1

แม่ค้าน้อย

บทที่ ๑ 

แม่ค้าน้อย

 

หนึ่งเดือนก่อน ณ ถนนหลวงมหารัถยา ใจกลางพระนคร กรุงศรีอยุธยา

เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว แต่บนถนนปูศิลาแดงทอดยาวสุดลูกหูลูกตายังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจนความกว้างถึงหกวาของมันดูแคบไปถนัด 

เดิมทีถนนสายเอกนี้สร้างไว้สำหรับตั้งกระบวนพยุหยาตรา ช้างม้าพระที่นั่ง และกระบวนกฐินประจำปีต่างๆ แต่เมื่อว่างเว้นจากงานใหญ่ทั้งปวงก็กลายเป็นตลาดบกให้พ่อค้าแม่ขายและชาวพระนครทุกชนชั้นมาพบปะกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

แทบบอกไม่ได้เลยว่าชาวสยามมากมายที่เดินขวักไขว่ไม่หยุดหย่อนนั้นทำอะไรกัน ส่วนชาวต่างชาติที่เดินปะปนอยู่ก็ชินเสียแล้วว่าคนจำนวนมากผิดปกติเป็นเพียงความจอแจธรรมดาของเมืองนี้ เงินพดด้วง เบี้ย ไพถูกโยนส่งไปมาพร้อมเสียงต่อรองราคา ท่ามกลางสินค้านับพันที่วางขายกันเกลื่อนกลาด แม่ค้าต่างแดนผู้หนึ่งกำลังชะเง้อรอใครบางคนอยู่อย่างกระวนกระวาย

“มาแล้วจ้า! มาแล้ว!”

เสียงแหลมๆ ของเด็กหญิงวัยสิบสามปีดังมาก่อน จากนั้นร่างเล็กกระจิริดจึงมุดลอดรักแร้คนแถวนั้นเข้ามา

“เอ้า! นังละออ พี่เอ็งอยู่ไหนเสียล่ะหา” นางเขียวตวาดแว้ด

“โอ๊ย ก็บอกว่ามาแล้วๆ คนมันเยอะจริงๆ นะจ๊ะป้า”

“ป้าเขียว ฉันไหว้จ้ะ”

ไม่ทันขาดคำ ร่างอ้อนแอ้นที่ติดจะผอมบางไปสักหน่อยของเด็กสาววัยสิบหกปีก็จูงแม่วัวเทียมเกวียนหลังเล็กเดินตามมา เพราะเจ้าวัวแก่มากแล้วจึงเดินอืดอาด จ้องจะนั่งตลอดเวลา ทำให้เจ้าของมันเกือบต้องลากเกวียนเสียเองจนแก้มนวลแดงจัด เหงื่อท่วมไปทั้งตัว

“พุทโธ่! กว่าจักมา ประเดี๋ยวข้าก็ให้เอ็งลากอีแก่นี่ไปส่งของที่ลพบุรีเสียดอก” 

นางเขียวทั้งฉุนทั้งโล่งอก ส่วนเด็กสาวหัวเราะรับ ทั้งสองติดต่อค้าขายกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงรู้จักกันดีพอว่านางเขียวไม่ได้เป็นคนใจร้ายใจดำ แค่ขี้บ่น ส่วนแม่ค้าน้อยชาวอโยธยานั้นก็ซื่อตรงใจกว้างประหนึ่งชายอกสามศอก ไว้ใจได้เสมอ

“พอดีฉันแวะรับของฝากที่ตลาดมอญมาให้ป้าจ้ะ ดูนี่เสียหน่อยซี” ว่าแล้วเด็กสาวก็หยิบห่อผ้าออกมาคลี่ให้เห็นขันทองเหลืองขัดเงาฉลุลาย นางเขียวถึงกับตาโต

“ว้าย งามแท้หนา คิดเท่าไรเล่าแม่วา”

“ฉันให้จ้ะ” แม่วา หรือชื่อเต็มที่ไม่ค่อยมีใครเรียกนักคือชวาลา ส่งขันทองเหลืองให้อีกฝ่ายพลางยิ้มซุกซน “แต่นี่หนา ขันใบนี้งามนักใช่ฤๅไม่ ถ้าเช่นนั้นพวกเศรษฐีที่โน่นคงอยากได้ไว้รับแขกกันบ้างกระมัง ป้าเขียวมิลองเอาขันนี้ไปให้เขาดูก่อน หากเขาชอบฉันจักได้หาให้ป้าไปขายอีกหลายๆ ใบดีไหมจ๊ะ”

“ฮื้อ เอ็งมันหัวหมอจริ๊ง เอาละๆ ข้าจักลองดู” ปากว่าไปอย่างนั้นแต่ฉีกยิ้มแก้มแทบแตกเลยทีเดียว

“ครานี้ฉันจัดของให้ป้าได้ครบเลยนะ ลองดูในใบนี้ก่อนสิจ๊ะ”

ชวาลาล้วงหยิบกระดาษจีนพับเรียบร้อยออกมาส่งให้ นางเขียวดูผ่านๆ ก็เห็นรูปวาดรายการสินค้าพร้อมขีดเส้นเป็นจำนวนและราคาต่อชิ้นจดไว้ละเอียดยิบ แล้วยังรวมราคาหักลบหนี้เอาไว้ให้นางอย่างดีอีกด้วย ตัวนางเองอ่านหนังสือไม่ออก คำนวณตัวเลขไม่เก่ง เป็นแม่ค้าได้ส่วนหนึ่งก็เพราะปากกล้า จะว่าไปเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นใครช่างจดช่างจำเท่าแม่วาผู้นี้มาก่อน

“อ่า...ประเดี๋ยวข้ากลับไปดูดีๆ อีกทีแล้วกัน แถวนี้อึกทึกปวดกบาล อ้อ นี่แม่หากะแช่ตลาดชีกุนได้ห้าสิบไหเชียวรึ”

“ฉันหาได้เป็นร้อยไหเลยจ้ะ แต่นังโคมันแบกมิไหว”

“วู้ย งั้นคราวหน้าเดี๋ยวข้าจูงม้าลงมาให้ คิดแค่สิบชั่งก็พอเอาไหม อีตัวนี้ก็ล้มกินเถอะ”

“มิเป็นไรดอกจ้ะ จักรบกวนป้าเขียวเกินไปแล้ว” เด็กสาวรีบลูบหัวโตๆ ของนางโคปลอบใจ กลัวมันไม่ยอมเดินกลับบ้านขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นให้ฉันเอาของย้ายไปใส่เกวียนป้าได้เลยไหมจ๊ะ”

“ได้เลยๆ เอ้า! อ้ายหาบ อ้ายแดง พวกมึงมาช่วยแม่วาเขาหน่อยเร็ว”

นางเขียวเรียกทาสชายที่ขายของอยู่อีกทางมาหา ทั้งคู่พอหันมาเห็นเด็กสาวก็ยิ้มกว้างจนตาหยี ร้องทักกันเกรียวกราวจนนางเขียวต้องคว้าของใกล้มือมาปาใส่

เมื่อพวกทาสชายเข้ามาช่วยแล้ว ชวาลากับละออก็เลี่ยงมายืนรอห่างๆ แทน ละออแม้เริ่มโตเป็นสาวแล้วแต่ยังมองขนมตาปรอยเหมือนเด็กเล็กอยู่ ครั้นผู้เป็นพี่ทำไม่รู้ไม่ชี้ก็กระตุกมือแรงขึ้นเรื่อยๆ จนต้องหันไปดุเข้าให้

“ละออ อยู่เฉยๆ ก่อน มิเช่นนั้นวันหน้าพี่จะ...”

“พี่วา ดูโน่น!”

ทันใดนั้นเองเหล่าคนเดินตลาดก็ส่งเสียงเอ็ดอึง แล้วขยับถอยเข้าข้างทางพร้อมกันจนคนด้านหลังถูกเบียด ตะโกนด่าทอดังลั่นไปเป็นแถบๆ พ่อค้าแม่ค้าต่างวิ่งเก็บแผงกันจ้าละหวั่น ทันบ้างไม่ทันบ้าง ดูเหมือนจะมีขบวนของเจ้านายหรือขุนนางผ่านมากะทันหันเป็นแน่

เด็กสาวจับมือน้อง เขม้นมองต้นตอของความชุลมุนวุ่นวาย จึงพบว่าผู้มาเยือนหาใช่ขบวนคนเดินตกแต่งงดงามเชื่องช้าไม่ แต่เป็นกลุ่มทหารห้าคนที่ควบม้าเข้ามาถึงเขตพระนคร เสียงเกือกโลหะกระทบพื้นผสานกับดาบเหล็กกล้าสั่นไหวสอดคล้องเป็นจังหวะ ยังความน่าเกรงขามและน่าหวาดหวั่นแก่ทุกคนในที่นั้น

ชวาลาเองตกตะลึงกับการปรากฏกายของเหล่าทหารเช่นกัน แต่พริบตาถัดมาเธอก็ใจหล่นไปถึงตาตุ่ม แตกตื่นหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่านางโคแก่กำลังทรุดตัวลงนั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวกลางถนน

โอ้! แย่แล้ว (เอียง)

ทหารม้าใกล้เข้ามา เธอไม่มีเวลายั้งคิด รีบปล่อยมือละออแล้วผลุนผลันออกไปทันที

เด็กสาวคว้าสายจูงแม่วัวได้ก็ออกแรงดึงสุดตัว แต่ถูกคนรายรอบถอยกรูกันเข้ามา เบียดไปทางโน้นทีทางนี้ที จนสุดท้ายต้องถลาเข้าไปดึงปลอกคอมันเสียเอง

ด้วยความรีบร้อนเป็นห่วงนางโคคู่ทุกข์คู่ยาก ทำให้ชวาลาไม่ทันมองว่าคนอื่นถอยออกไปหมดแล้ว เปิดทางให้ทหารม้าพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง!

ภาพสุดท้ายที่เด็กสาวเห็นก่อนหลับตาปี๋กอดคอนางโคแก่แน่นคือ ม้าศึกตัวมหึมาร้องเสียงดังบาดหูพร้อมถีบขาคู่หน้าขึ้นเหนือศีรษะ เธอกลั้นใจรอรับแรงปะทะ ไม่อาจหนีทัน

แต่ความเจ็บปวดนั้นกลับมาไม่ถึง

รู้ตัวอีกที ชวาลาก็ลืมตาขึ้นมาเห็นฝูงชนเงยหน้ามองอ้าปากค้าง ได้ยินละออกรีดร้องเรียกชื่อตนแทบขาดใจอยู่ข้างนางเขียวที่ใบหน้าซีดเผือด ดูเหมือนเธอจะกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าโดยมีร่างนายทหารหนุ่มผู้หนึ่งประกบอยู่ด้านหลัง ใกล้เสียจนผิวไหล่เปลือยเปล่าสัมผัสได้ถึงไอเย็นเฉียบของเกราะโลหะที่แนบชิดอยู่ ซึ่งผละออกห่างรวดเร็วพอๆ กับความร้อนจากมือที่ประคองเอวบางไว้มั่นคงในตอนแรก

ในใจชวาลารู้ว่าเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้ว แต่เนื้อตัวกลับแข็งเป็นหินไปหมด มือสองข้างเกร็งยึดแขนชายหนุ่มเอาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ ปล่อยไม่ได้คลายไม่ออก พอเงยหน้าขึ้นก็สบตากับเขาซึ่งก้มลงมาพอดีเสียอีก

เด็กสาวเบิกตากว้าง ในขณะที่นัยน์ตาใต้คิ้วคมเข้มคู่นั้นนิ่งสงบ

คาดเดาไม่ได้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรยามแกะมือเล็กออกจากการเกาะกุม ก่อนส่งตัวเธอลงจากหลังม้าได้อย่างง่ายดายด้วยมือข้างเดียว อากัปกิริยานั้นเรียบง่ายลื่นไหลราวเหตุการณ์ฉากนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกลางตลาดที่มีผู้คนนับร้อยจ้องมองตาไม่กะพริบ ผิดกับชวาลาที่ตัวชา หน้าร้อนเห่อด้วยความอับอายเหลือแสน

แล้วชายหนุ่มก็ชักม้าจากไปพร้อมพวกพ้อง ทิ้งให้ร่างบางยืนเซ่ออยู่ข้างนางโคแก่ที่เซ่อซ่าพอกันอยู่กลางถนน จนคนมองพลางซุบซิบกันเซ็งแซ่ถึงเริ่มได้สติ

“พี่วา พี่วา” ละออเข้ามาเขย่าแขน ชวาลาสะดุ้งเฮือก “พี่เป็นกระไรไหม”

เด็กสาวค่อยๆ ส่ายหน้า “เอ้อ แล้วแม่แก่?”

“เด็กนี่ ยังจักห่วงอีวัวแก่อีก!” นางเขียวเข้ามาลูบหัวลูบหน้า ดูตกอกตกใจมากกว่าเจ้าตัวด้วยซ้ำ “ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูกนะ เกือบไปแล้วไหมเล่า ถ้าท่านขุนเขามิช่วยไว้คงได้เป็นผีตายโหงเฝ้าอีแก่สมใจเอ็งละ”

“ท่านขุน?” ชวาลาทวนคำ

“นี่เอ็งมิรู้จริงๆ รึว่าเมื่อครู่นี้ใคร ฮะ อ้อ ข้าเองก็จำชื่อเต็มท่านมิได้ดอกหนา เขาเรียกกันว่าท่านขุนแสงผลาญ”

ว่าแล้วจู่ๆ แม่ค้าคนจรก็มีสีหน้าเคลิ้มฝันขึ้นมา 

“ยังหนุ่มแน่นแต่ได้เป็นถึงขุนศึก ทั้งพวกเขมร พม่า ทวาย เชียงใหม่ เชียงกราน พ่อปราบมาหมดแล้วนะจ๊ะ เดือนก่อนข้าผ่านไปเมืองตาก เห็นแถวนั้นว่าก็คนนี้นี่ละที่ตีชุมโจรห้าร้อยแตก อู๊ย...เก่งไปหมด เล่ามิหวาดมิไหว นี่ เขายังว่า...”

“เขานี่ใครหรือจ๊ะ”

“อะ กูเองก็ได้ วะ! เอ็งจักสนใจไปทำไมฮึ”

เป็นอันว่าจบตำนานเขาเล่าว่าของนางเขียวลงเท่านั้น ส่วนชวาลาเองนอกจากไม่รู้จักแล้วยังจำหน้าท่านขุนผู้มีพระคุณไม่ได้ด้วย เพราะถึงเข้าใกล้ก็เห็นแค่ผมยาวปรกหน้า หนวดเครารกรุงรังไปหมด ไม่ว่าเพราะงานรัดตัวหรือเป็นรสนิยมของเขาเธอก็ไม่ได้สงสัยใคร่รู้ดอก

แต่นางเขียวยังฉงน บุรุษในดวงใจนางก็ออกจะโด่งดัง

“แม่วามิรู้จักจริงรึ แต่เอาเถิด คงเพราะเป็นบ่าวไพร่ต้องทำงานหนัก เลยไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้กระมัง หากเป็นลูกเจ้าขุนมูลนายละก็ว่าไปอย่าง แม่หญิงเรือนไหนเขาก็แอบแต่งตัวสวยๆ ไปดักรอท่านขุนตามที่โน่นที่นี่กันทั้งนั้น อย่างเอ็งน่ะ ต่อให้หน้างามผิวงามผิดพ่อแม่ ชาตินี้ก็คงมีวาสนากับท่านขุนแค่นี้ละนะ เป็นไพร่ ได้เท่านี้ก็ดีตั้งเท่าไร”

ชวาลายิ้มเจื่อนๆ กลายเป็นเด็กหญิงละออที่คันปากทนไม่ไหวสวนขวับ

“พี่วาเขาเป็นลูกพระยาพานทอง ยศเต็มคือพระยารัตนาธิปก ศรีราชเดโชบริรักษ์ ใช่บ่าวไพร่ที่ไหน”

แต่ไหนแต่ไรละออไม่เคยท่องหนังสือได้ยาวเกินครึ่งบรรทัด น่าเหลือเชื่อนักที่คราวนี้กลับไล่บรรดาศักดิ์บิดาเธอได้เสียงดังฟังชัดรวดเดียวครบไม่มีสะดุด

นางเขียวตกใจ หน้าแตกเป็นรอบสองของวัน ร่ำร่ำจะยกมือไหว้เด็กสาวอยู่รอมร่อ ดีที่ห้ามกันไว้ทัน จากนั้นก็ไม่กล้ามองหน้าเธอตรงๆ อีก ได้แต่บ่นพึมพำว่าลูกสาวขุนนางประสาอะไร นุ่งผ้าลายเขียนสีหม่นเก่าเก็บ เครื่องประดับสักอันยังไม่มี ผมก็ไว้ยาวรุ่ยร่ายไม่เกล้าทรงโซงโขดง แล้วยังเที่ยวไปไหนมาไหนกับไพร่เด็กกะโปโล ทำตัวเป็นแม่ค้าตามตลาด

“มิต้องสนใจว่าฉันเป็นใครดอกจ้ะป้า เอาเป็นว่าฉันพอใจที่จักทำเช่นนี้ก็แล้วกัน”

ฟ้าเริ่มมืด ชวาลารับเงินจากนางเขียวแล้วพาละออไปซื้อขนมกล้วยให้กินเล่นระหว่างทางกลับเรือน นางโคแก่เดินช้าเป็นปกติ ดูเหนื่อยเล็กน้อย แต่โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ

ทั้งสองกลับถึงบ้านตอนพลบค่ำพอดี บนเรือนใหญ่มีแสงเทียนสว่างไสวและเสียงสรวลเสเฮฮาของบุรุษกลุ่มหนึ่ง ชวาลากำลังกำชับให้บ่าวดูแลนางโคให้ดีเพราะเพิ่งทำงานหนัก ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังแทรกขึ้นมา

“อ๊าก! อ๊ากกก!”

ละออได้ยินก็หน้าซีด “เอาอีกแล้ว เขาทำอีกแล้วจ้ะพี่”

“ละออ เจ้ารีบไปอยู่กับน้องๆ ที่เรือนเล็กก่อน”

ชวาลาหน้าเครียดขึ้นพลัน เธอรอจนแน่ใจว่าเด็กหญิงวิ่งหายไปหลังบ้านเรียบร้อยแล้วจึงก้าวเร็วๆ ขึ้นไปบนเรือน ไม่ลังเลสักนิดแม้บ่าวชายจะตะโกนห้ามไล่หลังจนเสียงแหบแห้ง

 

เป็นธรรมดาที่บ้านขุนนางเก่าแก่มักมีแขกมากหน้าหลายตามาเยือนตลอดทั้งวัน แต่สำหรับเรือนไม้สักทองของพระยารัตนาธิปกนั้น ตั้งแต่ท่านเสียไปเมื่อสองปีก่อนก็มีเพียงกลุ่มชายฉกรรจ์อุ้มไหสุราเดินเข้าๆ ออกๆ บางครั้งก็ทะเลาะวิวาทกันเสียงเอะอะ

บ่าวในเรือนไม่มีใครกล้าว่า เพราะพวกเขาล้วนเป็นสหายของบุตรชายคนโตซึ่งบัดนี้มีสิทธิ์ขาดเป็นเจ้าของเรือนคนใหม่

คืนนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรจีนเนื้อดีซึ่งนอนเหยียดยาวบนตั่งไม้นั้นมีโครงหน้างามนุ่มนวลคล้ายสตรีมากกว่าบุรุษ เขากระดกเหล้าเข้าปากอีกจอก พลางถอดแหวนลูกแก้วโยนลงไปกลางวงเพื่อลงพนันโปปั่น

“กูทายสาม แทงเลี่ยม”

นายเหงี่ยม ไพร่ผู้ทำหน้าที่คุมโรงบ่อนและเป็นผู้เชี่ยวชาญการจัดแทงถั่วโป นั่งพับเพียบนับเม็ดถั่วจนครบก็ยิ้มเผล่ 

“ได้หน่วย ท่านหมื่นมิถูกนาขอรับ กระผมคงต้องขอเก็บแหวนไปก่อน”

“เรื่องของมึงเถอะ” หมื่นวรไชยสบถ หันไปทางทาสชายสองคนที่ถูกมัดมือนั่งหมอบกราบตัวสั่นงันงกแล้วตะโกนกร้าว

“กูสั่งว่าถ้ากูเสียให้โบยพวกมันเท่าจำนวนที่กูบอกไงเล่า อ้ายพวกโง่ ชักช้า!”

บ่าวรับใช้ที่ถือแส้หนังอยู่รีบก้มกราบเจ้านายและโบยทาสคนละสามครั้งทันที เสียงเนื้อปริแตกฟังสะท้านหูพอๆ กับเสียงครวญครางร้องขอความเมตตา

“วันนี้ท่านหมื่นดูขุ่นมัว มิผ่องใสนักนะขอรับ” นายเหงี่ยมกุลีกุจอแย่งไหสุราจากมือบ่าวผู้หญิงข้างตัวมารินส่งให้อย่างประจบ “เป็นเรื่องเดิมๆ อีกฤๅไม่เล่าขอรับ”

“มึงรู้ดีนี่” หมื่นวรไชยแค่นเสียงดังเฮอะในลำคอ “ก็เห็นกันอยู่ว่ามันเพิ่งได้งานไปปราบกบฏเมืองจันท์ พ่ออยู่หัวกลับพระนครได้กลับทรงเรียกให้เข้าเฝ้าทันที ยศออกขุนคงมิพอให้คางคกมันขึ้นวอแล้วกระมัง!”

“ต่อให้ได้อวยยศมากกว่านี้ อ้ายพันแสงมันก็แค่ไพร่ ริอ่านเทียบชั้นมูลนาย” นายเหงี่ยมผสมโรงได้คล่องปาก “ที่เขาว่ากันว่ามันมีวิชาดำน้ำลุยไฟ ฆ่ามิตาย กระผมยังว่าเป็นนิทานเสียมากกว่า ดีมิดีก็แค่โชคช่วยเท่านั้นแล”

พูดไปหวังว่าอารมณ์หมื่นวรไชยจะดีขึ้น ปรากฏว่าคนฟังกลับชักสีหน้าถมึงทึง นัยน์ตาวาวโรจน์

ผู้คนพากันยกย่องมันเป็นถึงขุนศึกไร้พ่าย แม้แต่ขุนพลทหารด้วยกันยังขนานนามด้วยความยำเกรงว่า ‘แสงผลาญ’ เพราะทุกครั้งที่มันนำทัพเหยียบย่างไปที่ใด อริราชศัตรูล้วนตายเรียบดั่งเพลิงผลาญ ทั้งยังมีวิชาอาคมร้ายกาจที่ทั่วทั้งแผ่นดินสยามไม่มีใครเคยพบเคยเห็น

“ถ้าไม่มีมัน กูก็คงมิติดอยู่ยศหมื่นเช่นทุกวันนี้ดอก!” ว่าแล้วก็ปาจอกสุราลงกับพื้นอย่างแรง ลุกขึ้นมาชี้หน้าตะคอกใส่อีกฝ่าย “แล้วที่มึงว่ามันฆ่ามิตายเป็นแค่นิทาน มึงมิเคยลองฆ่ามันรึ มิเคยอย่างนั้นรึ!”

“อ่า...ท่านหมื่น คือกระผม...”

“กูมิเคยใช้ให้มึงเอาคนไปดักฆ่ามันหรือไร อ้ายเหงี่ยม! มึงนี่นอกจากใช้การมิได้แล้วยังโง่ดักดาน เป็นกูมิใช่รึที่หาทางฆ่าอ้ายพันแสงมิรู้กี่ครั้งให้มันหัวเราะเยาะเอา มิสนใจว่ากูเป็นใครด้วยซ้ำ! จนกูเป็นได้แค่หมื่นเฝ้าด่านขนอน ส่วนมันเดินกร่างไปทั่วพระนครเป็นคนโปรดท่านเสนาฯ หากมึงเอาชีวิตมันให้กูมิได้ก็ไสหัวไป ไป!”

นายเหงี่ยมละล่ำละลักกราบขอโทษ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มตระกูลสูงบันดาลโทสะเพราะไม่ได้ดั่งใจ อันที่จริงทุกครั้งที่มีชื่อพันแสงหรือตอนนี้คือขุนสุริยนหัสดีเข้ามาเกี่ยวข้อง หมื่นวรไชยจะอาละวาดเสมอ

“แล้วพวกมึงมองอันใด สมเพชกูงั้นรึ โบยมันอีกคนละสิบที อย่าให้กูต้องบอกซ้ำ!”

“พี่ไชย!”

ชวาลาวิ่งจนหอบเข้ามาในโถงเรือน พอเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กสาวจ้องพี่ชายเขม็ง ดวงหน้าแดงจัดทั้งเหนื่อยทั้งโกรธ โมโหจนไม่รู้จะตำหนิอีกฝ่ายว่าอะไรถึงสาสม

“ปล่อยพี่เจิมกับพี่วอกเดี๋ยวนี้” เธอมองทาสชายสองคนแล้วเค้นเสียงออกมาได้แค่นั้น

“พี่เจิม? พี่วอก?” หมื่นวรไชยทวนคำแล้วหัวเราะก๊าก นายเหงี่ยมกับพรรคพวกพลอยขบขันตามไปด้วย “เอ็งเรียกอ้ายพวกนี้ว่าพี่ฤๅ แม่วา พี่เอ็งมีคนเดียวคือข้านี่ ที่เหลือเห็นจักให้เกียรติมันมากไปหน่อยแล้ว!”

“อ้อ พี่ไชยยังเห็นฉันเป็นน้องอยู่หรือเจ้าคะ” ชวาลาถาม “ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ฉันนึกว่าพี่ลืมฉัน ลืมพ่อแม่ไปหมดแล้วเสียอีก”

รอยยิ้มลับหายไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม แทนที่ด้วยสีหน้าถมึงทึงดุจยักษาทันควัน

“ปากกล้านัก ข้าให้เอ็งพูดบนเรือนนี้ได้ก็นับว่าบุญหัวมากแล้ว เอ็งเป็นหญิง ต้องหัดเงียบปากไว้แล้วเอาใจข้าให้มากๆ จักได้มีที่ซุกหัวนอน รู้ฤๅไม่”

“เจ้าคุณพ่อมิได้สอนให้พี่ทำกับคนอื่นแบบนี้นะพี่ไชย!”

โดยเฉพาะกับฉัน (เอียง) ชวาลาคิดต่อในใจ มองใบหน้าที่คล้ายคลึงตัวเองอยู่หลายส่วนของพี่ชายแล้วสะเทือนใจ เสียดายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีมากกว่าคนอื่นนัก

“จักหญิงหรือชาย ขุนนางหรือไพร่ทาส อย่างไรก็คือคนเหมือนกัน จักมีก็แต่ผู้ที่มิทำหน้าที่ของตัวแล้วเอาแต่ข่มเหงคนไม่มีทางสู้เท่านั้นที่เป็นคนก็เหมือนมิใช่คน อย่างพี่นี้ยังจักกล้าบอกว่าตัวเองเหนือกว่าใครอีกหรือ”

ประโยคยาวๆ ที่ออกมาจากปากเล็กนั้นมีบางช่วงที่หมื่นวรไชยฟังแล้วสับสนแปลไม่ออกด้วยซ้ำไป เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขานึกชังน้องสาวคนนี้นักหนา ทั้งพูดจาไม่ได้ความ วาจาไม่คะขาเสนาะหู วิธีปฏิบัติต่อข้าทาสบริวารในเรือนก็ผิดกันราวฟ้ากับเหว คุยกันกี่ครั้งก็พาลทะเลาะกันทุกครั้งไป

ตั้งแต่เล็กทุกคนก็รักใคร่เอ็นดูชวาลามากกว่าเขาอยู่แล้ว อาจเป็นเพียงไม่กี่ครอบครัวในพระนครที่ยกย่องให้บุตรสาวมีหน้ามีตาเทียบเท่าบุตรชาย แม่ตัวดีก็ช่างฉอเลาะ ออดอ้อนจนผู้ใหญ่พากันรักพากันหลง ทำให้เขาซึ่งอดทนทำตัวดีเป็นลูกคุณพระยาได้น้อยกว่าถูกเปรียบเทียบจนกลายเป็นหมาหัวเน่า อายุห่างกันถึงสิบปีไม่ช่วยอะไร

จนกระทั่งบุพการีจากไปเมื่อสองปีก่อน ปีนั้นเขาอายุยี่สิบสี่ บวชเรียนแล้วก็สามารถเป็นผู้นำของบ้านได้อย่างไร้ข้อกังขา ไชยหมายมาดว่าครานี้จะจัดการให้ชวาลาอยู่ใต้อาณัติ ไม่อาจทักท้วงได้อีกหากเขาทำอะไรตามใจ กลับผิดคาดที่น้องสาวยังคงมีทางของตัวเอง และแสดงออกเสียด้วยว่ารังเกียจความคิดเขามากแค่ไหน

“แล้วต้องให้ฉันบอกพี่อีกสักกี่ครั้งว่า ถ้ามิพอใจก็อย่ามาลงที่คนอื่น”

นับครั้งไม่ถ้วนแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าต้องได้ยินเสียงบ่าวไพร่ถูกโบยอย่างไร้เหตุผลไปอีกนานเท่าไร

“พี่รู้ไหมว่าพี่ตะโกนทีเสียงมันได้ยินลงไปถึงข้างล่าง ฉันถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วพี่ก็แค่โวยวายเป็นเด็กๆ ที่สู้คนชื่อพันแสงนั่นมิได้”

“อย่ามาทำเป็นรู้มาก!”

“ดังนั้นฉันขอพูดกระไรหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” ชวาลาเชิดหน้าอย่างไม่กลัวเกรง “สามปีมานี้ตั้งแต่พี่ได้รับราชการเพราะเป็นลูกเจ้าคุณพ่อ ฉันมิเห็นว่าพี่จักทำกิจอันใดเลยนอกจากร่ำสุรา เล่นพนัน เที่ยวผู้หญิง จักพยายามฝึกตนกระไรก็หาไม่ ก็สมควรให้เขาเก่งกว่าอยู่ดอก โทษตัวพี่เองเถิด แล้วขอบใจพันแสงเขาด้วยที่ยังเหลือยศหมื่นขนอนไว้ให้พี่”

“ชวาลา!”

หมื่นวรไชยตวาดลั่น ผุดลุกขึ้นมาจากตั่ง เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าบิดเบี้ยว ก้าวพรวดเดียวประชิดตัวน้องสาวแล้วเงื้อมือขึ้น หมายตบหน้าให้คว่ำเหมือนที่เคยทำกับทาสในเรือนอยู่เป็นนิตย์ แม้ว่าสุดท้ายจะยั้งมือไว้ได้ทัน ร่างบอบบางก็ผงะเสียหลักล้มลงกับพื้น สายตาที่จ้องตอบเปิดเผยหมดสิ้นว่าแท้จริงแล้วเด็กสาวหวาดกลัวเพียงใด แต่ที่ชัดยิ่งกว่าคือความเสียใจที่สะท้อนออกมา แม้ขอบตาแห้งผาก ริมฝีปากเม้มสนิทไร้เสียงสะอื้นไห้

ผู้เป็นพี่ลดมือลง ยังคงฉุนเฉียว “เห็นแก่พ่อแม่ดอก เอ็งถึงได้ขึ้นเสียงสั่งสอนข้าได้ รีบไปซะ!”

ชวาลาพยักหน้า แต่เป็นการพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ปล่อยทาสผู้โชคร้าย ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นเดินจากไป

ภาพแม่นายของบ้านเดินลงจากเรือนใหญ่แล้วลัดเลาะสวนด้านหลังหายไปในความมืดนั้น พวกบ่าวไพร่ในเรือนเห็นกันจนชินตาเสียแล้ว ทุกคนต่างคิดถึงวันเวลาที่พระยารัตนาธิปกและคุณหญิงดวงมาลย์ยังมีชีวิตอยู่ จนบางครั้งบ่าวเก่าแก่ถึงขั้นต้องกอดกันนอนร้องไห้

“พี่วา”

ละออนั่งจุ้มปุ๊กรออยู่ที่ชานกระไดเรือนเล็กท้ายสวน เห็นชวาลาถือตะเกียงเดินมาก็ดีใจ “พี่วามาแล้ว พี่วามาแล้ว!”

จากนั้นเสียงขานว่า ‘พี่วามาแล้ว’ ก็ดังเจี๊ยวจ๊าวระงม พร้อมกับที่ร่างเล็กจ้อยของเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกันไม่เกินสิบปีสี่คนวิ่งมาหา แต่ละคนนุ่งผ้าแถบสีสันสดใส หน้าตาสะอาดสะอ้าน ไว้ผมจุก ผมแกละ ผมเปีย มัดผมด้วยผ้าแดงผืนใหม่ บ่งบอกความเอาใจใส่ของคนดูแลได้เป็นอย่างดี ต่างกรูกันเข้ามามะรุมมะตุ้ม ‘พี่วา’ กันชุลมุนไปหมด

ร่างบางย่อตัวลงกอดเด็กๆ สูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่งแล้วจึงพาขึ้นเรือนไปด้วยกัน ซึ่งเรือนไม้หลังเล็กนี้ก็เล็กสมชื่อ มีเพียงชานเรือน ห้องครัว และห้องนอนเดียวเท่านั้น

“แม่นาย รับข้าวเย็นเลยไหมเจ้าคะ”

หญิงสาวท่าทางสุภาพแต่งกายเรียบง่ายคนหนึ่งคลานเข่าเข้ามาหา เธอคือแม่สายหยุด ลูกสาวของทาสในเรือนที่ขอติดตามชวาลามาอยู่ที่นี่นั่นเอง อายุมากกว่าผู้เป็นนายแค่สองปี แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยความหมองเศร้าที่ลบอย่างไรก็ลบไม่ออก

“อ้าว นี่เด็กๆ ยังมิได้กินกันเลยหรือ วันหน้าหากฉันกลับช้า พี่สายพาน้องๆ กินกันก่อนได้เลยนะจ๊ะ”

“เจ้าค่ะ” สายหยุดรับคำไปอย่างนั้นเอง พวกเธอไม่เคยมีใครยอมกินข้าวโดยไม่มี ‘พี่วา’

วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวันที่ทุกคนจะมานั่งกินข้าวกันในห้องครัว ชวาลากับสายหยุดช่วยกันดูเด็กหญิงสร้อย พิกุล และกระถินกินข้าวไม่ให้หกเลอะเทอะ ส่วนพวกโตแล้วอย่างละออกับจำปานั่งกินไปเล่นไปอยู่อีกทาง

หลังจากนั้นพวกเธอก็จะนั่งทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ชานเรือน ไม่นานนักก็ล้างหน้า บ้วนปาก เข้านอน

ชวาลาคิดเสมอว่าเธอโชคดีที่เด็กๆ พวกนี้เลี้ยงง่ายนัก เรือนเล็กไม่ใคร่สะดวกสบาย แต่เด็กน้อยกลับกินง่าย หลับง่าย ไม่งอแง ทุกครั้งที่เจอเรื่องทุกข์ใจ รอยยิ้มของน้องๆ ก็เป็นเสมือนกำลังใจให้อยากตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นอีกครั้ง

ครึ่งปีก่อนเธอตัดสินใจเอาเครื่องประดับของตัวเองไปขาย ได้เงินมาสร้างเรือนเล็กหลังนี้ เพราะทนพฤติกรรมน่าอดสูของพี่ชายและสหายที่รังแต่จะคอยแทะโลมอยู่ทุกวันไม่ไหว แล้วสุดท้ายก็พาเด็กหญิงลูกๆ ของบ่าวในเรือนมาด้วยให้ไกลจากสภาพแวดล้อมแย่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเห็นพ่อถูกโบยหรือแม่ถูกย่ำยี ตกกลางคืนก็ไม่ต้องหวาดผวาเสียงโหวกเหวกโวยวายหรือเสียงร่วมรักที่ดังอย่างหน้าไม่อายอีก

และอย่างน้อยพอได้ชื่อว่าเป็นบ่าวของชวาลา หมื่นวรไชยก็ดูเหมือนจะเกรงใจอยู่บ้าง บางทีเธออาจเลี้ยงเด็กๆ จนโตพอแล้วหาทางส่งไปอยู่ข้างนอกได้สำเร็จ

นั่นห่างไกลราวกับความฝัน เพราะแม้แต่ตัวเธอเองยังไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร

 

ดึกสงัด ทุกชีวิตในเรือนเล็กกำลังหลับสนิท

“น้องวา น้องวา!”

เสียงเรียกจากหน้าเรือนปลุกให้เจ้าของชื่อลืมตา ผุดลุกขึ้นมาในความมืด

“น้องวา น้องวากูอยู่ไหน ปล่อยกู! พวกมึงกล้าดีเยี่ยงไรมาจับ ปล่อยกู อ้ายพวกไพร่!”

สายหยุดตื่นตามมาเป็นคนที่สอง ชวาลามองใบหน้าเผือดสีนั้นแล้วสงสารจับใจ เสียงนี้เป็นหมื่นวรไชยไม่ผิดแน่ เขามาหาเธอโดยตรง ไม้ฝาเรือนบางๆ เหล่านี้ป้องกันอะไรไม่ได้เลยถ้าคนอย่างเขาเกิดบ้าขึ้นมา

“อย่าออกไปเลยเจ้าค่ะ” สายหยุดคว้ามือเด็กสาวเอาไว้แน่น

“ชู่! พี่ช่วยดูเด็กๆ ให้ฉันหน่อยเถิด” ชวาลาตบหลังมืออีกฝ่ายเบาๆ “พี่ไชยมิเคยมาที่นี่ ครั้งนี้คงแค่เมาเท่านั้น แต่ฉันต้องออกไปก่อนที่เขาจักพังเข้ามา”

แล้วหมื่นวรไชยก็เมาเละเทะจริงๆ ตามคาด กลิ่นสุราฉุนจัด ยืนแทบไม่อยู่ แต่มีเรี่ยวแรงมหาศาลชนิดที่ว่าบ่าวผู้ชายสามคนพยายามจับยังฉุดไว้ไม่ได้ พอเห็นชวาลาชายหนุ่มก็ฉีกยิ้มน่าสะอิดสะเอียน

“ว่าไงเล่า น้องวา พี่มาตามกลับเรือนเราไง”

ชวาลายืนหลังชิดประตู บุ้ยใบ้ให้บ่าวชายรีบไปตามคนมาเพิ่ม ถอนหายใจเฮือก ไม่ตอบว่าอะไร

“มึงน่ะถือดี หยิ่งจองหอง กล้าสร้างเรือนอยู่คนเดียว คิดว่ากูยอมแล้วจักทำกระไรก็ได้รึไง” พูดไปก็ชี้หน้าเด็กสาวไปด้วย “ที่ผ่านมากูละเว้นมึงเพราะเห็นว่ามึงเป็นน้องสาว อยากให้บ่าวมันเคารพ แต่วันนี้มึงกลับ...ดูถูกกู เห็นอ้ายพันแสงมันดีกว่ากู”

ชวาลาไม่อยากฟังอีกต่อไป แต่ต้องยืนขวางประตูไว้จึงทำได้แค่กำหมัดแน่น มองไปทางอื่น

“หน้ากูมึงยังมิกล้ามอง ทำไม รักมันงั้นรึ มึงคบชู้กับมันใช่ไหม ตอบกูซีวะ!”

ชักเริ่มเลอะเทอะ ถึงรู้ดีว่าป่วยการจะอธิบายอะไรกับคนเมา ชวาลาก็ยังพยายามตอบกลับอย่างใจเย็น 

“ฉันมิรู้จักคนชื่อพันแสง พี่กลับเรือนไปเสียเถิด”

“อ๋อ มึงโกหกกูรึ” ชายหนุ่มสะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุม ย่ำเท้าโครมครามขึ้นมาบนเรือน ตรงเข้ากระชากเด็กสาวมาเขย่าจนตัวโยน

“ได้! ในเมื่อมึงกล้าเป็นชู้กับมัน ก็อย่าคิดว่ากูมิกล้าทำกระไรเด็กที่มึงเลี้ยงไว้ก็แล้วกัน!”

“พี่ไชย! อย่านะ!”

ร่างบางถูกเหวี่ยงล้มกระแทกพื้น หมื่นวรไชยถีบประตูเปิดผาง เสียงกรีดร้องหวาดผวาดังจากข้างในห้องนอน บ่าวผู้ชายกลับเข้ามากลุ้มรุมช่วยพยุงแม่นายของตนก่อน ทำเอาชวาลาร้อนใจเป็นห่วงเด็กๆ จนน้ำตาริน

“มิต้องห่วงฉัน ไปเอาเขาออกมา!”

ทว่าสายไปเสียแล้ว ชายหนุ่มที่กำลังอาละวาดคว้าข้อมือละออได้ก็ลากร่างเล็กถูลู่ถูกังออกมาอย่างไม่ปรานี เด็กหญิงร้องไห้เสียขวัญ ชวาลาตกตะลึงอยู่ชั่วอึดใจก็รีบเข้าไปในครัว หยิบครกออกมาได้ก็ยกฟาดสะเปะสะปะลงไปบนตัวพี่ชายด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

เผียะ!

เด็กสาวถูกเขาตบหน้าอย่างจังก็ปล่อยครกหลุดมือ เจ็บแทบสิ้นสติ

“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย! พี่วา พี่วา!” ละออทั้งร้องทั้งดิ้น แต่ก็ถูกอุ้มขึ้นมาจนได้

สถานการณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด ฉับพลันนั้นเองสายหยุดก็โถมตัวเข้ามากอดรัดเอวหมื่นวรไชยไว้แน่น ซุกหน้าลงกับบ่าเขาพลางอ้อนวอนเสียงสั่นเครือ

“ท่านหมื่นปล่อยละออเถิดเจ้าค่ะ คืนนี้ให้สายหยุดอยู่กับท่านเองนะเจ้าคะ”

หญิงสาวค่อยๆ เข้าไปแทรกกลางระหว่างละออกับหมื่นวรไชย อิงแอบเข้ากับอ้อมแขนเขาจนคนเมายอมปล่อยร่างเล็กของเด็กหญิงลงกับพื้นแล้วหันมาโอบกอดเธอแทน ถึงเนื้อตัวจะผอมมีแต่กระดูก ไม่สมส่วนนัก แต่อย่างไรก็มีส่วนเว้าส่วนโค้งชวนให้สัมผัสมากกว่าแน่ ดูเหมือนนี่จะเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่น่าพอใจ ทำให้คนเมาสงบลง ลืมชวาลาไปและเริ่มหันมาสนใจทำอย่างอื่นแทน 

“พี่สาย...” ชวาลาพยายามข่มความเจ็บปวดเปล่งเสียงออกมา คับแค้นใจจนตัวสั่น เธอน่าจะหยิบมีด ไม่ใช่ครก “พี่...พี่มิจำเป็นต้องทำแบบนี้ พวกเอ็งมาเอาตัวท่านหมื่นออกไป เร็ว!”

ปรากฏว่าต้องใช้คนถึงสี่คนจึงจะพาตัวหมื่นวรไชยออกไปได้ โดยสายหยุดยังต้องเป็นคนพยุงให้ชายหนุ่มโอบบ่าใกล้ชิด หญิงสาวยิ้มแสนเศร้ายามบอก

“มิเป็นไรดอกเจ้าค่ะแม่นาย สายหยุดเคยรับใช้นายท่านมาแล้ว”

ชวาลาอ้าปากจะค้าน สายหยุดเอาแต่ส่ายหน้า ทั้งสองต่างสบตากัน ในตามีหยดน้ำเอ่อคลอ รู้ดีว่าถ้าไม่ใช่ด้วยวิธีนี้คงยากที่จะให้เด็กๆ รอดพ้นคืนนี้ไปได้ ละออแอบอยู่ข้างหลังจับมือชวาลาไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้น เด็กสาวต้องรวบรวมแรงใจทั้งหมดฝืนยืนนิ่งส่งคนทั้งหมดไปจนสุดสายตา ในหูยังแว่วเสียงชวนคลื่นไส้ของพวงลูกปัดกลวงบรรจุทรายที่กลิ้งกระทบขณะก้าวเดินจากของลับของพี่ชาย แต่ก่อนเธอไม่เคยรู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งได้ยินเขากับสหายโอ้อวดกันเรื่อง ‘ของสวยของงาม’ ที่นิยมฝังกันในหมู่คนมั่งมี ด้วยความเชื่อน่าตายว่าจะทำให้สตรีมีความสุข

“ฝากนังละออมันด้วยนะเจ้าคะ”

นาทีนั้นชวาลาอยากปิดหน้าทิ้งตัวลงร้องไห้ให้สาแก่ใจ แต่เมื่อน้องๆ เดินปาดน้ำตาป้อยๆ เข้ามารุมกอด เด็กสาวก็ตั้งสติได้

“ละออ พี่ขอดูหน่อย” เธอพลิกแขนเด็กหญิงไปมาในแสงจันทร์สลัว “เจ็บตรงไหนบ้างฤๅไม่”

พอละออส่ายหน้า ชวาลาก็ดึงตัวเข้ามากอด ลูบหัวเล็กๆ ซ้ำๆ

“ดีแล้ว เก่งมาก มา...เด็กๆ มาช่วยพี่เก็บของ เราจักไปจากที่นี่กัน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น