะลอมมาเช็ดทำความสะอาด แอบช่วยงานเด็กชายไปเนียนๆ

“ว่าแต่เจ้ากับท่านขุนชอบกินกระไรกัน” เด็กสาวมองทีเดียวก็รู้ว่าเทียนไม่ได้มีฝีมือทำอาหาร แค่รู้ว่าอะไรกินได้กินไม่ได้เท่านั้น “วันนี้จักเอาปลากับไข่มาทำกระไร ให้พี่ช่วยทำได้ฤๅไม่”

“ปลาก็ย่าง ไม่ก็ต้ม ไข่ก็ต้ม” เทียนตอบตรงๆ สั้นๆ ไม่มีคนชวนคุยมานาน ต่อให้อยากพูดเด็กชายก็คิดคำไม่ออก “ก็กินกันอยู่แค่นี้”

แม่เรือนถึงกับขำพรืด |สงสาร (เอียง)

“นี่ พี่ทำกับข้าวพอเป็นนะ เช่นนั้นวันนี้ลองให้พี่ทำก่อน แล้วเทียนช่วยไปหาของให้พี่เพิ่มจักได้ไหมจ๊ะ” ชวาลายื่นข้อเสนอ

“ของกระไร” เทียนตวัดเสียงถาม ไม่ใช่เพราะหงุดหงิด คนฟังก็เข้าใจว่าเขาเป็นเช่นนั้นเอง

เมื่อเด็กชายตกลง หรืออาจเรียกว่ารับคำสั่งก็เป็นได้ ชวาลาก็แจกแจงของที่เธอต้องการประมาณสี่ห้ารายการให้เทียนฟัง คิดเอาว่าถึงจำไม่ได้ก็ช่างเถิดเพราะยังเด็ก แต่ปรากฏว่าบ่าวตัวจิ๋วหายไปไม่ถึงสิบบาท๑๑ก็กลับมาพร้อมของครบถ้วน บางอย่างหาซื้อไม่ได้ก็ไปหาแลกกับชาวบ้านแถวนี้จนได้ เงินในถุงที่นำมาคืนชวาลานับดูก็มีจำนวนสมเหตุสมผล

“เก่งมากจ้ะ”

พอโดนแม่นายชมเข้าก็อายม้วนต้วน ส่วนละออนั่งโขลกพริกหน้าหงิก

เนื่องจากไม่ได้เตรียมวัตถุดิบไว้ก่อน ทั้งสามคนจึงใช้เวลาอยู่ในห้องครัวกันจนถึงสามโมงเช้า๑๒ ซึ่งชวาลาได้ทำข้าวต้มปลากินกับเด็กๆ ก่อนคนละถ้วย และเคี่ยวแกงไว้อีกหม้อหนึ่ง ตำน้ำพริกผักต้มไว้อีกจานหนึ่ง นำไปตั้งใส่กระบะไม้๑๓ไว้ที่ตั่งบริเวณโถงกลางเรือนตามคำบอกของเทียน

‘ท่านขุนกินข้าวมื้อเดียว ไม่เที่ยงก็เย็น มิรู้เมื่อไร’

‘แสดงว่าปกติก็มิต้องตั้งโต๊ะ แล้วก็ต่างคนต่างกินน่ะซีจ๊ะ’

เทียนพยักหน้า ‘ท่านจักกินก็มากินเอง ก็วางไว้ตรงนั้นละ’

ชวาลาห้ามความคิดตัวเองไม่ทัน เผลอคิดไปแล้วว่าเธอเหมือนทำข้าวเลี้ยงนกที่วัดหรือไม่ก็บูชากุมารทองสักตัวอยู่ก็ไม่ปาน

เมื่อถามเพิ่มเติมก็รู้ว่าที่ผ่านมาเทียนเป็นผู้ดูแลเรือนไม้ใหญ่โตหลังนี้ทั้งหมด สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น เพราะขุนสุริยนหัสดีไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมาบนเรือนนอกจากเด็กชาย ไพร่ทาสที่ทำความดีความชอบได้รับพระราชทานมามากมายก็ให้เป็นไทเสียหมด หากคนไหนอยากอยู่รับใช้และเป็นบุรุษก็ให้ไปฝึกดาบอยู่เวรยามบริเวณรอบนอกกับพวกทหารในสังกัด ส่วนผู้หญิง เทียนว่าท่านไม่ยุ่งเลย

‘ก็เลยตกใจที่มีผู้หญิงในเรือน สองคนด้วย’

เขาสารภาพ แน่นอนว่าละออไม่ให้อภัย

เด็กชายได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดชานเรือนด้านหน้า ตั้งตะเกียงให้เรียบร้อย แล้วก็เข้านอนโดยไม่รู้ว่าเจ้านายจะแต่งงาน จนตอนนี้ก็ไม่รู้อีกอยู่ดีว่าแต่งงานแล้วอย่างไรต่อ รู้แค่ถ้าชวาลาเป็นภรรยาเจ้านายก็คือแม่นาย สามารถออกคำสั่งเขาได้เป็นรองท่านขุนอยู่คนหนึ่ง ส่วนละออคือข้ารับใช้ระดับเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

ชีวิตทุกวันของเทียนคือการตื่นเช้ามาออกไปหาปลา เก็บไข่ หรือซื้อของในตลาดบ้างตามวาระ ทำอาหารซ้ำๆ ไปวางบนตั่ง ถูห้องนอนท่านขุนวันละครั้ง ถูเรือนนานๆ ที ซักผ้าบ้าง มีเวลาว่างตอนบ่ายก็หาดักเขียด เหลาไม้เล่นไปตามประสา

เด็กชายอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่หกขวบ มีภรรยานายทหารเคยขอไปเลี้ยงเป็นลูก แต่เทียนปฏิเสธ เขาว่าเขาเป็นบ่าวดูแลเรือนนี้ของท่านขุนแล้ว

ฟังแล้วละออก็ย่นจมูก ‘เอ็งก็รักท่านขุนเนอะ’

‘จักทำไม เอ็งยังรักแม่นาย ตามแม่นายต้อยๆ เลยนี่’ อายุห่างกันหลายปีไม่เป็นปัญหาในการเถียง

‘แน่ละ’ ละออรู้ว่าชวาลาเปรียบเธอเสมือนน้องสาว แต่ถ้าจะแข่งรักพี่กันก็ย่อมได้ ‘แต่ข้าทำงานดีกว่าเอ็งนะ เรือนท่านขุนที่เอ็งทำน่ะเหมือนเรือนร้างเลย’

เกือบได้วางมวยกันแล้ว เพราะคนน้องกำลังเลือดร้อน ส่วนคนพี่ก็ท้าตีเก่งเหลือเกิน ชวาลานึกเวทนาเทียนอยู่เหมือนกัน แต่ดูแล้วเด็กชายก็มีความสุขดี เสียแต่ว่าผอมไปหน่อย คงต้องค่อยๆ ขุนกันไป

มิยุ่งกับผู้หญิงเลยกระนั้นฤๅ (เอียง)

ข้อนี้น่าคิด เพราะอย่างขุนแสงผลาญถ้าอยากได้ผู้หญิงไว้กอดนอนจริงๆ ก็หาได้ตั้งแต่โสเภณี เมียบ่าว เชลยศึก ไปจนถึงบุตรสาวขุนนางทั้งหลายที่นางเขียวโพนทะนาว่าชื่นชมเขาเสียมากมาย ที่ได้มาตกล่องปล่องชิ้นกับหญิงสามัญซ้ำยังเป็นน้องสาวคู่อริอย่างเธอนั้นนับเป็นบุพเพสันนิวาสที่ผิดพลาดโดยแท้

น่าจักเกลียดขี้หน้ากันมากกว่า (เอียง) ชวาลาสรุป |ถูกต้องแล้ว มิใช่เพราะอยากเชยชมกันดอก (เอียง)

ตัดสินได้แบบนั้น แทนที่จะเศร้าเด็กสาวกลับสบายใจขึ้นอักโข ไม่คิดแล้วว่าจะปรนนิบัติเขาอย่างไร ในหัวตอนนี้เริ่มวางแผนยิ่งใหญ่ในการเปลี่ยนเรือนขุนสุริยนหัสดีให้เป็นเรือนในฝันของตน ให้สมกับที่อยากมีเรือนของตัวเองมาแสนนาน ทำเอานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวจนเด็กทั้งสองหันไปมองหน้ากัน

แมวมิอยู่ หนูร่าเริงนะเจ้าคะ ท่านขุน (เอียง)

 

พันแสงแวะเข้ามาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนบ่ายหลังจากไปนั่งสมาธิชำระจิตใจในป่าตั้งแต่เมื่อคืน ตอนก้าวขึ้นเรือนมาเขาก็แทบลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าเคยมีแม่หญิงชาวสยามชื่อชวาลา จนกระทั่งชายหนุ่มทำธุระส่วนตัวเสร็จ เดินไปนั่งที่โถงกลางเตรียมกินอาหาร เปิดฝากระบะไม้ออกดูก็ขมวดคิ้วมุ่น

กลิ่นหอมของอาหารปรุงสุกใหม่ลอยออกมาก่อน ในกระบะนั้นมีแกงสีสันจัดจ้านใส่ปลาเนื้ออ่อนที่แค่เห็นก็ชวนให้น้ำลายสอ มีน้ำพริกถ้วยน้อยกับผักต้มอิ่มน้ำหั่นชิ้นสวยพอดีคำ วางอยู่ข้างโถข้าวลายสิงห์ที่เขาเพิ่งรู้ว่ามีอยู่ในบ้าน แล้วยังมีขันเล็กสองใบ ใบหนึ่งใส่มะนาวฝานแผ่นบาง อีกใบลอยดอกมะลิหอมเย็นที่ไม่รู้ว่าต้นอยู่ตรงไหนในสวนอีกเหมือนกัน แต่ละถ้วยแต่ละชามล้วนเชื้อเชิญให้ลองชิมดุจลงอาคมสะกดใจ

ออกขุนหนุ่มมองอยู่อึดใจหนึ่งก็ปิดฝากระบะอย่างรวดเร็ว

สำรับพร้อมสรรพจัดสวยงามเช่นนี้ไม่ใช่ฝีมืออ้ายเทียนน้อยแน่ๆ จะมีก็แต่แม่หญิงผู้นั้นที่ทำได้

นึกแล้วก็ให้ขุ่นเคืองอยู่บ้างที่เทียนคงไม่รู้ว่าได้ทำให้เจ้านายมันต้องอดข้าวเสียแล้ว

พันแสงขึ้นเรือนมาพักใหญ่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของบ่าวคนสนิทซึ่งปกติจะคอยป้วนเปี้ยนฟังเสียงคนเดิน ถ้าวันไหนโชคดีดักพบเขาทันมันก็จะโผล่หน้ามานั่งท่าทางแข็งขัน เฝ้าเจ้านายกินข้าว ไล่ไม่ไป

วันนี้เขาว่าจะให้มีดสั้นเล่มเล็กกะทัดรัดที่เพิ่งสั่งตีเสร็จแก่มัน อ้ายเทียนน้อยกลับไม่มาให้เห็นหน้า...

หูที่ไวกว่าปกติของออกขุนหนุ่มได้ยินเสียงหัวร่อเย้ากันดังมาจากสวนท้ายเรือน ร่างสูงก็เดินไปอิงขอบหน้าต่าง มองออกไปไม่ไกลนักเห็นแม่หญิงสูงศักดิ์กำลังนำเด็กๆ ใช้ไม้ยาวสอยลูกตาลอ่อนจากต้นตาลสูงชะลูด พอได้ลงมาพวงหนึ่งก็กระโดดโลดเต้นเป็นลิงค่างไปตามๆ กัน

เล่นสนุกประหนึ่งไม่มีความผิด (เอียง) เขาขุ่นใจ แต่กลับถอนสายตาไปไม่ได้

จากนั้นเด็กสาวก็ใช้ผ้าผืนเล็กที่เหน็บเอวเช็ดลูกตาล ปอกเปลือกด้วยมีดเล็กอย่างคล่องแคล่วจนได้เนื้อเนียนใสส่งให้อ้ายเทียนตัวเล็ก อีกลูกให้ละออ เห็นน้องทั้งสองกัดลูกตาลแล้วทำตาโตที่พบน้ำหวานชุ่มอยู่ข้างในก็หัวเราะเสียงใส

พันแสงนึกโทษตัวเองที่ญาณสัมผัสดีเกินไป ดีจนได้ยินกระทั่งจังหวะกังวานน้อยๆ แสนร่าเริงในเส้นเสียง เห็นกระทั่งดวงตาประกายระยับที่หยักโค้งเป็นวงเดือนยามยิ้มกว้าง สังเกตกระทั่งสีเลือดฝาดระเรื่อบนพวงแก้มนวล

แล้วยังเห็นเทียนตาลุกวาวเป็นครั้งแรก ก็ให้เจ้านายนึกน้อยใจอยู่นิดๆ ว่าเห็นทีมันจะไม่อยากได้มีดแล้วกระมัง

ต้นตาลมีอยู่เป็นสิบปี ลูกแก่ลูกดิบร่วงลงดินก็มากมาย มันไม่เคยกินเพราะปอกไม่เป็น

เขาก็เคยรู้มาบ้างว่าการปอกตาลให้เนื้อไม่ทะลุ ได้กินน้ำหวานตรงกลางนั้นยาก ครั้นมาเห็นแม่หญิงชวาลาทำดูว่องไวเช่นนั้นก็ไม่วายคิดว่า แท้จริงแล้วคงไม่เกินความสามารถแม่บ้านแม่เรือนทั่วไปดอก

ชื่อละอออย่างนั้นฤๅ (เอียง)

ออกขุนหนุ่มได้ยินชวาลาเรียกขานเด็กหญิงแล้ว ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็หวนกลับมาในห้วงคิดอีกครา ที่นั่งสมาธิไปสูญเปล่า เพราะเอาเข้าจริงกลับจำได้ทุกรายละเอียด

ถ้าเช่นนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ที่แม่หญิงชวาลาน้องสาวหมื่นวรไชยทำไปเพียงเพราะความคุ้นเคย ไม่ได้รู้สติ ไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพี่ชายตั้งแต่ต้น

พันแสงผละออกห่างจากหน้าต่าง ถอนใจหนักครั้งหนึ่ง

นั่นออกจะเป็นความคิดเอาใจช่วยกันเกินไปแล้ว

 

ยามค่ำคืนที่เรือนขุนสุริยนหัสดีนั้นเงียบนัก เจ้าของเรือนกลับมาอีกครั้งตอนย่ำค่ำแล้วเก็บตัวอยู่ในห้องตามลำพัง ไม่ทักไม่ถาม ทุกคนจะรู้ว่าเขาอยู่ห้องจากแสงตะเกียงเท่านั้น

ชวาลาให้น้องๆ เข้านอนแล้วก็รวบรวมความกล้าเดินมาเคาะประตูห้องหอ ขออนุญาตเข้าไปข้างใน

ออกขุนหนุ่มนั่งอยู่หลังกากะเยีย๑๔ซึ่งเป็นขาตั้งไม้สูงถึงอก กำลังอ่านใบลาน๑๕จารึกอักษรไทยเต็มหน้าที่กางอยู่บนนั้น พอเห็นว่าเด็กสาวเข้ามาถึงแล้วจ้องคัมภีร์อย่างสนอกสนใจมากกว่าตัวคน เขาก็ยกเก็บไปไว้ด้านข้าง ถามเสียงเรียบ

“แม่หญิงมีกระไร”

ได้ยินเขาถามเช่นนี้ชวาลาก็ใจชื้น ดูท่าเรื่องที่ขอจะได้ไม่ยากนัก แต่ก่อนอื่นก็ขอผูกไมตรีด้วยการคลานเข่าอย่างสงบเสงี่ยม นำถ้วยกระเบื้องเคลือบใบจ้อยที่ถือมาด้วยเข้าไปวางข้างสามี ยิ้มอย่างภูมิใจนำเสนอ

“ท่านขุนรับลูกตาลลอยแก้วเสียหน่อยหนาเจ้าคะ เป็นต้นในสวนนี่เองเจ้าค่ะ”

เด็กสาวไม่คิดว่าเรื่องนั้นพันแสงจะรู้อยู่แล้ว เห็นเขาเหลือบมองเจ้าลูกตาลหวานเย็นแวบหนึ่งก็หันไปทางอื่น

“แม่หญิงกินเถิด ข้ามิหิว”

“แต่วันนี้ท่านขุนยังมิได้กิน...” ชวาลาพลั้งปากแย้งขึ้นมา พอนึกได้ว่าต้องเอาใจเขาก็หยุดเสียกลางคัน “ถ้าเช่นนั้นก็มิเป็นกระไรเจ้าค่ะ แต่ถ้าคืนนี้ท่านขุนอยากกินกระไรก่อนนอนบ้างก็มีลูกตาลอยู่ในครัวนะเจ้าคะ”

เจ้าตัวคงไม่รู้ดอกว่าพูดแบบนั้นก็น่าตีอยู่ดี พูดดักคอกันเช่นนี้แล้วจะให้เขากินของเธอได้อย่างไร

“แม่หญิงมีกระไรก็ว่ามาเถิด” ทั้งขนมทั้งคน กวนใจเขาเหลือเกิน

“ก็...ฉันว่าจักมาขอไปนอนกับแม่ละออน่ะเจ้าค่ะ” ชวาลาเข้าประเด็น “ฉันเพิ่งรู้ว่าเรือนท่านขุนไม่มีบ่าวอยู่ด้วย น้องเพิ่งมาอยู่ต้องนอนคนเดียว ฉันก็เป็นห่วงเจ้าค่ะ”

“เรือนนี้ไม่มีคนรับใช้ก็จริง แต่ข้างนอกนั่นมีพวกบ่าวอยู่ยามเฝ้ากันทั้งคืนอยู่แล้ว” พันแสงอธิบาย แล้วก็ฉุกคิดได้ว่านี่เขากำลังพูดเหมือนไม่อยากให้เด็กสาวไปนอนห้องอื่น จึงกลับคำพูดเสียใหม่ว่า “ส่วนแม่หญิงหากอยากนอนที่ใด ย่อมนอนได้ตามแต่ใจแม่หญิง”

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” ชวาลารีบรับคำอนุญาต ยกมือไหว้อ่อนช้อย

พันแสงลอบพิจารณาดวงหน้าผ่องใสนั้นก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากความยินดีปรีดาเหลือแสนที่จะได้นอนแยกห้องกับเขา ก็ให้สงสัยนักว่าตกลงเด็กสาวจะมาไม้ไหนกันแน่

“ท่านขุน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ” ร่างบางไม่ยอมลุกไปไหน พอได้คืบก็จะเอาศอกตามทันที “วันนี้ฉันเข้าครัว เห็นมีข้าวของมากมายอยู่ในตู้ แต่กระนั้นหลายอย่างที่อยากใช้ยังไม่มี จึงจักขอท่านขุนเอาถ้วยโถโอชามแลเครื่องเคราต่างๆ มาเรียงเสียใหม่ แลกระไรที่เพิ่มเติมได้ก็จักขอซื้อมาไว้ใช้สอยเจ้าค่ะ”

เธอพยายามพูดให้ดูดี ไม่ให้เขาจับได้ว่านี่คือคำขอแปลงโฉมครัวใหม่หมด มิใช่แค่ปัดกวาดเช็ดถูเฉยๆ

“ได้” พันแสงตอบอย่างไม่ใส่ใจ อย่างไรก็จะไม่กินของที่ภรรยาทำอยู่แล้ว

“ท่านขุนมีเมตตานัก ดังนั้นหากฉันจักขอจัดห้องแม่ละออด้วยได้ไหมเจ้าคะ ถึงเป็นห้องส่วนตัวมิได้ให้ใครเห็น แต่ก็ยังอยากเรียนให้ท่านทราบก่อนเจ้าค่ะ”

อันที่จริงชวาลาไม่จำเป็นต้องขอก็ได้ เพราะพันแสงไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ถึงเป็นห้องทั้งห้อง แต่ถ้าเขายกให้แล้วก็คือให้ไม่กะเกณฑ์อะไรอีก เจ้าของเรือนเองก็รู้ ทว่าพอได้ยินคำว่า ‘ห้องส่วนตัว’ จากปากเด็กสาวก็พาลหัวเสียขึ้นมาครามครัน รู้สึกไม่ถูกต้องทั้งๆ ที่บอกไม่ได้ว่าทำไม

แต่ถึงกระนั้นก็ “ได้”

คราวนี้ชวาลายิ้มแป้นทีเดียว เธอบรรจงกราบขอบคุณตามธรรมเนียมอันพึงปฏิบัติต่อสามีตามที่เถ้าแก่สอนมา แล้วก็ขอตัวไปนอน โดยไม่ลืมเก็บถ้วยลูกตาลไปด้วย

ออกขุนหนุ่มถอนหายใจ อีกฝ่ายบอกว่าจะซื้อของใช้ จะปรับปรุงครัว จะแต่งห้องใหม่ กิจการในหัวมากมายแต่กลับไม่ได้ขออัฐสักสลึง เขาก็ทำใจแข็งไม่ทวงถาม อยากรู้นักว่าแม่หญิงจะจัดการได้อย่างไร

หญิงชาวสยามเมื่อออกเรือนแล้ว เรื่องเงินทองของใช้ใดๆ ล้วนต้องพึ่งพาสามีจัดหามาให้ ทรัพย์สินจากครอบครัวเก่านั้นไม่เคยมีใครได้รับมาก เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็นับว่าเป็นคนของสามี หาใช่ลูกสาวของพ่อแม่เช่นเดิมไม่

ทว่าคงจะมีสตรีที่ไม่ทุกข์ร้อนเรื่องเงินอยู่คนหนึ่ง

ขุนสุริยนหัสดีได้ยินเสียงฝีเท้าก็ไม่อาจห้ามใจ ต้องชะเง้อมองลอดบานหน้าต่างที่แง้มไว้ออกไปดู ก็เห็นภรรยาร่างน้อยของตนกำลังเดินไปกินลูกตาลลอยแก้วไปอย่างเบิกบานใจ


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น