2

หนี

บทที่ ๒

หนี

 

เสียงเด็กเล่นกันดังมาจากบ้านสวนริมคลองอันร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิดเขียวขจี ชวาลาพาน้องๆ มาขออยู่กับนางม้วน แม่ค้าขายผลไม้ซึ่งรู้จักกันที่ย่านป่าถ่านได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ทว่าเหตุการณ์ในคืนสุดท้ายที่เรือนเก่ายังติดอยู่ในใจ ทำให้เด็กสาวสีหน้าหม่นหมองจนแม้แต่นางม้วนซึ่งปกติเป็นคนอารมณ์ดียิ้มไม่ออกตามไปด้วย

“ข้าบอกเอ็งแล้วว่าอยู่กับข้าที่นี่ก็ได้ มิต้องถ่อไปถึงพิษณุโลกดอก” นางม้วนเห็นชวาลาสะพายย่ามไว้ที่บ่าข้างหนึ่งแล้ว แต่ยังเขย่งเท้ามองเข้าไปด้านในสวนอยู่นั่นก็สั่นศีรษะ

“ลำพังเงินกับผ้าแพรที่เอ็งให้ไว้ก็พอเลี้ยงพวกมันจนโตมีลูกเต้าได้แล้วละ อีตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้มันจักกินกระไรกันมาก ผลหมากรากไม้ข้าก็ออกเต็มสวน ไป กลับเข้าบ้านกินข้าวกันเถอะ เอ็งด้วย นังละออ”

“มิได้ดอกจ้ะป้าม้วน” ชวาลาขืนตัวไว้ ยืนอยู่ที่เดิมตรงถนนข้างบ้านโดยมีละออมองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมา “ป้าม้วนช่วยฉันไว้ครั้งนี้ก็นับว่ามากแล้ว จักให้อยู่ที่นี่ตลอดไปเลยมิได้จริงๆ จ้ะ อีกอย่างฉันอยากจัดการเรื่องพี่ไชยให้เรียบร้อย คุณลุงที่พิษณุโลกเท่านั้นจึงจักช่วยฉันได้”

“เรื่องที่เอ็งตั้งใจมันใหญ่เกินตัวนัก!” นางม้วนอยากเขกหัวเด็กสาวแรงๆ สักที “เอ็งเป็นผู้หญิง ไม่มีผู้ชายคุ้มกะลาหัวยังพอว่า นี่กระไร ยังจักหาทางขึ้นโรงขึ้นศาลไปแบ่งทรัพย์กับเขาอีก พี่ชายเอ็งต่อให้เป็นคนเยี่ยงไรเขาก็เป็นถึงท่านหมื่น เอ็งจักเอากระไรไปสู้เขาฮึ”

“จ้ะ ป้าพูดถูกทุกอย่าง ฉันถึงต้องไปพิษณุโลกอย่างไรเล่า” ชวาลารับเอาง่ายดายเช่นนั้นเลย

“โอ๊ย ข้าอกอีแป้นจักแตก พูดกับเอ็งเท่าไรมิเห็นรู้เรื่อง พิษณุโลกใช่ว่าอยู่ท้ายคุ้งน้ำนี่เสียเมื่อไร” นางม้วนฮึดฮัดขัดใจนัก เกลี้ยกล่อมกันมาตั้งแต่เมื่อวานไม่นำพา วันนี้ก็คงได้ผลเหมือนเดิม “แล้วนี่เอ็งจักไปเยี่ยงไรเล่า ระวังตัวด้วยหนา รู้ข่าวอ้ายเสือพรายมันฤๅไม่”

แววตาเด็กสาวสั่นไหวไปวูบหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า หญิงวัยกลางคนฮึดฮัดขัดใจที่อีกฝ่ายเป็นแม่ค้าแต่ดันตกข่าว ไม่สมกับอยู่ตลาดเอาเสียเลย

“ก็อ้ายเสือพราย อ้ายมหาโจรที่ทางการเขาเพิ่งจับตัวได้เมื่อวานซืนนั่นน่ะซี ใครก็ว่าวิชามันร้ายเหลือ ถึงขั้นต้องเชิญพระครูสี่คนมาเฝ้าคุก วันนี้เขาจักเอามันออกมาตัดสินโทษที่กรมพระนครบาล เดี๋ยวคงได้ฆ่าประจานกันละ อีเยื้อนมันชวนไปดู ข้ายังมิกล้าไปเลย”

“อ้อ” ชวาลารับคำสั้นๆ ราวกับคิดไม่ออกว่าเกี่ยวกับตัวเองอย่างไร “จ้ะ”

นางม้วนปวดหัวกับคำว่า ‘จ้ะ’ นั่นมาก “วันนี้ชาวบ้านชาวช่องเขาถึงได้อยู่แต่ในเรือนกันน่ะซี เขากลัวเสือพรายแผลงฤทธิ์ หรือไม่ก็พวกโจรลูกน้องมันมาแก้แค้น แล้วนี่เอ็งยังจักตั้งท่าไปพิษณุโลกอีก ข้าก็มิรู้จักพูดเยี่ยงไรแล้ว”

“ฉันคงมิดวงตกขนาดนั้นดอกจ้ะ”

“ชิชะ! ดูพูดเข้า ถูกเขาตีมาปากบวมขนาดนี้ยังมิเรียกดวงอับอีกฤๅ”

ชวาลายิ้ม แก้มยังมีรอยช้ำเป็นวงใหญ่ เธอขอบคุณนางม้วนที่เป็นห่วง แล้วสุดท้ายก็ออกมาจากบ้านจนได้อยู่ดี

เด็กสาวไม่อยากรั้งรอไปมากกว่านี้ แม้นางม้วนไม่ใช่คนปากมาก แต่ความลับเรื่องเด็กๆ คงเก็บไว้ได้ไม่นาน เมื่อใดที่หมื่นวรไชยรู้เรื่องเข้า พวกเธอไม่มีทางได้อยู่อย่างสงบสุขแน่ ชวาลารู้นิสัยพี่ชายตัวเองดีว่าคนอย่างเขาต้องเจอคนที่มีอำนาจมากกว่าเท่านั้นถึงจะหายกร่าง คราวนี้เธอตั้งใจเอาคืนให้แตกหัก และถ้าผลีผลามใจร้อนทำคนเดียวอาจไม่สำเร็จ

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชวาลาหลับไม่ลงเลยสักคืนคือสายหยุด เธอไม่รู้ว่าตอนนี้หญิงสาวมีชะตากรรมเช่นไรบ้างหลังออกมาจากเรือนคืนนั้น เดิมทีสายหยุดไม่ใช่ทาสที่โดดเด่นจนนายไชยเรียกหา แต่หากเขารู้ว่าเธอพาเด็กๆ หนีออกมาแล้ว ทาสสาวคงไม่พ้นกลายเป็นแพะรับบาป ถูกทรมานทั้งกายและใจ ไร้ทางสู้

“พี่วา” ละออเรียก “พิษณุโลกนี่ไกลมากเลยใช่ไหม”

เสียงน้องถามดึงชวาลาหลุดจากภวังค์ กะพริบตาถี่ๆ

“มิไกลดอก” เธอตอบทั้งที่ไม่เคยไป “แล้วเจ้ายังจำคำพี่ได้ดีใช่ฤๅไม่”

“จำได้จ้ะพี่”

“นั่นละจ้ะ มิไกลดอก”

ทั้งคู่เดินเท้าตั้งแต่ย่ำรุ่งจนไปฟ้าสว่างที่ตลาดหัวรอ ซึ่งเป็นลานดินขนาดใหญ่ เป็นจุดให้เกวียนบรรทุกสินค้าต่างเมืองข้ามมายังเกาะพระนครได้เพียงแห่งเดียวของกรุงศรีอยุธยา จึงมีเกวียนหลังน้อยใหญ่มาแวะพักและแลกเปลี่ยนสินค้าก่อนไปต่อกันเนืองแน่น

ชวาลาเคยมาที่นี่บ่อยครั้งตามประสาแม่ค้าคนกลางที่ต้องเสาะหาของดีต่างถิ่นไปขายต่อ เธอจึงฟังภาษาที่มีทั้งคำและสำเนียงแตกต่างกันของแต่ละท้องที่ได้เกือบหมด เด็กสาวเดินวนเวียนดูลักษณะพ่อค้าแต่ละรายอยู่นานเพื่อเลือกคนที่ท่าทางดี จากนั้นก็แอบฟังบทสนทนาทีละคน จนกระทั่งเกือบบ่ายถึงหาพ่อค้าหน้าตาซื่อตรงได้คนหนึ่งที่แน่ใจว่าจะขนแป้งหอม น้ำอบ ธูปกระแจะเดินทางกลับไปพิษณุโลกเพื่อรับของป่ามาขายใหม่

เด็กสาวกำลังจะเข้าไปขอติดตามคณะเดินทาง ทันใดนั้นเองหางตาก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มร่างสะโอดสะองสวมชุดผ้าไหมแพรหัวเราะเสียงดังอยู่กับพวกกำนันตลาด

นั่นมันพี่ไชย! (เอียง)

ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ เวลานี้!

เธอคงดวงอับจริงๆ อย่างที่นางม้วนว่า เพราะปกติแล้วหมื่นวรไชยซึ่งเป็นหมื่นขนอนจะรับหน้าที่คุมพวกไพร่นายขนอน นายด่าน เก็บหัวเบี้ยจากพ่อค้าแม่ค้า ตรวจตราสินค้าและผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาเพียงเดือนละสิบห้าวันเท่านั้น นั่นคืองานของเขาที่ไม่เคยทำเลย เหตุไฉนวันนี้จึงนึกขยัน ออกมายืนตากแดดตากลมได้เล่า!

อีกอย่างด่านขนอนที่เขาประจำอยู่นั้นไม่ใช่ที่นี่ด้วยซ้ำ ถ้ามาทักทายสหายก็มาได้ถูกที่ถูกเวลาเสียจริง

ชวาลาคิดหนัก เพราะถ้าเธอกับละออขอติดคณะพ่อค้าไปอย่างเปิดเผย ก็จำต้องแสดงตัวเมื่อผ่านด่านก่อนออกจากตลาดหัวรอ และจะกลายเป็นว่าจู่ๆ พวกเธอเดินไปให้เขาจับได้เอาเฉยๆ

แต่ถ้าไม่ไป ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมีเกวียนจากพิษณุโลกมาให้พบอีกหรือไม่ และการหาทางออกไปจากตลาดโดยไม่ให้หมื่นวรไชยพบนั้นก็เสี่ยงพอกัน

เด็กสาวเม้มปาก ใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็จูงมือละออที่ยืนตัวสั่นวิ่งไปทางท้ายเกวียนแทน

 

“มันมาทำไมวะ”

กำนันตลาดถามนายด่านพลางบุ้ยใบ้ไปทางพ่อหมื่นเจ้าสำอางที่เดินเตร็ดเตร่ยิ้มน่ารำคาญอยู่นั่น หลังจากทักทายกันเสร็จเขาก็ไม่มีเรื่องจะพูดต่อ หรือว่ากันตามตรงคือไม่อยากเสวนาด้วย จึงเดินมาคุมงานอีกทางแทน ในบรรดาขุนด่านต่างรู้กันว่าหมื่นวรไชยวันๆ ไม่เคยทำงานทำการ พวกที่คบด้วยจึงมีแต่คนหนุ่มเสเพลเท่านั้น

“มิรู้แน่ชัดขอรับ แต่เห็นว่ามาถามหาคนอยู่” นายด่านกระซิบกระซาบ “เป็นผู้หญิง สาวๆ หน่อย ผมยาวผิวพรรณดีขอรับ”

“ใคร เมียมันฤๅ”

“เมียเขาเยอะนักขอรับ กระผมจำมิได้ดอก”

“เออ งั้นก็ช่างหัวมันเถิด” กำนันตลาดว่า “มิต้องไปช่วย ให้มันดูเอง”

หมื่นวรไชยยืนข้างด่านขนอนอยู่นานสองนาน พอไร้วี่แววเป้าหมายก็เริ่มหงุดหงิด อาการลิงโลดตอนเช้าหลังจากได้รับข่าวดีเริ่มจางหายกลายเป็นความกระวนกระวาย

เพราะหากวันนี้ไม่ได้ตัวชวาลา จากที่เขาอุตส่าห์ออกตัวรับปากหลวงบวรทัต ขุนนางใหญ่ไว้มั่นเหมาะ หวังจะได้ขจัดหนามยอกอกหลายทางไปพร้อมกัน นี่ก็คงกลายเป็นงานยาก เสี่ยงโดนกุดหัวแทนไปเสีย

ใครจะรู้ว่าการจับตัวเสือพรายมหาโจรได้เมื่อหลายวันก่อนจะทำให้ทุกอย่างประจวบเหมาะให้เขาทำลายศัตรูสองคนได้ในคราเดียว

เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ในพระนคร หลวงบวรทัตผู้เป็นหัวหน้ากองตระเวนนครบาลรักษาพระนครได้รับความดีความชอบมหาศาลหลังจากปราบชุมโจรได้ ถึงแม้จะไม่มากเท่าพันแสงหรือขุนสุริยนหัสดีที่เพิ่งปราบกบฏเมืองจันท์ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ข้าราชการฝ่ายทหารทุกคนต่างรู้ดีว่าเสือพรายผู้นี้ต้องใช้เวลาตามจับกันหลายปีและรับมือได้ยากยิ่ง เพราะมันมี ‘อวิชชาต้องห้าม’ ติดตัว ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าแท้จริงแล้วศาสตร์มืดลึกลับนี้เป็นอย่างไรกันแน่

หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่เคยมีใครเหลือรอดกลับมาเล่าให้ฟังมากกว่า

ดังนั้นเมื่อหลวงบวรทัตจับตัวเสือพรายได้ เขาย่อมเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ความลับนี้ และนายไชยเป็นหนึ่งในลูกน้องคนสนิทเนื่องจากมีรสนิยมเที่ยวผู้หญิงเหมือนกัน จึงได้ฟังความพิสดารของมันมาบ้าง

อ่านใจคนทะลุปรุโปร่ง โจมตีพิฆาตฉกาจฉกรรจ์ คุ้มครองแคล้วคลาด ปัดเป่าหลีกหนี สาปแช่งปลุกเสกคุมผี คงกระพันชาตรี ฟื้นชีพชุบวิญญาณ

อาคมเหล่านี้ล้วนรวมอยู่ในอวิชชา ‘อาถรรพเวท’

และเพราะเป็นวิชาประจำกายของกบฏท้าวกาฬเนตรที่หวังโค่นอำนาจราชวงศ์ปัจจุบันเมื่อห้าสิบปีก่อน ถึงไม่สำเร็จ แต่ก็ทำให้อาถรรพเวทถูกบัญญัติเป็นอวิชชาต้องห้าม ใครใช้ใครฝึกมีโทษประหารสถานเดียว!

‘แล้วอวิชชาของอ้ายเสือพรายกับอ้ายพันแสงมันยังคล้ายกันอยู่หลายส่วน’

หลวงบวรทัตตั้งข้อสังเกต เขาเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ไม่พอใจออกขุนหนุ่มรุ่นลูกเท่าไรนักจากสาเหตุหลายประการ 

‘จากที่อ้ายพวกนั้นมันบอกก่อนตาย กระไรที่อ้ายเสือพรายทำได้ อ้ายพันแสงก็เหมือนจักทำได้เช่นกัน’

บรรดานักฆ่าจากทั่วทุกสารทิศที่ถูกส่งไปหาออกขุนหนุ่มล้วนไม่ตายดี หลวงบวรทัตเอาชีวิตพันแสงไม่ได้ก็ได้แต่เค้นเอาความทรงจำก่อนตายของคนเหล่านั้นมารวบรวมไว้ ด้วยความที่มีวิชาเหมือนกัน ทำให้เมื่อพบกับเสือพรายก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทันที

‘แต่ครานี้ที่อ้ายเสือพรายถูกจับได้ แท้จริงแล้วเพราะมันเองที่อ่อนแอลง อย่างกับโดนของเข้าตัว’

คนของหลวงบวรทัตตามชุมโจรเสือพรายอยู่สองปี มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมคือผู้หญิงชื่ออุ่นเรือน

‘ตอนกูจับมันได้ ดูก็รู้ว่ามันห่วงนังคนนี้’

คุณหลวงสูงศักดิ์นึกถึงใบหน้าจืดชืดของหญิงชาวบ้านแสนธรรมดาแล้วนึกขัน ในสายตาเขานางไม่เห็นมีเสน่ห์ตรงไหน

‘อวิชชาส่วนมากมีข้อห้ามอยู่ไม่กี่ข้อ แต่ถ้าฝ่าฝืนเข้าแล้วมีโทษสถานเดียวคือของย้อนเข้าตัวถึงตาย บ้างห้ามโกหก บ้างห้ามตัดผม หากอ้ายเสือพรายมีอวิชชาต้องรักษาพรหมจรรย์ห้ามยุ่งกับผู้หญิงละก็ มิแปลกที่มันจักถึงที่ตาย’

และข้อสันนิษฐานก็ได้รับการยืนยันตอนรุ่งสางวันนี้นี่เอง เมื่อพวกโจรที่จับมาได้พร้อมกันถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการเคี่ยวน้ำมันให้เดือดราดศีรษะ ทันทีที่แม่อุ่นเรือนสิ้นใจ เสือพรายซึ่งถูกคุมขังอยู่ก็ฟื้นวิชาได้อย่างน่าอัศจรรย์

มันสะเดาะโซ่ตรวนทั้งห้าที่มัดคอ มือ เท้า หลบหนีออกจากคุกหลวงไปได้ง่ายดาย ทำให้หลวงบวรทัตเดือดดาลแทบคุมสติไม่อยู่ แต่ในอารมณ์โกรธแค้นนั้น ออกหลวงมากเล่ห์ยังสามารถคิดได้ว่าเรื่องนี้ช่างน่าสนใจเหลือเกิน แน่นอนว่าเขาไม่ลืมคู่ปรับคนสำคัญ ขุนสุริยนหัสดี

‘มึงไปหาผู้หญิงสักคนให้อ้ายพันแสง’

หมื่นวรไชยถนัดเรื่องพรรค์นี้ที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครทักท้วงเมื่อเขาเสนอตัวรับงานและกลับเรือนมาถามหาชวาลาเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์

ชายหนุ่มถึงเพิ่งรู้ว่าน้องสาวหายตัวไปจากบ้าน หลังจากเฆี่ยนบ่าวไพร่ในเรือนที่ไม่ยอมรายงานเรื่องนี้จนหนำใจแล้วก็แต่งตัวออกมาตระเวนตามหา จนได้ความว่ามีคนเห็นแม่หญิงชวาลากับละออเดินไปตลาดหัวรอแต่เช้าก็รีบมาดักรอ แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่พบ

“ไปไหนของมันวะนังนี่”

แดดยามเที่ยงเริ่มร้อนจัด เหงื่อไหลโซมกายส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หมื่นวรไชยหน้าบูดบึ้ง พวกทาสที่มาด้วยพากันคุกเข่าก้มหน้า เกวียนสินค้าผ่านด่านขนอนไปหลังแล้วหลังเล่า ราวกับว่าชวาลาเดินเข้ามาในตลาดแล้วหายไปเฉยๆ

“เฮ้ย! มึงน่ะ หยุดก่อน” ชายหนุ่มตะโกนเมื่อได้กลิ่นหอมกรุ่นแบบเดียวกับกลิ่นกายสตรีจากเกวียนหลังที่เพิ่งผ่านหน้าไป เขาใช้อำนาจหมื่นขนอนเข้าตรวจสินค้าในนั้นทันที

พ่อค้าตกใจ รีบเข้ามาเปิดฝากระบุงใบหนึ่งให้ดูมือไม้สั่น

“เป็นแป้งหอมขอรับ นายท่าน”

หมื่นวรไชยชักสีหน้าเหยียดหยาม ที่จริงเขาแค่ต้องการระบายอารมณ์เท่านั้น 

“เออ! มึงไปได้”

เกวียนเก่าๆ จึงแล่นปุเลงๆ รั้งท้ายขบวนต่อไปตามทาง ห่างจากความคึกคักจอแจจนลับสายตาไปในที่สุด

 

ภายในเกวียนที่บรรทุกแป้งหอมและน้ำอบไว้เต็ม ชวาลาซึ่งซ่อนอยู่หลังกระบุงด้านในสุดนั่งก้มหัวงอตัวอึดอัดเหลือประมาณ อาศัยแนบหน้าหายใจผ่านช่องว่างเล็กๆ บนผนังเกวียน เพ่งมองทิวทัศน์ข้างนอกที่เปลี่ยนไปตามทางด้วยใจระทึก

ละออถูกพาไปซ่อนตัวในเกวียนอีกหลังกลางขบวน ส่วนตัวเธอหลบเข้าเกวียนหลังนี้ได้ในนาทีสุดท้ายพอดี และคงต้องอยู่ในสภาพนี้ไปอีกหนึ่งหรือสองวันกว่าจะถึงชุมทางบ้านเกาะขาด ซึ่งเป็นทางผ่านที่ขบวนเกวียนเดินทางไปพิษณุโลกทุกหลังจะแวะพัก และเป็นที่ที่ชวาลานัดพบกับนางเขียวเอาไว้

เด็กสาวไม่คิดเดินทางไกลเป็นเดือนกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว รู้ตัวดีว่าเป็นผู้หญิงมากับเด็กจะถูกเขารังแกเอาได้ง่ายแค่ไหน ที่ขอติดขบวนเกวียนพวกนี้มาก็เพราะไม่มีทางเลือก ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นเท่านั้น

หนทางยังอีกไกลนัก ขอคุณพระคุณเจ้าช่วยขจัดโพยภัยให้ลูกแลละออรอดพ้นอันตรายด้วยเถิด (เอียง)

ภาวนาในใจจบไปไม่ทันไร ชวาลาก็เห็นว่าเกวียนของตนแล่นเบี่ยงเส้นทางออกจากเกวียนหลังอื่นในขบวน แยกจากเกวียนของละออ บ่ายหน้าสู่ถนนแคบๆ เข้าป่าไผ่ไปโดยไม่มีใครคัดค้าน

คราวนี้แย่แล้ว แย่แล้วจริงๆ! (เอียง)

ปลายทางของเกวียนหลังนี้เป็นที่ใดไม่อาจคาดเดาได้ แม้อยากหุนหันลงจากเกวียนวิ่งตามขบวนไปเท่าไร แต่จิตใต้สำนึกร้องเตือนว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว เธอจึงจำทนนั่งคุดคู้ต่อไป พลางเฝ้ามองดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับลงที่เส้นขอบฟ้าในป่าไผ่รกชัฏด้วยความหวาดหวั่นแทบลืมหายใจ

 

ที่ชุมทางบ้านเกาะขาด ขบวนสินค้าเริ่มจุดไต้ให้แสงสว่างกันแล้ว นางเขียวกำลังยืนรอให้ชวาลามาตามนัด ร้อนอกร้อนใจกว่าเมื่อครั้งนัดกันที่ถนนในพระนครหลายเท่า โดยเฉพาะหลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงลูกสาวพระยาพานทองสูงศักดิ์ จะมาร่วมขบวนเกวียนต่ำต้อยของนางไปต่างเมืองเช่นนี้นับว่าไม่เหมาะ ถ้าไม่ใช่ว่าถูกล่อด้วยค่าตอบแทนอย่างงามที่จะได้จากญาติเมืองพิษณุโลกของชวาลาแล้วละก็ นางคงปฏิเสธคำขอนี้โดยไม่ต้องคิด

เพราะหากชวาลาเป็นผู้ดีจริงก็เป็นชนิดที่นางไม่เคยพบเคยเห็น มีอย่างที่ไหนจะขยัน ตระหนี่ วิ่งวุ่นลากเกวียนขายของไปทั่วพระนคร ไหนจะพูดจายิ้มหัวกับพวกทาสได้ไม่เคอะเขินอีก ไม่มีพ่อแม่ตระกูลขุนนางคนใดยอมให้ลูกสาวทำเรื่องแบบนี้ได้หรอก |ไม่มีทาง! (เอียง)

“แม่นาย แม่นาย!” อ้ายแดง ทาสชายวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา “ข้าเห็นนังเด็กที่ชอบมากับแม่วาอยู่โน่นแน่ะจ้ะ”

“ไหนๆ...อุ้ย! ตายห่า”

นางเขียวรีบหันหลังให้กลุ่มนายด่านซึ่งกำลังลากเด็กหญิงไปขึ้นเกวียนอีกหลังอย่างเร็ว หลับตาปี๋ ตัดสินใจไม่รับรู้ภาพนั้น เมินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของละออไปเสีย

“แม่นาย แล้วแม่วา...”

“ไปๆ พวกมึงไป” นางเขียวกระซิบลอดไรฟันพลางถีบอ้ายแดงไปด้วย “รีบไปคุมเกวียน รีบไป!”

เป็นจริงดังคาด แม่หญิงวิปลาสนางนี้มีเรื่องกับทางการจริงๆ เสียด้วย แม่ค้าต่างแดนอย่างนางเขียวร่อนเร่มาหลายสิบปี เจอคนทุกประเภท มั่นใจว่าลางสังหรณ์ตัวเองไม่เคยพลาด นางจะไม่ยอมให้ขบวนสินค้าที่สู้อุตส่าห์ฝ่าฟันสร้างมาถูกทางการหมายหัวเพียงเพราะช่วยเหลือเด็กสาวคนเดียวเด็ดขาด

ละออเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้น จึงรู้ว่าไม่ต้องร้องเรียก ‘ป้าเขียว’ อีกต่อไปให้ไร้ประโยชน์ เด็กหญิงเริ่มร้องไห้ขณะมองส่งขบวนเกวียนหลายหลังที่พวกทาสชายช่วยกันไล่ควายให้ออกเดินทางจากไปอย่างเร่งรีบ ยอมให้นายด่านจับตัวไม่ขัดขืนอีก

“แม่นายชวาลาอยู่หนใด” บ่าวของหมื่นวรไชยผู้เป็นคนชี้ตัวเด็กหญิงให้ทุกคนรู้เค้นถาม “อีละออ มึงบอกกูมาเถิด มิเช่นนั้นนายท่านมิเอามึงไว้แน่”

พวกนายด่านเจอเด็กหญิงเดินหน้าซีดอยู่คนเดียว เพราะหลังจากเกวียนที่เธอซ่อนตัวมาหยุดพัก ร่างเล็กก็แอบปีนออกมาตามแผนการที่ได้ซักซ้อมไว้ แต่กลับหาชวาลาไม่เจอ ทำให้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เดินส่องเกวียนทุกหลังไปจนนายด่านเห็นพิรุธ จับตัวมาไต่ถาม

ส่วนบ่าวของหมื่นวรไชยที่ถูกส่งออกมาตามหาทั้งสองทั่วทุกหนแห่ง เห็นเด็กหญิงเข้าก็ดีใจเหมือนรอดตาย รีบส่งข่าวให้เจ้านายทันที แต่ตัวเองไม่กล้ากลับไป เพราะยังไม่เจอชวาลาซึ่งสำคัญกว่ามาก

“พี่เจิม ช่วยข้าด้วย!”

ละออรู้จักทาสชายที่มากับบ่าวท่านหมื่นว่าเป็นเจ้าของเสียงร้องโหยหวนจากเรือนใหญ่ และยังจำได้ว่าชวาลาต้องวิ่งขึ้นเรือนไปออกหน้าปกป้องพวกเขาไว้นับครั้งไม่ถ้วน

“พี่เจิม แม่นายเดือดร้อน พี่เจิมต้องช่วยข้า!”

นายเจิมเอาแต่ยืนห่อไหล่ก้มหน้าหลบตา ละออซึ่งอยู่ในวัยเพียงเท่านี้แค้นใจจนกรีดร้องดิ้นพราด

พี่วา ไม่มีใครช่วยเราเลย พี่วารู้ไหม (เอียง)

และแล้วเด็กหญิงก็ถูกพาตัวมาให้หมื่นวรไชยจนได้ ถึงจะกลัวตัวสั่นร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด ละออก็ไม่ยอมปริปากตอบเรื่องชวาลาแม้แต่คำเดียว

“มึงไปเอาแส้มาให้กู”

หมื่นวรไชยไม่ใช่คนความอดทนสูงอยู่แล้ว และแก้ปัญหาวิธีอื่นนอกจากใช้กำลังไม่เป็นเสียด้วย

ยามเมื่อแส้หนังสากๆ มีกลิ่นสาบเลือดแตะลงบนแก้ม ละออก็ยิ่งหวาดผวาแทบสิ้นสติ ครั้นจะตะเกียกตะกายหนีก็ถูกมือแข็งแรงหลายมือยึดเอาไว้แน่น หมื่นวรไชยตะเบ็งเสียงด่ากราดมาสักพักแล้ว บัดนี้โมโหจนพูดไม่ออก หวดแส้ลงบนแผ่นหลังเล็กจ้อยนั่นทันที

เผียะ! เผียะ! เผียะ!

เด็กหญิงร้องไห้จนไม่มีน้ำตา บ่าวในเรือนที่มาแอบดูตามข้างฝาพากันร่ำไห้ปานใจจะขาดตามไปด้วย ทว่าไม่มีสักคนที่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ

“กูจักถามอีกคำเดียว บอกกูมา แม่นายมึงไปไหน!”

ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียงกัดฟันข่มเสียงร้อง

“แม่นายเขาจงใจทิ้งมึง มึงยังมิรู้ตัวอีก อีโง่!”

“พี่วามิได้ทิ้ง ก็ขึ้นเกวียนมาด้วยกันจริงๆ”

หลุดปากไปแล้วถึงได้รู้คิด ละออสะอื้นปากสั่น สับสนไปหมด

“เอาละ มึงมิต้องทำเป็นเงียบ ทีนี้กูรู้แล้วว่าพวกมึงอยู่ด้วยกัน” หมื่นวรไชยนิ่งคิดอีกอึดใจหนึ่งกลับยิ่งปวดหัวหนัก “แสดงว่ามึงเองก็มิรู้ว่าแม่นายมึงอยู่ที่ไหนเช่นนั้นฤๅ”

ดวงหน้ากลมแดงก่ำ ดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด หมื่นวรไชยเห็นดังนั้นก็หัวเราะหึ 

“นี่ อีละออ ถ้าเช่นนั้นมึงเป็นห่วงแม่นายใช่ฤๅไม่”

ชายหนุ่มส่งแส้คืนให้บ่าว ย่อตัวลงนั่งข้างๆ ร่างเล็กด้วยท่าทีที่พยายามให้ดูเป็นมิตรมากที่สุดเท่าที่จะเสแสร้งได้ 

“ที่กูต้องถามมึงให้ได้ความ ก็เพราะเป็นห่วงแม่วานี่แล มิเช่นนั้นจักเพราะกระไรเล่า”

ดูท่าเด็กหญิงคงไม่เชื่อในทันที ไม่แปลก เพราะก่อนหน้านี้ชัดเจนว่าเกลียดชังกันถึงขั้นตายไม่เผาผี

“อีละออ กูเป็นพี่ชายแท้ๆ ของแม่วา น้องสาวหายไปจากบ้านกูย่อมเป็นห่วง ร้อนใจต้องตามหา ส่วนมึงเป็นแค่เด็กที่เขาเลี้ยงไว้ มึงคิดว่ากูรักแม่นายของมึงน้อยกว่ามึงงั้นฤๅ กระไรทำให้มึงมั่นใจนักหืม”

ละออยังเงียบ แต่แววตาฉายชัดว่าเริ่มไขว้เขวลังเล

“พี่น้องโตมาก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง เป็นธรรมดาของผู้ใหญ่ มึงเป็นเด็กมิรู้ความ จักมาหาว่ากูมิรัก คิดร้ายกับแม่วา มึงกล้าดีอย่างไร” หมื่นวรไชยยิ่งปั่นหัวไปยิ่งสนุก ที่สุดท้ายแล้วตัวเองก็ถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดีที่มีสายเลือดเดียวกับชวาลา ในขณะที่เด็กหญิงไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย

“มึงคิดดูดีๆ ในอโยธยาตอนนี้นอกจากกูแล้วจักมีใครช่วยแม่วาได้อีก”

เป็นความจริงอย่างที่ชายหนุ่มบอก ละออที่เพิ่งเห็นมาสดๆ ร้อนๆ ว่ามนุษย์เรานั้นเมินเฉยต่อกันได้แค่ไหนต้องยอมรับสัจธรรมข้อนี้ไปโดยปริยาย จึงๆ ค่อยๆ เบือนหน้ามามองด้วยนัยน์ตาบวมช้ำ เริ่มตอบสนอง

“ถ้าแม่นายมึงเป็นกระไรไป ก็โทษตัวมึงเองเถิดที่วันนี้มิยอมพูด!”

หมื่นวรไชยลอบยิ้มในใจ หลังจากประโยคนี้เขาจะได้รู้ทุกอย่างแน่นอน

 

ขณะเดียวกัน ชวาลาอยู่ในเกวียนที่แล่นไปตามทางคับแคบคดเคี้ยวทุรกันดารนัก ราวกับว่ามันกำลังบุกป่าไผ่ไปเดี่ยวๆ ไม่เฉียดเข้าใกล้เส้นทางหลักเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแสงไต้ดวงเดียวหน้าเกวียนส่องทาง ไม่มีเสียงพูดคุย มีเพียงเสียงหัวใจเธอเองที่เต้นตึกๆ เจียนจะหลุดออกมานอกอกเท่านั้น

นี่มันประหลาดเกินไป ในหัวขบคิดถึงความเป็นไปได้นับพัน ไม่มีทางไหนเลยที่เป็นเรื่องดี

ทันใดนั้นเองเกวียนที่แล่นมาเรื่อยๆ กลับหยุดชะงักลง

แสงไต้ดับวูบ

เกวียนสะเทือนอย่างแรงครั้งหนึ่ง มีเสียงร้องคล้ายคนทุรนทุรายออกมาแค่ครั้งเดียว

ชวาลาไม่กล้าหายใจ เหงื่อเย็นเฉียบแตกพลั่ก ตัวแข็งเป็นหินยามผ้าคลุมท้ายเกวียนถูกกระชากออกพร้อมกับที่แสงสว่างจากคบเพลิงในมือผู้บุกรุกสาดส่องเข้ามา

พวกเขาเคลื่อนไหวเงียบเชียบ ระมัดระวังเกินกว่าจะเป็นโจร ไม่มีทีท่าตะกละตะกลามอยากได้ของ เพียงเปิดฝากระบุงออกควานหาอะไรบางอย่างในนั้นใต้แป้งหอมขาวสะอาด เมื่อเจอก็ดึงกระบุงลงไปทีละใบใกล้ตัวเธอเข้ามาเรื่อยๆ

“ดินประสิว” เสียงหนึ่งบอก 

“กำมะถันด้วย” อีกเสียงหนึ่งเสริม

ร่างบางสั่นสะท้าน ขดตัวทั้งที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์เมื่อกระบุงสุดท้ายถูกยกออกไปและคบเพลิงเลื่อนมาจ่อตรงหน้า เธอรวบรวมความกล้าลืมตาขึ้นมอง

พวกเขามีกันสามคน ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ สวมเสื้อแขนกุดสีแดงเลือดนกวาดยันต์ห้าแถวกลางอกอย่างทหาร สะพายดาบยาวคาดอกท่าทางองอาจ คนหน้าสุดจ้องตอบด้วยสีหน้าตกตะลึง

“ผู้หญิง?”

“ผู้หญิงว่ะ” อีกคนอุทาน ก่อนหันไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังสุดเพื่อขอความคิดเห็น “ท่านขุนขอรับ”

ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของบรรดาศักดิ์ ‘ออกขุน’ ไม่ตอบว่าอะไร เสี้ยวหน้าของเขาที่พ้นออกมาจากเงามืดนั้นเรียบเฉยดุจรูปสลัก โครงหน้าคมสันแข็งกร้าวแบบบุรุษมีผิวสีแทนกรำแดดเกลี้ยงเกลา รับกับเรือนผมหยักศกดำขลับและนัยน์ตาสีเดียวกันที่เพียงทอดมองนิ่งงันกลับให้ความรู้สึกเสมือนห้วงน้ำลึกไร้ก้นบึ้ง แวบเดียวที่มองสบก็สัมผัสได้ถึงความทรงอำนาจบางประการที่ไม่อาจขัดขืนได้

ชวาลาจ้องเขาเต็มตาด้วยความตื่นตระหนก ต่างฝ่ายต่างเงียบ ชายหนุ่มอาจกำลังครุ่นคิด แต่เด็กสาวเงียบเพราะกลัวใจจะขาด ลำคอแห้งผากไม่อาจแก้ต่างให้ตัวเองแม้ครึ่งคำ

ทหาร? ท่านขุน? (เอียง) เธอพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ย่ำแย่ที่กำลังเผชิญให้ได้เร็วที่สุด |ดินประสิว กำมะถัน มิใช่แป้งหอม? (เอียง)

ดินประสิว กำมะถัน เมื่อผสมกับถ่านไม้จะกลายเป็นดินปืน นี่คือสินค้าต้องห้าม!

“พานางลงมา” ชายหนุ่มพูดขึ้นในที่สุด “แล้วสวมตรวนที่คอรวมกับอีกสองคนที่เหลือ”

ไม่นะ! (เอียง)

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น